• X
  • ค้นหา
  • TH EN
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
  1. หน้าแรก
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านสูงกว่าคาดในเดือนเม.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 1.6% สู่ระดับ 1.361 ล้านยูนิตในเดือนเม.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.360 ล้านยูนิต ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 4.7% สู่ระดับ 1.412 ล้านยูนิตในเดือนเม.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.450 ล้านยูนิต (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.1% เดือนเม.ย. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 0.4% หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนมี.ค.  เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมี.ค.  การปรับตัวขึ้นของดัชนีราคานำเข้าได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาสินค้าทุน ขณะที่ราคาพลังงานปรับตัวลง นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.4% ในเดือนมี.ค. (อินโฟเควสท์)
ม.มิชิแกนเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงลง 5 เดือนติดในพ.ค. ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลง 2.7% สู่ระดับ 50.8 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2565 และเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน จากระดับ 52.2 ในเดือนเม.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 7.3% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 6.5% นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.6% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 4.4% (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐขยายตัว 2.4% ใน Q2/68 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 2/2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.3% ในไตรมาส 1 เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งต่อไปในวันที่ 27 พ.ค. (อินโฟเควสท์)
มูดี้ส์หั่นเครดิตสหรัฐฯ เหลือ Aa1 ชี้หนี้สาธารณะ-ภาระดอกเบี้ยท่วม มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody's Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับ Aaa ลงมาอยู่ที่ Aa1 เมื่อวันศุกร์ (16 พ.ค.) โดยให้เหตุผลว่า หนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น และภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน มูดี้ส์ได้ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก "เชิงลบ" กลับมาเป็น "มีเสถียรภาพ" มูดี้ส์ระบุในแถลงการณ์ว่า "การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงหนึ่งขั้นสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะและอัตราภาระดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ที่มีอันดับใกล้เคียงกันอย่างมาก" ก่อนหน้านี้ในเดือนพ.ย. 2566 มูดี้ส์เคยปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก "มีเสถียรภาพ" เป็น "เชิงลบ" แถลงการณ์ของมูดี้ส์ระบุว่า รัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐฯ หลายชุดที่ผ่านมาไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับมาตรการที่จะหยุดปัญหาการขาดดุลงบประมาณรายปีจำนวนมากและภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังระบุว่า มูดี้ส์ไม่เชื่อว่าแผนงบประมาณปัจจุบันจะสามารถลดการใช้จ่ายของรัฐบาลหรือการขาดดุลงบประมาณได้อย่างมากในระยะยาว โดยในช่วง 10 ปีข้างหน้า มูดี้ส์คาดว่าการขาดดุลงบประมาณจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายสำหรับโครงการสวัสดิการต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้ของรัฐบาลยังคงอยู่ใกล้เคียงระดับเดิม มูดี้ส์ระบุว่า การขาดดุลงบประมาณที่ต่อเนื่องและมีขนาดใหญ่จะผลักดันให้ภาระหนี้และดอกเบี้ยของรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยมูดี้ส์คาดว่า ภาระหนี้ของรัฐบาลกลางจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 134% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภายในปี 2578 เทียบกับระดับ 98% ในปี 2567 นอกจากนี้ มูดี้ส์ระบุว่า ภายในปี 2578 การชำระดอกเบี้ยของรัฐบาลกลางอาจใช้สัดส่วนถึงประมาณ 30% ของรายได้รัฐบาล เพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2567 และ 9% ในปี 2564 (อินโฟเควสท์)
เฟดกางแผนเออรี่รีไทร์ลดพนง. 10% ตามแนวทางรัฐบาลทรัมป์ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยในบันทึกภายในว่า เฟดมีแผนจะลดจำนวนพนักงานทั่วประเทศลงราว 10% จากทั้งหมดประมาณ 24,000 คนภายใน 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางปรับโครงสร้างรัฐบาลกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้ หนึ่งในแนวทางที่เฟดเตรียมนำมาใช้คือโครงการลาออกล่วงหน้าแบบสมัครใจสำหรับพนักงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่จะเกษียณอายุในช่วงปลายปี 2570 ขณะที่เฟดยังไม่มีแผนการเลิกจ้างแบบบังคับแต่อย่างใด พาวเวลระบุว่า การทบทวนกำลังคนและทรัพยากรเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสถานะขององค์กร และเฟดเคยดำเนินการลักษณะนี้มาแล้วในช่วงทศวรรษ 1990 ในสมัยของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ขณะที่พาวเวลเชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เฟดจะดำเนินการดังกล่าวอีกครั้งด้วยความรอบคอบและตั้งใจ (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์จี้เฟดลดดอกเบี้ยโดยเร็ว ฟาดพาวเวลชักช้า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ย "โดยเร็ว อย่าช้า" พร้อมตำหนิประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ที่อยู่เฉยไม่ดำเนินการอะไร "คนส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า เฟดควรลดอัตราดอกเบี้ยโดยเร็ว อย่าช้า" ทรัมป์โพสต์บนโซเชียลมีเดียเมื่อวันเสาร์ (17 พ.ค.) "สายเกินไปแล้วพาวเวล ชายผู้สร้างตำนาน 'สายเกินไป' อาจจะทำพลาดอีกครั้ง แต่ใครจะรู้???" ทรัมป์กล่าวเสริม ทั้งนี้ ทรัมป์ยังคงแสดงความไม่พอใจต่อพาวเวล โดยถึงแม้ว่าเขาไม่ได้ดึงดันที่จะปลดพาวเวลจากตำแหน่ง และยืนยันว่าประธานเฟดจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป และถึงแม้ทรัมป์เชื่อว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว แต่เขาต้องการให้พาวเวล "กระตือรือร้นมากกว่านี้" ในเรื่องการลดดอกเบี้ย (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" มัดมือชก! เตรียมกำหนดภาษีเอง อ้างไม่สามารถเจรจาหมดทั้ง 150 ประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ส่งสัญญาณว่าสหรัฐจะเป็นฝ่ายกำหนดแต่เพียงฝ่ายเดียวเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้า แทนที่จะมีการทำข้อตกลงกับทุกประเทศ "ขณะที่ 150 ประเทศต้องการทำข้อตกลงกับสหรัฐ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถพบปะกับผู้คนจำนวนมากที่ต้องการจะมาพบเรา" ปธน.ทรัมป์กล่าวในวันนี้ในการประชุมกับนักธุรกิจที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐจะบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตราใหม่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า โดยนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ จะส่งหนังสือไปยังประเทศต่าง ๆ ราว 150 ประเทศ เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากประเทศดังกล่าว ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ครั้งใหญ่ต่อประเทศคู่ค้าในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเป็นวันแห่งการปลดปล่อยของสหรัฐ แต่หลังจากนั้น ปธน.ทรัมป์ได้ผ่อนคลายท่าที พร้อมเปิดช่องเจรจากับประเทศคู่ค้าเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งในระหว่างนี้สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีพื้นฐานจากประเทศคู่ค้าในอัตรา 10% จนสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน (อินโฟเควสท์)
ก.ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิขอเพนตากอนส่งทหารกว่า 2 หมื่นนายช่วยส่งผู้อพยพกลับประเทศSource - IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ สื่อสหรัฐฯ หลายสำนักรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ได้ขอทหารสังกัดกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) จำนวนกว่า 20,000 นาย เพื่อช่วยสนับสนุนภารกิจปราบปรามและส่งผู้อพยพจำนวนมากกลับประเทศตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์เป็นสื่อแรกที่รายงานเรื่องนี้ โดยระบุว่า DHS ได้ส่งคำขอไปยังกระทรวงกลาโหมหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขอให้ DHS เพิ่มกำลังพลโดยดึงเจ้าหน้าที่จำนวน 20,000 นายมาจากหน่วยงานของรัฐหรือรัฐบาลกลาง และขณะนี้ กระทรวงกลาโหมกำลังพิจารณาคำขอดังกล่าว ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าสมาชิกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิจะเข้าไปมีบทบาทอย่างไรและจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุมผู้อพยพเพื่อส่งกลับประเทศหรือไม่ รวมทั้ง "ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐต่าง ๆ จะต้องอนุมัติแผนดังกล่าวด้วยหรือไม่" โดยทั่วไปแล้ว กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิจะทำหน้าที่สนับสนุนหน่วยงานในประเทศในการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองที่ชายแดน รวมไปถึงด้านโลจิสติกส์ ความปลอดภัย และความช่วยเหลืออื่น ๆ (อินโฟเควสท์)
บาร์เคลย์คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ รอดถดถอย หลังตึงเครียดการค้าจีนคลี่คลาย บาร์เคลย์ ธนาคารรายใหญ่ของอังกฤษ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะรอดพ้นจากภาวะถดถอยได้ พร้อมปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโต หลังสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลาย ธนาคารระบุในบันทึกที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัว 0.5% ในปีนี้ และ 1.6% ในปีหน้า เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ -0.3% และ 1.5% ตามลำดับ ขณะเดียวกัน บาร์เคลย์ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซน โดยประเมินว่าเศรษฐกิจภูมิภาคจะทรงตัวในปีนี้ แทนที่จะหดตัว 0.2% ตามที่เคยคาดไว้ก่อนหน้า อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนที่เริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังเตือนว่า ยูโรโซนอาจเผชิญภาวะถดถอยทางเทคนิคในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แต่อัตราการหดตัวจะน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ ทั้งนี้ บาร์เคลย์ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มการเติบโตของยูโรโซน เนื่องจากความไม่แน่นอนยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่การเจรจาภาษีระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับสหรัฐฯ ยังคงเป็นเพียงในระดับเทคนิค และยังไม่มีสัญญาณของความคืบหน้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 331.99 จุด ความหวังด้านการค้าสหรัฐฯ-จีนหนุนตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (16 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการทำข้อตกลงระงับเก็บภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเมื่อต้นสัปดาห์นี้ แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ย่ำแย่ลงก็ตาม ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,654.74 จุด เพิ่มขึ้น 331.99 จุด หรือ +0.78%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,958.38 จุด เพิ่มขึ้น 41.45 จุด หรือ +0.70% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,211.10 จุด เพิ่มขึ้น 98.78 จุด หรือ +0.52% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 87 เซนต์ อานิสงส์คลายกังวลการค้าสหรัฐฯ-จีน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นในวันศุกร์ (16 พ.ค.) และทำสถิติบวกติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สองหลังความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มผ่อนคลาย แม้ว่าราคาถูกกดดันจากการคาดการณ์ว่าอุปทานจะเพิ่มขึ้นจากอิหร่านและกลุ่มโอเปกพลัสก็ตาม  ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 87 เซนต์ หรือ 1.41% ปิดที่ 62.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 88 เซนต์ หรือ 1.36% ปิดที่ 65.41 ดอลลาร์/บาร์เรล  สัญญาน้ำมันทั้งสองชนิดปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์นี้ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 2.4% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 1% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า หลังราคานำเข้าเพิ่ม-คาดการณ์เงินเฟ้อพุ่ง สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (16 พ.ค.) หลังข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดบ่งชี้ว่าราคานำเข้าของสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัว แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น โดยดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.21% แตะที่ระดับ 101.092 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $39.40 นลท.เทขายหลังความตึงเครียดการค้าผ่อนคลาย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (16 พ.ค.) และปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2567 เนื่องจากตลาดคลายความวิตก หลังการทำข้อตกลงสงบศึกสงครามการค้าชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ-จีน ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 39.40 ดอลลาร์ หรือ 1.22% ปิดที่ 3,187.20 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วงหลุด 4.4% คลายกังวลเทรดวอร์สหรัฐ-จีน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวลงหลุดระดับ 4.4% ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก ณ เวลา 20.21 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.394% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.859% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ECB ตั้งเป้าสรุปแผนออกสกุลเงินยูโรดิจิทัลภายในต้นปี 2569 ปิเอโร ซิโปลโลเน กรรมการบริหารของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) ว่า ECB คาดว่าจะสามารถตกลงในประเด็นการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการออกเงินยูโรดิจิทัลได้ภายในต้นปี 2569 และจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปีในการเปิดตัวเงินยูโรดิจิทัลอย่างเป็นทางการ แม้ ECB จะพัฒนาโครงการเงินยูโรดิจิทัลมาหลายปี แต่ความคืบหน้ายังล่าช้า เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ปั่นป่วนในระบบการเงิน หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้ยุโรปรู้สึกถึงความจำเป็นเร่งด่วนมากขึ้น เนื่องจากยุโรปยังพึ่งพาบริษัทสหรัฐฯ อย่างมากในระบบการชำระเงินดิจิทัล ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ซิโปลโลเนระบุเสริมว่า หากได้กรอบกฎหมายรองรับ การเปิดตัวเงินยูโรดิจิทัลจะสามารถเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลา 2-3 ปีหลังจากนั้น (อินโฟเควสท์)
ยูโรโซนเกินดุลการค้าเดือนมี.ค. พุ่งแตะ 3.68 หมื่นล้านยูโร สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยในวันนี้ (16 พ.ค.) ว่า ยูโรโซนมียอดเกินดุลการค้าในเดือนมี.ค. อยู่ที่ 3.68 หมื่นล้านยูโร เพิ่มขึ้นจาก 2.28 หมื่นล้านยูโรในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นจาก 2.40 หมื่นล้านยูโรในเดือนก่อนหน้า การส่งออกสินค้าจากยูโรโซนไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกในเดือนมี.ค. มีมูลค่าอยู่ที่ 2.798 แสนล้านยูโร เพิ่มขึ้น 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนการนำเข้าอยู่ที่ 2.43 แสนล้านยูโร เพิ่มขึ้น 8.8% สำหรับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งรวมถึงประเทศสมาชิกที่ไม่ใช้สกุลเงินยูโร ยอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 3.53 หมื่นล้านยูโรในเดือนมี.ค. จากยอดส่งออกที่พุ่งขึ้น 15.2% สู่ระดับ 2.548 แสนล้านยูโร และนำเข้าเพิ่มขึ้น 10.4% แตะที่ 2.195 แสนล้านยูโร ในบรรดาประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของ EU นั้น การส่งออกไปสหรัฐฯ พุ่งขึ้นถึง 59.5% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 7.14 หมื่นล้านยูโร ขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 9.4% แตะที่ 3.07 หมื่นล้านยูโร ส่งผลให้ EU เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 4.07 หมื่นล้านยูโร จากยอดเกินดุลที่ 1.67 หมื่นล้านยูโรในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ในทางกลับกัน การส่งออกจาก EU ไปจีนกลับหดตัวลง 10.1% เหลือ 1.79 หมื่นล้านยูโร ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 15.8% เป็น 4.86 หมื่นล้านยูโร (อินโฟเควสท์)
ฝรั่งเศสเผยอัตราว่างงาน Q1/68 เพิ่มแตะ 7.4% ส่งสัญญาณศก.ยังซบเซา อัตราการว่างงานของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแตะระดับ 7.4% ในไตรมาส 1/2568 จาก 7.3% ในไตรมาส 4/2567 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ การเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงานไตรมาสแรกถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่สะท้อนถึงภาวะซบเซาของเศรษฐกิจฝรั่งเศส ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของยูโรโซน ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฝรั่งเศสขยายตัวเพียง 0.1% ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ เนื่องจากการลงทุนลดลง ขณะที่ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ธนาคารกลางฝรั่งเศสคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจประเทศจะเติบโตเพียงเล็กน้อยในไตรมาส 2/2568 ขณะที่คาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 7.8% ในปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก คลายวิตกการค้า-ผลประกอบการแกร่งหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (16 พ.ค.) และปิดบวกต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 หลังจากข้อตกลงการค้าชั่วคราวของสหรัฐฯ-จีนได้ช่วยลดความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า นอกจากนี้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนช่วยหนุนตลาดด้วย ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 549.26 จุด เพิ่มขึ้น 2.31 จุด หรือ +0.42% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,886.69 จุด เพิ่มขึ้น 33.22 จุด หรือ +0.42%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,767.43 จุด เพิ่มขึ้น 71.84 จุด หรือ +0.30% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,684.56 จุด เพิ่มขึ้น 50.81 จุด หรือ +0.59% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 50.81 จุด หลังคลายวิตกสงครามภาษี ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันศุกร์ (16 พ.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายความตึงเครียดในสงครามภาษีทั่วโลก ซึ่งช่วยหนุนความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกันนักลงทุนก็คาดหวังว่าจะมีข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมตามมา ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,684.56 จุด เพิ่มขึ้น 50.81 จุด หรือ +0.59% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเผย GDP ไตรมาสแรกหดตัวเกินคาด 0.2% เหตุภาษีทรัมป์ฉุดการส่งออก สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยตัวเลขประมาณการเบื้องต้นในวันนี้ (16 พ.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวลง 0.2% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งเป็นการหดตัวรายไตรมาสครั้งแรกในรอบ 1 ปี และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัวเพียง 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี GDP ไตรมาส 1 หดตัวลง 0.7% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัวเพียง 0.2% สำหรับปัจจัยที่ทำให้ GDP ญี่ปุ่นหดตัวลงนั้น มาจากการส่งออกที่ชะลอตัวลงและการนำเข้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งได้บดบังการเติบโตของการลงทุนด้านทุน (capital investment) โดยการส่งออกในไตรมาส 1 ลดลง 0.6% เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ต้องพึ่งพาการส่งออก ขณะที่การนำเข้าพุ่งขึ้น 2.9% ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อตัวเลข GDP เช่นกัน ส่วนการลงทุนด้านทุนปรับตัวขึ้น 1.4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ไตรมาส ขณะที่การอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น ปรับตัวขึ้น 0.04% ซึ่งแม้เป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ไตรมาส แต่ราคาสินค้าที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การเปิดเผยตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นมีขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เตือนเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า นโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะสร้างแรงกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ แต่ BOJ มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป หลังจากกรรมการบางส่วนของ BOJ ส่งสัญญาณว่า BOJ มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% และ BOJ จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมาย (อินโฟเควสท์)
กรรมการ BOJ สายพิราบชี้ ควรชะลอขึ้นดอกเบี้ย หวั่นพิษมาตรการภาษีสหรัฐฯ โทโยอากิ นากามูระ หนึ่งในคณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ออกมาส่งสัญญาณในวันนี้ (16 พ.ค.) ว่า BOJ ควรชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปก่อน โดยเตือนว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ นากามูระ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีจุดยืนสนับสนุนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (สายพิราบ) มากที่สุด ย้ำว่า ธนาคารกลางจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่าง "ระมัดระวัง" และต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าความไม่แน่นอนขั้นรุนแรงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนอย่างไร   "เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเผชิญแรงกดดันขาลงที่หนักหน่วงขึ้น" นากามูระกล่าว พร้อมชี้ว่าการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีในอัตราสูง โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของญี่ปุ่นนั้น อาจกระทบกำไรบริษัทอย่างหนัก "การรีบร้อนขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว อาจไปซ้ำเติมการบริโภคและการลงทุนให้ยิ่งแผ่วลงไปอีก" นากามูระกล่าวเสริม (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นเตรียมเจรจารอบ 3 กับสหรัฐฯ คาดอาจพิจารณาอุดหนุนสร้างสถานีชาร์จรถ Tesla สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาให้เงินอุดหนุนสำหรับการสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของเทสลา (Tesla) เป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาด้านภาษีศุลกากรกับสหรัฐอเมริกา สถานีโทรทัศน์ TBS รายงานเมื่อวันเสาร์ (17 พ.ค.) ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเงินอุดหนุนของญี่ปุ่น และเรียกร้องให้นโยบายดังกล่าวรวมการอุดหนุนการสร้างเครือข่าย Supercharger ของเทสลาด้วย โดยปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินอุดหนุนเฉพาะการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐาน CHAdeMO ซึ่งได้รับการพัฒนาในญี่ปุ่นเท่านั้น แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาสามารถเสียบปลั๊กเข้ากับจุดชาร์จ CHAdeMO ได้โดยใช้อะแดปเตอร์พิเศษ แต่รถยนต์ที่ใช้มาตรฐาน CHAdeMO ไม่สามารถชาร์จกับ Supercharger ของเทสลาได้ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ อยู่ระหว่างเตรียมการเจรจาภาษีศุลกากรรอบที่สาม และคาดว่า เรียวเซ อากาซาวะ หัวหน้าผู้เจรจาของญี่ปุ่น จะเดินทางไปวอชิงตันในสัปดาห์หน้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดแทบไม่ขยับ หุ้นส่งออกฉุด แต่ผลประกอบการกลุ่มอื่นแกร่งช่วยพยุง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดแทบไม่ขยับในวันนี้ (16 พ.ค.) ขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ถูกเทขายออกมาหลังเงินเยนแข็งค่าขึ้น ซึ่งลดผลกำไรของผู้ส่งออกเมื่อแปลงรายได้จากต่างประเทศกลับเป็นเงินเยน อย่างไรก็ตาม แรงซื้อที่ได้อานิสงส์จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนอื่น ๆ และการประกาศเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ได้เข้ามาช่วยพยุงตลาดไว้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 37,753.72 จุด ลดลง 1.79 จุด หรือ -0.004% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนลดถือครองบอนด์สหรัฐฯ หล่นสู่อันดับ 3 รองจากญี่ปุ่น-สหราชอาณาจักร จีนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในเดือนมี.ค. ส่งผลให้รั้งอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักรซึ่งแซงขึ้นมาเป็นผู้ถือครองอันดับ 2 เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ 16 พ.ค. ระบุว่า ยอดถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองในเดือนมี.ค. โดยเพิ่มขึ้นรวม 2.331 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จีนเคยเป็นผู้ถือพันธบัตรรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จนกระทั่งปี 2562 ก่อนที่ญี่ปุ่นจะขึ้นมาแทนที่ ล่าสุดข้อมูลจากบลูมเบิร์กระบุว่า สหราชอาณาจักรได้แซงหน้าจีนในเดือนมี.ค. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบสองทศวรรษ ส่งผลให้จีนร่วงไปอยู่ที่อันดับ 3 แม้มีแรงซื้อเพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค. แต่ในเดือนเม.ย. ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เผชิญความผันผวนอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่ายังไม่พบสัญญาณของการเทขายพันธบัตรจากนักลงทุนต่างชาติ ประเทศที่เพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในเดือนมี.ค. ได้แก่ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร แคนาดา และเบลเยียม ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มถูกตั้งคำถามในตลาด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะมาตรการเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่เขาเรียกว่าเป็น "วันปลดแอก" ซึ่งกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ รวมถึงส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และตลาดหุ้นในช่วงเวลานั้น (อินโฟเควสท์)
จีนกำหนดภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดพอลิฟอร์มัลดีไฮด์โคพอลิเมอร์ กระทรวงพาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์วันนี้ (18 พ.ค.) ว่า จีนจะจัดเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับการนำเข้าพอลิฟอร์มัลดีไฮด์โคพอลิเมอร์ (polyformaldehyde copolymer) ที่มีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม เป็นต้นไป เป็นระยะเวลา 5 ปี กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า จากการสืบสวนพบว่าการนำเข้าพอลิฟอร์มัลดีไฮด์โคพอลิเมอร์จากประเทศและภูมิภาคดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทุ่มตลาด ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากต่ออุตสาหกรรมในประเทศ โดยอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดจะอยู่ระหว่าง 3.8-74.9% สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า พอลิฟอร์มัลดีไฮด์โคพอลิเมอร์ถูกใช้ในภาคอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรอุตสาหกรรม อุปกรณ์กีฬา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อทดแทนทองแดง สังกะสี ดีบุก ตะกั่ว และวัสดุโลหะอื่น ๆ บางส่วน (อินโฟเควสท์)
ผู้แทนการค้าจีนเผยการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐเป็นไปด้วยดี นายหลี่ เฉิงกัง ผู้แทนการค้าของจีน กล่าวว่า การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐเป็นไปด้วยดี หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบปะกันที่สวิตเซอร์แลนด์ และสามารถบรรลุข้อตกลงชั่วคราวในการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วัน ทั้งนี้ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบปะกับนายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้อัตราภาษีของสหรัฐที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีน ลดลงสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% นายเบสเซนต์กล่าวว่า เขาคาดว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนจะพบปะกันอีกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ดี นายหลี่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาการค้าครั้งต่อไปของจีนและสหรัฐ   นอกจากนี้ นายหลี่กล่าวว่า เขายังคงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน อาจสนทนาหรือพบปะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ หลังจากที่ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาอาจสนทนาทางโทรศัพท์กับปธน.สีภายในปลายสัปดาห์นี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 13.36 จุด กังวลผลกระทบภาษีทรัมป์ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันนี้ (16 พ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังคงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในวันจันทร์นี้ (19 พ.ค.) เพื่อประเมินว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนอย่างไร ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,367.46 จุด ลดลง 13.36 จุด หรือ -0.40% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 108.11 จุด วิตกการค้า, สหรัฐฯ เล็งขึ้นบัญชีดำบริษัทจีน ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (16 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หากข้อตกลงปรับลดอัตราภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วันครบกำหนด นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกับรายงานที่ว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเพิ่มบริษัทจีนหลายแห่งในบัญชีจำกัดการส่งออก (Entity List) ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 23,345.05 จุด ลดลง 108.11 จุด หรือ -0.46% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
ธนาคารกลางเม็กซิโกหั่นดอกเบี้ยอีกรอบ แตะ 8.50% แต่ยังกังวลปัญหาการค้า-ศก.ซบเซา ธนาคารกลางเม็กซิโก (Banxico) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% สู่ระดับ 8.50% ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (15 พ.ค.) นับเป็นการปรับลดติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย แต่ก็ยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากความตึงเครียดทางการค้าและภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ การตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการบริหารธนาคารกลางครั้งนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเม็กซิโกลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 แถลงการณ์ของ Banxico ระบุว่า คณะกรรมการฯ อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระดับใกล้เคียงกันในการประชุมครั้งต่อ ๆ ไป สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเม็กซิโกในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 3.93% เมื่อเทียบรายปี แม้จะเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน แต่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางที่ 2-4% Banxico ระบุว่า "การเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ ได้เพิ่มความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มการคาดการณ์" พร้อมเตือนว่านโยบายของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดก็ได้ ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเม็กซิโกในไตรมาส 1/2568 ขยายตัวเพียง 0.2% ทำให้ประเทศรอดพ้นจากภาวะถดถอยทางเทคนิคไปได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในอัตราเดียวกันนี้ตลอดทั้งปี Banxico กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ "ปัจจัยความไม่แน่นอนและความตึงเครียดทางการค้ายังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะฉุดรั้งการเติบโต" (อินโฟเควสท์)
อินเดีย-ญี่ปุ่น แจ้ง WTO เตรียมตอบโต้มะกัน ปมเก็บภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม อินเดียและญี่ปุ่นได้แจ้งต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรป (EU) และอังกฤษได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนในลักษณะเดียวกันไปยัง WTO แล้วเช่นกัน ในเอกสารที่ยื่นต่อ WTO อินเดียและญี่ปุ่นให้เหตุผลว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมี.ค. 2561 เข้าข่ายมาตรการปกป้อง ภายใต้ความตกลงว่าด้วยมาตรการปกป้องของ WTO (WTO Agreement on Safeguards) แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้แจ้งให้ WTO ทราบอย่างเป็นทางการก็ตาม นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังสงวนสิทธิ์ที่จะระงับการให้สิทธิประโยชน์และข้อผูกพันอื่น ๆ ด้วยการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ บางรายการ อินเดียประเมินว่า ภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 7.6 พันล้านดอลลาร์ และทำให้สหรัฐฯ สามารถเรียกเก็บภาษีจากอินเดียได้ถึง 1.91 พันล้านดอลลาร์ โดยอินเดียประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีจากผลิตภัณฑ์ที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐฯ เพื่อให้ได้มูลค่าเทียบเท่ากับภาษีที่ตนเองถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บ ด้านญี่ปุ่นแจ้งว่า มาตรการตอบโต้จะครอบคลุมทั้งภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการจำกัดการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่สหรัฐฯ ตั้งขึ้นด้วย โดยจะระงับสิทธิประโยชน์ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ บางรายการในอัตราที่เทียบเท่ากัน และจะยื่นรายละเอียดซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลการส่งออกล่าสุดให้ WTO ก่อนการบังคับใช้มาตรการ (อินโฟเควสท์)
เวียดนามเร่งเจรจาสหรัฐฯ หวังเลี่ยงภาษีนำเข้าสูงลิ่ว 46% กระทบเศรษฐกิจ เวียดนามและสหรัฐฯ เริ่มการเจรจาระดับรัฐมนตรีโดยตรงเป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ (16 พ.ค.) เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ อาจจะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตราสูงถึง 46% ซึ่งอาจกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของเวียดนามที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก กระทรวงพาณิชย์เวียดนามเปิดเผยว่า การเจรจาเกิดขึ้นที่เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ หลังการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (APEC) ครั้งที่ 31 และสะท้อนความตั้งใจของทั้งสองประเทศในการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนให้มั่นคงต่อไป การเจรจานี้เป็นผลสืบเนื่องจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่าง เหวียน ห่ง เยียน รัฐมนตรีพาณิชย์เวียดนาม และ เจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการเปิดฉากการเจรจาอย่างเป็นทางการ โดยสหรัฐฯ ระบุว่าพอใจกับแนวทางและข้อเสนอในปัจจุบันของเวียดนาม และหวังว่าการเจรจาทางเทคนิคในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ทั้งนี้ สหรัฐฯ ชะลอการบังคับใช้ภาษีดังกล่าวไปจนถึงเดือนก.ค. โดยหากมีการบังคับใช้จริง อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจเวียดนาม ซึ่งมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงถึง 1.235 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา ดังนั้นเวียดนามจึงได้เร่งดำเนินมาตรการเพื่อลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น ลดภาษีสินค้าหลายรายการที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ และคุมเข้มการส่งต่อสินค้าจากจีนผ่านเวียดนามไปยังสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
มาเลเซียพอใจเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ราบรื่น แย้มหารือประเด็นเซมิคอนดักเตอร์ เตงกู ดาโตะ เซอรี ซัฟรุล อับดุล อาซิซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย เปิดเผยว่า การเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐอเมริกากำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น พร้อมแสดงความหวังว่ามาเลเซียจะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อลดภาษีกับสหรัฐฯ ได้ โดยประเด็นปัญหาที่สำคัญต่าง ๆ กำลังได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภาคส่วนยุทธศาสตร์ของประเทศ การแสดงความเห็นของรัฐมนตรีการค้ามาเลเซียมีขึ้นหลังจากที่เขาได้พบปะหารือกับ เจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นอกรอบการประชุมรัฐมนตรีด้านการค้าของเอเปค ที่เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองที่ทั้งคู่ได้พบกันนับตั้งแต่มาเลเซียเริ่มต้นการเจรจาอย่างเป็นทางการกับสหรัฐฯ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน "เราเข้าใจว่า การพูดคุยระหว่างหัวหน้าคณะเจรจาทั้งสองฝ่ายดำเนินไปอย่างราบรื่น" รมว.การค้ามาเลเซียกล่าว อย่างไรก็ดี เขาปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจา โดยอ้างถึงข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูลที่มาเลเซียทำไว้กับสหรัฐฯ แต่โดยทั่วไปแล้ว ประเด็นที่พูดคุยกันนั้นเกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อทั้งสองประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เซมิคอนดักเตอร์   สำหรับการเจรจารอบต่อไปของคณะผู้แทนมาเลเซียและสหรัฐฯ จะมีขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ในระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม โดยมัสตูรา อาหมัด มุสตาฟา รองปลัดกระทรวงฯ ฝ่ายการค้า จะเป็นหัวหน้าคณะ ขณะที่เตงกู ซัฟรุล มีกำหนดเดินทางเยือนสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนเพื่อหารือในระดับสูงต่อไป (อินโฟเควสท์)
"ยุน ซอกยอล" ลาออกจากพรรคหวังช่วยดึงคะแนนเสียงก่อนเลือกตั้งปธน.เกาหลีใต้ อดีตประธานาธิบดี ยุน ซอกยอล ของเกาหลีใต้ประกาศลาออกจากพรรคพลังประชาชน (PPP) ซึ่งเป็นพรรคสายอนุรักษนิยมในวันนี้ (17 พ.ค.) ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ในวันที่ 3 มิ.ย.นี้ ยุนระบุในแถลงการณ์ทางออนไลน์ว่า "ผมขอลาออกจากพรรคพลังประชาชนในวันนี้ ผมขอแสดงความเคารพต่อเพื่อนร่วมพรรคของผมที่เชื่อมั่นและอยู่เคียงข้างผมมาเป็นเวลานาน" ยุนกล่าวว่า การลาออกจากพรรคครั้งนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้พรรค PPP ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบฉุกเฉิน และปกป้องประชาธิปไตยที่เสรีของประเทศ ทั้งนี้ มีเสียงเรียกร้องให้ยุนลาออกจากพรรค เพื่อดึงดูดคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจ ท่ามกลางปัญหาจากกรณีที่เขาถูกถอดถอนจากตำแหน่งและพยายามใช้กฎอัยการศึกอย่างผิดพลาด ยุนยังขอให้ประชาชนร่วมสนับสนุน คิม มุน-ซู ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรค PPP และออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 3 มิ.ย. เพื่อปกป้องเสรีภาพ อธิปไตย และความรุ่งเรืองของประเทศ   ผลสำรวจล่าสุดพบว่า คิมยังตามหลัง อี แจ-มยอง ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตย (DP) ซึ่งเป็นพรรคสายเสรีนิยมซึ่งเคยพ่ายแพ้ยุนไปด้วยคะแนนเฉือนกันเพียง 0.73 จุดเปอร์เซ็นต์ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2565 ผลสำรวจของสำนักวิจัย Flower Research ซึ่งสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4,016 คน ระหว่างวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี (12-15 พ.ค.) ระบุว่า อี แจ-มยอง ได้รับคะแนนสนับสนุน 51.7% ขณะที่คิม มุน-ซู ได้คะแนน 28.7% (อินโฟเควสท์)
อังกฤษ-สหรัฐฯ หนุนอินเดีย-ปากีสถานหยุดยิงถาวรพร้อมเดินหน้าเจรจา เดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษเปิดเผยในวันนี้ (17 พ.ค.) ว่า อังกฤษกำลังทำงานร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อให้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอินเดียกับปากีสถานดำเนินไปอย่างยั่งยืน พร้อมส่งเสริมมาตรการสร้างความเชื่อมั่นและการเจรจาระหว่างสองชาติ ก่อนหน้านี้ ปากีสถานเปิดเผยว่า อังกฤษ สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ มีบทบาทสำคัญในการช่วยยุติการสู้รบที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีระหว่างสองชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง โดยความพยายามทางการทูตสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้เมื่อวันที่ 10 พ.ค. อย่างไรก็ตาม นักการทูตและนักวิเคราะห์เตือนว่าสถานการณ์ยังเปราะบาง แลมมีให้สัมภาษณ์ระหว่างเยือนกรุงอิสลามาบัดของปากีสถานว่า อังกฤษจะร่วมมือกับสหรัฐฯ ต่อไป เพื่อให้การหยุดยิงยั่งยืน เกิดการเจรจา และหาทางร่วมกันระหว่างอินเดียกับปากีสถานในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกัน ก่อนหน้าการทำข้อตกลงหยุดยิงนั้น ความตึงเครียดทวีขึ้น หลังเกิดเหตุโจมตีนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์ ซึ่งอินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลัง ขณะที่ปากีสถานปฏิเสธ   ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวหลังจากบรรลุข้อตกลงว่า ทั้งสองฝ่ายควรจัดการเจรจาในประเทศที่เป็นกลาง แต่ยังไม่มีการกำหนดวันหรือสถานที่แน่ชัด (อินโฟเควสท์)
กลุ่มฮูตีอ้างความรับผิดชอบ เหตุยิงขีปนาวุธโจมตีสนามบินเบนกูเรียนของอิสราเอล กลุ่มฮูตีในเยเมนได้ออกมาประกาศว่า ทางกลุ่มได้ยิงขีปนาวุธโจมตีไปยังสนามบินเบนกูเรียน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางอิสราเอล โดยมีรายงานว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลสามารถสกัดขีปนาวุธดังกล่าวไว้ได้ ยาห์ยา ซาเรีย โฆษกของกลุ่มฮูตี กล่าวในแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ของกลุ่มกบฏฮูตีว่า "พวกเราได้ปฏิบัติการทางทหารครั้งสำคัญ โดยเล็งเป้าไปที่สนามบินเบนกูเรียน ด้วยการใช้ขีปนาวุธร่อนความเร็วเหนือเสียง" ซาเรียระบุว่า ปฏิบัติการปิดกั้นการเดินทางทางอากาศที่สนามบินเบนกูเรียนจะยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าอิสราเอลจะยุติการรุกรานและปิดล้อมฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ ก่อนหน้านี้ในคืนเดียวกัน กองทัพอิสราเอล (IDF) ระบุในแถลงการณ์ว่า อิสราเอลสามารถสกัดขีปนาวุธลูกหนึ่งที่ยิงมาจากเยเมนได้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลังจากที่ขีปนาวุธถูกยิงออกมา IDF ได้ส่งสัญญาณเตือนผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือไปยังประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตอนกลางของอิสราเอล และประมาณ 2 นาทีต่อมา ไซเรนเตือนภัยก็ดังขึ้นในพื้นที่เหล่านั้น ทำให้ประชาชนต้องรีบหาที่หลบภัย ด้านหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินของอิสราเอลรายงานว่า ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บโดยตรง มีเพียงบางรายที่มีอาการตกใจ และบางคนได้รับรอยฟกช้ำจากการรีบวิ่งไปหลบภัย  ทั้งนี้ กลุ่มฮูตีได้ยกระดับการโจมตีอิสราเอล นับตั้งแต่ที่กลุ่มฮูตีได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยกลุ่มฮูตีให้สัญญาว่าจะไม่โจมตีเรือรบของสหรัฐฯ ในทะเลแดง เพื่อแลกกับการที่กองทัพสหรัฐฯ จะยุติการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มฮูตีในเยเมน (อินโฟเควสท์)
ยูเครนวอนพันธมิตรตะวันตกช่วยกดดันรัสเซีย หลังเจรจาหยุดยิงล้มเหลว ยูเครนได้ขอการสนับสนุนจากพันธมิตรชาติตะวันตกในวันศุกร์ (16 พ.ค.) หลังจากที่ยูเครนและรัสเซียไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องการหยุดยิงได้ในการเจรจากันโดยตรงครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี โดยรัสเซียเสนอเงื่อนไขที่แหล่งข่าวยูเครนระบุว่าไม่สามารถยอมรับได้ การเจรจานี้เกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ยุติความขัดแย้งซึ่งเป็นความรุนแรงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ตัวแทนจากทั้งสองฝ่ายได้พบกันครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2565 หลังรัสเซียบุกโจมตียูเครน โดยการเจรจาที่พระราชวังแห่งหนึ่งในกรุงอิสตันบูลครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ลบ 200 จุด ขาดปัจจัยใหม่หนุนตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลง 200 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ในการขับเคลื่อนตลาด ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,330.59 ลบ 200.15 จุด หรือ 0.24% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 1.28 จุด แกว่งรอปัจจัยใหม่หลังจบช่วงบจ.แจ้งงบ สัปดาห์หน้าจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ-ไทย SET ปิดวันนี้ที่ 1,195.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.28 จุด (+0.11%) มูลค่าซื้อขาย 36,714.07 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งแคบรอปัจจัยใหม่ หลังรับรู้ข่าวเจรจาเศรษฐกิจสหรัฐ-จีนและผลประกอบการไตรมาส 1/68 ของบจ.ไปหมดแล้ว แนวโน้มสัปดาห์หน้าต้องติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของสหรัฐ และตัวเลขนำเข้า-ส่งออกไทย ให้แนวต้าน 1,220 จุด แนวรับ 1,160 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,195.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.28 จุด (+0.11%) มูลค่าซื้อขาย 36,714.07 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งกรอบแคบขึ้นลงสลับกันตลอดวัน โดยทำระดับสูงสุด 1,204.33 จุด และต่ำสุด 1,190.21 จุด  ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 229 หลักทรัพย์ ลดลง 253 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 177 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 58,031 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 58,031 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 3,543 ล้านบาท2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 482 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 42 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.65% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. ในตราสารระยะยาวสำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 42 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 42 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิตทั่วไป (Headline PPI) ประจำเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 2.4% (YoY) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5% ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม Thomas Laubach Research Conference ว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง และนโยบายการเงินกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ด้านรายงานตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ทรงตัวที่ระดับ 229,000 รายสอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ สำหรับ Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ปรับลดลง 19,187 ล้านบาท จาก 939,513 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 920,326 ล้านบาททั้งนี้ตลาดติดตามรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จากสภาพัฒน์ฯ ประจำไตรมาส 1/2568 ในสัปดาห์หน้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.25 ตลาดไร้ปัจจัยใหม่หนุน คาดกรอบต้นสัปดาห์หน้า 33.10-33.35 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 33.25 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเปิด ตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 33.17 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.07 - 33.27 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามภูมิภาค และสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลก  "บาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับค่าเงินภูมิภาค โดยช่วงบ่ายบาทเริ่มปรับตัวอ่อนค่าตามราคาทองในตลาดโลก คืนนี้ไม่มีการแถลงตัวเลขสำคัญ ต้องจับตาช่วงวันหยุดอาจมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาสงครามการค้า" นักบริหารเงิน กล่าว  นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันจันทร์ไว้ที่ 33.10 - 33.35 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
 
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย. จีน      
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. จีน      
ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย. จีน      
การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนเม.ย. จีน      
อัตราว่างงานเดือนเม.ย. จีน      
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย. (ประมาณการครั้งสุดท้าย)       

แชร์เรื่องนี้

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

News Demo
16
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
13
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
12
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ

Shortcut Menu

  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
    โครงสร้างพื้นฐาน
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนผลงานดี
  • ตารางจ่ายเงินปันผล
  • ข่าว/บทวิเคราะห์
  • กลยุทธ์การลงทุน
  • กำหนดการและแบบฟอร์ม
  • โปรโมชั่น
  • ปฏิทินกองทุน
  • ภาพกิจกรรม
  • ประกาศราคากลาง
  • AIMC Category
    Performance Report
  • ถาม-ตอบ
  • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
  • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
  • การตั้งค่าคุกกี้
  • สมัครรับข่าวสาร
  • ติดต่อเรา
  • ร่วมงานกับเรา
  • ประกาศความเป็นส่วนตัว
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

อีเมล: callcenter@ktam.co.th

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

  • พันธมิตรธุรกิจ
  • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • แผนผังเว็บไซต์

การใช้และการจัดการคุกกี้

เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

 การใช้และการจัดการคุกกี้

เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


การกำหนดลักษณะความยินยอม

คุกกี้ที่จำเป็น

คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

คุกกี้วิเคราะห์

เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง