• X
  • ค้นหา
  • TH EN
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
  1. หน้าแรก
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
ประธานเฟดแอตแลนตาหนุนเฟดหั่นดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวปีนี้ นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ระบุว่า เขาสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากเฟดต้องรักษาสมดุลระหว่างแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อเงินเฟ้อ และความวิตกเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ในการประชุมเดือนมี.ค. เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปีนี้ อย่างไรก็ดี นายบอสติกกล่าวว่า การเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีอัตราสูงกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีนี้ "สำหรับผมแล้ว ผมคาดว่าจะต้องใช้เวลานาน กว่าที่เรื่องนี้จะคลี่คลาย โดยผมคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ เพราะผมคิดว่ามันจะต้องใช้เวลา และหลังจากนั้นเราก็คงต้องดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป"  "ผมกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเงินเฟ้อ เพราะเรากำลังเห็นคาดการณ์เงินเฟ้อปรับตัวไปยังทิศทางที่น่ากังวล ซึ่งจะทำให้การทำงานของเรายากขึ้น" นายบอสติกกล่าวต่อสำนักข่าว CNBC (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" ขู่เก็บภาษีในอัตราที่ประกาศเมื่อ 2 เม.ย.ต่อประเทศที่ไม่เจรจากับสหรัฐอย่างสุจริตใจ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่เขาประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ต่อประเทศคู่ค้าที่ไม่เจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐอย่าง "สุจริตใจ" อย่างไรก็ดี นายเบสเซนต์ไม่ได้ให้รายละเอียดของการเจรจาอย่าง "สุจริตใจ" และไม่ได้เปิดเผยกำหนดเวลาที่สหรัฐจะประกาศใช้อัตราภาษีตามที่ปธน.ทรัมป์ได้กำหนดไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. นายเบสเซนต์กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐพุ่งเป้าไปที่ประเทศคู่ค้า 18 ชาติที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าสำคัญที่สุดต่อสหรัฐ และระยะเวลาของข้อตกลงต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับว่าประเทศเหล่านี้เจรจาอย่างสุจริตใจหรือไม่ โดยจะมีหนังสือส่งไปยังประเทศที่ไม่ได้ดำเนินการเช่นนั้น "หากพวกเขาไม่ได้เจรจาอย่างสุจริตใจ พวกเขาก็จะได้รับหนังสือที่ระบุว่า 'นี่คืออัตราภาษีของคุณ' ดังนั้นผมคาดว่าทุกประเทศจะมาเจรจาด้วยความสุจริตใจ" นายเบสเซนต์กล่าววานนี้ในรายการ Meet the Press ของสำนักข่าว NBC News และเสริมว่า ประเทศที่ได้รับการแจ้งเตือนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตามที่มีการกำหนดไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ เล็งใช้ภาษีรายภูมิภาคกับหลายประเทศ ขณะใกล้ครบเส้นตาย 90 วัน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) ว่า สหรัฐฯ ตั้งเป้าบรรลุข้อตกลงกับประเทศคู่ค้าสำคัญ ขณะเดียวกันก็กำลังพิจารณาจะเปลี่ยนไปใช้อัตราภาษีนำเข้าแบบรายภูมิภาคสำหรับอีกหลายประเทศ ในขณะที่กำหนดเวลาเจรจาการค้า 90 วันกำลังงวดเข้ามาทุกขณะ รมว.คลังสหรัฐฯ กล่าวกับซีเอ็นเอ็นว่า รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังตั้งเป้าที่จะทำข้อตกลงกับประเทศคู่ค้าสำคัญบางประเทศสำหรับการเก็บภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่ประกาศใช้ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่คาดว่าจะมีการทำข้อตกลงระดับภูมิภาคจำนวนมาก เช่น "นี่เป็นอัตราภาษีสำหรับอเมริกากลาง และนี่เป็นอัตราสำหรับภูมิภาคนี้ของแอฟริกา แต่สิ่งที่เรากำลังมุ่งเน้นตอนนี้คือ ความสัมพันธ์ทางการค้ากับ 18 ประเทศที่สำคัญ" สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากทรัมป์เผยเมื่อวันศุกร์ (16 พ.ค.) ว่า รัฐบาลเตรียมส่งหนังสือถึงหลายประเทศภายใน 2–3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อแจ้งอัตราภาษีที่แต่ละประเทศต้องชำระหากต้องการทำการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายภาษีแบบตอบโต้ ทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% กับแทบทุกประเทศทั่วโลก และเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตราที่สูงขึ้นกับประเทศคู่ค้าสำคัญประมาณ 60 ประเทศที่มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ระงับการบังคับใช้ภาษีเฉพาะประเทศไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันจนถึงต้นเดือนก.ค. เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมมากนัก ทรัมป์กล่าวว่า มีประเทศต่าง ๆ กว่า 150 ประเทศแสดงความประสงค์เจรจากับสหรัฐฯ แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด เช่นว่าประเทศใดบ้างที่จะได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าว ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า ประเทศที่น่าจะอยู่ในกลุ่มคู่ค้าสำคัญ 18 ประเทศนั้น ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ซึ่งจัดการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว ตั้งแต่ทรัมป์ประกาศพักการจัดเก็บภาษีเมื่อวันที่ 9 เม.ย. (อินโฟเควสท์)
"เบสเซนต์" เมินมูดี้ส์หั่นเครดิตสหรัฐฯ เหน็บเป็นแค่ดัชนีบ่งชี้ที่ล้าหลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ไม่ได้แสดงความกังวลต่อการที่มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody's Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมูดี้ส์ระบุถึงสาเหตุที่มาจากหนี้สินสาธารณะและการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล เบสเซนต์กล่าวกับผู้ดำเนินรายการ "Meet the Press" ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีในวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) ว่า "มูดี้ส์เป็นดัชนีชี้วัดที่ล้าหลัง นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิดเกี่ยวกับบรรดาสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ" "สถานการณ์นี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง 100 วันที่ผ่านมา แต่เป็นผลพวงมาจากรัฐบาลไบเดนและการใช้จ่ายตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเราได้รับช่วงมา เรามุ่งมั่นที่จะลดการใช้จ่ายลงและผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต" เบสเซนต์กล่าวกับผู้ดำเนินรายการ ในการให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซีครั้งนี้ เบสเซนต์ไม่ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากมาตรการภาษีศุลกากรที่มีต่อบริษัทต่าง ๆ รวมถึงวอลมาร์ท อิงค์ (Walmart Inc) โดยเขากล่าวว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มุ่งมั่นที่จะลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เบสเซนกล่าวว่าเขาได้พูดคุยกับ ดัก แมคมิลลอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของวอลมาร์ทเมื่อวันเสาร์ (17 พ.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีที่วอลมาร์ทส่งสัญญาณเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทางบริษัทจะปรับขึ้นราคาเนื่องจากผลกระทบของภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น นอกจากนี้ เบสเซนต์กล่าวว่า "ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ไม่ได้ระบุว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ พวกเขากำลังบอกว่าพวกเขาไม่แน่ใจและกำลังอยู่ในท่าทีของการรอดูสถานการณ์" (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 137.33 จุด นลท.ซึมซับข่าวมูดี้ส์หั่นเครดิตสหรัฐฯ ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (19 พ.ค.) โดยดัชนีฟื้นตัวหลังจากนักลงทุนซึมซับข่าวมูดี้ส์ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,792.07 จุด เพิ่มขึ้น 137.33 จุด หรือ +0.32%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,963.60 จุด เพิ่มขึ้น 5.22 จุด หรือ +0.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,215.46 จุด เพิ่มขึ้น 4.36 จุด หรือ +0.02% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 20 เซนต์ รับคาดการณ์เจรจานิวเคลียร์อิหร่านสะดุด สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (19 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสัญญาณที่บ่งชี้ว่าการเจรจาด้านนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านอาจสะดุดลง ซึ่งช่วยบดบังปัจจัยลบจากข่าวมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.32% ปิดที่ 62.69 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 13 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 65.54 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า หลังมูดี้ส์ลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (19 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากข่าวมูดี้ส์ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.66% แตะที่ระดับ 100.426 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 144.97 เยน จากระดับ 145.90 เยนในวันศุกร์ (16 พ.ค.) ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8348 ฟรังก์ จากระดับ 0.8390 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3959 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3985 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1235 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1152 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3356 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3278 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $46.20 รับดอลล์อ่อน-แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ (19 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากมูดี้ส์ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ  ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 46.20 ดอลลาร์ หรือ 1.45% ปิดที่ 3,233.50 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ 30 ปีพุ่งทะลุ 5% นักลงทุนเทขายพันธบัตรสหรัฐ หลังมูดี้ส์หั่นเรทติ้ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีพุ่งทะลุระดับ 5% ในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนพากันเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังจากมูดี้ส์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐ ณ เวลา 18.55 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.548% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 5.018% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดทรงตัว ผลประกอบการแกร่งช่วยพยุงตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัวในวันจันทร์ (19 พ.ค.) หลังจากปิดบวกต่อเนื่อง 5 สัปดาห์ ขณะที่แรงกดดันจากการลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ได้ถูกชดเชยด้วยการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 549.98 จุด เพิ่มขึ้น 0.72 จุด หรือ +0.13% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,883.63 จุด ลดลง 3.06 จุด หรือ -0.04%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,934.98 จุด เพิ่มขึ้น 167.55 จุด หรือ +0.70% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,699.31 จุด เพิ่มขึ้น 14.75 จุด หรือ +0.17% (อินโฟเควสท์)      
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 14.75 จุด ขานรับข้อตกลงอังกฤษ-อียู ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ในวันจันทร์ (19 พ.ค.) หลังจากสหราชอาณาจักรบรรลุข้อตกลงสำคัญกับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งถือเป็นการปรับความสัมพันธ์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ถอนตัวออกจากอียู (Brexit) ขณะเดียวกันการที่มูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้น ส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วโลก ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,699.31 จุด เพิ่มขึ้น 14.75 จุด หรือ +0.17% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
BOJ พร้อมขึ้นดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวจากผลกระทบภาษีนำเข้า ชินอิจิ อุจิดะ รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า BOJ จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวจากผลกระทบภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นของสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกันก็เตือนด้วยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงมาก ดังนั้นการจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อุจิดะกล่าวต่อรัฐสภาญี่ปุ่นว่า หากเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อน่าจะอยู่ใกล้เป้าหมาย 2% ที่ BOJ ตั้งเป้าไว้ โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น ราคาสินค้าในญี่ปุ่นปรับตัวขึ้น เนื่องจากต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น และราคาอาหารแพงขึ้น โดยเฉพาะข้าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการครองชีพของประชาชน รองผู้ว่าการแบงก์ชาติญี่ปุ่นกล่าวว่า "หากเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ เราจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไป" อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของแต่ละประเทศนั้นสูงมาก ดังนั้น BOJ จะตัดสินใจโดยพิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงว่า เศรษฐกิจและราคาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของธนาคารหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว ญี่ปุ่นยุตินโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดำเนินมานานนับสิบปี และในเดือนม.ค. BOJ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.5% และส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก หากเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวและทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายของธนาคารกลางที่ 2% (อินโฟเควสท์)
นายกฯ ญี่ปุ่นย้ำจุดยืน ไม่ลดภาษีด้วยการก่อหนี้เพิ่ม นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น แถลงในวันนี้ (19 พ.ค.) ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ใช้วิธีลดภาษีโดยอาศัยการออกพันธบัตรเพื่อก่อหนี้เพิ่มเติม นับเป็นการสวนกระแสแรงกดดันทางการเมืองที่ต้องการให้ผ่อนคลายนโยบายการคลัง ก่อนการเลือกตั้งวุฒิสภาในเดือนก.ค. นายกฯ อิชิบะกล่าวต่อรัฐสภาว่า "ขณะนี้ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มปรับตัวเป็นบวก และสถานะทางการคลังของประเทศก็ไม่สู้ดีนัก" พร้อมเตือนว่าต้นทุนในการแบกรับภาระหนี้สินมหาศาลของประเทศกำลังสูงขึ้น ท่ามกลางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (BOJ) "แม้รายได้จากภาษีจะเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมก็สูงขึ้นตามไปด้วย" นายกฯ อิชิบะกล่าวเสริม จากสถานการณ์เงินเฟ้อราคาอาหารที่ยังคงสูงจนกระทบการบริโภค และมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่สร้างความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ทำให้นายกฯ อิชิบะเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากทั้งสส.พรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน ให้เพิ่มการใช้จ่ายและลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของญี่ปุ่นจากระดับปัจจุบันที่ 10% คัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น กล่าวว่า แม้ปัจจุบันญี่ปุ่นจะยังไม่ประสบปัญหาในการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตร แต่ก็จำเป็นต้องพยายามรักษาความเชื่อมั่นของตลาดที่มีต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ "หากตลาดขาดความเชื่อมั่นในสถานะการคลังของเรา อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าเงินเยนอ่อนตัวลง และเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจ" คาโตะกล่าวในการประชุมรัฐสภา ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) ระยะยาวพิเศษปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเม.ย. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุอื่น ๆ ยังคงทรงตัว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดคาดการณ์ว่าสถานะทางการคลังของญี่ปุ่นมีแนวโน้มแย่ลง (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นวิตก คาดอีก 15 ปีขาดแคลนแรงงานด้าน AI หลายล้านคน กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น คาดการณ์ในวันนี้ (19 พ.ค.) ว่า ภายในปี 2583 ญี่ปุ่นจะขาดแคลนแรงงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ มากถึง 3.26 ล้านคน โดยคาดว่าญี่ปุ่นจะต้องการแรงงานสาขานี้ 4.98 ล้านคน แต่ด้วยอัตราการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในปัจจุบัน จะสามารถสร้างแรงงานได้เพียง 1.72 ล้านคน ขณะเดียวกัน คาดว่าภาคการผลิตจะขาดแคลนแรงงานในกระบวนการผลิต 2.81 ล้านคน เนื่องจากคาดว่าความต้องการแรงงานในสาขานี้จะสูงถึง 8.65 ล้านคน แต่คาดว่าจะพัฒนาแรงงานได้เพียง 5.84 ล้านคน ในทางกลับกัน คาดว่าจะมีแรงงานล้นตลาดในภาคส่วนอื่น ๆ โดยคาดว่าจะมีแรงงานเกินความต้องการ 2.14 ล้านคนในงานธุรการ, 510,000 คนในงานขาย และ 100,000 คนในงานบริการ นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ ยังได้วิเคราะห์ความต้องการแรงงานตามระดับการศึกษา โดยคาดว่าภายในปี 2583 ญี่ปุ่นจะขาดแคลนบัณฑิตปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ราว 600,000 คน ในทางกลับกัน บัณฑิตปริญญาตรีสาขาศิลปศาสตร์จะมีมากเกินความต้องการ 280,000 คน รวมถึงบัณฑิตปริญญาโทและปริญญาเอกสาขาศิลปศาสตร์อีก 70,000 คน (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นระงับการนำเข้าสัตว์ปีกบางส่วนจากบราซิล หลังไข้หวัดนกระบาด กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น เปิดเผยในวันนี้ (19 พ.ค.) ว่า ญี่ปุ่นได้ระงับการนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกจากเมืองมอนเตเนโกรทางตอนใต้ของบราซิล รวมถึงระงับการนำเข้าสัตว์ปีกมีชีวิตจากทั่วทั้งรัฐรีโอกรันดีโดซูล หลังพบการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก พร้อมยืนยันจะจับตาดูผลกระทบที่มีต่อการกระจายสินค้าและสภาพตลาดในประเทศ คำสั่งระงับการนำเข้ามีผลบังคับใช้เมื่อวันศุกร์ (16 พ.ค.) หลังจากที่บราซิลซึ่งเป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ที่สุดในโลก ยืนยันว่าพบการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกเป็นครั้งแรกที่ฟาร์มสัตว์ปีกแห่งหนึ่ง ส่งผลให้จีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ออกมาตรการห้ามนำเข้าสัตว์ปีกจากทั่วประเทศบราซิล ขณะที่ประเทศผู้บริโภครายใหญ่อื่น ๆ ประกาศระงับการนำเข้าจากบางรัฐ ญี่ปุ่นพึ่งพาการนำเข้าไก่จากบราซิลอย่างมาก โดยในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 2568 ญี่ปุ่นนำเข้าเนื้อไก่จากบราซิลราว 429,000 เมตริกตัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของการนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกทั้งหมด ไม่รวมผลิตภัณฑ์แปรรูป ทั้งนี้ อัตราการพึ่งพาตนเองของญี่ปุ่นในการผลิตเนื้อสัตว์ปีก รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูป อยู่ที่ประมาณ 65% ด้วยเหตุนี้ การแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในบราซิลจึงอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเนื้อสัตว์ในญี่ปุ่น ท่ามกลางราคาอาหารที่พุ่งสูงอยู่ก่อนแล้ว (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นจ่อเริ่มใช้เบนซินผสมเชื้อเพลิงชีวภาพในปีงบฯ 71 หวังลดคาร์บอน สำนักข่าวเกียวโดรายงานวันนี้ (19 พ.ค.) โดยอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นวางแผนที่จะเริ่มจำหน่ายน้ำมันเบนซินผสมเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับรถยนต์ในบางภูมิภาค ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2571 เป็นต้นไป เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการขนส่ง แหล่งข่าวระบุว่า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) เตรียมประเมินความปลอดภัยและประเด็นด้านโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพก่อนจะนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบตามเป้าหมายในปีงบประมาณ 2573 กระทรวงจะตัดสินใจเลือกพื้นที่เป้าหมายราวฤดูใบไม้ร่วงนี้ หลังพิจารณาจากที่ตั้งของปั๊มน้ำมันและโรงกลั่นต่าง ๆ เมื่อเดือนพ.ย.ปีก่อน กระทรวงได้ตั้งเป้าการใช้น้ำมันเบนซินผสมเชื้อเพลิงชีวภาพในสัดส่วนสูงสุด 10% ภายในปีงบฯ 2573 และเพิ่มเป็นสูงสุด 20% ภายในปีงบฯ 2583 หรือหลังจากนั้น เพื่อลดการปล่อย CO2 จากภาคการขนส่ง ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดในประเทศ กระทรวงฯ ยังได้ขอให้ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ พัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ให้รองรับน้ำมันเบนซินผสมเชื้อเพลิงชีวภาพได้ถึง 20% ภายในช่วงต้นทศวรรษ 2030 หรือราวปีพ.ศ. 2573-75 ทั้งนี้ เชื้อเพลิงชีวภาพผลิตจากพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ข้าวโพด ซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปัจจุบัน รถยนต์ส่วนใหญ่สามารถใช้เชื้อเพลิงชีวภาพที่ความเข้มข้นต่ำราว 3% ได้ แต่การเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% นั้น จำเป็นต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของเชื้อเพลิงและผลกระทบต่อการปล่อยคาร์บอนอย่างละเอียดอีกครั้ง (อินโฟเควสท์)
นายกฯ ญี่ปุ่นออกโรงขอโทษแทนรมว.เกษตร ปมถ้อยแถลงเรื่องข้าว นายกรัฐมนตรีอิชิบะ ชิเงรุ ของญี่ปุ่นออกมาแสดงความขอโทษในวันนี้ (19 พ.ค.) ต่อถ้อยแถลงเจ้าปัญหาของทาคุ เอโตะ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่นในประเด็นเกี่ยวกับข้าว โดยระบุว่าเขาเองก็มีส่วนผิดที่แต่งตั้งเอโตะเข้ารับตำแหน่งนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เอโตะกล่าวในงานระดมทุนของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่จังหวัดซากะเมื่อวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) ว่า "ผมไม่ต้องซื้อข้าว ต้องขอบคุณผู้สนับสนุนที่นำข้าวมาให้ผมมากมายขนาดนี้ ผมมีข้าวอยู่เต็มบ้านจนแทบต้องเอามาขายเลย" ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก และทำให้หลายคนกล่าวหาว่า เขาไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองท่ามกลางราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่บางส่วนบอกให้เขาคิดก่อนพูด นอกจากนี้ ถ้อยแถลงดังกล่าวของเอโตะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังถูกโจมตีหลังไม่สามารถดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพตลาดข้าวได้ โดยราคาข้าวโดยเฉลี่ยแพงขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
คะแนนนิยมรัฐบาลญี่ปุ่นทุบสถิติต่ำสุด 27.4% ปชช.มองล้มเหลวแก้ปัญหาราคาข้าว-ไม่ลดภาษีบริโภค ผลสำรวจความคิดเห็นชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศเผยให้เห็นว่า คะแนนนิยมล่าสุดของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 27.4% ลดลง 5.2% จากเดือนที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจากความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชนกรณีที่อิชิบะยังคงเพิกเฉยต่อการลดภาษีการบริโภคเพื่อบรรเทาปัญหาค่าครองชีพท่ามกลางราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น คะแนนนิยมของคณะรัฐมนตรีอิชิบะร่วงลงต่ำกว่า 30% ซึ่งถือเป็นเขตอันตรายที่รัฐบาลอาจต้องล่มสลายก่อนครบวาระ เนื่องจากประชาชนมองว่ารัฐบาลล้มเหลวในการหาทางแก้ปัญหาราคาข้าวอย่างได้ผลขณะเดียวกัน คะแนนไม่เห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีของอิชิบะ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนต.ค. 2567 เพิ่มขึ้น 1.3% เป็น 55.1% ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 73.2% ระบุว่าจำเป็นต้องลดภาษีการบริโภค "เฉพาะรายการอาหาร" หรือ "ทุกผลิตภัณฑ์" ท่ามกลางวิกฤตค่าครองชีพที่พุ่งสูง ผลสำรวจซึ่งสำนักข่าวเกียวโดจัดทำเป็นเวลาสองวันจนถึงวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) แสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 87.1% เห็นว่าความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้นนั้นยังไม่เพียงพอ ในส่วนของการเจรจาภาษีศุลกากรระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 74.3% กล่าวว่าพวกเขาไม่คาดหวังผลลัพธ์ที่ดีจากการเจรจาดังกล่าว  สำหรับการเลือกตั้งสภาสูงหรือวุฒิสภาที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 20.2% ระบุว่า พวกเขาจะลงคะแนนให้พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ในขณะที่ 14.2% จะเลือกพรรคประชาธิปไตยแห่งรัฐธรรมนูญ (CDP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักของญี่ปุ่น (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นเตรียมใช้ระบบคัดกรองนทท.จากประเทศฟรีวีซ่า ประวัติไม่ผ่านอาจไม่ให้ขึ้นเครื่อง กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลจะเริ่มบังคับใช้ระบบคัดกรองล่วงหน้าสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศในปีงบประมาณ 2571 เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต กระทรวงฯ แถลงเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ด้วยการนำระบบคัดกรองที่มีต้นแบบมาจากระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออนุมัติการเดินทาง (ESTA) ของสหรัฐฯ มาใช้ โดยผู้เดินทางจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าสำหรับการพำนักระยะสั้นในญี่ปุ่นจะต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคลและแผนการเดินทาง เช่น ชื่อ วัตถุประสงค์การพำนัก และสถานที่พำนัก ล่วงหน้าหลายวันก่อนเดินทาง สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่นจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลของนักท่องเที่ยวล่วงหน้า และหากพบประวัติอาชญากรรมหรือการพำนักอย่างผิดกฎหมายในอดีต ทางหน่วยงานอาจไม่อนุญาตให้ผู้นั้นขึ้นเครื่องบินเข้าญี่ปุ่น ปัจจุบัน ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ประชาชนจาก 71 ประเทศและภูมิภาค รวมถึงสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ได้รับการยกเว้นวีซ่าสำหรับการพำนักระยะสั้น ในปี 2567 ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่นสูงแตะ 36.87 ล้านคน เพิ่มขึ้น 47.1% เมื่อเทียบรายปี และเนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงตั้งเป้าเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ถึง 60 ล้านคนภายในปี 2573 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 255.09 จุด หลังสหรัฐฯ ถูกหั่นเครดิต ดันเยนแข็ง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (19 พ.ค.) หลังจากมูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody's Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าอาจเกิดการเทขายสินทรัพย์ในสหรัฐฯ และส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 37,498.63 จุด ลดลง 255.09 จุด หรือ -0.68% (อินโฟเควสท์)
จีน
ราคาบ้านจีนทรงตัวในเดือนเม.ย. แม้รัฐบาลกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (19 พ.ค.) ว่า ราคาบ้านใหม่ของจีนทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สองในเดือนเม.ย. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน แม้ว่ารัฐบาลจีนพยายามใช้มาตรการรักษาเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ข้อมูลจาก NBS แสดงให้เห็นว่า ราคาบ้านใหม่ของจีนยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการขยายตัวนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566 เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่เมื่อเทียบรายปี ราคาบ้านใหม่ของจีนในเดือนเม.ย.ลดลง 4% ซึ่งดีกว่าในเดือนมี.ค.ที่ลดลง 4.5% ทางการจีนได้ให้คำมั่นหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาว่า จะรักษาเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เผชิญปัญหาหนี้สินจำนวนมาก ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็พยายามหาลู่ทางในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งนี้ ความเสี่ยงของสงครามการค้าส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยของจีนย่ำแย่ลงและเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยแม้ว่าจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วัน แต่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักเตือนว่าการที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการทำข้อตกลงการค้าในระยะยาวอาจจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
จีนเผยยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.โตต่ำกว่าคาด, การผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัว สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (19 พ.ค.) ว่า ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 5.1% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.5% และน้อยกว่าเดือนมี.ค. ที่ขยายตัว 5.9% ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการอุปโภคบริโภคของจีนยังคงอ่อนแอ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. ปรับตัวขึ้น 6.1% เมื่อเทียบรายปี แม้ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5.5% แต่การขยายตัวดังกล่าวชะลอตัวลงจากที่พุ่งขึ้นถึง 7.7% ในเดือนมี.ค. ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรซึ่งรวมถึงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 4% ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.2% โดยการลงทุนสินทรัพย์ถาวรในด้านอสังหาริมทรัพย์ทรุดตัวลงถึง 10.3% ในเดือนเม.ย. นอกจากนี้ รายงาน NBS ระบุว่า อัตราว่างงานในเขตเมืองปรับตัวลงสู่ระดับ 5.1% ในเดือนเม.ย. จากระดับ 5.2% ส่วนราคาบ้านใหม่ของจีนทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สองในเดือนเม.ย. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน แม้ว่ารัฐบาลจีนพยายามใช้มาตรการรักษาเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้มีขึ้นในขณะที่สถานการณ์การค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียด โดยแม้ว่าจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วัน แต่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักเตือนว่าการที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการทำข้อตกลงการค้าในระยะยาวอาจจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
จีนประกาศลดราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล มีผลพรุ่งนี้ คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ประกาศในวันนี้ว่า จีนจะปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ ตามการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทั้งนี้ จีนจะปรับลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล 230 หยวน/ตัน และ 220 หยวน/ตันตามลำดับ ภายใต้กลไกปัจจุบัน จีนจะปรับราคาน้ำมันในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก (อินโฟเควสท์)
"สี จิ้นผิง" ย้ำ จัดทำแผนพัฒนาฯ 5 ปี ฉบับที่ 15 ต้องมีคุณภาพสูง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตัดสินใจที่รอบด้าน เป็นประชาธิปไตย และตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย เพื่อสร้างความมั่นใจว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับต่อไปของจีน จะถูกจัดทำขึ้นอย่างมีคุณภาพ สำนักข่าวซินหัวรายงานในวันนี้ (19 พ.ค.) ว่า ปธน.สี จิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง มีถ้อยแถลงดังกล่าวระหว่างการให้แนวทางเพื่อดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาฯ 5 ปี ฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2569-2573) ผู้นำจีนชี้ว่า การวางแผนพัฒนาฯ 5 ปี อย่างเป็นระบบและมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขากล่าวเสริมว่า การจัดทำและนำแผนพัฒนาฯ 5 ปี ฉบับที่ 15 ไปปฏิบัติ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลักดันยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ให้บรรลุผลสำเร็จ รวมถึงการขับเคลื่อนประเทศจีนสู่ความทันสมัย นอกจากนี้ ผู้นำจีนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการผสมผสานการวางนโยบายจากส่วนกลางกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน การส่งเสริมการศึกษาวิจัยและการหารือ ตลอดจนการสร้างฉันทามติในวงกว้าง ทั้งนี้ จีนจะเริ่มดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ปัจจุบัน คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังอยู่ระหว่างการยกร่างข้อเสนอสำหรับแผนฉบับนี้ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็กำลังเตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากเจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ รวมถึงประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางต่าง ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ (อินโฟเควสท์)
จีนกำชับจนท.รัฐลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ย้ำแผนรัดเข็มขัดของ "สี จิ้นผิง" รัฐบาลจีนกำชับเจ้าหน้าที่รัฐทั่วประเทศให้ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ค่าเดินทาง อาหาร พื้นที่สำนักงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงรับรอง ค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ นับเป็นการตอกย้ำมาตรการรัดเข็มขัดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขณะที่จีนกำลังเผชิญอปสรรคทางเศรษฐกิจซึ่งสร้างแรงกดดันต่องบประมาณของภาครัฐ สำนักข่าวซินหัวรายงานในวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) ว่า รัฐบาลได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐทำงานอย่างขยันขันแข็งและประหยัดมัธยัสถ์ ต่อต้านความฟุ่มเฟือยและการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง พร้อมเสริมว่า "ความฟุ่มเฟือยเป็นสิ่งที่น่าละอาย ความประหยัดเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ" ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนมีรายได้จากการขายที่ดินลดลง ส่งผลให้งบประมาณมีน้อยลงและหน่วยงานท้องถิ่นต้องแบกรับหนี้สินมหาศาล ในช่วงปลายปี 2566 รัฐบาลกลางจีนได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่รัฐว่าให้ทำตัวคุ้นเคยกับการรัดเข็มขัด ขณะที่ปธน.สี จิ้นผิง เดินหน้าปราบปรามการทุจริตและการโอ้อวดความร่ำรวย เมื่อปีที่แล้ว ทางการจีนได้เริ่มดำเนินการครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีเพื่อจัดการกับความเสี่ยงจากหนี้ของหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ และเปิดโอกาสให้หน่วยงานท้องถิ่นได้มีส่วนสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
บริษัทจีนเล็งนำหุ้นจดทะเบียนในตลาดสิงคโปร์ กังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ บริษัทอย่างน้อย 5 แห่งจากจีนแผ่นดินใหญ่หรือฮ่องกงวางแผนที่จะเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทจีนกำลังมองหาลู่ทางที่จะขยายตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงเวลาที่สถานการณ์การค้าทั่วโลกยังคงตึงเครียด โดยเฉพาะข้อพิพาทการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ สำนักข่าวรอยเตอร์เป็นสื่อแรกที่รายงานข่าวดังกล่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าว และจากนั้นสื่อหลายแห่งก็มีการรายงาน ซึ่งรวมถึงสำนักข่าวซีเอ็นบีซี และสเตรทส์ ไทม์ส โดยแหล่งข่าวระบุว่า บริษัทเหล่านี้รวมถึงบริษัทพลังงานของจีน 1 แห่ง, บริษัทเฮลธ์แคร์ของจีน 1 แห่ง และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ 1 แห่งซึ่งมีฐานธุรกิจในเซี่ยงไฮ้ นักวิเคราะห์จากซีจีเอส อินเตอร์เนชันแนล ซิเคียวริตีส์ (CGS International Securities) กล่าวว่า บริษัทจีนกำลังมองหาโอกาสในการระดมทุนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ขณะเดียวกันก็ต้องการขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มองว่าสิงคโปร์เป็นช่องทางที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้าหรือกิจกรรมทางธุรกิจจากจีนสู่โลกภายนอก และการจดทะเบียนในสิงคโปร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งนั้น การนำหุ้นเข้าจดทะเบียนจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตลาดหุ้นสิงคโปร์ซึ่งเผชิญกับความยากลำบากในการดึงดูดการจดทะเบียนขนาดใหญ่และเพิ่มปริมาณการซื้อขาย แม้สิงคโปร์จะเป็นตลาดหุ้นที่ได้รับความนิยมสำหรับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน เช่น ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ระบุว่า ในปี 2567 มีการทำ IPO ในตลาดหุ้นสิงคโปร์เพียง 4 ครั้งเท่านั้น เทียบกับคู่แข่งอย่างตลาดหุ้นฮ่องกงที่มีบริษัทนำหุ้นเข้าจดทะเบียนใหม่มากถึง 71 ราย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดทรงตัว นลท.ซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดทรงตัวในวันนี้ (19 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกันก็หันไปจับตาการประกาศอัตราดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี (LPR) ทั้งประเภท 1 ปี และ 5 ปีจากธนาคารกลางจีนในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,367.58 จุด เพิ่มขึ้น 0.12 จุด หรือ 0.00% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 12.33 จุด หลังมูดี้ส์หั่นเครดิตสหรัฐฯ, ข้อมูลศก.จีนอ่อนแอ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (19 พ.ค.) หลังจากที่มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody's Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่จีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการหารือระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำรัสเซีย เพื่อคลี่คลายสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 23,332.72 จุด ลดลง 12.33 จุด หรือ -0.05% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
เศรษฐกิจอิสราเอลฟื้นตัว 3.4% ใน Q1/68 อานิสงส์หยุดยิงในกาซา สำนักงานสถิติของอิสราเอลเปิดเผยในวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอิสราเอลขยายตัว 3.4% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวที่เร็วขึ้นจากระดับ 1.9% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับอานิสงส์การหยุดยิงชั่วคราวในฉนวนกาซาที่สิ้นสุดลงเมื่อกลางเดือนมี.ค. อัตราขยายตัวในไตรมาสล่าสุดใกล้เคียงกับตัวเลข GDP ประจำปี 2568 ซึ่งธนาคารกลางอิสราเอลคาดการณ์ไว้ที่ 3.5% สำนักงานฯ ระบุว่า GDP ต่อหัวในไตรมาส 1/2568 ดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 2.2% ซึ่งพลิกกลับจากการหดตัวในปี 2567 นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่พุ่งขึ้น 8.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 6.2% ส่วนการก่อสร้างขยายตัวขึ้นถึง 44.8% แต่สำนักงานสถิติระบุว่า การเพิ่มขึ้นดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 4/2564 รายงานระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวเปิดช่องให้ธนาคารกลางยังคงสามารถตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.จะพุ่งขึ้น 1.1% ก็ตาม ทั้งนี้ ธนาคารกลางอิสราเอลคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะเติบโต 3.5% ในปีนี้ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เศรษฐกิจจะต้องเติบโตในระดับเดียวกันนี้ในอีกสามไตรมาสข้างหน้า ซึ่งอาจเป็นเรื่องยาก หากการเจรจาหยุดยิงที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ไม่เป็นผล (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้-สหรัฐฯ เตรียมเจรจาการค้ารอบ 2 อังคารนี้ เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ (19 พ.ค.) ว่า คณะผู้แทนรัฐบาลมีกำหนดเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในวันพรุ่งนี้ เพื่อเข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบที่ 2 กับสหรัฐฯ ในวันเดียวกัน โดยทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันภายในต้นเดือนก.ค.  ทั้งนี้ คาดว่าการเจรจาอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน และจะครอบคลุมประเด็นสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ ความไม่สมดุลทางการค้า มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร เสถียรภาพเศรษฐกิจ การค้าดิจิทัล แหล่งกำเนิดสินค้า และประเด็นด้านการพาณิชย์ เจ้าหน้าที่ระบุว่า เกาหลีใต้กำลังจับตาท่าทีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีการยื่นข้อเสนอเฉพาะบางประการเกี่ยวกับภาษีและความร่วมมือทางเศรษฐกิจในการประชุมครั้งนี้ พร้อมเสริมว่า จำเป็นต้องทราบข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ก่อน เพื่อดำเนินการหารือภายในประเทศได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกัน รัฐบาลเกาหลีใต้ย้ำว่าจะดำเนินการเจรจาอย่างรอบคอบและไม่เร่งรีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 มิ.ย. นี้ รายงานระบุว่า เกาหลีใต้และสหรัฐฯ จัดการเจรจาการค้ารอบแรกที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะทำข้อตกลงทางการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหม่ของสหรัฐฯ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 ก.ค. ก่อนที่มาตรการภาษีตอบโต้ซึ่งถูกระงับไว้จะกลับมามีผลบังคับใช้ (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เสนอรัสเซีย-ยูเครนใช้วาติกันเป็นเวทีเจรจาสันติภาพ โดยมีโป๊ปเป็นคนกลาง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social ระบุว่า เขาได้เสร็จสิ้นการสนทนาทางโทรศัพท์เป็นเวลา 2 ชั่วโมงกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแล้ว ปธน.ทรัมป์ระบุว่า การเจรจากับปธน.ปูตินเกี่ยวกับการยุติสงครามในยูเครนเป็นไปด้วยดี แต่การเจรจายังไม่สามารถทำให้เกิดการหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์เปิดเผยว่า รัสเซียและยูเครนจะเริ่มจัดการเจรจาโดยตรงในทันทีเพื่อให้มีการหยุดยิง และนำไปสู่การยุติสงคราม ขณะที่ปธน.ทรัมป์เสนอให้ทั้งสองฝ่ายจัดการเจรจาที่นครรัฐวาติกัน โดยให้สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 เป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ย (อินโฟเควสท์)
รัสเซียระดมโดรนถล่มยูเครนครั้งใหญ่ที่สุด ก่อนหารือ "ปูติน-ทรัมป์" กองทัพอากาศยูเครนเปิดเผยว่า ในวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) รัสเซียได้ส่งโดรนโจมตียูเครนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เริ่มสงคราม เพียงวันเดียวก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะต่อสายถึงประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เพื่อหารือเรื่องข้อตกลงหยุดยิง รายงานระบุว่า ตลอดช่วงกลางคืนจนถึงเวลา 8.00 น. ของวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น รัสเซียได้ส่งโดรน 273 ลำเข้าโจมตีเมืองต่าง ๆ ของยูเครน นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองทหาร GUR ของยูเครนยังเชื่อว่า รัสเซียวางแผนยิงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) เพื่อข่มขวัญยูเครนและชาติตะวันตก อย่างไรก็ตาม รัสเซียไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว ขณะเดียวกัน ในวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ได้พบกับเจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในระหว่างที่เดินทางเยือนนครรัฐวาติกัน เพื่อเข้าร่วมพิธีมิสซาสมณภิเษกสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 โดยเซเลนสกีระบุว่าการหารือเป็นไปด้วยดี ด้านสื่อของยูเครนรายงานว่าการพูดคุยกินเวลานานถึง 40 นาที ทั้งนี้ คณะผู้แทนรัสเซียและยูเครนเสร็จสิ้นการเจรจาสันติภาพที่กรุงอิสตันบูลของตุรกีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 พ.ค.) ซึ่งเป็นการเจรจาโดยตรงของทั้งสองฝ่ายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2565 ผลลัพธ์ที่สำคัญของการเจรจาซึ่งกินเวลาราวสองชั่วโมงคือ ที่ประชุมสามารถบรรลุข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนนักโทษฝ่ายละ 1,000 คน โดยจะมีการกำหนดวันที่จะดำเนินการในเวลาต่อไป อย่างไรก็ตาม นอกจากการแลกเปลี่ยนนักโทษแล้ว รัสเซียและยูเครนยังคงไร้ความคืบหน้าในการลดความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย (อินโฟเควสท์)
อินเดียเผยจีนมีเอี่ยวขัดแย้งปากีสถาน หลังยื่นมือช่วยด้านระบบเรดาร์-ดาวเทียม ศูนย์วิจัยการสงครามร่วมของอินเดีย (Centre For Joint Warfare Studies) เปิดเผยว่า จีนได้ยื่นมือช่วยปากีสถานด้านเทคโนโลยีการป้องกันทางอากาศและข้อมูลดาวเทียมในระหว่างที่ปากีสถานปะทะกับอินเดียในช่วงต้นเดือนนี้ สะท้อนให้เห็นว่าจีนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงมากกว่าที่เคยเปิดเผยไว้ก่อนหน้านี้ อโศก กุมาร ผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยการสงครามฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงกลาโหมอินเดีย ระบุว่า จีนได้ช่วยปรับปรุงระบบเรดาร์และการป้องกันภัยทางอากาศให้ปากีสถาน ทำให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ของอินเดียได้แม่นยำขึ้น นอกจากนี้ จีนยังสนับสนุนการปรับระบบดาวเทียมเหนือน่านฟ้าอินเดียในช่วง 15 วันหลังเหตุสังหารหมู่เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ในดินแดนแคชเมียร์ส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอินเดีย ซึ่งส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 26 ราย ก่อนที่ความตึงเครียดจะปะทุเป็นการสู้รบเต็มรูปแบบ รายงานการวิจัยดังกล่าวระบุว่า แม้ว่ารัฐบาลอินเดียยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของจีนในความขัดแย้งอย่างเป็นทางการ ในขณะที่ฝังปากีสถานยอมรับว่าใช้อาวุธจากจีน แต่หากการประเมินของอโศก กุมาร ถูกต้อง แสดงว่าจีนได้ให้ความช่วยเหลือมากกว่านั้น ทั้งด้านการขนส่งและข้อมูลข่าวกรอง ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศปากีสถานระบุในแถลงการณ์ว่า อิชาค ดาร์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน มีกำหนดเดินทางเยือนจีนในวันนี้ (19 พ.ค.) เพื่อหารือเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียใต้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อสันติภาพ ทั้งนี้ สถานการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานทวีความรุนแรงจนกลายเป็นความขัดแย้งทางทหาร เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กันอย่างดุเดือดตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. โดยต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ยั่วยุ กระทั่งตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 10 พ.ค. แม้จะมีรายงานการละเมิดข้อตกลงในช่วงแรก แต่ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมอยู่ในความสงบ (อินโฟเควสท์)
"เนทันยาฮู" ลั่นอิสราเอลจะเข้าควบคุมดินแดนทั้งหมดในฉนวนกาซา นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวว่า อิสราเอลจะเข้าควบคุมฉนวนกาซาทั้งหมด ขณะที่กองทัพอิสราเอลทำการโจมตีอย่างหนักเพื่อกวาดล้างกลุ่มฮามาส "การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด และเรากำลังมีความคืบหน้า โดยเราจะเข้าควบคุมดินแดนทั้งหมดในฉนวนกาซา" นายเนทันยาฮูกล่าว ทั้งนี้ กองทัพอิสราเอลออกคำสั่งให้ชาวกาซาอพยพออกจากเมืองข่านยูนิส ก่อนที่จะทำการโจมตีครั้งใหญ่ ขณะที่การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลได้ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 22 รายในวันนี้ (อินโฟเควสท์)
ปธน.อิหร่านชี้การบรรลุข้อตกลงเป็นไปได้ หากสหรัฐฯ หยุดบีบบังคับ ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ผู้นำอิหร่าน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) ในระหว่างการประชุมกับเชค มุฮัมมัด บิน อับดุรเราะฮ์มาน บิน ญาสซิม อาล ษานี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกาตาร์ ที่กรุงเตหะรานว่า การบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ เป็นไปได้ หากสหรัฐฯ หยุดบีบบังคับอิหร่าน "การบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ เกิดขึ้นได้ แต่การจะทำให้สำเร็จนั้นต้องมีเงื่อนไขพื้นฐานที่ฝ่ายสหรัฐฯ จะต้องหยุดใช้วิธีการบีบบังคับ" ปธน.เปเซชเคียนกล่าว เมื่อพูดถึงประเด็นการหารือทางอ้อมระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ที่ดำเนินอยู่ แถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสำนักงานประธานาธิบดีอิหร่านระบุว่า นายกฯ และรมว.ต่างประเทศกาตาร์แสดงการสนับสนุนอิหร่านและสิทธิของอิหร่าน โดยกล่าวว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าการรับมือกับอิหร่านด้วยการกดดันและการบังคับนั้นใช้ไม่ได้ผล ส่วนในการประชุมกับ บาดร์ บิน ฮามัด อัล บูไซดี รัฐมนตรีต่างประเทศโอมาน ที่กรุงเตหะรานในวันเดียวกันนั้น ปธน.เปเซชเคียนชื่นชมบทบาทของโอมานในการเป็นเจ้าภาพจัดการเจรจาทางอ้อมระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ว่า "มุ่งมั่นและสร้างสรรค์" นอกจากนี้ ปธน.เปเซชเคียนแสดงความหวังว่า การเจรจาดังกล่าวจะนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นธรรม ซึ่งจะรับประกันเสถียรภาพที่ยั่งยืนในเอเชียตะวันตก ทั้งนี้ โอมานรับบทบาทเป็นคนกลางในการเจรจาทางอ้อมระหว่างคณะผู้แทนของอิหร่านและสหรัฐฯ เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์อิหร่านและการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยจัดการหารือไปแล้วสี่รอบตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยสามรอบจัดขึ้นที่กรุงมัสกัตของโอมาน และอีกรอบจัดขึ้นที่กรุงโรมของอิตาลี (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 200 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นโลก ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 200 จุด โดยปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากมูดี้ส์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐ  ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,059.42 ลบ 271.17 จุด หรือ 0.33% (อินโฟเควสท์)
ไทย
สภาพัฒน์ เผย GDP Q1/68 โต 3.1% จากเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษี "ทรัมป์" สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ระบุว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาส 1/68 ขยายตัว 3.1% จากตลาดคาดโต 2.9-3.1% ปัจจัยหลักมาจากการผลิตภาคนอกเกษตรชะลอลง ขณะที่การผลิตภาคเกษตรเร่งขึ้น ด้านการใช้จ่าย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล การนำเข้าสินค้าและบริการ และการสะสมทุนถาวรเบื้องต้นชะลอลง ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวเร่งขึ้น นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒน์ ระบุว่า การที่เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/68 ยังเติบโตได้ดีในระดับ 3.1% นั้น เป็นผลจากการที่ประเทศคู่ค้าต่างเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่จะมีการปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ จึงทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ดี และมีผลช่วยให้ GDP ไตรมาสแรกปีนี้เติบโตสูง คาด GDP Q2/68 ชะลอตัว เตือนภาคธุรกิจ-ประชาชน รับมือเศรษฐกิจผันผวนรุนแรง แต่ทั้งนี้ ในช่วงถัดไปคือไตรมาส 2 ของปีนี้ เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวลงได้ อันเนื่องจากความผันผวนที่เพิ่มมากขึ้นทั้งเศรษฐกิจโลก และการค้าโลก พร้อมเชื่อว่าจะเห็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ดังนั้นจึงขอเตือนให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ รวมทั้งประชาชน เตรียมตัวรองรับผลกระทบจากความผันผวนที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถผ่านสถานการณ์ในช่วงนี้ไปได้ (อินโฟเควสท์)
สภาพัฒน์ หั่น GDP ปี 68 เหลือโต 1.3-2.3% หวัง "ลงทุนภาครัฐ-บริโภค-ท่องเที่ยว" ขับเคลื่อนศก. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 เหลือโต 1.3-2.3% (ค่ากลางที่ 1.8%) จากรอบก่อนที่ประมาณการไว้เดิม 2.3-3.3% นั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อน ตามการชะลอลงของภาคการส่งออกสินค้า ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าสำคัญ รวมทั้งผลกระทบทางอ้อม ผ่านแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ขณะเดียวกัน การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้า และการแข่งขันทางด้านราคาที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น การชะลอตัวของการส่งออกและการผลิต ท่ามกลางความไม่แน่นอนของมาตรการทางการค้าและเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนมีความล่าช้าออกไป นอกจากนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจ ยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงความเสี่ยงจากแนวโน้มความผันผวนในภาคเกษตร ทั้งผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ โดยสมมติฐาน ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ มาจาก 1. เศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มขยายตัว 2.6% และปริมาณการค้าโลก 1.7% 2. ค่าเงินบาท เฉลี่ยอยู่ในช่วง 33.50 - 34.50 บาท/ดอลลาร์ 3. ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยในช่วง 65- 75 ดอลลาร์/บาร์เรล 4. ราคาสินค้าส่งออกในรูปดอลลาร์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.0 - 1.0% 5. รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ 1.71 ล้านล้านบาท ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อยู่ที่ 37 ล้านคน 6. อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68 คาดว่าจะอยู่ที่ 91.2% ขณะที่รายจ่ายลงทุน คาดว่าจะมีการเบิกจ่าย 70% ยันไม่ได้มองในแง่ร้าย หลังหั่น GDP ปีนี้เหลือโต 1.8% (อินโฟเควสท์)
ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3" หากชะลอไม่ผิดนโยบายแถลงต่อสภาฯ เหตุทำเฟส 1-2 ไปแล้ว นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 หากถูกยกเลิกจะมีปัญหาด้านกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปแล้วว่า ที่ผ่านมาในเฟส 1 และ 2 รัฐบาลก็ได้ทำมา แต่ขณะนี้สถานการณ์เป็นแบบนี้ ซึ่งจากที่ฟังดูไม่ได้หมายความว่า จะไม่ทำ แต่อาจจะต้องชะลอไว้ก่อน และใช้กลไกกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ส่วนหากไม่ทำตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา จะถือว่าผิดกฎหมาย หรือผิดต่อประชาชนหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเมื่อไม่ทำตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ก็อภิปรายกันไป แต่ครั้งนี้รัฐบาลก็ทำไปหลายโครงการแล้ว พร้อมย้ำว่า เท่าที่ฟังไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำ แต่อาจจะทบทวนหรือช้าออกไป ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงความชัดเจนในการใช้ระบบจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต จะดำเนินการได้ทันเฟส 3 หรือไม่ว่า ขอให้ไปถามกระทรวงการคลัง ซึ่งจะได้คำตอบที่ดีกว่า แต่ในส่วนระบบการจ่ายเงินพร้อมใช้ ไม่มีอะไร ทุกอย่างอยู่ที่กระทรวงการคลัง และไม่ได้พูดคุยกันว่าจะมีโอกาสยกเลิกโครงการดังกล่าวหรือไม่ (อินโฟเควสท์)
รัฐบาลยอมถอย!! ชะลอ "ดิจิทัลวอลเล็ต" โยกงบแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจก่อน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ที่มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 ชะลอไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะเหมาะสม โดยจะนำงบประมาณที่เหลือไปใช้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น โครงการน้ำเพื่อการบริโภค แผนงานกระทรวงคมนาคม รวมถึงการโปรโมทการท่องเที่ยวในเมืองรอง และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า SME (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดร่วง 8.71 จุด ไร้ปัจจัยขับเคลื่อน กังวลแนวโน้มกำไร บจ.ย่อตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจ SET ปิดวันนี้ที่ 1,187.06 จุด ลดลง 8.71 จุด(-0.73%) มูลค่าซื้อขาย 36,743.01 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ซึมตัวหลังจบสิ้นการประกาศงบ บจ.และ GDP ไตรมาส 1/68 อาจเป็นการเติบโตสูงสุดของปี สะท้อนช่วงที่เหลือจะอ่อนตัวลงทั้ง QoQ และ HoH ขณะที่ตลาดซึมซับปัจจัยบวกจากการเจรจาการค้าไปมากแล้ว และยังไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาขับเคลื่อน แนวโน้มวันพรุ่งนี้ตลาดอาจซึมลงต่อ โดยให้กรอบแนวต้าน 1,210 จุด และแนวรับ 1,160-1,175 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,187.06 จุด ลดลง 8.71 จุด(-0.73%) มูลค่าการซื้อขาย 36,743.01 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลง โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,184.86 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,195.79 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 212 หลักทรัพย์ ลดลง 292 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 159 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 82,210 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 82,210 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 16,379 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 2,527 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 3,645 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.67% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 3,648 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 3,645 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 3 ล้านบาท  ด้านปัจจัยในประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/68 ขยายตัว 3.1% สอดคล้องกับการคาดการณ์ที่ 2.9-3.1% จากการที่ประเทศคู่ค้าเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่จะมีการปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ประกาศปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 มาอยู่ที่ประมาณ 1.3-2.3% (ค่ากลางที่ 1.8%) เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามการส่งออกสินค้าจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ด้านปัจจัยต่างประเทศ มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody's Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับ Aaa ลงมาอยู่ที่ Aa1 เนื่องจากหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น และภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ตลาดติดตามประมาณการครั้งสุดท้ายดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอียูประจำเดือนเม.ย. ในคืนนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.08/09 แข็งค่าสุดในภูมิภาค ตลาดจับตาถ้อยแถลงจนท.เฟด นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 33.08/09 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเปิดตลาด เมื่อเช้าที่ระดับ 33.23 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.05 - 33.30 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทแข็งค่าสุดเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาคอย่างเงินเยนและหยวน โดยเงินบาทเคลื่อนไหวตามราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นลงระหว่างวัน และแรงซื้อแรงขาย ในส่วนของการรายงานตัวเลข GDP ของสภาพัฒน์วันนี้ ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนค่าเงินบาท โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับดอลลาร์ที่วันนี้ปรับตัวในทิศทางอ่อนค่า สำหรับคืนนี้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ตลาดรอฟังความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาต่าง ๆ ที่จะออกมาพูดเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ และดอกเบี้ย นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.95 - 33.15 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
 
 
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ธนาคารกลางจีนประกาศอัตราดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี (LPR) จีน

แชร์เรื่องนี้

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

News Demo
16
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
13
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
12
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ

Shortcut Menu

  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
    โครงสร้างพื้นฐาน
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนผลงานดี
  • ตารางจ่ายเงินปันผล
  • ข่าว/บทวิเคราะห์
  • กลยุทธ์การลงทุน
  • กำหนดการและแบบฟอร์ม
  • โปรโมชั่น
  • ปฏิทินกองทุน
  • ภาพกิจกรรม
  • ประกาศราคากลาง
  • AIMC Category
    Performance Report
  • ถาม-ตอบ
  • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
  • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
  • การตั้งค่าคุกกี้
  • สมัครรับข่าวสาร
  • ติดต่อเรา
  • ร่วมงานกับเรา
  • ประกาศความเป็นส่วนตัว
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

อีเมล: callcenter@ktam.co.th

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

  • พันธมิตรธุรกิจ
  • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • แผนผังเว็บไซต์

การใช้และการจัดการคุกกี้

เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

 การใช้และการจัดการคุกกี้

เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


การกำหนดลักษณะความยินยอม

คุกกี้ที่จำเป็น

คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

คุกกี้วิเคราะห์

เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง