• X
  • ค้นหา
  • TH EN
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
  1. หน้าแรก
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
มูดี้ส์ลดอันดับเครดิตธนาคารยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ หลังหั่นอันดับเครดิตประเทศ มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของธนาคารชั้นนำของสหรัฐฯ ได้แก่ เจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase), แบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) และเวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) เมื่อวันจันทร์ (19 พ.ค.) หลังจากที่สหรัฐฯ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงสู่ระดับ Aa1 จาก Aaa เนื่องจากมีหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ มูดี้ส์ยังปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของเงินฝากระยะยาวของแบงก์ ออฟ อเมริกา, เจพีมอร์แกน และเวลส์ ฟาร์โก ลงจากระดับ Aa1 เป็น Aa2 และลดอันดับความน่าเชื่อถือด้านความเสี่ยงจากการเป็นคู่สัญญาระยะยาว (Long-term counterparty risk ratings) ของบางสาขาและบริษัทในเครือของธนาคาร BNY และสเตตสตรีท (State Street) จากระดับ Aa1 เป็น Aa2 เช่นกัน มูดี้ส์ระบุในบันทึกว่า การลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ สะท้อนถึงความสามารถที่ลดลงของรัฐบาลในการสนับสนุนภาระผูกพันทางการเงินของธนาคารเหล่านี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ (16 พ.ค.) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั่วโลก และเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ร่างกฎหมายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ผ่านขั้นตอนสำคัญในสภา เนื่องจากสมาชิกรีพับลิกันสายแข็งต้องการให้มีการลดรายจ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการของรัฐสภาในวันอาทิตย์ (18 พ.ค.) (อินโฟเควสท์)
คนซื้อบ้านในสหรัฐอ่วม! ดอกเบี้ยกู้ทะลุ 7% หลังมูดี้ส์หั่นเรทติ้งสหรัฐ ข้อมูลจาก Mortgage News Daily ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐระยะเวลา 30 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 7.04% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวพุ่งขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นอัตราอ้างอิงสำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนพากันเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจากการที่มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐ จากระดับ Aaa สู่ระดับ Aa1 โดยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยของสหรัฐ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งผลให้ชาวอเมริกันต้องแบกรับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัย รถยนต์ และอัตราดอกเบี้ยของบัตร เครดิตต่างก็ปรับตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (อินโฟเควสท์)
ซีอีโอเจพีมอร์แกนเตือนตลาดประเมินความเสี่ยงผลกระทบภาษีทรัมป์ต่ำเกินไป เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทเจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase) เตือนว่า ตลาดการเงินและธนาคารกลางประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากการขาดดุลงบประมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐฯ รวมทั้งมาตรการภาษีศุลกากร และสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างประเทศ ต่ำเกินไป ไดมอนกล่าวว่า สหรัฐฯ ขาดดุลมูลค่ามหาศาล ในขณะที่ธนาคารกลางแทบจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยทุกคนคิดว่าธนาคารกลางสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ แต่เขาเองไม่คิดเช่นนั้น นอกจากนี้ เขาเชื่อว่าโอกาสที่เงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นและการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยควบคู่กับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น (Stagflation) นั้น จะรุนแรงมากกว่าที่ผู้คนคาดคิด ทั้งนี้ ไดมอนแสดงความเห็นดังกล่าวในการประชุมนักลงทุนประจำปีของเจพีมอร์แกนซึ่งจัดขึ้นที่นิวยอร์กในวันจันทร์ (19 พ.ค.) ไดมอนคาดการณ์ว่า ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี S&P500 จะปรับตัวลงอีก หลังจากที่ลดลงไปแล้วในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้นโยบายการค้า โดยบริษัทเหล่านี้ต่างพากันระงับการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์หรือลดการคาดการณ์รายได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ จำกัดวีซ่าบริษัทท่องเที่ยวอินเดีย เซ่นปมลักลอบขนคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กำลังดำเนินการกำหนดข้อจำกัดด้านวีซ่ากับเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทท่องเที่ยวที่มีฐานและดำเนินงานในอินเดีย ซึ่งมีส่วนรู้เห็นในการช่วยเหลือผู้อพยพผิดกฎหมายเข้าสู่สหรัฐฯ  แถลงการณ์ของกระทรวงฯ เมื่อวันจันทร์ระบุว่า "ฝ่ายกงสุลและฝ่ายความมั่นคงทางการทูตของอินเดียปฏิบัติงานทุกวันตามสถานทูตและสถานกงสุลของเรา เพื่อระบุตัวและดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้อพยพผิดกฎหมาย การลักลอบขนคน และการค้ามนุษย์" สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงฯ จะเดินหน้ากำหนดข้อจำกัดด้านวีซ่าต่อเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทท่องเที่ยวเพื่อสกัดกั้นเครือข่ายการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย กระทรวงฯ ระบุด้วยว่า "นโยบายด้านการเข้าเมืองของเรามีเป้าหมายไม่เพียงแค่แจ้งให้ชาวต่างชาติทราบถึงอันตรายของการอพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดำเนินคดีกับผู้ที่ละเมิดกฎหมาย รวมถึงผู้อำนวยความสะดวกให้กับการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายด้วย" (อินโฟเควสท์)
ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ไฟเขียวรัฐบาลทรัมป์เพิกถอนสถานะคุ้มครอง ผู้อพยพชาวเวเนฯ ส่อถูกเนรเทศ เมื่อวันจันทร์ (19 พ.ค.) ศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้มีคำตัดสินอนุญาตให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถดำเนินการเพิกถอนสถานะคุ้มครองชั่วคราว (TPS) ของผู้อพยพชาวเวเนซุเอลาหลายพันคนได้ ซึ่งคำตัดสินดังกล่าวอาจนำไปสู่การเนรเทศผู้คนจำนวนมากในท้ายที่สุด สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คำตัดสินนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลสูงสุดสหรัฐฯ ได้อนุมัติคำร้องฉุกเฉินที่ยื่นโดยรัฐบาลทรัมป์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สามารถเดินหน้ายกเลิกมติของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ก่อนหน้านี้ได้ขยายความคุ้มครองภายใต้สถานะ TPS ให้แก่ชาวเวเนซุเอลาเกือบ 350,000 คน สำหรับสถานะ TPS นี้ เป็นโครงการที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการเข้าเมืองเป็นการชั่วคราวแก่บุคคลจากบางประเทศที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์พิเศษ เช่น ความขัดแย้งทางอาวุธที่ยังดำเนินอยู่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือวิกฤตการณ์อื่น ๆ ที่ส่งผลให้พลเมืองของประเทศนั้น ๆ ไม่สามารถเดินทางกลับมาตุภูมิได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ เมื่อเดือนมี.ค. 2564 รัฐบาลไบเดนได้ประกาศให้ชาวเวเนซุเอลามีสิทธิ์ได้รับสถานะ TPS โดยให้เหตุผลเรื่องความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในเวเนซุเอลา ซึ่ง TPS เป็นโครงการของรัฐบาลกลางที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2533 เพื่อมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวต่างชาติที่เดือดร้อน เป็นที่น่าสังเกตว่า คำตัดสินล่าสุดของศาลฎีกานี้มีขึ้นเพียง 3 วันหลังจากมีคำตัดสินอีกฉบับหนึ่งออกมา ในคดีที่ศาลได้สั่งระงับความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ที่จะเนรเทศผู้อพยพชาวเวเนซุเอลาไปยังเอลซัลวาดอร์โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายลักษณะศัตรูต่างด้าว ปี 2341 (Alien Enemies Act of 1798) โดยศาลให้เหตุผลในคดีดังกล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้แจ้งแผนการเนรเทศให้บุคคลเหล่านั้นทราบอย่างเพียงพอ (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" บุกสภาคองเกรส หวังเรียกคะแนนเสียงรีพับลิกันหนุนกฎหมายปรับลดภาษีเงินได้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เดินทางไปยังรัฐสภาสหรัฐในวันนี้ เพื่อโน้มน้าวสมาชิกพรรครีพับลิกันที่ยังคงมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับร่างกฎหมายปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่ปธน.ทรัมป์พยายามผลักดันผ่านสภาคองเกรส สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายกลุ่มแสดงความไม่พอใจต่อร่างกฎหมายดังกล่าว และอาจลงมติคว่ำร่างกฎหมายฉบับนี้ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ยังคงแสดงความเชื่อมั่นว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะสามารถผ่านการลงมติจากสภาคองเกรส ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นการสานต่อกฎหมายปฏิรูปภาษีปี 2560 ซึ่งเป็นผลงานสำคัญของปธน.ทรัมป์ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า การปรับลดอัตราภาษีครั้งใหม่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ นายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ต้องการให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติรับรองร่างกฎหมายดังกล่าวภายในวันพฤหัสบดีนี้ ก่อนวันหยุด Memorial Day ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เพื่อปูทางให้วุฒิสภาพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 114.83 จุด วิตกหนี้รัฐบาล-บอนด์ยีลด์พุ่ง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (20 พ.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนจับตาการแสดงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,677.24 จุด ลดลง 114.83 จุด หรือ -0.27%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,940.46 จุด ลดลง 23.14 จุด หรือ -0.39% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,142.71 จุด ลดลง 72.75 จุด หรือ -0.38% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 13 เซนต์ กังวลเจรจานิวเคลียร์อิหร่านไม่แน่นอน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (20 พ.ค.) เนื่องจากความไม่แน่นอนของการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน รวมทั้งการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 13 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 62.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.24% ปิดที่ 65.38 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า ตลาดกังวลปัญหาหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (20 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ และจากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.31% แตะที่ระดับ 100.119 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $51.10 รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร (20 พ.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 51.10 ดอลลาร์ หรือ 1.58% ปิดที่ 3,284.60 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ 30 ปีร่วงหลุด 5% นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่เฟด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 5% ในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ณ เวลา 18.51 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.461% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.930% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ดัชนีราคาผู้ผลิตเยอรมนีเม.ย. ลดลง 0.9% เทียบรายปี สำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนี (Destatis) เปิดเผยวันนี้ (20 พ.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตสินค้าภาคอุตสาหกรรมในเยอรมนีปรับตัวลดลง 0.9% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ต่อเนื่องจากเดือนมี.ค.ซึ่งก็ลดลง 0.2% ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวถือว่าลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 0.6% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ดัชนีราคาผู้ผลิตก็ลดลง 0.6% หนักกว่าที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะลดลงแค่ 0.3% (อินโฟเควสท์)
"มาครง" ประกาศดึงเงินลงทุนใหม่กว่า 2 หมื่นล้านยูโรจากซัมมิต "Choose France" ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ประกาศเมื่อวันจันทร์ (19 พ.ค.) ว่า มีการยืนยันเงินลงทุนใหม่ประมาณ 2 หมื่นล้านยูโร (2.249 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในระหว่างการประชุมสุดยอดด้านการลงทุน Choose France International Business Summit ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้น ณ พระราชวังแวร์ซาย มาครงระบุว่า การลงทุนดังกล่าวครอบคลุมหลายภาคส่วน ทั้งปัญญาประดิษฐ์ (AI), การป้องกันประเทศ, พลังงานใหม่ และสื่อสารโทรคมนาคม นอกจากนี้ มาครงยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประชุมสุดยอด Paris AI Summit เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ยังมีคำมั่นลงทุนในด้าน AI อีกราว 2 หมื่นล้านยูโร "นี่เป็นการประชุมที่สมบูรณ์แบบมาก มีการประกาศการลงทุนใหม่ถึง 2 หมื่นล้านยูโร และยังมีการลงทุนด้าน AI อีก 2 หมื่นล้านยูโรจากการประชุมเมื่อเดือนก.พ." มาครงกล่าวเป็นภาษาอังกฤษต่อหน้าผู้นำภาคธุรกิจทั้งจากฝรั่งเศสและนานาชาติ นอกจากนี้ ผู้นำฝรั่งเศสยังเน้นย้ำว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้านโยบายปรับลดต้นทุนด้านเงินทุนและแรงงาน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ รายงานล่าสุดของอีวาย (EY) ว่าด้วยการลงทุนระหว่างประเทศในฝรั่งเศส ปี 2568 ยังชี้ว่า ฝรั่งเศสยังคงเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนอันดับ 1 ของยุโรปที่ได้รับการลงทุนจากต่างชาติติดต่อกันเป็นปีที่ 6 (อินโฟเควสท์)
UK-EU ปิดดีลใหม่ ปลดล็อกการค้า-เดินทาง-เยาวชน พลิกฟื้นความสัมพันธ์หลัง Brexit สหราชอาณาจักร (UK) และสหภาพยุโรป (EU) บรรลุข้อตกลงทวิภาคีฉบับใหม่เมื่อวันจันทร์ (19 พ.ค.) ครอบคลุมหลายด้าน โดยคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ UK ได้เกือบ 9 พันล้านปอนด์ (ราว 1.202 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2583 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ข้อตกลงนี้ประกาศออกมาก่อนการประชุมสุดยอด UK-EU ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กรุงลอนดอน ซึ่งทั้งสองฝ่ายยกย่องว่าเป็น "หมุดหมายสำคัญ" เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวว่า ข้อตกลงนี้เปรียบเสมือน "บทใหม่" ของความสัมพันธ์ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์หลังเกิดความขัดแย้งมานานหลายปีนับตั้งแต่ UK ถอนตัวออกจาก EU (Brexit) การประชุมสุดยอดครั้งนี้มีนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของ UK เป็นเจ้าภาพ ร่วมด้วยฟอน เดอร์ เลเยน และอันโตนิโอ คอสตา ประธานคณะมนตรียุโรป โดยทั้งสามต่างชื่นชมข้อตกลงนี้ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกันว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ   ไฮไลท์สำคัญคือโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน (youth mobility scheme) ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรีอังกฤษระบุว่า "มีโควตาจำกัดและกำหนดระยะเวลาชัดเจน" โดยใช้โมเดลเดียวกับข้อตกลงที่ UK มีกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ UK และ EU จะร่วมกันผลักดันให้ UK กลับเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาอีราสมุสพลัส (Erasmus+) อีกครั้ง หลังถอนตัวไปในรอบปี 2564-2570 ข้อตกลงนี้ยังรวมถึงข้อตกลงด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าสินค้าอาหารและเกษตร โดยจะยกเลิกการตรวจสอบสินค้ากลุ่มพืชและสัตว์หลายรายการ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดขั้นตอนยุ่งยาก และเปิดทางให้สินค้าส่งออกของ UK เช่น เบอร์เกอร์และอาหารทะเลประเภทหอย กลับเข้าสู่ตลาด EU ได้อีกครั้ง ทั้งยังช่วยให้การขนส่งสินค้าระหว่างเกาะบริเตนใหญ่กับไอร์แลนด์เหนือภายใต้กรอบความตกลงวินด์เซอร์ (Windsor Framework) คล่องตัวขึ้น ด้านการประมง UK กับ EU ตกลงกรอบความร่วมมือ 12 ปี โดย UK ยังคงเข้าถึงน่านน้ำ EU ได้ และคงโควตาเดิมสำหรับเรือ EU นอกจากนี้ รัฐบาล UK จะทุ่มงบ 360 ล้านปอนด์เพื่อปรับปรุงกองเรือและเทคโนโลยีให้ทันสมัย ข้อตกลงนี้ยังปูทางไปสู่ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง รวมถึงกรอบการมีส่วนร่วมของ UK ในโครงการ SAFE ของ EU ซึ่งสนับสนุนการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารร่วมกัน โดยจะมีการเจรจาเพิ่มเติมเรื่องเงินสนับสนุนและการจัดการซัพพลายเชน  (อินโฟเควสท์)
อังกฤษระงับเจรจาการค้าอิสราเอล ไม่พอใจปิดล้อมฉนวนกาซา นายเดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษได้ระงับการเจรจาการค้ากับอิสราเอล เนื่องจากอิสราเอลได้ทำการปิดล้อมฉนวนกาซา ทั้งนี้ ในการแถลงต่อสภาล่างของอังกฤษ นายแลมมีกล่าวว่า การปิดล้อมฉนวนกาซาถือเป็นการผิดศีลธรรม และจำเป็นต้องยุติลง นายแลมมียังเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาทำการประณามต่อการที่รัฐบาลอิสราเอลขัดขวางการจัดส่งอาหารให้กับเด็กที่หิวโหย ขณะเดียวกัน นายเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ประณามต่อวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาเช่นกัน โดยกล่าวว่าความทุกข์ทรมานของชาวปาเลสไตน์เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ และเรียกร้องให้มีการหยุดยิงโดยทันที ทั้งนี้ อิสราเอลได้กลับมาโจมตีฉนวนกาซาอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 3,300 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 9,350 ราย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มสาธารณูปโภค-เทเลคอมหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (20 พ.ค.) ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มโทรคมนาคมนำตลาดปรับตัวขึ้น ขณะเดียวกันผลประกอบการของบริษัทบางแห่งที่ออกมาดีก็ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.02 จุด เพิ่มขึ้น 4.04 จุด หรือ +0.73% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,942.42 จุด เพิ่มขึ้น 58.79 จุด หรือ +0.75%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,036.11 จุด เพิ่มขึ้น 101.13 จุด หรือ +0.42% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,781.12 จุด เพิ่มขึ้น 81.81 จุด หรือ +0.94% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 81.81 จุด ผลประกอบการแกร่งหนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนในวันอังคาร (20 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับประเด็นทางการค้า ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,781.12 จุด เพิ่มขึ้น 81.81 จุด หรือ +0.94% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
นายกฯ ญี่ปุ่นยันไม่ปลด รมว.เกษตรฯ ปมถ้อยแถลงเรื่องข้าว นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (20 พ.ค.) ว่าเขาไม่มีแผนจะปลดทาคุ เอโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง แม้จะเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน หลังเอโตะให้สัมภาษณ์ว่าได้รับข้าวจำนวนมากจากผู้สนับสนุนจนไม่ต้องซื้อกินเอง ซึ่งถูกมองว่าไม่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนที่กำลังเผชิญกับราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้น อิชิบะกล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อคำพูดที่ขาดความระมัดระวังและไม่เหมาะสมของเอโตะ จากมุมมองของทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม อิชิบะยังเชื่อมั่นว่า เอโตะจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ภาคเกษตรกรรมของเรากำลังเผชิญอยู่ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (19 พ.ค.) เอโตะได้กล่าวต่อคณะกรรมาธิการรัฐสภาว่า เขารู้สึกละอายใจที่พูดเช่นนั้น แต่ก็ยืนยันว่าต้องการทำหน้าที่ต่อไป และพร้อมจะดำเนินมาตรการเพื่อลดราคาข้าว ซึ่งพุ่งขึ้นเกือบเท่าตัวในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เอโตะตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนักในช่วงเวลาที่พรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของอิชิบะ และพรรคโคเมโตะ กำลังพยายามหามาตรการบรรเทาผลกระทบจากเงินเฟ้อและภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ก่อนถึงการเลือกตั้งสภาสูงในช่วงฤดูร้อนนี้ (อินโฟเควสท์)
หัวหน้าทีมเจรจาญี่ปุ่นเตรียมหารือภาษีกับสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวในวันนี้ (20 พ.ค.) ว่า หัวหน้าทีมเจรจาด้านภาษีศุลกากรของญี่ปุ่นเตรียมเดินทางเยือนสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ (23 พ.ค.) เพื่อเข้าร่วมการหารือระดับรัฐมนตรีรอบที่ 3 ด้วยความมุ่งหวังที่จะได้รับผ่อนปรนจากภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศใช้ แหล่งข่าวคาดว่า เรียวเซ อากาซาวะ รัฐมนตรีกระทรวงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและเป็นผู้ช่วยคนสนิทของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ผู้นำญี่ปุ่น จะพบปะกับเจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐในการหารือรอบนี้ ขณะที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ คู่เจรจาที่เคยหารือร่วมกับเขาในการเจรจา 2 ครั้งก่อนหน้า อาจไม่ได้เข้าร่วมกันในการหารือครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์มีแผนจะประชุมร่วมกับคัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเกี่ยวกับปัญหาสกุลเงินนอกรอบการประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่ม G7 ที่จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วันจนถึงวันพฤหัสบดีนี้ (22 พ.ค.) ที่ประเทศแคนาดา อากาซาวะกล่าวกับนักข่าวในกรุงโตเกียวว่า การหารือทวิภาคีในระดับปฏิบัติงานที่กรุงวอชิงตันได้จัดขึ้นตั้งแต่วันจันทร์ (19 พ.ค.) โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น และกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการภาษีศุลกากรกับญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง ซึ่งรวมถึงการเรียกเก็บภาษีรถยนต์เพิ่มเติมในอัตรา 25% ที่กำลังฉุดรั้งอุตสาหกรรมรถยนต์หลักของญี่ปุ่น ตลอดจนมาตรการภาษีตอบโต้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดดีดตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 วัน จับตาสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นเจรจาภาษี ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันนี้ (20 พ.ค.) โดยยุติการร่วงติดต่อกัน 4 วันทำการได้สำเร็จ ท่ามกลางภาวะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงรอดูท่าทีก่อนหน้าการเจรจาประเด็นภาษีศุลกากรที่คาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 37,529.49 จุด เพิ่มขึ้น 30.86 จุด หรือ +0.08% (อินโฟเควสท์)
จีน
แบงก์ชาติจีนหั่นดอกเบี้ย LPR ครั้งแรกในรอบ 7 เดือน มุ่งหนุนศก.ฟื้นตัว ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี ลง 0.10% สู่ระดับ 3.0% จากระดับ 3.1% และปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี ลง 0.10% สู่ระดับ 3.5% จากระดับ 3.6% ในวันนี้ (20 พ.ค.) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนหรือนับตั้งแต่ธนาคารกลางได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวลง 0.25% ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนได้ประกาศในช่วงต้นเดือนนี้ ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และปรับลดจะปรับลดอัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ (อินโฟเควสท์)
ยอดส่งออกสมาร์ตโฟนจากจีนไปสหรัฐฯ ต่ำสุดรอบ 14 ปี ผลพวงภาษีนำเข้า ยอดการส่งออกสมาร์ตโฟนจากจีนไปยังสหรัฐฯ ทรุดตัวลงอย่างหนักในเดือนเม.ย. แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2554 สะท้อนผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ข้อมูลล่าสุดจากศุลกากรจีน (GACC) ระบุว่า มูลค่าการส่งออกสมาร์ตโฟนในเดือนดังกล่าวหดตัวลงถึง 72% เหลือเพียงไม่ถึง 700 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าการลดลงเฉลี่ยของการส่งออกสินค้าจีนไปสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ 21% ในช่วงเวลาเดียวกัน  การชะลอตัวครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากนโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ประกาศเก็บภาษีสูงสุดถึง 145% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีทั่วโลกได้รับผลกระทบ และกระตุ้นให้ผู้ผลิตหลายรายทยอยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น   บรรดานักลงทุนกังวลว่า หากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศขยายวงกว้าง จะกระทบมูลค่าการค้าทวิภาคีซึ่งอยู่ที่ 6.9 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 อย่างรุนแรง ทั้งยังสร้างแรงกดดันต่อภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และอาจผลักดันให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ศุลกากรจีนเผยว่า มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนโทรศัพท์จากจีนไปอินเดียเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่าในช่วงปีที่ผ่านมา โดยอินเดียกลายเป็นฐานการผลิตไอโฟนที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีนของแอปเปิ้ล ทั้งนี้ แม้แอปเปิ้ลจะเร่งย้ายฐานการผลิตไปยังอินเดีย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับออกมาวิพากษ์วิจารณ์แนวทางดังกล่าว และเรียกร้องให้แอปเปิ้ลนำสายการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 12.90 จุด รับแบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ย LPR ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (20 พ.ค.) หลังจากธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ทั้งประเภท 1 ปีและ 5 ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,380.48 จุด เพิ่มขึ้น 12.90 จุด หรือ +0.38% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดพุ่ง 348.76 จุด หลังแบงก์ชาติจีนลดดอกเบี้ย LPR ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ (20 พ.ค.) หลังจากธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ทั้งประเภท 1 ปีและ 5 ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 23,681.48 จุด เพิ่มขึ้น 348.76 จุด หรือ +1.49% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกไต้หวันเดือนเม.ย.พุ่ง 19.8% เหตุลูกค้าแห่ตุน หนีภาษีสหรัฐฯ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันเปิดเผยวันนี้ (20 พ.ค.) ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกเดือนเม.ย.ทะยานขึ้น 19.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะระดับ 5.64 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 10.0% ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกของไต้หวันในเดือนเม.ย.ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์ อันเป็นผลจากลูกค้าเร่งกักตุนสินค้าเทคโนโลยีจากไต้หวัน ก่อนที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศใช้มาตรการภาษีทั่วโลกในเดือนเดียวกัน ซึ่งต่อมามีการยกเลิกไปบางส่วน ขณะที่โมเมนตัมของคำสั่งซื้อยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (HPC) ทั้งนี้ คำสั่งซื้อสินค้าจากไต้หวันถือเป็นดัชนีชี้วัดอุปสงค์เทคโนโลยีในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไต้หวันเป็นฐานการผลิตสำคัญของ TSMC ผู้รับจ้างผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่น ๆ อย่างไรก็ดี ภาคการส่งออกของไต้หวันซึ่งพึ่งพาการค้าในระดับสูง อาจได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีนี้ หากทรัมป์ยังคงเดินหน้าตามแผนการขึ้นภาษี กระทรวงฯ ได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า "ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลก รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในช่วงที่ผ่านมา ได้เพิ่มสูงขึ้น" พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบคอบ สำหรับเดือนพ.ค. กระทรวงฯ คาดการณ์ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกจะยังคงเติบโตต่อเนื่องราว 12.5%-16.6% เมื่อเทียบรายปี ในส่วนของคำสั่งซื้อจากจีน เพิ่มขึ้น 5.7% พลิกกลับจากที่หดตัวลง 5.3% ในเดือนมี.ค. คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ขยายตัว 30.3% ใกล้เคียงกับอัตราการเติบโต 30.7% ในเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกัน คำสั่งซื้อจากยุโรปเพิ่มขึ้น 10.5% และจากญี่ปุ่นเติบโต 16.3% ในเดือนเม.ย.เช่นกัน (อินโฟเควสท์)
ขุนคลังอินโดฯ คาดเศรษฐกิจปีหน้าโตอย่างน้อย 5.2% ด้านนักวิเคราะห์แนะเร่งปฏิรูป ศรี มุลยานี อินทราวตี รัฐมนตรีคลังอินโดนีเซียกล่าวต่อรัฐสภาในวันนี้ (20 พ.ค.) ว่า รัฐบาลตั้งเป้าให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียในปี 2569 ขยายตัวอย่างน้อย 5.2% โดยรัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาการผลิตอาหาร เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน  รัฐบาลอินโดนีเซียประเมินว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2569 จะอยู่ในช่วง 5.2% ถึง 5.8% ซึ่งตัวเลขต่ำสุดของกรอบดังกล่าวเท่ากับเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียตั้งใจจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวด้วยการรักษากำลังซื้อของประชาชน พัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำจากทรัพยากรธรรมชาติ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน และส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายยังไม่มั่นใจว่าเป้าหมายนี้จะเป็นจริงได้ โดยมองว่าการมุ่งเน้นด้านสวัสดิการไม่น่าจะเพียงพอในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จาเฮน เรซกี นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซียให้ความเห็นว่า แนวทางของรัฐบาลยังคงเหมือนเดิม และยังไม่ปรากฏนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจนซึ่งสามารถสนับสนุนการพัฒนาอย่างแท้จริง อินโดนีเซียยังคงต้องการการลงทุนจำนวนมากและการพัฒนาระบบการเงินอย่างลึกซึ้ง หากต้องการบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่สูงกว่าเดิม (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้ส่งออกรถยนต์ลดลง 3.8% ในเดือนเม.ย. จากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ เปิดเผยในวันนี้ (20 พ.ค.) ว่า ยอดส่งออกรถยนต์ของเกาหลีใต้ลดลง 3.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 6.53 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ปรับตัวขึ้นในเดือนมี.ค. สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สาเหตุที่ทำให้ยอดส่งออกรถยนต์ของเกาหลีใต้ลดลงในเดือนเม.ย.นั้น มาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์รถยนต์เกาหลีใต้ในสหรัฐฯ ชะลอตัวลง และยังทำให้อุปสงค์รถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมปรับตัวลดลงด้วย สำหรับยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ลดลง 19.6% แตะที่ระดับ 2.89 พันล้านดอลลาร์ แต่ยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหภาพยุโรป (EU) และเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลัก ส่วนยอดส่งออกรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดลง 2.9% แตะที่ระดับ 2.22 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว รายงานของกระทรวงฯ ยังระบุด้วยว่า จำนวนรถยนต์ที่ผลิตในโรงงานภายในประเทศ ลดลง 2.2% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 385,621 คันในเดือนเม.ย. ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ที่ผลิตในประเทศและรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ อยู่ที่ 150,622 คันในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบรายปี (อินโฟเควสท์)
เวียดนามเปิดโต๊ะคุยสหรัฐฯ รอบ 2 หวังเบรกภาษีนำเข้า 46% รัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า เวียดนามและสหรัฐฯ ได้เริ่มการเจรจาการค้ารอบที่ 2 ณ กรุงวอชิงตันแล้วเมื่อวันจันทร์ (19 พ.ค.) และจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 22 พ.ค. โดยมีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 46% กระทรวงการค้าเวียดนามระบุในแถลงการณ์ว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขประเด็นสำคัญที่เป็นความกังวลร่วมกัน พร้อมกับเร่งรัดกระบวนการเจรจา และเสริมว่า เวียดนามและสหรัฐฯ ยังได้แลกเปลี่ยนนโยบายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนถัดไปของการเจรจา รายงานระบุว่า คณะผู้แทนเวียดนามซึ่งนำโดยเหงียน หง เดียน รัฐมนตรีการค้า ยังประกอบด้วยตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งอุตสาหกรรมก่อสร้าง เกษตรกรรม เทคโนโลยี รวมถึงตัวแทนจากธนาคารกลางและกระทรวงการคลัง ก่อนหน้านี้ เดียนได้พบปะกับเจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีการค้าของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ณ เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้ชะลอการเรียกเก็บภาษีนำเข้า 46% สำหรับสินค้าเวียดนามออกไปจนถึงเดือนก.ค. โดยเรียกเก็บเพียง 10% แทนชั่วคราว หากมีการบังคับใช้จริง อัตราภาษีสูงดังกล่าวอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจเวียดนาม ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก   ทั้งนี้ เวียดนามซึ่งเป็นฐานการผลิตระดับภูมิภาคที่สำคัญสำหรับบริษัทตะวันตกหลายแห่ง มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึงกว่า 1.23 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 รัฐบาลเวียดนามจึงดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ เช่น การสกัดกั้นการขนส่งสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ โดยใช้เวียดนามเป็นทางผ่าน และเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
อังกฤษ-แคนาดา-ฝรั่งเศส ขู่คว่ำบาตรอิสราเอล หากยังไม่หยุดรุกรานกาซา ผู้นำอังกฤษ แคนาดา และฝรั่งเศส ขู่จะคว่ำบาตรอิสราเอล หากยังไม่ยอมยุติปฏิบัติการทางทหารครั้งใหม่ในฉนวนกาซา และไม่ยกเลิกข้อจำกัดด้านการส่งความช่วยเหลือ แถลงการณ์ร่วมระหว่างทั้ง 3 ชาติที่เผยแพร่โดยรัฐบาลอังกฤษระบุว่า การที่รัฐบาลอิสราเอลปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นแก่พลเรือนนั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยทั้ง 3 ชาติต่างไม่เห็นด้วยกับการพยายามขยายการตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ และไม่ลังเลที่จะดำเนินการขั้นต่อไป รวมถึงการคว่ำบาตรแบบพุ่งเป้า ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ได้ออกมาตอบโต้แถลงการณ์ดังกล่าวโดยระบุว่า ผู้นำทั้ง 3 ชาติกำลัง "มอบรางวัลอันยิ่งใหญ่" ให้กับการโจมตีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอิสราเอลในวันที่ 7 ต.ค. และสนับสนุนให้เกิดความโหดร้ายแบบเดียวกันนี้อีก ทั้งนี้ กองทัพอิสราเอลเพิ่งประกาศเริ่มปฏิบัติการครั้งใหม่เมื่อวันศุกร์ (16 พ.ค.) ก่อนที่ในเวลาต่อมา เนทันยาฮูจะประกาศในวันจันทร์ว่า อิสราเอลจะเข้ายึดครองฉนวนกาซาทั้งหมด โดยผู้นำอิสราเอลยืนยันว่าอิสราเอลจะปกป้องตัวเองด้วยวิธีการที่ชอบธรรมจนกว่าจะได้รับชัยชนะโดยสมบูรณ์ พร้อมย้ำเงื่อนไขในการยุติสงคราม ได้แก่ การปล่อยตัวประกันที่เหลืออยู่ทั้งหมด และการลดกำลังทหารในฉนวนกาซา (อินโฟเควสท์)
กลุ่มฮูตีเยเมนประกาศปิดล้อมท่าเรือไฮฟา ตอบโต้ปฏิบัติการอิสราเอลในกาซา กลุ่มฮูตีในเยเมนประกาศเมื่อวันจันทร์ (19 พ.ค.) ว่าจะเปิดฉากปฏิบัติการพุ่งเป้าปิดล้อมท่าเรือไฮฟาของอิสราเอล บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลยังคงเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารและปิดล้อมฉนวนกาซา พร้อมทั้งเตือนเรือพาณิชย์ต่าง ๆ ให้อยู่ห่างจากพื้นที่ดังกล่าว ยะฮ์ยา ซารี โฆษกฝ่ายทหารของกลุ่มฮูตี แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์อัล-มาซิราห์ (al-Masirah TV) ของกลุ่มฮูตีว่า "เราจะดำเนินมาตรการปิดล้อมทางทะเลต่อท่าเรือไฮฟา" "ขอให้บริษัทเจ้าของเรือทุกลำที่อยู่ใน หรือกำลังมุ่งหน้าสู่ท่าเรือไฮฟา รับทราบเนื้อหาในแถลงการณ์นี้ รวมถึงสิ่งที่เราจะประกาศเพิ่มเติมในภายหลัง" ซารีกล่าว พร้อมเสริมว่า "มาตรการและการตัดสินใจทั้งหมดของเราที่เกี่ยวกับศัตรูชาวอิสราเอลจะยุติลงทันที เมื่อการรุกรานในกาซาสิ้นสุดลงและการปิดล้อมถูกยกเลิก" (อินโฟเควสท์)
รัสเซียเผยพร้อมติดต่อยูเครนเดินหน้ากระบวนการเจรจาสันติภาพ นางมาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียพร้อมที่จะดำเนินการติดต่อกับทางการยูเครน โดยจะเสนอให้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพที่อาจเกิดขึ้น นางซาคาโรวากล่าวว่า รัสเซียได้ยืนยันอีกครั้งถึงความตั้งใจที่จะยุติวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การแก้ไขความขัดแย้งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่มีการจัดการกับสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาดังกล่าว นางซาคาโรวากล่าวเสริมว่า ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องบรรลุข้อตกลงในหลายประเด็น ซึ่งรวมถึงหลักการสำคัญในการยุติความขัดแย้ง กำหนดเวลาของข้อตกลงสันติภาพ และรายละเอียดเกี่ยวกับการหยุดยิง ด้านนายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า รัสเซียและยูเครนจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยสนธิสัญญาสันติภาพและการหยุดยิง ความคืบหน้าดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้สนทนาทางโทรศัพท์วานนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน รวมทั้งการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่รัสเซียและยูเครนที่จัดขึ้นในกรุงอิสตันบูลของตุรกี (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 800 จุด ขายทำกำไรฉุดตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 800 จุด จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน ท่ามกลางการซื้อขายอย่างระมัดระวังของนักลงทุนสถาบัน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,186.44 ลบ 872.98 จุด หรือ 1.06% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ธปท.เผย สินเชื่อแบงก์พาณิชย์ทั้งระบบ Q1/68 หดตัว 1.3% NPL เพิ่มเป็น 2.9% น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยภาพรวมสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 1 ปี 2568 หดตัว 1.3% จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยหลักจากการชำระคืนหนี้ที่อยู่ในระดับสูง สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ยังขยายตัว ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อ NPL ไตรมาส 1 ปี 2568 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 548.1 พันล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.90% โดยหลักจากสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ สัดส่วน NPL ของสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น เป็นผลของฐานสินเชื่อที่ลดลง สำหรับสินเชื่อ Stage 2 ปรับลดลง โดยหลักจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 ทรงตัวอยู่ที่ 6.97% อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้ โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 4 ปี 2567 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลง ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการกู้ยืมผ่านตลาดตราสารหนี้เป็นสำคัญ ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวม ทรงตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า แม้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว และภาคการผลิต แต่ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่ชะลอลง (อินโฟเควสท์)
ไทยลุ้นส่งออกไก่พุ่ง!! จีน-อียูระงับนำเข้าจากบราซิลหลังไข้หวัดนกระบาด จากสถานการณ์ที่เกิดไข้หวัดนกระบาดในบราซิล โดยบราซิลยืนยันพบการระบาดของเชื้อไวรัส HPAI ซึ่งเป็นสายพันธุ์รุนแรงในฟาร์มแห่งหนึ่ง ทำให้ประเทศจีนและสหภาพยุโรป สั่งระงับนำเข้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์จากประเทศบราซิล ข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ของบราซิล ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา จีนและ EU นำเข้าเนื้อไก่จากบราซิลรวมกันกว่า 793,000 ตัน ซึ่งคิดเป็นเกือบ 15% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด สถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการขยายตลาดและรองรับคำสั่งซื้อที่อาจเบนเป้ามาสู่ผู้ผลิตที่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านสุขภาพสัตว์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ที่สุดของโลก พบการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกชนิดรุนแรง (HPAI) ภายในฟาร์มแห่งหนึ่ง และได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าอย่างจีนและสหภาพยุโรป (EU) ประกาศระงับการนำเข้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์จากบราซิลเป็นการชั่วคราวทันที (อินโฟเควสท์)
นายกฯ ยืนยันทุกพรรครัฐบาลร่วมเห็นพ้องสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยสภาฯจะพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 69 วงเงิน ไม่เกิน 3.7 ล้านล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยจะนำเสนอสภาผู้แทนราษฎร บรรจุวาระการพิจารณาในวันที่ 28-30 พ.ค.นี้ พร้อมยืนยันพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเห็นพ้องร่วมกันสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 "ไม่มีอะไรตื่นเต้น ทุกอย่างเห็นฟ้องต้องกัน เห็นด้วยทุกพรรค"น.ส.แพทองธาร กล่าว ส่วนจะมีการปรับ โยกย้ายหรือเปลี่ยนแปลง งบประมาณนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นกลไกของทางสภาฯ โดยเรื่องงบประมาณพรรคร่วมรัฐบาลเห็นตรงกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว (อินโฟเควสท์)
"จุลพันธ์" ยันไม่ยกเลิกดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมนำกลับมาเมื่อสถานการณ์เหมาะสม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวถึงแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 157,000 ล้านบาท ว่า ต้องเป็นโครงการที่มีความพร้อม สามารถนำเม็ดเงินลงไปสู่ชุมชนได้ และเป็นโครงการที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบในวงกว้างและหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ รวมถึงต้องช่วยประคับประคองให้ผ่านพ้นมรสุมช่วงนี้ไปได้ ซึ่งจะต้องใช้เวลาและมีกระบวนการในการพิจารณา ส่วนจะทันในช่วงที่ GDP ต่ำหรือไม่นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เราทำเศรษฐกิจดีในช่วง 3 ไตรมาสหลังของปี จึงได้วางแผนไว้ว่า เงินจะต้องเข้ามาในระบบในช่วงไตรมาส 3 ให้ได้ และจะต้องเป็นงบผูกพันก่อนวันที่ 30 ก.ย.68 โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อติดตามและเร่งรัดการใช้จ่ายในส่วนนี้ ส่วนงบโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ปี 68 ถูกโยกไปใช้แล้ว และในส่วนของงบ ปี 69 ยังไม่มีมีการตั้งงบในส่วนของโครงการดังกล่าว จะสามารถพูดได้หรือไม่ว่า รัฐบาลนี้ไม่แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่สามารถพูดได้เช่นนั้น เพราะอย่างที่นายกรัฐมนตรีบอกไว้ คือต้องดูสถานการณ์เป็นรายไตรมาส และดูความเปลี่ยนแปลง การเจรจาภาษีระหว่างไทย-สหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร และมีผลกระทบอย่างไร หากวันหนึ่งเมื่อพร้อม ก็จะกลับมาพิจารณาใหม่ พร้อมระบุว่า จะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ในการพิจารณาโครงการ ซึ่งหลังจากนั้นจะมีความชัดเจนว่าเม็ดเงิน 1.57 แสนล้านบาทในระยะต้นจะใช้อย่างไร และจะเห็นว่าในระยะกลาง ในส่วนของงบปี 69 และ 70 จะวางแผนอย่างไร เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจริง ๆ นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า งบประมาณที่ใส่ไปในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่เคยสูญเปล่า ที่เคยทำมาในกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มผู้สูงอายุ ก็เห็นการเติบโตของ GDP ที่ 3% กว่าๆ ต่อเนื่องกัน 3 ไตรมาส ซึ่งไม่เคยเห็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ซึ่งเงินที่รัฐบาลเติมลงไปจะต้องเกิดผลบวกกับเศรษฐกิจของประเทศ สามารถจับต้องได้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ก็ต้องยอมรับ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัญหาเรื่องภาษีของสหรัฐฯ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ และคิดให้ตอบโจทย์กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป (อินโฟเควสท์)
รัฐบาลเดินหน้าแผนเจรจาภาษีทรัมป์ เพิ่มบทบาทภาคพลังงาน-ดิจิทัล-ไบโอเทคฯ มั่นใจช่วยเพิ่มสมดุลการค้าไทย-สหรัฐ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวเปิดงาน "Thailand-U.S. Trade and Investment Summit 2025" ในตอนหนึ่งว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความร่วมมือ และพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ โดยรัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นในการสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ที่ยั่งยืน ยุติธรรม และสมดุลในระยะยาว โดยขณะนี้ เรากำลังดำเนินการในกรอบความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้า และเสริมสร้างความร่วมมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว ตามที่รัฐมนตรีต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ด้านการคลัง และผู้แทนจากสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้กล่าวไว้ ไทยยื่นข้อเสนอที่มีรายละเอียดชัดเจน ซึ่งประเมินว่า แผนนี้อาจช่วยลดตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ได้ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก เราจำเป็นต้องยกระดับความร่วมมือ และสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สามารถผลักดันโอกาสทางการค้า การลงทุน และการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ และประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม พร้อมเร่งผลักดันนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นความมั่งคั่ง สะดวกต่อการทำธุรกิจ และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก  ทั้งนี้ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะเร่งรัดกระบวนการอนุมัติด้านต่าง ๆ ผลิตบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีทักษะสูง ดำเนินการเปลี่ยนผ่านบริการภาครัฐสู่ระบบดิจิทัล และผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อให้ประเทศไทยพร้อมเปิดรับนักลงทุน เป็นประเทศที่ยืดหยุ่น และพร้อมเป็นจุดหมายหลักของการทำธุรกิจ และการเชื่อมโยงสู่ตลาดในภูมิภาค (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 2.08 จุด ตามตลาดเอเชียขานรับจีนหั่นดอกเบี้ย แต่ยังกังวลเศรษฐกิจในประเทศกดดัน SET ปิดวันนี้ที่ 1,189.14 จุด เพิ่มขึ้น 2.08 จุด(+0.18%) มูลค่าซื้อขาย 46,957.80 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวขึ้น ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียขานรับจีนลดดอกเบี้ย และแรงหนุนหุ้นกลุ่มแบงก์ แต่ยังไร้ปัจจัยใหม่ และความกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวกดดันให้ตลาดลดช่วงบวก แนวโน้มพรุ่งนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ต่อไป พร้อมให้แนวต้าน 1,195-1,200 จุด แนวรับ 1,180-1,185 จุด  SET ปิดวันนี้ที่ 1,189.14 จุด เพิ่มขึ้น 2.08 จุด(+0.18%) มูลค่าซื้อขาย 46,957.80 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยดัชนีทำจุดสูงสุด 1,197.80 จุด ทำจุดต่ำสุดที่ 1,186.34 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 247 หลักทรัพย์ ลดลง 246 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 168 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 119,326 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 119,326 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 38,021 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,391 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 931 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.66% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากวันก่อนหน้า สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 930 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 930 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศนายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตา สนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากเฟดต้องรักษาสมดุลระหว่างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และความกังวลต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษประจำเดือนเม.ย. ในวันพรุ่งนี้  (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.09 ทิศทางยังแข็งค่า คาดกรอบพรุ่งนี้ 33.00-33.30 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 33.09 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 33.19 บาท/ดอลลาร์ โดยวันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.05-33.26 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวัน ราคาทองคำในตลาดโลกเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้เงินบาทปรับตัวแข็งค่า ขณะที่สกุลเงินอื่นในภูมิภาคยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน มีทั้งอ่อนค่า และแข็งค่าสลับกัน เนื่องจากตลาดยังไร้ปัจจัยใหม่ "วันนี้บาทแกว่งออกข้าง ระหว่างวันทองโลกเร่งขึ้นมา ทำให้บาทแข็ง ส่วนภูมิภาคยังไร้ทิศทาง ต้องรอดูปัจจัยใหม่" นักบริหารเงิน ระบุ ส่วนคืนนี้ ยังไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ แต่ตลาดรอฟังความเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่ละสาขาที่จะทยอยออกมาให้ความเห็น เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในระยะถัดไป นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00 - 33.30 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
 
 
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนเม.ย. ญี่ปุ่น       
สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ       

แชร์เรื่องนี้

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

News Demo
16
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
13
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
12
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ

Shortcut Menu

  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
    โครงสร้างพื้นฐาน
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนผลงานดี
  • ตารางจ่ายเงินปันผล
  • ข่าว/บทวิเคราะห์
  • กลยุทธ์การลงทุน
  • กำหนดการและแบบฟอร์ม
  • โปรโมชั่น
  • ปฏิทินกองทุน
  • ภาพกิจกรรม
  • ประกาศราคากลาง
  • AIMC Category
    Performance Report
  • ถาม-ตอบ
  • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
  • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
  • การตั้งค่าคุกกี้
  • สมัครรับข่าวสาร
  • ติดต่อเรา
  • ร่วมงานกับเรา
  • ประกาศความเป็นส่วนตัว
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

อีเมล: callcenter@ktam.co.th

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

  • พันธมิตรธุรกิจ
  • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • แผนผังเว็บไซต์

การใช้และการจัดการคุกกี้

เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

 การใช้และการจัดการคุกกี้

เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


การกำหนดลักษณะความยินยอม

คุกกี้ที่จำเป็น

คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

คุกกี้วิเคราะห์

เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง