สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดย่อมร่วง 4 เดือนติด กังวลนโยบาย "ทรัมป์" สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงในวันนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมร่วงลง 1.6 จุด สู่ระดับ 95.8 ในเดือนเม.ย. โดยเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 94.9 ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการใช้นโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้สร้างความยากลำบากต่อบริษัทต่าง ๆ ในการวางแผนล่วงหน้าสำหรับการลงทุนในธุรกิจ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนี CPI +2.3% เดือนเม.ย. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนเม.ย.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.4% จากระดับ 2.4% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.8% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% จากระดับ 0.1% ในเดือนมี.ค. (อินโฟเควสท์)
ราคารถยนต์ในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นในเดือนเม.ย. หลังมาตรการภาษีส่งผลกระทบ เคลลี บลู บุ๊ก (Kelly Blue Book) เปิดเผยว่า ราคารถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามาตรการภาษีรถยนต์ที่ริเริ่มโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์แล้ว โดยราคาเฉลี่ยที่ผู้บริโภคจ่ายจริงเพิ่มขึ้นถึง 2.5% เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค. สูงกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๆ ซึ่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.1% ย้อนไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีเพียงเดือนเม.ย. 2563 เท่านั้นที่ราคาสูงขึ้นมากกว่านี้ โดยเพิ่มขึ้น 2.7% ในช่วงที่โรงงานต้องปิดทำการเนื่องจากการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 บรรดาผู้ผลิตรถยนต์กำลังปรับตัวรับมือกับภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ แต่มีผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ปรับขึ้นราคาขายปลีก โดยบางรายถึงกับออกข้อเสนอพิเศษเพื่อดึงดูดผู้ซื้อและรักษายอดขายเอาไว้ให้ได้ ผู้บริหารและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เปิดเผยว่า ความต้องการของผู้บริโภคกลับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ซื้อเร่งตัดสินใจซื้อก่อนที่ราคาจะปรับขึ้นจากผลกระทบของภาษี แม้ผู้ผลิตรถยนต์จะยังคงตรึงราคาไว้ แต่ความคาดหวังของผู้บริโภคว่าในที่สุดแล้วภาษีก็จะทำให้ราคาสูงขึ้น ก็จะส่งผลให้ราคารถยนต์บางรุ่นพุ่งสูง (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ ลดภาษี De Minimis สำหรับสินค้ามูลค่าต่ำจากจีน เหลือ 54% ทำเนียบขาวเผยแพร่คำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันจันทร์ (12 พ.ค.) ระบุว่า สหรัฐฯ เตรียมลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากจีนที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อวัน หรือที่เรียกว่า "de minimis" นับเป็นสัญญาณบวกล่าสุดในการผ่อนคลายความขัดแย้งทางการค้าทวิภาคี ทำเนียบขาวเผยว่า อัตราภาษี de minimis จะถูกปรับลดจากเดิม 120% เหลือเพียง 54% สำหรับพัสดุมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ พร้อมคงค่าธรรมเนียมคงที่ไว้ที่ 100 ดอลลาร์ต่อพัสดุ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 14 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ การปรับลดภาษีครั้งนี้มีขึ้นหลังจากจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่นครเจนีวา โดยทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน แม้แถลงการณ์ร่วมจะไม่ได้เอ่ยถึงการลดภาษี de minimis โดยตรงก็ตาม ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกข้อยกเว้นภาษี de minimis เมื่อเดือนก.พ. โดยอ้างว่าถูกใช้เป็นช่องทางหลักสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซจีนอย่างชีอิน (Shein) และเทมู (Temu) รวมถึงการลักลอบนำเข้าเฟนทานิลและสินค้าผิดกฎหมายอื่น ๆ (อินโฟเควสท์)
จนท.เฟดชี้สหรัฐฯ-จีนบรรลุดีลการค้าช่วยลดผลกระทบเศรษฐกิจ-สงครามการค้า เอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก ได้แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การที่สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวจะช่วยลดผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ คุกเลอร์กล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดที่กรุงดับลินของไอร์แลนด์ในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ว่า การที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วันนั้น ได้ลดโอกาสที่เฟดจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับชะลอตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมกับกล่าวว่า ผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ด้านการค้าของทั้งสองประเทศมีความคืบหน้ามากขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ดี คุกเลอร์มองว่า อัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าจีนซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 30% เป็นเวลา 90 วันนั้น ยังคงเป็นระดับที่สูงมาก ซึ่งคาดว่าจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจในสหรัฐฯ ชะลอตัวลง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เธอคาดหวังว่าผลกระทบเหล่านั้นจะลดน้อยลง (อินโฟเควสท์)
โกลด์แมนแซคส์มองศก.สหรัฐฯ เสี่ยงถดถอยน้อยลง หลังสงบศึกภาษีกับจีน โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ปรับลดคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยลงสู่ระดับ 35% จากเดิมที่มองว่ามีโอกาส 45% ถือเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่รายแรกที่เคลื่อนไหวดังกล่าว หลังจากที่การลดภาษีศุลกากรชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ กับจีนช่วยจุดประกายความหวังว่าสงครามการค้าได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว นอกจากนี้ โกลด์แมนยังปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ในปี 2568 ขึ้น 0.5% สู่ระดับ 1% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ทั้งยังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในเดือนธ.ค. จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีนี้ โดยล่าสุด โกลด์แมนคาดว่าการลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งจะเกิดขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย. 2569 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 269.67 จุด หลังหุ้น UnitedHealth ดิ่งหนัก ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (13 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สอง หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนยังคงมีมุมมองบวกต่อตลาด ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,140.43 จุด ลดลง 269.67 จุด หรือ -0.64%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,886.55 จุด เพิ่มขึ้น 42.36 จุด หรือ +0.72% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,010.08 จุด เพิ่มขึ้น 301.74 จุด หรือ +1.61% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.72 รับดีลการค้า-เงินเฟ้อสหรัฐฯต่ำกว่าคาด สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันอังคาร (13 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว และข้อมูลล่าสุดที่บ่งชี้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.72 ดอลลาร์ หรือ 2.78% ปิดที่ 63.67 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.67 ดอลลาร์ หรือ 2.57% ปิดที่ 66.63 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่าหลังเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด-จับตาถ้อยแถลงพาวเวล สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (13 พ.ค.) หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาด ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.77% แตะที่ระดับ 101.002 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $19.80 รับแรงช้อนซื้อ-เงินเฟ้อต่ำกว่าคาด สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (13 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาทองคำร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์ นอกจากนี้ ตลาดยังไดัปัจจัยหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดของสหรัฐฯ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 19.80 ดอลลาร์ หรือ 0.61% ปิดที่ 3,247.80 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ยืนเหนือ 4.4% แม้สหรัฐเผยดัชนี CPI ต่ำคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปียังคงปรับตัวเหนือระดับ 4.4% แม้สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ต่ำกว่าคาด ณ เวลา 20.57 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.469% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.918% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ยอดขายจากสมาชิกสมาคมผู้ค้าปลีก UK พุ่ง 7% ในเดือนเม.ย. ขานรับนักช้อปฉลองอีสเตอร์ นักช้อปชาวอังกฤษคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้าโลก และเดินหน้าจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนเม.ย. โดยได้อานิสงส์จากเทศกาลอีสเตอร์และสภาพอากาศที่แจ่มใส ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายอาหาร อุปกรณ์ทำสวน และเสื้อผ้า จากข้อมูลที่เปิดเผยวันนี้ (13 พ.ค.) ยอดขายจากสมาชิกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร (BRC) พุ่งสูงขึ้น 7.0% เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.ปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากช่วงวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์ นับเป็นการเติบโตรายปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ยอดขายเสื้อผ้าก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากเดือนเม.ย.ปีนี้มีแดดออกมากที่สุดใน UK นับตั้งแต่เริ่มบันทึกสถิติเมื่อปี 2453 กระตุ้นให้นักช้อปออกมาหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ หลังจากซบเซามาพักหนึ่ง เมื่อรวมยอดขายเฉลี่ยของเดือนมี.ค.และเม.ย. เพื่อปรับผลกระทบจากช่วงเทศกาลอีสเตอร์ที่ปีนี้อยู่ในเดือนเม.ย. (ต่างจากปี 2567 ที่อยู่ในเดือนมี.ค.) พบว่า ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน ข้อมูลอีกชุดจากธนาคารบาร์เคลย์ส (Barclays) ก็ชี้ให้เห็นการฟื้นตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคในทิศทางเดียวกันเมื่อเดือนที่แล้ว โดยตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรของธนาคารเพิ่มขึ้น 4.5% เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย. 2567 นับเป็นการเติบโตรายปีสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2566 บาร์เคลย์สระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีที่อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ (อินโฟเควสท์)
ตลาดแรงงาน UK เดือนเม.ย.แผ่ว จ้างงานลด-ค่าจ้างชะลอตัว ตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักร (UK) ส่งสัญญาณชะลอตัวลงอีกครั้ง โดยตัวเลขการจ้างงานลดลงและการเติบโตของค่าจ้างก็เริ่มแผ่วลง ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เบาใจได้ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อกำลังลดน้อยลง ข้อมูลเบื้องต้นจากสำนักงานสรรพากรและศุลกากรอังกฤษ (HMRC) ชี้ว่า จำนวนลูกจ้าง UK ลดลง 33,000 คนในเดือนเม.ย. หลังจากที่ลดลงไปแล้ว 47,000 คนในเดือนมี.ค. ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า จำนวนตำแหน่งงานว่างลดลงต่อเนื่องจนต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด โดยในช่วงสามเดือนจนถึงเม.ย. มีตำแหน่งงานว่าง 761,000 ตำแหน่ง ลดลงถึง 42,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี ONS ระบุด้วยว่า รายได้เฉลี่ยต่อสัปดาห์ (ไม่รวมโบนัส) ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการเพิ่มขึ้นที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสามเดือนสิ้นสุดเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าค่าจ้างจะโต 5.7% ส่วนค่าจ้างในภาคเอกชนที่ไม่รวมโบนัส ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศที่ BoE จับตามองอย่างใกล้ชิด ก็ขยับขึ้น 5.6% ซึ่งน้อยกว่าที่เพิ่มขึ้น 5.9% ในช่วงสามเดือนสิ้นสุดเดือนก.พ. (อินโฟเควสท์)
ZEW เผยดัชนีความเชื่อมั่นเยอรมนีสูงกว่าคาดในเดือนพ.ค. ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีพุ่งขึ้นสู่ระดับ 25.2 ในเดือนพ.ค. จากระดับ -14.0 ในเดือนเม.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 11.9 ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการตั้งรัฐบาลใหม่ของเยอรมนี, ความคืบหน้าในการเจรจาอัตราภาษีศุลกากรกับสหรัฐ, อัตราเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวมาจากการสำรวจนักวิเคราะห์ทางการเงินราว 350 คนจากธนาคาร บริษัทประกัน และบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเยอรมนี (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย นลท.ประเมินผลประกอบการ ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร (13 พ.ค.) ขณะที่แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดและข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนนั้นเริ่มแผ่วลง ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแบบผสมผสาน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 545.17 จุด เพิ่มขึ้น 0.68 จุด หรือ +0.12% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,873.83 จุด เพิ่มขึ้น 23.73 จุด หรือ +0.30%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,638.56 จุด เพิ่มขึ้น 72.02 จุด หรือ +0.31% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,602.92 จุด ลดลง 2.06 จุด หรือ -0.02% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 2.06 จุด นลท.โฟกัสข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันอังคาร (13 พ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด และสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงานอังกฤษ ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการตัดสินใจกำหนดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,602.92 จุด ลดลง 2.06 จุด หรือ -0.02% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
บริษัทญี่ปุ่นล้มละลายทะลุ 800 แห่งเดือนเม.ย. เหตุราคาสินค้าพุ่ง-ขาดแคลนแรงงาน ผลสำรวจของบริษัทวิจัย เทโกกุ ดาต้าแบงก์ (Teikoku Databank) ที่เผยแพร่ในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ระบุว่า จำนวนบริษัทล้มละลายในญี่ปุ่นพุ่งทะลุ 800 แห่งในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี สะท้อนถึงความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นและการขาดแคลนแรงงาน ข้อมูลระบุว่า บริษัทญี่ปุ่น 826 แห่งที่มีหนี้สินอย่างน้อย 10 ล้านเยน (ราว 67,490 ดอลลาร์สหรัฐ) ได้ยื่นขอล้มละลายในเดือนเม.ย. นับเป็นเดือนที่ 36 ติดต่อกันที่จำนวนบริษัทล้มละลายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า เมื่อจำแนกตามภาคส่วน บริษัทล้มละลาย 215 แห่งอยู่ในภาคบริการ และ 195 แห่งอยู่ในภาคค้าปลีก ซึ่งต่างก็เป็นตัวเลขสูงสุดสำหรับเดือนเม.ย. นับตั้งแต่ปี 2543 โดยมีสาเหตุมาจากภาวะเงินเฟ้อยืดเยื้อซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องลดการใช้จ่าย รวมถึงการขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ แต่เทโกกุ ดาต้าแบงก์เตือนว่า หากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่ถูกระงับอยู่ในขณะนี้กลับมามีผลบังคับใช้ อาจส่งผลให้การส่งออกและการลงทุนลดลง และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของการบริโภคส่วนบุคคล (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นแห่ลงทุนทองคำ หวั่นเศรษฐกิจชะลอตัวจากนโยบายภาษีทรัมป์ ตลาดทองคำในญี่ปุ่นกำลังคึกคัก ท่ามกลางความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยนักลงทุนจำนวนมากหันมาถือครองทองคำ เนื่องจากมองว่าทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและมีโอกาสน้อยที่จะร่วงลงรุนแรงในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนหนัก ราคาทองคำอ้างอิงที่กำหนดโดยบริษัททานากะ พรีเชียส เมทัล เทคโนโลยีส์ (Tanaka Precious Metal Technologies) พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 22 เม.ย. โดยแตะระดับกว่า 17,000 เยน (115 ดอลลาร์) และพุ่งขึ้นราว 15% ภายในเวลาเพียง 3 เดือนนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผลิตภัณฑ์ที่อิงกับราคาทองคำได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนผ่านโครงการ Nippon Individual Savings Account (NISA) ซึ่งเป็นโครงการยกเว้นภาษีจากการลงทุนของรัฐบาลญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเริ่มลงทุนในทองคำแท้เป็นประจำทุกเดือน ทานากะ พรีเชียส เมทัล เผยว่า จำนวนผู้ซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองกับบริษัทเพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวนสมาชิกที่ลงทุนในทองคำบริสุทธิ์ด้วยมูลค่าคงที่รายเดือนก็ขยายตัว 26% ในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (อินโฟเควสท์)
ขุนคลังญี่ปุ่นเล็งหารือสหรัฐฯ เรื่องค่าเงิน นอกรอบประชุม G7 สัปดาห์หน้า คัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า เขาตั้งใจจะพบปะกับสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นอกรอบการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศหรือ G7 ที่จะจัดขึ้นที่แคนาดาในระหว่างวันที่ 20–22 พ.ค.นี้ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ คาโตะกล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า ขณะนี้กำลังเตรียมตัวไปร่วมการประชุม G7 และหากสถานการณ์เอื้ออำนวย เขาหวังว่าจะได้ใช้โอกาสนี้พบปะพูดคุยกับเบสเซนต์ เพื่อหารือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ มีข้อตกลงร่วมกันว่า จะไม่หยิบยกเรื่องค่าเงินมาเจรจาในเวทีการค้าระหว่างกันโดยตรง แต่จะหารือเรื่องนี้ผ่านช่องทางระหว่างรัฐมนตรีคลังของทั้งสองประเทศแทน คาโตะยังระบุว่า หากมีการพบกันจริง ก็สามารถหารือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนในฐานะส่วนหนึ่งของการเจรจาภาษีระหว่างสองประเทศได้อย่างราบรื่น (อินโฟเควสท์)
ราคาข้าวญี่ปุ่นลดลงครั้งแรกในรอบ 18 สัปดาห์ หลังรัฐบาลออกมาตรการ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น (MAFF) เปิดเผยว่า ราคาข้าวในญี่ปุ่นลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 18 สัปดาห์ เหลือ 4,214 เยนต่อ 5 กิโลกรัม โดยสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การปล่อยข้าวสารในคลังของรัฐดูเหมือนจะเริ่มเห็นผลในการช่วยให้สถานการณ์อุปทานทรงตัวแล้ว MAFF ระบุว่า ในช่วง 7 วันจนถึงวันที่ 4 พ.ค. ราคาเฉลี่ยข้าวที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศลดลง 19 เยนต่อ 5 กิโลกรัม จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ราคาขึ้นไปสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลเมื่อเดือนมี.ค. 2565 แต่ถึงอย่างนั้น ราคาข้าวก็ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงประมาณเท่าตัว ทำให้ต้องติดตามกันต่อไปว่าราคาจะลดลงต่อเนื่องหรือไม่ ด้านสมาพันธ์สหกรณ์การเกษตรแห่งชาติ ซึ่งได้รับข้าวจากคลังสำรองที่ระบายออกมาส่วนใหญ่ กำลังเร่งนำข้าวเหล่านี้ออกสู่ตลาด ช่วงหลังมานี้ ปริมาณข้าวในตลาดตึงตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอากาศร้อนจัดเมื่อหน้าร้อนปีที่แล้ว และความต้องการที่มากขึ้นจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา รัฐบาลจึงตัดสินใจระบายข้าวสารสำรอง 312,000 ตัน เพื่อให้การกระจายสินค้าในตลาดคล่องตัวขึ้น (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 539.00 จุด หลังความขัดแย้งการค้าสหรัฐฯ-จีนคลี่คลาย ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (13 พ.ค.) ต่อเนื่องเป็นวันทำการที่สี่ แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนผ่อนคลายลง ภายหลังจากที่ทั้งสองประเทศตกลงที่จะปรับลดภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ที่เพิ่งประกาศใช้ต่อกันในช่วงที่ผ่านมา สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 38,183.26 จุด เพิ่มขึ้น 539.00 จุด หรือ +1.43% (อินโฟเควสท์)
จีน
ตลาดยานยนต์จีนโตแกร่ง 4 เดือนแรกปีนี้ รถ NEV มาแรง สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM) รายงานในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ว่า ยอดผลิตรถยนต์ในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. เพิ่มขึ้น 12.9% เมื่อเทียบรายปี แตะเกือบ 10.18 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 10.8% สู่ระดับ 10.06 ล้านคัน นับเป็นครั้งแรกที่ยอดผลิตและยอดขายรถยนต์ของจีนในช่วง 4 เดือนแรกทะลุ 10 ล้านคันทั้งคู่ รายงานระบุว่า ยอดผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) พุ่งขึ้น 48.3% เมื่อเทียบรายปี แตะเกือบ 4.43 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายพุ่งขึ้น 46.2% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 4.3 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 42.7% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมดในจีนช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. นอกจากนี้ ยอดส่งออกรถยนต์ของจีนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบรายปี แตะเกือบ 1.94 ล้านคันในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. โดยเฉพาะยอดส่งออกรถ NEV พุ่งขึ้นถึง 52.6% แตะที่ 642,000 คัน CAAM ระบุว่า นโยบายเศรษฐกิจมหภาคต่าง ๆ ได้ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ อีกทั้งตลาดยังมีความคึกคักมากขึ้นจากโครงการรถเก่าแลกซื้อรถใหม่ (Trade In) ของภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และราคายานยนต์ที่มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยในวันจันทร์ว่า จำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการรถเก่าแลกซื้อรถใหม่มีมากกว่า 10 ล้านราย นับจนถึงวันอาทิตย์ (11 พ.ค.) (อินโฟเควสท์)
ผลสำรวจชี้ธุรกิจจีนในสหรัฐฯ ชะลอแผนลงทุน กังวลเงินเฟ้อ-เศรษฐกิจผันผวน สภาหอการค้าจีน (CGCC) ประจำสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจประจำปีเมื่อวันจันทร์ (12 พ.ค.) ระบุว่า บริษัทจีนที่ดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจที่ขาดเสถียรภาพจากข้อจำกัดทางการค้า ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านี้ระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ผลสำรวจพบว่า สัดส่วนของบริษัทจีนที่กังวลเรื่องแรงกดดันจากเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 9 จุด เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แตะที่ 80% ซึ่งกลายเป็นความท้าทายอันดับสองรองจากความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ จำนวนบริษัทจีนที่คาดว่ารายได้ประจำปีจากตลาดสหรัฐฯ จะลดลงในปีนี้ เพิ่มขึ้น 12 จุด มาอยู่ที่ 30% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน กว่า 50% ของบริษัทจีนยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการลงทุนจากต่างประเทศ โดยตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 8 จุด เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
"สี จิ้นผิง" ชี้ ไม่มีผู้ชนะในเทรดวอร์ การบูลลี่ผู้อื่นมีแต่จะทำให้ตัวเองโดดเดี่ยว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนกล่าวในวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า ในภาวะที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบศตวรรษและเต็มไปด้วยความเสี่ยงซับซ้อนนานัปการ การร่วมมือกันเท่านั้นที่จะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของโลก พร้อมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในระดับโลกได้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปธน.สีกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 4 ของเวทีความร่วมมือจีน-ประชาคมแห่งรัฐลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (China-CELAC Forum) ที่กรุงปักกิ่ง โดยย้ำว่า ไม่มีใครได้ประโยชน์จากสงครามภาษีและสงครามการค้า ส่วนการระรานและการใช้อิทธิพลกดดันผู้อื่น มีแต่จะทำให้ตัวเองโดดเดี่ยวในที่สุด (อินโฟเควสท์)
"สี จิ้นผิง" ปลื้มมูลค่าการค้าจีน-ลาตินอเมริกาทะลุ 5 แสนล้านดอลล์เป็นครั้งแรก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เปิดเผยในวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับภูมิภาคลาตินอเมริกาในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นสูงเกิน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก ปธน.สีกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างการประชุมสุดยอด China-CELAC Forum ซึ่งเป็นเวทีความร่วมมือระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกาและแคริบเบียนที่จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง โดยสีกล่าวต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่จากประเทศในลาตินอเมริกาและแคริบเบียนว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทั้งมิตรสหายเก่าและใหม่ ปธน.สีระบุด้วยว่า จีนให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความพยายามของประเทศลาตินอเมริกาและแคริบเบียนในการขยายบทบาทและอิทธิพลของตนในเวทีพหุภาคีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ปธน.สียังเปิดเผยว่า จีนเตรียมมอบวงเงินสินเชื่อสกุลเงินหยวน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ประเทศในลาตินอเมริกาเพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนา ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อสกุลเงินหยวนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการผลักดันให้เงินหยวนให้มีบทบาทในระดับนานาชาติมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของจีนในการกระชับความสัมพันธ์ด้านยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจกับภูมิภาคลาตินอเมริกาอย่างต่อเนื่อง (อินโฟเควสท์)
แบงก์ใหญ่แห่เพิ่มคาดการณ์ GDP จีน หลังบรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯ สถาบันการเงินรายใหญ่ได้พากันปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปีนี้ หลังจากจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 พ.ค.) โดยมองว่าข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยลดความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสองประเทศ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเป็นเหตุให้สถาบันการเงินหลายแห่งพากันปรับลดคาดการณ์ GDP จีนในช่วงก่อนหน้านี้ โดยมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP รายไตรมาสระยะสั้นของจีนในปี 2568 เป็น 4.5% จากเดิม 4% โดยคาดว่าบริษัทต่าง ๆ จะพยายามเร่งการส่งออกเพื่อให้ได้ประโยชน์จากภาษีศุลกากรที่ปรับตัวลง ขณะที่ยูบีเอส (UBS) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP จีนในปี 2568 ขึ้นสู่ระดับ 3.7% - 4% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 3.4% โดยมองว่าข้อตกลงการค้าจะช่วยลดผลกระทบที่มีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ทางด้านนาทิซิส (Natixis) ซึ่งเป็นธนาคารของฝรั่งเศส คาดการณ์ว่า GDP จีนจะขยายตัว 4.5% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.2% และธนาคารเอเอ็นแซด (ANZ) คาดการณ์ว่า GDP จีนในปีนี้จะขยายตัวมากกว่า 4.2% (อินโฟเควสท์)
จีนยกเลิกคำสั่งห้ามสายการบินรับมอบเครื่องบินโบอิ้ง หลังสงบศึกภาษีกับสหรัฐฯ สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า จีนยกเลิกคำสั่งห้ามสายการบินในประเทศรับมอบเครื่องบินโบอิ้ง (Boeing) แล้ว หลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีนำเข้าชั่วคราว สำนักข่าวบลูมเบิร์กเป็นรายแรกที่รายงานข่าวนี้ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนเริ่มแจ้งให้สายการบินในประเทศและหน่วยงานของรัฐบาลทราบในสัปดาห์นี้ว่า การรับมอบเครื่องบินที่ผลิตในสหรัฐฯ สามารถกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นข่าวดีอย่างมากสำหรับโบอิ้ง เนื่องจากจีนเป็นตลาดการบินที่สำคัญ และครองสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดเครื่องบินพาณิชย์รอส่งมอบของบริษัท (อินโฟเควสท์)
บราซิลจับมือจีนเสริมบทบาทกลุ่มประเทศโลกใต้ หนุนการค้าเสรี-ระบบพหุภาคี ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวาของบราซิลกล่าวว่า บราซิลตั้งเป้าจะร่วมมือกับจีนเพื่อเสริมสร้างจุดยืนของกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) ในการสนับสนุนระบบพหุภาคีและการค้าเสรี สำนักข่าวซินหัวรายงานในวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า ปธน.ลูลาให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนในบราซิลก่อนเดินทางเยือนจีน โดยระบุว่า ทั้งสองประเทศสามารถใช้เวทีความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การประชุมจีน-ประชาคมแห่งรัฐลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (China-CELAC Forum), กลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 (COP30) ที่จะจัดขึ้นในปี 2568 เพื่อผลักดันประเด็นเหล่านี้ร่วมกัน ผู้นำบราซิลกล่าวว่า "บราซิลมองจีนเป็นพันธมิตรทางการเมือง พันธมิตรทางเศรษฐกิจ และพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งในโลกศตวรรษที่ 21 ที่เต็มไปด้วยความผันผวนนี้" (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวกเพียงเล็กน้อย เหตุนลท.ระมัดระวังซื้อขาย ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ (13 พ.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนกลับมามีท่าทีระมัดระวังอีกครั้ง จากก่อนหน้านี้ที่ขานรับข่าวจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,374.87 จุด เพิ่มขึ้น 5.63 จุด หรือ +0.17% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดร่วง 441.19 จุด หลังปิดบวก 8 วันรวด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงในวันนี้ (13 พ.ค.) จากแรงขายทำกำไร หลังฮั่งเส็งปิดในแดนบวกติดต่อกัน 8 วันทำการ และปิดพุ่งเกือบ 700 จุดเมื่อวานนี้ ขานรับข่าวจีนและสหรัฐฯ เห็นพ้องลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 23,108.27 จุด ร่วงลง 441.19 จุด หรือ -1.87% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
อินเดียเผยดัชนี CPI +3.16% เดือนเม.ย. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงสถิติของอินเดียเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 3.16% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.27% จากระดับ 3.34% ในเดือนมี.ค. การชะลอตัวของดัชนี CPI ในเดือนเม.ย.มีสาเหตุจากการปรับตัวลงของราคาอาหาร ดัชนี CPI ที่ระดับ 3.16% ในเดือนเม.ย. ถือเป็นการชะลอตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 และปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายระยะกลางที่ 4% ของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้เดินหน้าเจรจา FTA กับมาเลเซีย หวังขยายการค้ารับมือความไม่แน่นอนทั่วโลก กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ด้านการค้าราว 70 คนจากเกาหลีใต้และมาเลเซียจะเข้าร่วมการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ทวิภาคี เป็นเวลาสามวัน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการค้าและยกระดับความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ปัจจุบัน เกาหลีใต้มีข้อตกลง FTA กับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี รัฐบาลมุ่งหวังที่จะทำ FTA กับสมาชิกอาเซียนเป็นรายประเทศด้วย ซึ่งรวมถึงมาเลเซีย หนึ่งในตลาดสำคัญของภูมิภาค ทั้งนี้ เกาหลีใต้และมาเลเซียตกลงกลับมาเจรจา FTA อีกครั้งเมื่อเดือนมี.ค. 2567 หลังจากที่หยุดชะงักไปห้าปี โดยการเจรจาซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันนี้ (13 พ.ค.) นับเป็นรอบที่ 9 แล้ว ควอน ฮเยจิน หัวหน้าผู้เจรจา FTA ของกระทรวงการค้าฯ กล่าวว่า ข้อตกลงทวิภาคีกับมาเลเซียจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทเกาหลี รวมทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าโลกที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ควอนเสริมว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะหารืออย่างจริงจังกับมาเลเซียเพื่อสรุปข้อตกลง FTA ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมุ่งสร้างความคืบหน้าในแปดด้าน เช่น การเปิดตลาดสินค้าและบริการ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เป็นต้น (อินโฟเควสท์)
"โมดี" ประกาศกร้าวอินเดียยังจับตาปากีสถานอย่างใกล้ชิดหลังบรรลุดีลหยุดยิง นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดียกล่าวปราศรัยต่อประชาชนในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ว่า อินเดียจะจับตาท่าทีของปากีสถานอย่างใกล้ชิดหลังจากทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โมดีระบุว่า ขีปนาวุธและโดรนของอินเดียได้โจมตีฐานที่มั่นของผู้ก่อการร้ายในปากีสถาน และมีผู้ก่อการร้ายที่อันตรายมากกว่า 100 รายถูกสังหารในการโจมตีของอินเดียครั้งนี้ พร้อมแสดงจุดยืนว่า อินเดียจะไม่ทนกับการแบล็กเมลด้วยนิวเคลียร์ใด ๆ ก็ตามจากปากีสถาน โมดีกล่าวว่า "ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อินเดียจะพิจารณาทุกก้าวของปากีสถานจากท่าทีที่ปากีสถานจะแสดงออกมา" โมดีระบุว่า การโจมตีครั้งล่าสุดของอินเดียซึ่งสะท้อนนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายของประเทศ ได้บรรลุมาตรฐานใหม่ในความพยายามดังกล่าวแล้ว และเพื่อเป็นการตอบโต้การก่อการร้ายใด ๆ ก็ตามหลังจากนี้ อินเดียจะดำเนินการอย่างเข้มงวดในทุกที่ที่ต้นตอของการก่อการร้ายปรากฏขึ้น และเสริมว่า อินเดียจะไม่แยกแยะระหว่างรัฐบาลที่สนับสนุนการก่อการร้ายและผู้อยู่เบื้องหลังการก่อการร้าย (อินโฟเควสท์)
"เนทันยาฮู" เผยกองทัพอิสราเอลเตรียมกวาดล้างฮามาสในฉนวนกาซา ทำเนียบนายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกแถลงการณ์ระบุว่า นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวว่า ภายในไม่กี่วันข้างหน้า กองทัพอิสราเอลจะเดินทางเข้าสู่ฉนวนกาซาอย่างเต็มกำลังเพื่อกำจัดกลุ่มฮามาส ทั้งนี้ นายเนทันยาฮูกล่าวต่อทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบว่า "ด้วยจิตวิญญาณของพวกคุณ เราจะได้รับชัยชนะ เราจะกำจัดฮามาสและปล่อยตัวประกันทั้งหมด ไม่มีทางที่เราจะยุติสงคราม โดยเราอาจทำข้อตกลงหยุดยิงเป็นระยะเวลาหนึ่ง" นอกจากนี้ นายเนทันยาฮูกล่าวว่า ขณะนี้อิสราเอลได้จัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลเกี่ยวกับการให้ชาวกาซาเดินทางออกจากดินแดน แต่ก็จำเป็นต้องมีประเทศที่อนุญาตให้มีการรับชาวกาซาเข้าประเทศ นายเนทันยาฮูเชื่อว่า จะมีชาวปาเลสไตน์มากกว่า 50% ที่ต้องการเดินทางออก หากมีการเสนอทางเลือกที่พวกเขาพอใจ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 1,200 จุด ขายทำกำไรฉุดตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 1,200 จุด ขณะที่นักลงทุนพากันเทขายทำกำไร หลังดัชนีพุ่งขึ้นเกือบ 3,000 จุดวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี ขานรับการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอินเดียและปากีสถาน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,148.22 ลบ 1,281.68 จุด หรือ 1.55% (อินโฟเควสท์)
ไทย
4 เดือนครึ่ง นทท.ต่างชาติเที่ยวไทย 33.2% ของเป้าทั้งปี 39 ล้านคน-ทำรายได้ 18% ของเป้า 3.4 ล้านลบ. นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์การท่องเที่ยว ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 พ.ค. 68 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 12,948,032 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 613,168 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ จีน 1,766,870 คน มาเลเซีย 1,662,922 คน รัสเซีย 916,360 คน อินเดีย 829,371 คน และเกาหลีใต้ 619,340 คน ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-11 พ.ค. 68) นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดสิงคโปร์เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นกว่า 18.01% โดยขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 จากเดิมในอันดับที่ 12 ซึ่งเป็นการเดินทางหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งทั่วไปในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวด้านการเดินทางซึ่งถือเป็นแนวโน้มปกติของช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (Low season) ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 489,568 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 126,985 คน หรือ 20.60% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 69,938 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย 86,017 คน จีน 61,235 คน อินเดีย 49,904 คน รัสเซีย 22,300 คน และสิงคโปร์ 18,929 คน (อินโฟเควสท์)
นายกฯ เผยไทยส่งข้อเสนอเจรจาภาษีสหรัฐไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วรอนัดหมาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้ยื่นข้อเสนอ (Proposal) เพื่อเจรจาต่อรองมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างนี้คงต้องรอการนัดหมายเจรจาจากทางการสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการทั้งระดับรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า ไทยได้ยื่น Proposal ให้กับสหรัฐไปเมื่อ 4-5 วันที่แล้ว ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ของจีนก็เป็นไปตามที่เราคาด ส่วนสถานการณ์ของเกาหลีและญี่ปุ่นก็ค่อนข้างสลับซับซ้อนกว่าเรา ทั้งนี้ ทางการไทยได้มีข้อเสนอราว 5-6 ข้อที่ส่งไปถึงทั้งกระทรวงการคลังของสหรัฐ และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) โดยหากได้รับการตอบรับจากฝ่ายสหรัฐก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจาเบื้องต้นก่อน วิธีคุยของเราคือ เรายื่นข้อเสนอถึงเขาเรื่องอะไรหากเกี่ยวข้องกับสมาคมการค้าใดเราก็ขอไปเจอก่อนเพื่อสร้างความเข้าใจว่าจะซื้อสินค้าอย่างไร หรือลงทุนอย่างไร เป็นการตกลงในระดับทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมาคุยในระดับหลักการแล้วจะจบได้ง่าย เชื่อว่าอีกไม่นานทางฝั่งสหรัฐคงจะมีคำตอบกลับมา (อินโฟเควสท์)
"ไม่มียุบสภา"!! นายกฯ ยันเสถียรภาพรัฐบาลยังเหนียวแน่น หลังลือหนัก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันกรณีมีกระแสข่าวการยุบสภาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยไม่พอใจคดีฮั้วเลือก สว. และจะคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 69 ว่า "ไม่มีเลย" ที่จริงการทำร่างงบประมาณก็เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีเรื่องที่จะยุบสภา และเสถียรภาพของรัฐบาลยังเหนียวแน่นเหมือนเดิม ส่วนผู้นำจิตวิญญาณ 2 คน คือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ กำลังสู้รบผ่านนิติสงครามนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับทั้ง 2 คน นอกรอบก็คุยกันได้อยู่แล้ว " สื่อชอบโยงกันเองใช่หรือไม่ โยงโน่นโยงนี่โยงนั่น โยงจนบางทีงงว่าเกี่ยวข้องกันจริงหรือ แต่ก็ไม่มีอะไร...หากถามว่าเกินมือตนหรือไม่ ที่ตัวเองจะไปเกี่ยวข้อง จะเกินมือได้อย่างไร ในเมื่อดิฉันยังเป็นนายกฯ อยู่ จะเกินมือได้อย่างไร" น.ส.แพทองธาร กล่าว นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า เสถียรภาพของรัฐบาลต้องมั่นใจอยู่แล้ว ต้องคุมให้ได้ และอีกเรื่องหนึ่งหากจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำจิตวิญญาณ ก็ต้องเกิดขึ้นนอกรอบนอกระบบ แต่หากอยู่ในระบบอยู่ในการจัดตั้งรัฐบาล คงเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะทั้ง 2 คน ไม่มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม พรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่แล้ว ในพรรคบางทีก็ยังไม่ตรงกัน แต่ก็ต้องหาจุดจบจนได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่ติดขัดก็ต้องช่วยกันและคุยกัน พอมาถึงเรื่องใหญ่พรรคร่วมฯ ก็มีการคุยกันนอกรอบก่อน (อินโฟเควสท์)
คลัง ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตั้งการ์ดรับมือ "S&P-ฟิทช์" หลังมูดี้ส์ลด Outlook ไทย นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาทำงานเชิงรุก ในการให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคมกับบริษัทจัดอันดับอีก 2 แห่งที่เหลือ ได้แก่ บริษัท เอสแอนด์พี และบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง จำกัด ก่อนที่จะเดินทางเข้ามาเก็บข้อมูลในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ นายพชร กล่าวว่า หากไทยไม่เร่งดำเนินการเพิ่มเติมก็เสี่ยงถูกลดเครดิตได้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้กังวล แม้ว่าก่อนหน้านี้มูดี้ส์จะปรับลดมุมมองของไทยลง แต่ต้องยอมรับว่าช่วงที่เข้ามาเก็บข้อมูลจังหวะเศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ดีจริง ๆ เพราะเข้ามาในช่วงแผ่นดินไหว ทำให้เศรษฐกิจไทยเจอกับความเปราะบางในหลาย ๆ ด้าน และยังมีเรื่องมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ อีกด้วย "อีก 2 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เหลือนั้น เรายังไม่ได้คุยอย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่ รมว.คลัง ให้ความสำคัญอย่างยิ่งหลังจากนี้ คือการให้ข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมกับ 2 บริษัทที่เหลือ จึงตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมา เพราะมองว่าหลังจากมูดี้ส์ก็มีโอกาสที่ 2 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เหลือจะลดมุมมองของไทยด้วยเช่นกัน ทำให้กระทรวงการคลังต้องเร่งทำงานเชิงรุก โดยรอบนี้มีการดึงหน่วยงานด้านสังคม เช่น สำนักงานสิทธิมนุษยชนเข้ามาร่วมด้วย เพื่อประสานการให้ข้อมูลกับ 2 บริษัทที่เหลืออย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วทั้ง 2 บริษัทจะลดมุมมองของไทยเหมือนกับมูดี้ส์หรือไม่" นายพชร กล่าว (อินโฟเควสท์)
ครม.ไฟเขียวออก Thailand Digital Token ทดลองงวดแรก 5 พันลบ.ภายใน 1-2 เดือน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอวิธีการกู้เงินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อเปิดทางให้มีการออกโทเคนดิจิทัลของภาครัฐ (G-Token) ตามมาตรา 10 วรรค 1 แห่ง พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ เพื่อสร้างโอกาสและส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนที่มีคุณภาพของประชาชนโดยผลักดันให้ G Token เป็นเครื่องมือใหม่ของการระดมทุนภาครัฐ เป็นการนำเทคโนโลยีการเงินาประยุกต์ใช้เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้ประชาชน นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู๋สังคมดิจิทัลในอนาคต นายพิชัย ชุณหวขิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนจะออกเครื่องมือระดมทุนแบบใหม่ของภาครัฐ คือ Thailand Digital Token เพื่อเป็นทางเลือกการออมให้กับประชาชนเพิ่มเติมจากรูปแบบเดิมที่มีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนรายย่อยได้มากขึ้นให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินและลงทุนในจำนวนน้อยได้ โดยคาดว่าจะทดลองระบบด้วยการออกงวดแรกราว 5 พันล้านบาทบวก/ลบภายใน 1-2 เดือนนี้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รับทราบวามคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาพิจารณาแล้วว่าโทเคนดังกล่าวจะไม่ได้นำไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) และจะทำในสัดส่วนที่เหมาะสม แต่รายย่อยจะสามารถนำโทเคนไปแลกเปลี่ยนมือได้ผ่านระบบ Exchange ที่มีอยู่ได้ (อินโฟเควสท์)
"เที่ยวคนละครึ่ง" ยังไม่เข้าครม.รอสำนักงบฯ พิจารณาคาดไม่เกินต้นเดือนหน้ารู้ผล นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงโครงการเที่ยวคนละครึ่งว่า วันนี้ยังไม่ได้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยยังต้องไปที่สำนักงบประมาณก่อน เพื่อกำหนดเป็นกรอบกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยกรอบวงเงินเบื้องต้นน้อยกว่าที่ขอไปเล็กน้อย ซึ่งจะนำมาใช้ใน 3 ส่วน คาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมช่วงปลายเดือนพ.ค. นี้ หรือต้นเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้ได้เปิดให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวลงทะเบียนไว้ก่อน หลังจากที่นายกรัฐมนตรีอนุมัติแล้วก็ดำเนินการได้ทันที เพราะใช้ระบบคล้ายของเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ทั้งนี้ นายสรวงศ์ กล่าวถึงการขยายพื้นที่การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มในวันพระใหญ่ว่า เพิ่งผ่านมาได้วันเดียวยังไม่รู้ว่าตัวเลขเป็นอย่างไร แต่หากทำให้ถูกกฎหมายและควบคุม ดีกว่าปิดกั้นจนต้องไปแอบทำ เพราะทราบดีอยู่แล้วว่าทุกวันพระใหญ่ยังมีการแอบขายเหล้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 3.45 จุด ขานรับเจรจาจีน-สหรัฐก่อนลดช่วงบวกท้ายตลาดรับแรงขายทำกำไร SET ปิดวันนี้ที่ 1,214.39 จุด เพิ่มขึ้น 3.45 จุด (+0.28%) มูลค่าซื้อขาย 50,869.98 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นตามภูมิภาคหลังจีน-สหรัฐบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น มองโอกาสภาษีตอบโต้ของประเทศอื่น ๆ มีโอกาสลดลงมากกว่าจีน ตลาดบ้านเราวันนี้มีแรงซื้อในกลุ่ม Laggard อาทิ แบงก์ พลังงาน ปิโตรเคมี และบรรจุภัณฑ์ สลับแรงขายทำกำไรหุ้นที่ขึ้นมาแรงแล้วทำให้ช่วงท้ายเริ่มแผ่ว แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดยังมีแรงเก็งกำไรเชิงบวก แนะติดตามสภาพัฒน์แถลง GDP ไตรมาส 1/68 ต้นสัปดาห์หน้า ให้กรอบแนวรับ 1,200 จุด และแนวต้าน 1,250 จุด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.21 แข็งค่าจากช่วงเช้าแต่อ่อนค่ากว่าภูมิภาค ตลาดจับตาตัวเลข CPI สหรัฐฯคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 33.21 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 33.46 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลก ระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.14 - 33.46 บาท/ดดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตร 6.6 พันล้านบาท คืนนี้ตลาดรอดูการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน เม..ย.68 ของสหรัฐฯ โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.4% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 2.8% นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 33.30-33.55 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 117,486 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 117,486 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 49,853 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,367 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 6,630 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.66% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.05% (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดย่อมร่วง 4 เดือนติด กังวลนโยบาย "ทรัมป์" สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงในวันนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมร่วงลง 1.6 จุด สู่ระดับ 95.8 ในเดือนเม.ย. โดยเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 94.9 ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการใช้นโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้สร้างความยากลำบากต่อบริษัทต่าง ๆ ในการวางแผนล่วงหน้าสำหรับการลงทุนในธุรกิจ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนี CPI +2.3% เดือนเม.ย. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนเม.ย.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.4% จากระดับ 2.4% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.8% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% จากระดับ 0.1% ในเดือนมี.ค. (อินโฟเควสท์)
ราคารถยนต์ในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นในเดือนเม.ย. หลังมาตรการภาษีส่งผลกระทบ เคลลี บลู บุ๊ก (Kelly Blue Book) เปิดเผยว่า ราคารถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามาตรการภาษีรถยนต์ที่ริเริ่มโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์แล้ว โดยราคาเฉลี่ยที่ผู้บริโภคจ่ายจริงเพิ่มขึ้นถึง 2.5% เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค. สูงกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๆ ซึ่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.1% ย้อนไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีเพียงเดือนเม.ย. 2563 เท่านั้นที่ราคาสูงขึ้นมากกว่านี้ โดยเพิ่มขึ้น 2.7% ในช่วงที่โรงงานต้องปิดทำการเนื่องจากการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 บรรดาผู้ผลิตรถยนต์กำลังปรับตัวรับมือกับภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ แต่มีผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ปรับขึ้นราคาขายปลีก โดยบางรายถึงกับออกข้อเสนอพิเศษเพื่อดึงดูดผู้ซื้อและรักษายอดขายเอาไว้ให้ได้ ผู้บริหารและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เปิดเผยว่า ความต้องการของผู้บริโภคกลับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ซื้อเร่งตัดสินใจซื้อก่อนที่ราคาจะปรับขึ้นจากผลกระทบของภาษี แม้ผู้ผลิตรถยนต์จะยังคงตรึงราคาไว้ แต่ความคาดหวังของผู้บริโภคว่าในที่สุดแล้วภาษีก็จะทำให้ราคาสูงขึ้น ก็จะส่งผลให้ราคารถยนต์บางรุ่นพุ่งสูง (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ ลดภาษี De Minimis สำหรับสินค้ามูลค่าต่ำจากจีน เหลือ 54% ทำเนียบขาวเผยแพร่คำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันจันทร์ (12 พ.ค.) ระบุว่า สหรัฐฯ เตรียมลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากจีนที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อวัน หรือที่เรียกว่า "de minimis" นับเป็นสัญญาณบวกล่าสุดในการผ่อนคลายความขัดแย้งทางการค้าทวิภาคี ทำเนียบขาวเผยว่า อัตราภาษี de minimis จะถูกปรับลดจากเดิม 120% เหลือเพียง 54% สำหรับพัสดุมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ พร้อมคงค่าธรรมเนียมคงที่ไว้ที่ 100 ดอลลาร์ต่อพัสดุ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 14 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ การปรับลดภาษีครั้งนี้มีขึ้นหลังจากจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่นครเจนีวา โดยทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน แม้แถลงการณ์ร่วมจะไม่ได้เอ่ยถึงการลดภาษี de minimis โดยตรงก็ตาม ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกข้อยกเว้นภาษี de minimis เมื่อเดือนก.พ. โดยอ้างว่าถูกใช้เป็นช่องทางหลักสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซจีนอย่างชีอิน (Shein) และเทมู (Temu) รวมถึงการลักลอบนำเข้าเฟนทานิลและสินค้าผิดกฎหมายอื่น ๆ (อินโฟเควสท์)
จนท.เฟดชี้สหรัฐฯ-จีนบรรลุดีลการค้าช่วยลดผลกระทบเศรษฐกิจ-สงครามการค้า เอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก ได้แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การที่สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวจะช่วยลดผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ คุกเลอร์กล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดที่กรุงดับลินของไอร์แลนด์ในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ว่า การที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วันนั้น ได้ลดโอกาสที่เฟดจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับชะลอตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมกับกล่าวว่า ผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ด้านการค้าของทั้งสองประเทศมีความคืบหน้ามากขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ดี คุกเลอร์มองว่า อัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าจีนซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 30% เป็นเวลา 90 วันนั้น ยังคงเป็นระดับที่สูงมาก ซึ่งคาดว่าจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจในสหรัฐฯ ชะลอตัวลง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เธอคาดหวังว่าผลกระทบเหล่านั้นจะลดน้อยลง (อินโฟเควสท์)
โกลด์แมนแซคส์มองศก.สหรัฐฯ เสี่ยงถดถอยน้อยลง หลังสงบศึกภาษีกับจีน โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ปรับลดคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยลงสู่ระดับ 35% จากเดิมที่มองว่ามีโอกาส 45% ถือเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่รายแรกที่เคลื่อนไหวดังกล่าว หลังจากที่การลดภาษีศุลกากรชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ กับจีนช่วยจุดประกายความหวังว่าสงครามการค้าได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว นอกจากนี้ โกลด์แมนยังปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ในปี 2568 ขึ้น 0.5% สู่ระดับ 1% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ทั้งยังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในเดือนธ.ค. จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีนี้ โดยล่าสุด โกลด์แมนคาดว่าการลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งจะเกิดขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย. 2569 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 269.67 จุด หลังหุ้น UnitedHealth ดิ่งหนัก ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (13 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สอง หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนยังคงมีมุมมองบวกต่อตลาด ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,140.43 จุด ลดลง 269.67 จุด หรือ -0.64%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,886.55 จุด เพิ่มขึ้น 42.36 จุด หรือ +0.72% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,010.08 จุด เพิ่มขึ้น 301.74 จุด หรือ +1.61% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.72 รับดีลการค้า-เงินเฟ้อสหรัฐฯต่ำกว่าคาด สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันอังคาร (13 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว และข้อมูลล่าสุดที่บ่งชี้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.72 ดอลลาร์ หรือ 2.78% ปิดที่ 63.67 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.67 ดอลลาร์ หรือ 2.57% ปิดที่ 66.63 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่าหลังเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด-จับตาถ้อยแถลงพาวเวล สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (13 พ.ค.) หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาด ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.77% แตะที่ระดับ 101.002 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $19.80 รับแรงช้อนซื้อ-เงินเฟ้อต่ำกว่าคาด สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (13 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาทองคำร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์ นอกจากนี้ ตลาดยังไดัปัจจัยหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดของสหรัฐฯ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 19.80 ดอลลาร์ หรือ 0.61% ปิดที่ 3,247.80 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ยืนเหนือ 4.4% แม้สหรัฐเผยดัชนี CPI ต่ำคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปียังคงปรับตัวเหนือระดับ 4.4% แม้สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ต่ำกว่าคาด ณ เวลา 20.57 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.469% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.918% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ยอดขายจากสมาชิกสมาคมผู้ค้าปลีก UK พุ่ง 7% ในเดือนเม.ย. ขานรับนักช้อปฉลองอีสเตอร์ นักช้อปชาวอังกฤษคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้าโลก และเดินหน้าจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนเม.ย. โดยได้อานิสงส์จากเทศกาลอีสเตอร์และสภาพอากาศที่แจ่มใส ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายอาหาร อุปกรณ์ทำสวน และเสื้อผ้า จากข้อมูลที่เปิดเผยวันนี้ (13 พ.ค.) ยอดขายจากสมาชิกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร (BRC) พุ่งสูงขึ้น 7.0% เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.ปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากช่วงวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์ นับเป็นการเติบโตรายปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ยอดขายเสื้อผ้าก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากเดือนเม.ย.ปีนี้มีแดดออกมากที่สุดใน UK นับตั้งแต่เริ่มบันทึกสถิติเมื่อปี 2453 กระตุ้นให้นักช้อปออกมาหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ หลังจากซบเซามาพักหนึ่ง เมื่อรวมยอดขายเฉลี่ยของเดือนมี.ค.และเม.ย. เพื่อปรับผลกระทบจากช่วงเทศกาลอีสเตอร์ที่ปีนี้อยู่ในเดือนเม.ย. (ต่างจากปี 2567 ที่อยู่ในเดือนมี.ค.) พบว่า ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน ข้อมูลอีกชุดจากธนาคารบาร์เคลย์ส (Barclays) ก็ชี้ให้เห็นการฟื้นตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคในทิศทางเดียวกันเมื่อเดือนที่แล้ว โดยตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรของธนาคารเพิ่มขึ้น 4.5% เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย. 2567 นับเป็นการเติบโตรายปีสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2566 บาร์เคลย์สระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีที่อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ (อินโฟเควสท์)
ตลาดแรงงาน UK เดือนเม.ย.แผ่ว จ้างงานลด-ค่าจ้างชะลอตัว ตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักร (UK) ส่งสัญญาณชะลอตัวลงอีกครั้ง โดยตัวเลขการจ้างงานลดลงและการเติบโตของค่าจ้างก็เริ่มแผ่วลง ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เบาใจได้ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อกำลังลดน้อยลง ข้อมูลเบื้องต้นจากสำนักงานสรรพากรและศุลกากรอังกฤษ (HMRC) ชี้ว่า จำนวนลูกจ้าง UK ลดลง 33,000 คนในเดือนเม.ย. หลังจากที่ลดลงไปแล้ว 47,000 คนในเดือนมี.ค. ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า จำนวนตำแหน่งงานว่างลดลงต่อเนื่องจนต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด โดยในช่วงสามเดือนจนถึงเม.ย. มีตำแหน่งงานว่าง 761,000 ตำแหน่ง ลดลงถึง 42,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี ONS ระบุด้วยว่า รายได้เฉลี่ยต่อสัปดาห์ (ไม่รวมโบนัส) ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการเพิ่มขึ้นที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสามเดือนสิ้นสุดเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าค่าจ้างจะโต 5.7% ส่วนค่าจ้างในภาคเอกชนที่ไม่รวมโบนัส ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศที่ BoE จับตามองอย่างใกล้ชิด ก็ขยับขึ้น 5.6% ซึ่งน้อยกว่าที่เพิ่มขึ้น 5.9% ในช่วงสามเดือนสิ้นสุดเดือนก.พ. (อินโฟเควสท์)
ZEW เผยดัชนีความเชื่อมั่นเยอรมนีสูงกว่าคาดในเดือนพ.ค. ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีพุ่งขึ้นสู่ระดับ 25.2 ในเดือนพ.ค. จากระดับ -14.0 ในเดือนเม.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 11.9 ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการตั้งรัฐบาลใหม่ของเยอรมนี, ความคืบหน้าในการเจรจาอัตราภาษีศุลกากรกับสหรัฐ, อัตราเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวมาจากการสำรวจนักวิเคราะห์ทางการเงินราว 350 คนจากธนาคาร บริษัทประกัน และบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเยอรมนี (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย นลท.ประเมินผลประกอบการ ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร (13 พ.ค.) ขณะที่แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดและข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนนั้นเริ่มแผ่วลง ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแบบผสมผสาน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 545.17 จุด เพิ่มขึ้น 0.68 จุด หรือ +0.12% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,873.83 จุด เพิ่มขึ้น 23.73 จุด หรือ +0.30%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,638.56 จุด เพิ่มขึ้น 72.02 จุด หรือ +0.31% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,602.92 จุด ลดลง 2.06 จุด หรือ -0.02% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 2.06 จุด นลท.โฟกัสข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันอังคาร (13 พ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด และสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงานอังกฤษ ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการตัดสินใจกำหนดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,602.92 จุด ลดลง 2.06 จุด หรือ -0.02% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
บริษัทญี่ปุ่นล้มละลายทะลุ 800 แห่งเดือนเม.ย. เหตุราคาสินค้าพุ่ง-ขาดแคลนแรงงาน ผลสำรวจของบริษัทวิจัย เทโกกุ ดาต้าแบงก์ (Teikoku Databank) ที่เผยแพร่ในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ระบุว่า จำนวนบริษัทล้มละลายในญี่ปุ่นพุ่งทะลุ 800 แห่งในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี สะท้อนถึงความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นและการขาดแคลนแรงงาน ข้อมูลระบุว่า บริษัทญี่ปุ่น 826 แห่งที่มีหนี้สินอย่างน้อย 10 ล้านเยน (ราว 67,490 ดอลลาร์สหรัฐ) ได้ยื่นขอล้มละลายในเดือนเม.ย. นับเป็นเดือนที่ 36 ติดต่อกันที่จำนวนบริษัทล้มละลายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า เมื่อจำแนกตามภาคส่วน บริษัทล้มละลาย 215 แห่งอยู่ในภาคบริการ และ 195 แห่งอยู่ในภาคค้าปลีก ซึ่งต่างก็เป็นตัวเลขสูงสุดสำหรับเดือนเม.ย. นับตั้งแต่ปี 2543 โดยมีสาเหตุมาจากภาวะเงินเฟ้อยืดเยื้อซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องลดการใช้จ่าย รวมถึงการขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ แต่เทโกกุ ดาต้าแบงก์เตือนว่า หากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่ถูกระงับอยู่ในขณะนี้กลับมามีผลบังคับใช้ อาจส่งผลให้การส่งออกและการลงทุนลดลง และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของการบริโภคส่วนบุคคล (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นแห่ลงทุนทองคำ หวั่นเศรษฐกิจชะลอตัวจากนโยบายภาษีทรัมป์ ตลาดทองคำในญี่ปุ่นกำลังคึกคัก ท่ามกลางความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยนักลงทุนจำนวนมากหันมาถือครองทองคำ เนื่องจากมองว่าทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและมีโอกาสน้อยที่จะร่วงลงรุนแรงในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนหนัก ราคาทองคำอ้างอิงที่กำหนดโดยบริษัททานากะ พรีเชียส เมทัล เทคโนโลยีส์ (Tanaka Precious Metal Technologies) พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 22 เม.ย. โดยแตะระดับกว่า 17,000 เยน (115 ดอลลาร์) และพุ่งขึ้นราว 15% ภายในเวลาเพียง 3 เดือนนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผลิตภัณฑ์ที่อิงกับราคาทองคำได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนผ่านโครงการ Nippon Individual Savings Account (NISA) ซึ่งเป็นโครงการยกเว้นภาษีจากการลงทุนของรัฐบาลญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเริ่มลงทุนในทองคำแท้เป็นประจำทุกเดือน ทานากะ พรีเชียส เมทัล เผยว่า จำนวนผู้ซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองกับบริษัทเพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวนสมาชิกที่ลงทุนในทองคำบริสุทธิ์ด้วยมูลค่าคงที่รายเดือนก็ขยายตัว 26% ในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (อินโฟเควสท์)
ขุนคลังญี่ปุ่นเล็งหารือสหรัฐฯ เรื่องค่าเงิน นอกรอบประชุม G7 สัปดาห์หน้า คัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า เขาตั้งใจจะพบปะกับสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นอกรอบการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศหรือ G7 ที่จะจัดขึ้นที่แคนาดาในระหว่างวันที่ 20–22 พ.ค.นี้ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ คาโตะกล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า ขณะนี้กำลังเตรียมตัวไปร่วมการประชุม G7 และหากสถานการณ์เอื้ออำนวย เขาหวังว่าจะได้ใช้โอกาสนี้พบปะพูดคุยกับเบสเซนต์ เพื่อหารือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ มีข้อตกลงร่วมกันว่า จะไม่หยิบยกเรื่องค่าเงินมาเจรจาในเวทีการค้าระหว่างกันโดยตรง แต่จะหารือเรื่องนี้ผ่านช่องทางระหว่างรัฐมนตรีคลังของทั้งสองประเทศแทน คาโตะยังระบุว่า หากมีการพบกันจริง ก็สามารถหารือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนในฐานะส่วนหนึ่งของการเจรจาภาษีระหว่างสองประเทศได้อย่างราบรื่น (อินโฟเควสท์)
ราคาข้าวญี่ปุ่นลดลงครั้งแรกในรอบ 18 สัปดาห์ หลังรัฐบาลออกมาตรการ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น (MAFF) เปิดเผยว่า ราคาข้าวในญี่ปุ่นลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 18 สัปดาห์ เหลือ 4,214 เยนต่อ 5 กิโลกรัม โดยสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การปล่อยข้าวสารในคลังของรัฐดูเหมือนจะเริ่มเห็นผลในการช่วยให้สถานการณ์อุปทานทรงตัวแล้ว MAFF ระบุว่า ในช่วง 7 วันจนถึงวันที่ 4 พ.ค. ราคาเฉลี่ยข้าวที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศลดลง 19 เยนต่อ 5 กิโลกรัม จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ราคาขึ้นไปสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลเมื่อเดือนมี.ค. 2565 แต่ถึงอย่างนั้น ราคาข้าวก็ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงประมาณเท่าตัว ทำให้ต้องติดตามกันต่อไปว่าราคาจะลดลงต่อเนื่องหรือไม่ ด้านสมาพันธ์สหกรณ์การเกษตรแห่งชาติ ซึ่งได้รับข้าวจากคลังสำรองที่ระบายออกมาส่วนใหญ่ กำลังเร่งนำข้าวเหล่านี้ออกสู่ตลาด ช่วงหลังมานี้ ปริมาณข้าวในตลาดตึงตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอากาศร้อนจัดเมื่อหน้าร้อนปีที่แล้ว และความต้องการที่มากขึ้นจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา รัฐบาลจึงตัดสินใจระบายข้าวสารสำรอง 312,000 ตัน เพื่อให้การกระจายสินค้าในตลาดคล่องตัวขึ้น (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 539.00 จุด หลังความขัดแย้งการค้าสหรัฐฯ-จีนคลี่คลาย ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (13 พ.ค.) ต่อเนื่องเป็นวันทำการที่สี่ แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนผ่อนคลายลง ภายหลังจากที่ทั้งสองประเทศตกลงที่จะปรับลดภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ที่เพิ่งประกาศใช้ต่อกันในช่วงที่ผ่านมา สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 38,183.26 จุด เพิ่มขึ้น 539.00 จุด หรือ +1.43% (อินโฟเควสท์)
จีน
ตลาดยานยนต์จีนโตแกร่ง 4 เดือนแรกปีนี้ รถ NEV มาแรง สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM) รายงานในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ว่า ยอดผลิตรถยนต์ในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. เพิ่มขึ้น 12.9% เมื่อเทียบรายปี แตะเกือบ 10.18 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 10.8% สู่ระดับ 10.06 ล้านคัน นับเป็นครั้งแรกที่ยอดผลิตและยอดขายรถยนต์ของจีนในช่วง 4 เดือนแรกทะลุ 10 ล้านคันทั้งคู่ รายงานระบุว่า ยอดผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) พุ่งขึ้น 48.3% เมื่อเทียบรายปี แตะเกือบ 4.43 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายพุ่งขึ้น 46.2% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 4.3 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 42.7% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมดในจีนช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. นอกจากนี้ ยอดส่งออกรถยนต์ของจีนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบรายปี แตะเกือบ 1.94 ล้านคันในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. โดยเฉพาะยอดส่งออกรถ NEV พุ่งขึ้นถึง 52.6% แตะที่ 642,000 คัน CAAM ระบุว่า นโยบายเศรษฐกิจมหภาคต่าง ๆ ได้ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ อีกทั้งตลาดยังมีความคึกคักมากขึ้นจากโครงการรถเก่าแลกซื้อรถใหม่ (Trade In) ของภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และราคายานยนต์ที่มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยในวันจันทร์ว่า จำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการรถเก่าแลกซื้อรถใหม่มีมากกว่า 10 ล้านราย นับจนถึงวันอาทิตย์ (11 พ.ค.) (อินโฟเควสท์)
ผลสำรวจชี้ธุรกิจจีนในสหรัฐฯ ชะลอแผนลงทุน กังวลเงินเฟ้อ-เศรษฐกิจผันผวน สภาหอการค้าจีน (CGCC) ประจำสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจประจำปีเมื่อวันจันทร์ (12 พ.ค.) ระบุว่า บริษัทจีนที่ดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจที่ขาดเสถียรภาพจากข้อจำกัดทางการค้า ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านี้ระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ผลสำรวจพบว่า สัดส่วนของบริษัทจีนที่กังวลเรื่องแรงกดดันจากเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 9 จุด เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แตะที่ 80% ซึ่งกลายเป็นความท้าทายอันดับสองรองจากความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ จำนวนบริษัทจีนที่คาดว่ารายได้ประจำปีจากตลาดสหรัฐฯ จะลดลงในปีนี้ เพิ่มขึ้น 12 จุด มาอยู่ที่ 30% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน กว่า 50% ของบริษัทจีนยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการลงทุนจากต่างประเทศ โดยตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 8 จุด เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
"สี จิ้นผิง" ชี้ ไม่มีผู้ชนะในเทรดวอร์ การบูลลี่ผู้อื่นมีแต่จะทำให้ตัวเองโดดเดี่ยว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนกล่าวในวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า ในภาวะที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบศตวรรษและเต็มไปด้วยความเสี่ยงซับซ้อนนานัปการ การร่วมมือกันเท่านั้นที่จะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของโลก พร้อมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในระดับโลกได้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปธน.สีกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 4 ของเวทีความร่วมมือจีน-ประชาคมแห่งรัฐลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (China-CELAC Forum) ที่กรุงปักกิ่ง โดยย้ำว่า ไม่มีใครได้ประโยชน์จากสงครามภาษีและสงครามการค้า ส่วนการระรานและการใช้อิทธิพลกดดันผู้อื่น มีแต่จะทำให้ตัวเองโดดเดี่ยวในที่สุด (อินโฟเควสท์)
"สี จิ้นผิง" ปลื้มมูลค่าการค้าจีน-ลาตินอเมริกาทะลุ 5 แสนล้านดอลล์เป็นครั้งแรก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เปิดเผยในวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับภูมิภาคลาตินอเมริกาในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นสูงเกิน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก ปธน.สีกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างการประชุมสุดยอด China-CELAC Forum ซึ่งเป็นเวทีความร่วมมือระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกาและแคริบเบียนที่จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง โดยสีกล่าวต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่จากประเทศในลาตินอเมริกาและแคริบเบียนว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทั้งมิตรสหายเก่าและใหม่ ปธน.สีระบุด้วยว่า จีนให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความพยายามของประเทศลาตินอเมริกาและแคริบเบียนในการขยายบทบาทและอิทธิพลของตนในเวทีพหุภาคีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ปธน.สียังเปิดเผยว่า จีนเตรียมมอบวงเงินสินเชื่อสกุลเงินหยวน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ประเทศในลาตินอเมริกาเพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนา ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อสกุลเงินหยวนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการผลักดันให้เงินหยวนให้มีบทบาทในระดับนานาชาติมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของจีนในการกระชับความสัมพันธ์ด้านยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจกับภูมิภาคลาตินอเมริกาอย่างต่อเนื่อง (อินโฟเควสท์)
แบงก์ใหญ่แห่เพิ่มคาดการณ์ GDP จีน หลังบรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯ สถาบันการเงินรายใหญ่ได้พากันปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปีนี้ หลังจากจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 พ.ค.) โดยมองว่าข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยลดความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสองประเทศ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเป็นเหตุให้สถาบันการเงินหลายแห่งพากันปรับลดคาดการณ์ GDP จีนในช่วงก่อนหน้านี้ โดยมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP รายไตรมาสระยะสั้นของจีนในปี 2568 เป็น 4.5% จากเดิม 4% โดยคาดว่าบริษัทต่าง ๆ จะพยายามเร่งการส่งออกเพื่อให้ได้ประโยชน์จากภาษีศุลกากรที่ปรับตัวลง ขณะที่ยูบีเอส (UBS) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP จีนในปี 2568 ขึ้นสู่ระดับ 3.7% - 4% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 3.4% โดยมองว่าข้อตกลงการค้าจะช่วยลดผลกระทบที่มีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ทางด้านนาทิซิส (Natixis) ซึ่งเป็นธนาคารของฝรั่งเศส คาดการณ์ว่า GDP จีนจะขยายตัว 4.5% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.2% และธนาคารเอเอ็นแซด (ANZ) คาดการณ์ว่า GDP จีนในปีนี้จะขยายตัวมากกว่า 4.2% (อินโฟเควสท์)
จีนยกเลิกคำสั่งห้ามสายการบินรับมอบเครื่องบินโบอิ้ง หลังสงบศึกภาษีกับสหรัฐฯ สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า จีนยกเลิกคำสั่งห้ามสายการบินในประเทศรับมอบเครื่องบินโบอิ้ง (Boeing) แล้ว หลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีนำเข้าชั่วคราว สำนักข่าวบลูมเบิร์กเป็นรายแรกที่รายงานข่าวนี้ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนเริ่มแจ้งให้สายการบินในประเทศและหน่วยงานของรัฐบาลทราบในสัปดาห์นี้ว่า การรับมอบเครื่องบินที่ผลิตในสหรัฐฯ สามารถกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นข่าวดีอย่างมากสำหรับโบอิ้ง เนื่องจากจีนเป็นตลาดการบินที่สำคัญ และครองสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดเครื่องบินพาณิชย์รอส่งมอบของบริษัท (อินโฟเควสท์)
บราซิลจับมือจีนเสริมบทบาทกลุ่มประเทศโลกใต้ หนุนการค้าเสรี-ระบบพหุภาคี ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวาของบราซิลกล่าวว่า บราซิลตั้งเป้าจะร่วมมือกับจีนเพื่อเสริมสร้างจุดยืนของกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) ในการสนับสนุนระบบพหุภาคีและการค้าเสรี สำนักข่าวซินหัวรายงานในวันนี้ (13 พ.ค.) ว่า ปธน.ลูลาให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนในบราซิลก่อนเดินทางเยือนจีน โดยระบุว่า ทั้งสองประเทศสามารถใช้เวทีความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การประชุมจีน-ประชาคมแห่งรัฐลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (China-CELAC Forum), กลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 (COP30) ที่จะจัดขึ้นในปี 2568 เพื่อผลักดันประเด็นเหล่านี้ร่วมกัน ผู้นำบราซิลกล่าวว่า "บราซิลมองจีนเป็นพันธมิตรทางการเมือง พันธมิตรทางเศรษฐกิจ และพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งในโลกศตวรรษที่ 21 ที่เต็มไปด้วยความผันผวนนี้" (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวกเพียงเล็กน้อย เหตุนลท.ระมัดระวังซื้อขาย ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ (13 พ.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนกลับมามีท่าทีระมัดระวังอีกครั้ง จากก่อนหน้านี้ที่ขานรับข่าวจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,374.87 จุด เพิ่มขึ้น 5.63 จุด หรือ +0.17% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดร่วง 441.19 จุด หลังปิดบวก 8 วันรวด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงในวันนี้ (13 พ.ค.) จากแรงขายทำกำไร หลังฮั่งเส็งปิดในแดนบวกติดต่อกัน 8 วันทำการ และปิดพุ่งเกือบ 700 จุดเมื่อวานนี้ ขานรับข่าวจีนและสหรัฐฯ เห็นพ้องลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 23,108.27 จุด ร่วงลง 441.19 จุด หรือ -1.87% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
อินเดียเผยดัชนี CPI +3.16% เดือนเม.ย. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงสถิติของอินเดียเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 3.16% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.27% จากระดับ 3.34% ในเดือนมี.ค. การชะลอตัวของดัชนี CPI ในเดือนเม.ย.มีสาเหตุจากการปรับตัวลงของราคาอาหาร ดัชนี CPI ที่ระดับ 3.16% ในเดือนเม.ย. ถือเป็นการชะลอตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 และปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายระยะกลางที่ 4% ของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้เดินหน้าเจรจา FTA กับมาเลเซีย หวังขยายการค้ารับมือความไม่แน่นอนทั่วโลก กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ด้านการค้าราว 70 คนจากเกาหลีใต้และมาเลเซียจะเข้าร่วมการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ทวิภาคี เป็นเวลาสามวัน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการค้าและยกระดับความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ปัจจุบัน เกาหลีใต้มีข้อตกลง FTA กับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี รัฐบาลมุ่งหวังที่จะทำ FTA กับสมาชิกอาเซียนเป็นรายประเทศด้วย ซึ่งรวมถึงมาเลเซีย หนึ่งในตลาดสำคัญของภูมิภาค ทั้งนี้ เกาหลีใต้และมาเลเซียตกลงกลับมาเจรจา FTA อีกครั้งเมื่อเดือนมี.ค. 2567 หลังจากที่หยุดชะงักไปห้าปี โดยการเจรจาซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันนี้ (13 พ.ค.) นับเป็นรอบที่ 9 แล้ว ควอน ฮเยจิน หัวหน้าผู้เจรจา FTA ของกระทรวงการค้าฯ กล่าวว่า ข้อตกลงทวิภาคีกับมาเลเซียจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทเกาหลี รวมทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าโลกที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ควอนเสริมว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะหารืออย่างจริงจังกับมาเลเซียเพื่อสรุปข้อตกลง FTA ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมุ่งสร้างความคืบหน้าในแปดด้าน เช่น การเปิดตลาดสินค้าและบริการ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เป็นต้น (อินโฟเควสท์)
"โมดี" ประกาศกร้าวอินเดียยังจับตาปากีสถานอย่างใกล้ชิดหลังบรรลุดีลหยุดยิง นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดียกล่าวปราศรัยต่อประชาชนในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ว่า อินเดียจะจับตาท่าทีของปากีสถานอย่างใกล้ชิดหลังจากทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โมดีระบุว่า ขีปนาวุธและโดรนของอินเดียได้โจมตีฐานที่มั่นของผู้ก่อการร้ายในปากีสถาน และมีผู้ก่อการร้ายที่อันตรายมากกว่า 100 รายถูกสังหารในการโจมตีของอินเดียครั้งนี้ พร้อมแสดงจุดยืนว่า อินเดียจะไม่ทนกับการแบล็กเมลด้วยนิวเคลียร์ใด ๆ ก็ตามจากปากีสถาน โมดีกล่าวว่า "ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อินเดียจะพิจารณาทุกก้าวของปากีสถานจากท่าทีที่ปากีสถานจะแสดงออกมา" โมดีระบุว่า การโจมตีครั้งล่าสุดของอินเดียซึ่งสะท้อนนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายของประเทศ ได้บรรลุมาตรฐานใหม่ในความพยายามดังกล่าวแล้ว และเพื่อเป็นการตอบโต้การก่อการร้ายใด ๆ ก็ตามหลังจากนี้ อินเดียจะดำเนินการอย่างเข้มงวดในทุกที่ที่ต้นตอของการก่อการร้ายปรากฏขึ้น และเสริมว่า อินเดียจะไม่แยกแยะระหว่างรัฐบาลที่สนับสนุนการก่อการร้ายและผู้อยู่เบื้องหลังการก่อการร้าย (อินโฟเควสท์)
"เนทันยาฮู" เผยกองทัพอิสราเอลเตรียมกวาดล้างฮามาสในฉนวนกาซา ทำเนียบนายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกแถลงการณ์ระบุว่า นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวว่า ภายในไม่กี่วันข้างหน้า กองทัพอิสราเอลจะเดินทางเข้าสู่ฉนวนกาซาอย่างเต็มกำลังเพื่อกำจัดกลุ่มฮามาส ทั้งนี้ นายเนทันยาฮูกล่าวต่อทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบว่า "ด้วยจิตวิญญาณของพวกคุณ เราจะได้รับชัยชนะ เราจะกำจัดฮามาสและปล่อยตัวประกันทั้งหมด ไม่มีทางที่เราจะยุติสงคราม โดยเราอาจทำข้อตกลงหยุดยิงเป็นระยะเวลาหนึ่ง" นอกจากนี้ นายเนทันยาฮูกล่าวว่า ขณะนี้อิสราเอลได้จัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลเกี่ยวกับการให้ชาวกาซาเดินทางออกจากดินแดน แต่ก็จำเป็นต้องมีประเทศที่อนุญาตให้มีการรับชาวกาซาเข้าประเทศ นายเนทันยาฮูเชื่อว่า จะมีชาวปาเลสไตน์มากกว่า 50% ที่ต้องการเดินทางออก หากมีการเสนอทางเลือกที่พวกเขาพอใจ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 1,200 จุด ขายทำกำไรฉุดตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 1,200 จุด ขณะที่นักลงทุนพากันเทขายทำกำไร หลังดัชนีพุ่งขึ้นเกือบ 3,000 จุดวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี ขานรับการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอินเดียและปากีสถาน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,148.22 ลบ 1,281.68 จุด หรือ 1.55% (อินโฟเควสท์)
ไทย
4 เดือนครึ่ง นทท.ต่างชาติเที่ยวไทย 33.2% ของเป้าทั้งปี 39 ล้านคน-ทำรายได้ 18% ของเป้า 3.4 ล้านลบ. นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์การท่องเที่ยว ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 พ.ค. 68 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 12,948,032 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 613,168 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ จีน 1,766,870 คน มาเลเซีย 1,662,922 คน รัสเซีย 916,360 คน อินเดีย 829,371 คน และเกาหลีใต้ 619,340 คน ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-11 พ.ค. 68) นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดสิงคโปร์เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นกว่า 18.01% โดยขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 จากเดิมในอันดับที่ 12 ซึ่งเป็นการเดินทางหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งทั่วไปในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวด้านการเดินทางซึ่งถือเป็นแนวโน้มปกติของช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (Low season) ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 489,568 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 126,985 คน หรือ 20.60% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 69,938 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย 86,017 คน จีน 61,235 คน อินเดีย 49,904 คน รัสเซีย 22,300 คน และสิงคโปร์ 18,929 คน (อินโฟเควสท์)
นายกฯ เผยไทยส่งข้อเสนอเจรจาภาษีสหรัฐไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วรอนัดหมาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้ยื่นข้อเสนอ (Proposal) เพื่อเจรจาต่อรองมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างนี้คงต้องรอการนัดหมายเจรจาจากทางการสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการทั้งระดับรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า ไทยได้ยื่น Proposal ให้กับสหรัฐไปเมื่อ 4-5 วันที่แล้ว ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ของจีนก็เป็นไปตามที่เราคาด ส่วนสถานการณ์ของเกาหลีและญี่ปุ่นก็ค่อนข้างสลับซับซ้อนกว่าเรา ทั้งนี้ ทางการไทยได้มีข้อเสนอราว 5-6 ข้อที่ส่งไปถึงทั้งกระทรวงการคลังของสหรัฐ และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) โดยหากได้รับการตอบรับจากฝ่ายสหรัฐก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจาเบื้องต้นก่อน วิธีคุยของเราคือ เรายื่นข้อเสนอถึงเขาเรื่องอะไรหากเกี่ยวข้องกับสมาคมการค้าใดเราก็ขอไปเจอก่อนเพื่อสร้างความเข้าใจว่าจะซื้อสินค้าอย่างไร หรือลงทุนอย่างไร เป็นการตกลงในระดับทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมาคุยในระดับหลักการแล้วจะจบได้ง่าย เชื่อว่าอีกไม่นานทางฝั่งสหรัฐคงจะมีคำตอบกลับมา (อินโฟเควสท์)
"ไม่มียุบสภา"!! นายกฯ ยันเสถียรภาพรัฐบาลยังเหนียวแน่น หลังลือหนัก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันกรณีมีกระแสข่าวการยุบสภาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยไม่พอใจคดีฮั้วเลือก สว. และจะคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 69 ว่า "ไม่มีเลย" ที่จริงการทำร่างงบประมาณก็เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีเรื่องที่จะยุบสภา และเสถียรภาพของรัฐบาลยังเหนียวแน่นเหมือนเดิม ส่วนผู้นำจิตวิญญาณ 2 คน คือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ กำลังสู้รบผ่านนิติสงครามนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับทั้ง 2 คน นอกรอบก็คุยกันได้อยู่แล้ว " สื่อชอบโยงกันเองใช่หรือไม่ โยงโน่นโยงนี่โยงนั่น โยงจนบางทีงงว่าเกี่ยวข้องกันจริงหรือ แต่ก็ไม่มีอะไร...หากถามว่าเกินมือตนหรือไม่ ที่ตัวเองจะไปเกี่ยวข้อง จะเกินมือได้อย่างไร ในเมื่อดิฉันยังเป็นนายกฯ อยู่ จะเกินมือได้อย่างไร" น.ส.แพทองธาร กล่าว นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า เสถียรภาพของรัฐบาลต้องมั่นใจอยู่แล้ว ต้องคุมให้ได้ และอีกเรื่องหนึ่งหากจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำจิตวิญญาณ ก็ต้องเกิดขึ้นนอกรอบนอกระบบ แต่หากอยู่ในระบบอยู่ในการจัดตั้งรัฐบาล คงเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะทั้ง 2 คน ไม่มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม พรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่แล้ว ในพรรคบางทีก็ยังไม่ตรงกัน แต่ก็ต้องหาจุดจบจนได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่ติดขัดก็ต้องช่วยกันและคุยกัน พอมาถึงเรื่องใหญ่พรรคร่วมฯ ก็มีการคุยกันนอกรอบก่อน (อินโฟเควสท์)
คลัง ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตั้งการ์ดรับมือ "S&P-ฟิทช์" หลังมูดี้ส์ลด Outlook ไทย นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาทำงานเชิงรุก ในการให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคมกับบริษัทจัดอันดับอีก 2 แห่งที่เหลือ ได้แก่ บริษัท เอสแอนด์พี และบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง จำกัด ก่อนที่จะเดินทางเข้ามาเก็บข้อมูลในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ นายพชร กล่าวว่า หากไทยไม่เร่งดำเนินการเพิ่มเติมก็เสี่ยงถูกลดเครดิตได้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้กังวล แม้ว่าก่อนหน้านี้มูดี้ส์จะปรับลดมุมมองของไทยลง แต่ต้องยอมรับว่าช่วงที่เข้ามาเก็บข้อมูลจังหวะเศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ดีจริง ๆ เพราะเข้ามาในช่วงแผ่นดินไหว ทำให้เศรษฐกิจไทยเจอกับความเปราะบางในหลาย ๆ ด้าน และยังมีเรื่องมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ อีกด้วย "อีก 2 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เหลือนั้น เรายังไม่ได้คุยอย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่ รมว.คลัง ให้ความสำคัญอย่างยิ่งหลังจากนี้ คือการให้ข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมกับ 2 บริษัทที่เหลือ จึงตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมา เพราะมองว่าหลังจากมูดี้ส์ก็มีโอกาสที่ 2 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่เหลือจะลดมุมมองของไทยด้วยเช่นกัน ทำให้กระทรวงการคลังต้องเร่งทำงานเชิงรุก โดยรอบนี้มีการดึงหน่วยงานด้านสังคม เช่น สำนักงานสิทธิมนุษยชนเข้ามาร่วมด้วย เพื่อประสานการให้ข้อมูลกับ 2 บริษัทที่เหลืออย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วทั้ง 2 บริษัทจะลดมุมมองของไทยเหมือนกับมูดี้ส์หรือไม่" นายพชร กล่าว (อินโฟเควสท์)
ครม.ไฟเขียวออก Thailand Digital Token ทดลองงวดแรก 5 พันลบ.ภายใน 1-2 เดือน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอวิธีการกู้เงินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อเปิดทางให้มีการออกโทเคนดิจิทัลของภาครัฐ (G-Token) ตามมาตรา 10 วรรค 1 แห่ง พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ เพื่อสร้างโอกาสและส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนที่มีคุณภาพของประชาชนโดยผลักดันให้ G Token เป็นเครื่องมือใหม่ของการระดมทุนภาครัฐ เป็นการนำเทคโนโลยีการเงินาประยุกต์ใช้เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้ประชาชน นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู๋สังคมดิจิทัลในอนาคต นายพิชัย ชุณหวขิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนจะออกเครื่องมือระดมทุนแบบใหม่ของภาครัฐ คือ Thailand Digital Token เพื่อเป็นทางเลือกการออมให้กับประชาชนเพิ่มเติมจากรูปแบบเดิมที่มีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนรายย่อยได้มากขึ้นให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินและลงทุนในจำนวนน้อยได้ โดยคาดว่าจะทดลองระบบด้วยการออกงวดแรกราว 5 พันล้านบาทบวก/ลบภายใน 1-2 เดือนนี้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รับทราบวามคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาพิจารณาแล้วว่าโทเคนดังกล่าวจะไม่ได้นำไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) และจะทำในสัดส่วนที่เหมาะสม แต่รายย่อยจะสามารถนำโทเคนไปแลกเปลี่ยนมือได้ผ่านระบบ Exchange ที่มีอยู่ได้ (อินโฟเควสท์)
"เที่ยวคนละครึ่ง" ยังไม่เข้าครม.รอสำนักงบฯ พิจารณาคาดไม่เกินต้นเดือนหน้ารู้ผล นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงโครงการเที่ยวคนละครึ่งว่า วันนี้ยังไม่ได้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยยังต้องไปที่สำนักงบประมาณก่อน เพื่อกำหนดเป็นกรอบกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยกรอบวงเงินเบื้องต้นน้อยกว่าที่ขอไปเล็กน้อย ซึ่งจะนำมาใช้ใน 3 ส่วน คาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมช่วงปลายเดือนพ.ค. นี้ หรือต้นเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้ได้เปิดให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวลงทะเบียนไว้ก่อน หลังจากที่นายกรัฐมนตรีอนุมัติแล้วก็ดำเนินการได้ทันที เพราะใช้ระบบคล้ายของเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ทั้งนี้ นายสรวงศ์ กล่าวถึงการขยายพื้นที่การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มในวันพระใหญ่ว่า เพิ่งผ่านมาได้วันเดียวยังไม่รู้ว่าตัวเลขเป็นอย่างไร แต่หากทำให้ถูกกฎหมายและควบคุม ดีกว่าปิดกั้นจนต้องไปแอบทำ เพราะทราบดีอยู่แล้วว่าทุกวันพระใหญ่ยังมีการแอบขายเหล้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 3.45 จุด ขานรับเจรจาจีน-สหรัฐก่อนลดช่วงบวกท้ายตลาดรับแรงขายทำกำไร SET ปิดวันนี้ที่ 1,214.39 จุด เพิ่มขึ้น 3.45 จุด (+0.28%) มูลค่าซื้อขาย 50,869.98 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นตามภูมิภาคหลังจีน-สหรัฐบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น มองโอกาสภาษีตอบโต้ของประเทศอื่น ๆ มีโอกาสลดลงมากกว่าจีน ตลาดบ้านเราวันนี้มีแรงซื้อในกลุ่ม Laggard อาทิ แบงก์ พลังงาน ปิโตรเคมี และบรรจุภัณฑ์ สลับแรงขายทำกำไรหุ้นที่ขึ้นมาแรงแล้วทำให้ช่วงท้ายเริ่มแผ่ว แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดยังมีแรงเก็งกำไรเชิงบวก แนะติดตามสภาพัฒน์แถลง GDP ไตรมาส 1/68 ต้นสัปดาห์หน้า ให้กรอบแนวรับ 1,200 จุด และแนวต้าน 1,250 จุด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.21 แข็งค่าจากช่วงเช้าแต่อ่อนค่ากว่าภูมิภาค ตลาดจับตาตัวเลข CPI สหรัฐฯคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 33.21 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 33.46 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลก ระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.14 - 33.46 บาท/ดดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตร 6.6 พันล้านบาท คืนนี้ตลาดรอดูการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน เม..ย.68 ของสหรัฐฯ โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.4% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 2.8% นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 33.30-33.55 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 117,486 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 117,486 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 49,853 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,367 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 6,630 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.66% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.05% (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
- ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย. ญี่ปุ่น
- อัตราเงินเฟ้อเดือนเม.ย. เยอรมนี
- สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐ