• X
  • ค้นหา
  • TH EN
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
  1. หน้าแรก
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐขยายตัว 2.3% ใน Q2/68 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.3% ในไตรมาส 2/2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.3% ในไตรมาส 1 (อินโฟเควสท์)
คาดสหรัฐเผยดัชนี CPI +2.4% เดือนเม.ย. กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนเม.ย.ในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือนเม.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 2.4% เช่นกันในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับตัวขึ้น 2.8% เช่นกันในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค. (อินโฟเควสท์)
ดอกเบี้ยมีพลิก! นักลงทุนเลื่อนคาดการณ์เฟดหั่นดบ.ครั้งแรกปีนี้เป็นเดือนก.ย. นักลงทุนพากันเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้เป็นเดือนก.ย. จากเดิมที่คาดไว้ในเดือนก.ค. หลังสหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ทำให้ลดแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้เฟดไม่จำเป็นต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนก.ย.และต.ค ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนมิ.ย.และก.ค. นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค. (อินโฟเควสท์)
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลง "พาวเวล" สัปดาห์หน้า หาสัญญาณบ่งชี้ศก.,ทิศทางดอกเบี้ยเฟด นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ทั้งนี้ นายพาวเวลมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม Thomas Laubach Research Conference ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันพฤหัสบดีที่ 15 พ.ค. เวลา 08.40 น. ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเวลา 19.40 น.ตามเวลาไทย ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในสัปดาห์นี้ นายพาวเวลส่งสัญญาณไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ปฏิเสธแนวคิดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า โดยระบุว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟด "เศรษฐกิจยังคงมีความยืดหยุ่น และกำลังไปได้ค่อนข้างดี นโยบายของเราก็อยู่ในจุดที่เหมาะสมแล้ว ขณะที่ต้นทุนของการรอดูสถานการณ์ต่อไปก็ถือว่าค่อนข้างต่ำ" "ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเฟดจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด แต่ในตอนนี้ เราตัดสินใจที่จะรอดูและเฝ้าสังเกตสถานการณ์ต่อไป" นายพาวเวลกล่าว (อินโฟเควสท์)
ผู้ว่าการเฟดเตือนนโยบายภาษีทรัมป์อาจลดประสิทธิภาพเศรษฐกิจ ดันเงินเฟ้อพุ่ง ลิซา คุก ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตือนว่า นโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อาจทำให้ประสิทธิภาพการผลิตของสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพน้อยลง โดยคุกกล่าวว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนการค้าของทรัมป์จะทำให้การลงทุนทางธุรกิจลดลง และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้าที่นำเข้ามาอาจทำให้โครงการต่าง ๆ ที่เคยช่วยเพิ่มผลิตภาพต้องล่าช้า คุกยังกล่าวว่าการลดลงของการลงทุนอาจนำไปสู่การชะลอการพัฒนาเทคโนโลยีและลดประสิทธิภาพโดยรวม ขณะเดียวกันกำแพงภาษีที่สูงขึ้นอาจช่วยให้บริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพยังอยู่รอด ทำให้เศรษฐกิจของประเทศแข่งขันได้น้อยลง แม้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจช่วยเพิ่มผลิตภาพได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าผลลัพธ์ในระยะยาวจะเป็นอย่างไร และภาษีที่สูงขึ้นอาจลดศักยภาพการผลิตของประเทศ และเพิ่มแรงกดดันทางเงินเฟ้อ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด (อินโฟเควสท์)  
เจ้าหน้าที่เฟดเตือนภาษีทรัมป์ทำเงินเฟ้อพุ่ง,เศรษฐกิจชะลอตัว นายไมเคิล บาร์ หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวเตือนว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงในช่วงต่อไปของปีนี้ "ขนาดและขอบเขตของการขึ้นภาษีศุลกากรในช่วงที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร" "ในมุมมองของผม ภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และผมเป็นห่วงว่าภาษีดังกล่าวจะทำให้อัตราว่างงานสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง" นายบาร์กล่าว (อินโฟเควสท์)
ปธ.เฟดเซนต์หลุยส์ชี้ ไม่ควรรีบลดดอกเบี้ย จนกว่าผลกระทบภาษีทรัมป์จะชัดเจน อัลเบร์โต มูซาเลม ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์กล่าวเมื่อวันศุกร์ (10 พ.ค.) ว่า เฟดไม่ควรรีบตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในตอนนี้ เพราะยังไม่แน่ชัดว่านโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์จะส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อแบบชั่วคราว หรือเป็นภาวะที่ยืดเยื้อ เขาให้เหตุผลว่า ภาษีนำเข้าอาจทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เหมือนการขึ้นภาษีทั่วไป แต่หากเกิดในช่วงที่เงินเฟ้อสูงอยู่แล้ว และภาษีมีผลกับสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ก็อาจทำให้เงินเฟ้อรอบนี้รุนแรงและยาวนานกว่าปกติ มูซาเลมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิออกเสียงด้านนโยบายดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป อาจทำให้เฟดประเมินความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อต่ำเกินไป และส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า หากเงินเฟ้อเกิดขึ้นแค่ชั่วคราว และเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ก็อาจมีเหตุผลเพียงพอสำหรับการลดดอกเบี้ยในอนาคต (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เผยจีนเตรียมเปิดตลาดสำหรับธุรกิจสหรัฐ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จัดการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวในวันนี้ โดยระบุว่า จีนจะเปิดตลาดสำหรับธุรกิจสหรัฐ และระงับอุปสรรคทางการค้า หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงชั่วคราวในการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกัน ปธน.ทรัมป์ระบุว่า การเปิดตลาดของจีนถือเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการเจรจาระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดดังกล่าว ทั้งนี้ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบปะกับนายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้อัตราภาษีของสหรัฐที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีน ลดลงสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% นอกจากนี้ นายเบสเซนต์กล่าวว่า เขาคาดว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนจะพบปะกันอีกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อให้มีการบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" อาจต่อสายตรงเจรจา "สี จิ้นผิง" ปลายสัปดาห์นี้ ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวในวันนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า เขาอาจจะสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในปลายสัปดาห์นี้ "เรามีบางเรื่องที่เราต้องดำเนินการ" ปธน.ทรัมป์กล่าว (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ จ่อเปิดตัวดีลการค้าหลายสิบฉบับในช่วงเดือนหน้า โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) ว่า สหรัฐฯ จะเปิดตัวข้อตกลงทางการค้าหลายสิบฉบับภายในเดือนหน้า แต่คาดว่าการเก็บภาษีจากแต่ละประเทศในอัตรา 10% จะไม่ถูกยกเลิก ลุตนิกกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสถานีซีเอ็นบีซี (CNBC) ว่า "ในช่วงประมาณหนึ่งเดือนต่อจากนี้ เราจะเปิดตัวข้อตกลงหลายสิบฉบับ" พร้อมเผยว่า ภาษีขั้นพื้นฐานในอัตรา 10% กับนานาประเทศจะยังคงอยู่เพื่อรักษาดุลการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าด้วยจะถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่านั้น รมว.พาณิชย์ยังเผยอีกด้วยว่า ทางการสหรัฐฯ ตั้งเป้าที่จะลดความตึงเครียดกับจีนผ่านการเจรจาการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดเนื่องจากจะถือเป็นการเจรจาระดับสูงแบบตัวต่อตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ทั้งสองชาติเริ่มตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้า โดยสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายสหรัฐฯ ในการเจรจาครั้งนี้ ส่วนฝ่ายจีนจะนำโดย เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ เล็งเก็บภาษีนำเข้าเครื่องบินพาณิชย์-เครื่องยนต์เจ็ต กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุในประกาศเมื่อวันศุกร์ (9 พ.ค.) ว่า สหรัฐฯ อาจเก็บภาษีนำเข้าเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องยนต์เจ็ต และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ผลิตของญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ตามประกาศของรัฐบาลกลาง (Federal Register) กระทรวงฯ ได้เริ่มสอบสวนการนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องยนต์เจ็ต และชิ้นส่วน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ จากการสอบสวนครั้งนี้ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ภายใต้กฎหมายการค้าปี 1962 นั้นะเน้นตรวจสอบว่าโรงงานในสหรัฐฯ สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศหรือไม่ และสหรัฐฯ พึ่งพาชิ้นส่วนจากต่างประเทศมากเพียงใด ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยใช้กฎหมายดังกล่าวในการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท เช่น รถยนต์และเหล็กกล้า โดยอ้างว่าระดับการนำเข้าในปัจจุบันเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า กำลังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มยุทธศาสตร์อื่น ๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และยาอีกด้วย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 1,160.72 จุด ขานรับจีน-สหรัฐฯบรรลุดีลการค้า (12 พ.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นกว่า 1,000 จุดในวันจันทร์ (12 พ.ค.) หลังจากสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลก ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,410.10 จุด เพิ่มขึ้น 1,160.72 จุด หรือ +2.81%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,844.19 จุด เพิ่มขึ้น 184.28 จุด หรือ +3.26% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,708.34 จุด เพิ่มขึ้น 779.43 จุด หรือ +4.35% (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 119.07 จุด นักลงทุนโฟกัสเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน (9 พ.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (9 พ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับภาษีสินค้าจีน ก่อนการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,249.38 จุด ลดลง 119.07 จุด หรือ -0.29%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,659.91 จุด ลดลง 4.03 จุด หรือ -0.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,928.92 จุด เพิ่มขึ้น 0.78 จุด หรือ +0.004% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 93 เซนต์ คลายกังวลการค้าจีน-สหรัฐฯ (12 พ.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (12 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าสงครามการค้าระหว่างสองประเทศจะยุติลง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.52% ปิดที่ 61.95 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.64% ปิดที่ 64.96 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก $1.11 รับความหวังเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯ (9 พ.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเกือบ 2% ในวันศุกร์ (9 พ.ค.) และปิดบวกเป็นสัปดาห์แรกนับตั้งแต่กลางเดือนเม.ย. หลังการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักรช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนก่อนการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และจีนในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.11 ดอลลาร์ หรือ 1.85% ปิดที่ 61.02 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.07 ดอลลาร์ หรือ 1.70% ปิดที่ 63.91 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า ขานรับจีน-สหรัฐฯบรรลุข้อตกลงการค้า (12 พ.ค.) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (12 พ.ค.) หลังจากสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลก ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้น 1.45% แตะที่ 101.788 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่า ตลาดจับตาเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน (9 พ.ค.)  สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (9 พ.ค.) แต่แข็งค่าขึ้นในรอบสัปดาห์นี้เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอย่างฟรังก์สวิส เยนญี่ปุ่น และยูโร หลังจากข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักรเพิ่มความหวังเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่จะมีขึ้นในวันเสาร์นี้ (10 พ.ค.) ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน อ่อนค่า 0.3% แตะที่ระดับ 100.338 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดร่วง $116 นลท.เทขายหลังจีน-สหรัฐฯบรรลุดีลการค้า (12 พ.ค.) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% ในวันจันทร์ (12 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 116 ดอลลาร์ หรือ 3.47% ปิดที่ 3,228.00 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $38 อานิสงส์ดอลล์อ่อนก่อนสหรัฐฯ-จีนเจรจาการค้า (9 พ.ค.) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกกว่า 1% ในวันศุกร์ (9 พ.ค.) ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และนักลงทุนจับตาท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากร ก่อนการประชุมในช่วงสุดสัปดาห์นี้ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 38.00 ดอลลาร์ หรือ 1.15% ปิดที่ 3,344.00 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์พุ่งทะลุ 4.4% ขานรับคืบหน้าเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน (12 พ.ค.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นทะลุระดับ 4.4% หลังสหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก ณ เวลา 19.53 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.461% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.886% (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ดีดตัวจ่อทะลุ 4.4% จับตาคืบหน้าเจรจาการค้าสหรัฐ-ประเทศคู่ค้า (9 พ.ค.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นใกล้ทะลุระดับ 4.4% ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ณ เวลา 19.51 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.394% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.864% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
กรรมการ ECB เตือนควรหยุดลดดอกเบี้ย ห่วงผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ดันเงินเฟ้อ อิซาเบล ชนาเบล กรรมการบริหารธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาเตือนเมื่อวันศุกร์ (9 พ.ค.) ว่า ECB ควรหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกอาจผลักดันเงินเฟ้อให้พุ่งเกินเป้าหมายที่ระดับ 2% ในระยะกลาง แม้ ECB ลดดอกเบี้ยลงแล้ว 7 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะลดอีกครั้งในการประชุมวันที่ 5 มิ.ย.นี้ แต่ชนาเบลมองว่า ดอกเบี้ยขณะนี้อยู่ในระดับเป็นกลางที่ไม่ขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว จึงไม่ควรลดลงอีกในตอนนี้ โดยระบุว่า ขณะนี้คือเวลาที่ ECB ต้องนิ่งไว้ ทั้งนี้ ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า ECB มีโอกาส 90% ที่จะลดดอกเบี้ยลงอีกในเดือนมิ.ย. และอาจลดอีก 1–2 ครั้งในเดือนถัดไป ซึ่งสวนทางกับมุมมองของชนาเบล ชนาเบลอธิบายว่า แม้ระยะสั้นเงินเฟ้ออาจต่ำกว่าเป้าหมายจากราคาพลังงานที่ลดลง เงินยูโรแข็งค่า และเศรษฐกิจที่อ่อนแอ แต่ในระยะกลางอาจเผชิญแรงกดดันจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะจากเยอรมนี) และผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดจากการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ แม้สหภาพยุโรป (EU) จะไม่ตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ ก็ตาม แต่ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากห่วงโซ่อุปทานโลกอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้ ชนาเบลเตือนว่าหากมีการตอบโต้ทางการค้า ก็ยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันเงินเฟ้อ ชนาเบลสรุปว่า การคงดอกเบี้ยไว้ในระดับปัจจุบันจะช่วยให้ ECB มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความไม่แน่นอนและผลกระทบที่เป็นไปได้หลากหลายทางเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน (12 พ.ค.) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ท่ามกลางบรรยากาศเชิงบวก หลังจากที่สหรัฐฯ และจีนตกลงกันเป็นการชั่วคราวในการลดภาษีนำเข้า ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลในตลาดโลกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 544.49 จุด เพิ่มขึ้น 6.53 จุด หรือ +1.21% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,850.10 จุด เพิ่มขึ้น 106.35 จุด หรือ +1.37%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,566.54 จุด เพิ่มขึ้น 67.22 จุด หรือ +0.29% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,604.98 จุด เพิ่มขึ้น 50.18 จุด, +0.59% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับความหวังเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน (9 พ.ค.) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (9 พ.ค.) จากความหวังที่เพิ่มขึ้นว่าความขัดแย้งทางการค้าทั่วโลกจะผ่อนคลายลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 537.96 จุด เพิ่มขึ้น 2.33 จุด หรือ +0.44% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,743.75 จุด เพิ่มขึ้น 49.31 จุด หรือ +0.64%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,499.32 จุด เพิ่มขึ้น 146.63 จุด หรือ +0.63% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,554.80 จุด เพิ่มขึ้น 23.19 จุด หรือ +0.27% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 50.18 จุด ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนหนุนตลาด (12 พ.ค.) ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ตามทิศทางตลาดทั่วโลก หลังจากสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงในการลดภาษีนำเข้า ซึ่งช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงของสงครามการค้าเต็มรูปแบบที่อาจกระทบต่อตลาดทั่วโลก ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,604.98 จุด เพิ่มขึ้น 50.18 จุด หรือ +0.59% (อินโฟเควสท์)   
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 23.19 จุด หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์หนุนตลาด (9 พ.ค.) ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันศุกร์ (9 พ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินถ้อยแถลงล่าสุดจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ก่อนการเจรจาครั้งสำคัญระหว่างสองประเทศในช่วงสุดสัปดาห์นี้โดยหุ้นกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่ช่วยหนุนตลาด ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,554.80 จุด เพิ่มขึ้น 23.19 จุด หรือ +0.27% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเผยค่าจ้างที่แท้จริงเดือนมี.ค.ลดลง 2.1% ร่วงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (9 พ.ค.) ว่า ค่าจ้างที่แท้จริงปรับตัวลดลง 2.1% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับว่าลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของรายได้ยังคงตามไม่ทันอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ค่าจ้างตามตัวเลขหรือรายได้รวมเฉลี่ยต่อคนต่อเดือน ซึ่งรวมทั้งเงินเดือนพื้นฐานและค่าล่วงเวลา มีการเติบโตขึ้น 2.1% แตะระดับ 308,572 เยน (2,100 ดอลลาร์) และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 39 อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการคำนวณค่าจ้างที่แท้จริงนั้น ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 4.2% ในเดือนมี.ค. โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาข้าวและสินค้าอาหารอื่น ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราการเพิ่มขึ้นนี้ถือว่าชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก.พ.ที่ขยายตัว 4.3% ขณะเดียวกัน ข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่น ระบุว่า ในเดือนมี.ค. การใช้จ่ายภาคครัวเรือนโดยเฉลี่ย (สำหรับครัวเรือนที่มีสมาชิกสองคนขึ้นไป) อยู่ที่ 339,232 เยน ซึ่งเมื่อปรับผลกระทบจากเงินเฟ้อแล้ว พบว่าเพิ่มขึ้นจริง 2.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่น (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นย้ำจุดยืนการเจรจา เรียกร้องสหรัฐฯยกเลิกภาษีทรัมป์ทั้งหมด เรียวเซ อากาซาวะ รัฐมนตรีฟื้นฟูเศรษฐกิจและหัวหน้าผู้เจรจาของญี่ปุ่น กล่าวในวันนี้ (9 พ.ค.) ว่า ญี่ปุ่นจะยังคงเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีศุลกากรทั้งหมดที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำหนดใช้กับญี่ปุ่น โดยถ้อยแถลงของอากาซาวะมีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งภาษีบางรายการของทรัมป์ต่อสินค้านำเข้าจากสหราชอาณาจักรจะยังคงมีผลบังคับใช้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดให้การยกเลิกภาษีศุลกากรตอบโต้ทั้งหมด รวมทั้งภาษีนำเข้ารถยนต์เพิ่มเติม 25% และภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% เป็นเงื่อนไขในการบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยผู้แทนเจรจาทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดการเจรจารอบที่สามในช่วงกลางเดือนพ.ค. หรือหลังจากนั้น "จุดยืนของเรายังคงเหมือนเดิม คือ ญี่ปุ่นจะเรียกร้องให้สหรัฐฯ ทบทวนชุดมาตรการภาษีศุลกากร" อากาซาวะกล่าวภายหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ประกาศข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักรเมื่อวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) ซึ่งถือเป็นข้อตกลงฉบับแรกที่สหรัฐฯ ทำกับประเทศคู่ค้า นับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในเดือนเม.ย. (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นปัดตกข้อเสนอลดภาษีการบริโภค แม้เผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อ-ภาษีทรัมป์ รัฐบาลญี่ปุ่นปฏิเสธข้อเสนอให้มีการลดภาษีการบริโภคในวันนี้ (9 พ.ค.) แม้เผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รวมถึงเสียงเรียกร้องจากฝ่ายค้านและสมาชิกบางส่วนของพรรครัฐบาลที่ต้องการมาตรการบรรเทาภาระภาษี โยชิมาสะ ฮายาชิ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ย้ำว่า การลดภาษีบริโภคอาจเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เนื่องจากภาษีดังกล่าวเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ใช้สนับสนุนระบบสวัสดิการสังคม ขณะที่ประเทศยังเผชิญปัญหาหนี้สิน สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ถ้อยแถลงของฮายาชิมีขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลระบุว่า รัฐบาลและพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) กำลังตัดทางเลือกการลดภาษีออกไป ด้านพรรคโคเมโตะ (Komeito) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล กำลังผลักดันแนวคิดลดภาษีการบริโภคเฉพาะสินค้าหมวดอาหาร เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ก่อนการเลือกตั้งสภาที่ปรึกษาของญี่ปุ่นในช่วงฤดูร้อนนี้ ขณะที่ ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีท่าทีระมัดระวังเกี่ยวกับการลดภาษี โดยชี้ว่าจำเป็นต้องหารือกับพรรคโคเมโตะก่อน ทั้งนี้ อัตราภาษีการบริโภคปัจจุบันอยู่ที่ 8% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม และ 10% สำหรับสินค้าอื่น ๆ ส่วนพรรครัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตย (CDP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน เรียกร้องให้รัฐบาลยกเว้นภาษีการบริโคสำหรับสินค้าอาหารเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเงินเฟ้อและการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่สร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก (อินโฟเควสท์)
"อิชิบะ" กังวลข้อเสนอหั่นภาษีบริโภคเพื่อสู้เงินเฟ้อก่อนเลือกตั้ง หวั่นกระทบการคลัง นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น แสดงท่าทีระมัดระวังต่อข้อเสนอลดภาษีบริโภคเพื่อเป็นมาตรการบรรเทาผลกระทบจากเงินเฟ้อ โดยชี้ว่า การลดภาษีจะทำให้รายได้รัฐหายไปมาก และอาจกระทบฐานะการคลังของประเทศอย่างรุนแรง สำนักข่าวเกียวโดรายงานวันนี้ (11 พ.ค.) ว่า ท่าทีดังกล่าวสอดคล้องกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลและพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ที่ไม่เห็นด้วยกับการลดภาษีบริโภค (ปัจจุบันอยู่ที่ 8% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม และ 10% สำหรับสินค้าอื่น ๆ) ขณะที่รัฐบาลผสมกำลังพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ก่อนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในฤดูร้อนนี้ นายกฯ อิชิบะกล่าวระหว่างร่วมรายการโทรทัศน์ฟูจิทีวีว่า "เราจำเป็นต้องหารือกันอย่างถี่ถ้วนว่าจะมีวิธีอื่นใดอีกบ้างที่จะช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจริง ๆ" และเสริมว่า "การลดอัตราภาษีบริโภคจะทำให้เกิดคำถามถึงผลกระทบต่อฐานะการคลังของประเทศได้" สถานการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่พรรคฝ่ายค้านต่าง ๆ เริ่มแสดงจุดยืนร่วมกันสนับสนุนการลดภาษีบริโภคก่อนการเลือกตั้ง ทำให้เกิดการถกเถียงกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลกับสมาชิกพรรค LDP และพรรคโคเมอิโตะ (พรรคร่วมรัฐบาล) บางส่วนที่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ โดยพรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น (CDPJ) ได้เสนอให้ระงับการเก็บภาษีบริโภคสำหรับอาหารเป็นเวลา 1 ปี สำหรับประเด็นการเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ นายกฯ อิชิบะยืนยันว่า รัฐบาลจะยังคงผลักดันให้ยกเลิกภาษีเพิ่มเติมทั้งหมดสำหรับสินค้าส่งออกของญี่ปุ่น (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่ง 140.93 จุด รับสัญญาณบวกเจรจาสหรัฐฯ-จีน (12 พ.ค.) ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ (12 พ.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจผ่อนคลายลง หลังการเจรจาทวิภาคีในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงทิศทางในเชิงบวก สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 37,644.26 จุด เพิ่มขึ้น 140.93 จุด หรือ +0.38% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่ง 574.70 จุด รับข่าว US-UK บรรลุข้อตกลงการค้า (9 พ.ค.) ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ (9 พ.ค.) ขานรับสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรบรรลุข้อตกลงการค้า สะท้อนความหวังของนักลงทุนว่า การเจรจาเรื่องกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ รวมถึงญี่ปุ่น จะมีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 37,503.33 จุด เพิ่มขึ้น 574.70 จุด หรือ +1.56% ยืนเหนือระดับ 37,000 จุดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. (อินโฟเควสท์)  
จีน
CPI จีนเดือนเม.ย.ลด 0.1% เทียบรายปี แต่เพิ่ม 0.1% เทียบรายเดือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ของจีนเปิดเผยในวันนี้ (10 พ.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของอัตราเงินเฟ้อ ลดลง 0.1% ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตง ลี่จวน นักสถิติของ NBS กล่าวว่า การฟื้นตัวในเดือนนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคอาหารและการเดินทาง บางภาคส่วนเริ่มแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของจีน รวมถึงการดำเนินนโยบายที่สอดประสานกัน ทั้งนี้ ราคาอาหารลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ราคาสินค้านอกกลุ่มอาหารคงที่ ส่วนราคาสินค้าผู้บริโภคลดลง 0.3% และราคาบริการเพิ่มขึ้น 0.3% ในช่วงม.ค.-เม.ย. ดัชนี CPI ของจีนลดลงเฉลี่ย 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
PPI จีนลด 2.7% ในเดือนเม.ย. เทียบรายปี, ลด 0.4% เทียบรายเดือน สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (10 พ.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีน ซึ่งใช้วัดต้นทุนสินค้าหน้าโรงงาน ลดลง 2.7% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ข้อมูลจาก NBS ระบุว่า ในเดือนเม.ย. ราคาซื้อสินค้าอุตสาหกรรมลดลง 2.7% เมื่อเทียบรายปี ตง ลี่จวน นักสถิติของ NBS ระบุว่า การลดลงครั้งนี้มีสาเหตุหลักจากปัจจัยระหว่างประเทศ และการลดลงตามฤดูกาลของราคาสินค้าพลังงานบางประเภท เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ดัชนี PPI ลดลงเล็กน้อย 0.4% ในเดือนเม.ย. สำหรับในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. ดัชนี PPI ลดลงเฉลี่ย 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
จีนส่งออกโตเกินคาด 8.1% ในเม.ย. หลังส่งออกไปอาเซียนพุ่ง ชดเชยตลาดสหรัฐฯร่วงหนัก ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนที่เปิดเผยในวันนี้ (9 พ.ค.) แสดงให้เห็นว่า การส่งออกของจีนในเดือนเม.ย. ขยายตัวแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะการส่งออกไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ชดเชยตลาดสหรัฐฯ ที่ร่วงหนัก ในขณะเดียวกัน การนำเข้าเดือนเม.ย. ของจีนหดตัวน้อยลงในเดือนที่แล้ว การส่งออกของจีนในเดือนเม.ย. ขยายตัว 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตเพียง 1.9% โดยยอดส่งออกที่สูงเกินคาดดังกล่าวได้แรงหนุนจากการส่งออกไปประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ทะยานขึ้นถึง 20.8% ซึ่งช่วยชดเชยการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ร่วงลง 21% ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 8.3% อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของการส่งออกจีนในเดือนเม.ย. ชะลอตัวลงจากเดือนมี.ค.ที่พุ่งสูงถึง 12.4% อันเนื่องมาจากการที่ผู้ส่งออกจีนเร่งดำเนินการจัดส่งสินค้าออกไปจำนวนมาก ก่อนที่มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึง 145% จะมีผลบังคับใช้ ในส่วนของการนำเข้าของจีนในเดือนเม.ย. ลดลง 0.2% น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะหดตัวลงถึง 5.9% โดยการนำเข้าจากสหรัฐฯ ร่วงลงเกือบ 14% การนำเข้าจากสหภาพยุโรปร่วง 16.5% ส่วนการนำเข้าจากอาเซียนเพิ่มขึ้น 2.5% สำหรับภาพรวมดุลการค้าในเดือนเม.ย. จีนยังคงเกินดุลการค้าอยู่ที่ 9.618 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 1.0264 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (อินโฟเควสท์)
ยอดขายรถจีนในเดือนเม.ย.โต 14.8% อานิสงส์โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ ยอดขายรถยนต์ของจีนในเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เติบโตเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ที่รัฐบาลจีนอุดหนุน ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (CPCA) ซึ่งเปิดเผยในวันนี้ (11 พ.ค.) ระบุว่า ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 1.78 ล้านคัน และในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ทำยอดขายรวม 6.97 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 8.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด พุ่งขึ้น 33.9% เมื่อเทียบรายปี คิดเป็นสัดส่วน 50.8% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในเดือนเม.ย. ข้อมูลทางการชี้ว่า โครงการของรัฐบาลที่ให้เงินอุดหนุนการเปลี่ยนรถเก่าเป็น NEV ในอัตราที่สูงกว่ารถยนต์สันดาป มีรถเข้าร่วมแล้ว 2.71 ล้านคัน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 เม.ย.) โครงการนี้ช่วยพยุงความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวจีน ท่ามกลางการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยอดส่งออกรถยนต์ในเดือนเม.ย.ลดลง 2.2% จากปีก่อนหน้า ต่อเนื่องจากเดือนมี.ค.ที่ลดลง 8% ตามข้อมูลของ CPCA อย่างไรก็ตาม CPCA ระบุว่า สำหรับผู้ซื้อในจีน ระบบขับขี่อัตโนมัติเริ่มมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อน้อยลง (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ-จีน บรรลุข้อตกลงลดภาษีนำเข้าชั่วคราว 90 วัน สหรัฐฯ และจีนเปิดเผยในวันนี้ (12 พ.ค.) ว่า ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในการลดภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความพยายามที่จะยุติสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสร้างความผันผวนแก่ตลาดการเงิน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ทั้งสองประเทศตกลงที่จะระงับการขึ้นภาษีเพิ่มเติมเป็นเวลา 90 วัน พร้อมกับลดอัตราภาษีนำเข้าที่มีอยู่ลง 115% ภายใต้ข้อตกลงนี้ จีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 10% จากเดิม 125% ขณะที่ สหรัฐฯ จะปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลงเหลือ 30% จากเดิม 145% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 27.25 จุด รับข่าวจีน-สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า (12 พ.ค.) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (12 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวที่จีนและสหรัฐฯ เห็นพ้องลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,369.24 จุด เพิ่มขึ้น 27.25 จุด หรือ +0.82% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 10 จุด จับตาเจรจาสหรัฐฯ เสาร์นี้ (9 พ.ค.) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (9 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่เจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,342.00 จุด ลดลง 10 จุด หรือ -0.30% แต่ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวขึ้น 1.92% (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดพุ่ง 681.72 จุด รับข่าวจีน-สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า (12 พ.ค.) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (12 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวที่จีนและสหรัฐฯ เห็นพ้องลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 23,549.46 จุด เพิ่มขึ้น 681.72 จุด หรือ +2.98% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 91.82 จุด จับตาเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯ (9 พ.ค.) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (9 พ.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยมีความหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าในการเจรจาครั้งนี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 22,867.74 จุด เพิ่มขึ้น 91.82 จุด หรือ +0.40% (อินโฟเควสท์)  
เอเชีย และอื่นๆ
เกาหลีใต้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องเดือนที่ 23 ในเดือนมี.ค. ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นในวันนี้ (9 พ.ค.) ว่า เกาหลีใต้ยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 23 ในเดือนมี.ค. โดยได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้น รายงานระบุว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของเกาหลีใต้อยู่ที่ 9.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้นจากเดือนก.พ.ที่เกินดุล 7.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกาหลีใต้มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องทุกเดือนนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566 ดุลการค้าสินค้ามียอดเกินดุลอยู่ที่ 8.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมี.ค. เนื่องจากยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบรายปี แตะระดับ 5.931 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากความต้องการเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 2.3% มาอยู่ที่ 5.082 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ดุลบริการกลับขาดดุล 2.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ด้านบัญชีรายได้ปฐมภูมิ (Primary Income Account) ซึ่งติดตามข้อมูลค่าแรงของแรงงานต่างชาติ การจ่ายเงินปันผลจากต่างประเทศ และรายได้จากดอกเบี้ย มียอดเกินดุล 3.23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมี.ค. ภาพรวมในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) เกาหลีใต้มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดรวม 1.926 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีมูลค่า 1.648 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับภาพรวมตลอดทั้งปี 2567 เกาหลีใต้มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดรวมทั้งสิ้น 9.904 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม BOK ได้แสดงความกังวลว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอาจปรับตัวลดลงในระยะต่อไป โดยมีปัจจัยหลักมาจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ที่ประกาศโดยรัฐบาลสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
บราซิลส่งออกเนื้อวัวไปสหรัฐฯ เกือบ 5 หมื่นตัน แม้ถูกรีดภาษี 10% โรเบอร์โต เปโรซา ประธานสมาคมผู้ส่งออกเนื้อวัวบราซิล (Abiec) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกเนื้อวัวจากบราซิลไปยังสหรัฐฯ ในปริมาณมากถึง 48,000 ตันในเดือนเม.ย. แม้บราซิลถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหม่ในอัตรา 10% เปโรซาระบุในการแถลงข่าวในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) ว่า ตัวเลขการส่งออกดังกล่าวสร้างความประหลาดใจอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่บราซิลส่งออกเพียง 8,000 ตัน โดยสาเหตุสำคัญคือปัญหาการขาดแคลนเนื้อวัวอย่างรุนแรงในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยนอกจากบราซิลแล้ว ออสเตรเลียก็เป็นอีกประเทศที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เปโรซากล่าวโดยอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา ดาตาโกร (Datagro) ว่า บราซิลอาจขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตเนื้อวัวรายใหญ่ที่สุดของโลกภายในปี 2569 แซงหน้าสหรัฐฯ ที่กำลังประสบปัญหาในการเพิ่มจำนวนปศุสัตว์ และมีแนวโน้มที่บริษัทต่างๆ จะลดการผลิตเนื้อวัวลง อีกทั้ง บราซิลยังคงครองตำแหน่งประเทศผู้ส่งออกเนื้อวัวรายใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เปโรซาเสริมว่า ระบบภาษีนำเข้าเนื้อวัวบราซิลของสหรัฐฯ นั้นมีความซับซ้อน โดยสำหรับปริมาณที่เกินโควตาประจำปีที่ 65,000 ตัน ซึ่งเดิมต้องเสียภาษี 26.4% ปัจจุบันถูกเก็บเพิ่มอีก 10% ส่วนยอดขายภายใต้โควตาที่เคยได้รับการยกเว้นภาษี ก็ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 10% เช่นกัน และโควตาส่งออกประจำปีดังกล่าวถูกใช้หมดตั้งแต่เดือนม.ค.ที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
อินโดฯเล็งปรับแผนนำเข้าพลังงาน ลดพึ่งพาสิงคโปร์ มุ่งซื้อจากสหรัฐฯ หวังผลเจรจาภาษี รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังพิจารณาแผนสำคัญเพื่อปรับเปลี่ยนแหล่งนำเข้าเชื้อเพลิง โดยมีแนวโน้มลดการนำเข้าจากสิงคโปร์ และเพิ่มการสั่งซื้อจากสหรัฐฯ การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งไว้กับสินค้าอินโดนีเซีย ปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียไว้สูงถึง 32% อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้ประกาศพักการบังคับใช้ภาษีดังกล่าวจนถึงเดือนก.ค. เช่นเดียวกับที่ทำกับประเทศอื่น ๆ เพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาหาทางออกร่วมกัน บาห์ลิล ลาฮาดาเลีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของอินโดนีเซีย เปิดเผยในวันนี้ (9 พ.ค.) ว่า อินโดนีเซียจะทยอยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงบางส่วนจากสิงคโปร์ โดยในระยะแรก อินโดนีเซียอาจลดสัดส่วนการนำเข้าเชื้อเพลิงจากสิงคโปร์ได้มากถึง 60% ของปริมาณการนำเข้าเชื้อเพลิงทั้งหมด และเปลี่ยนไปนำเข้าจากสหรัฐฯ แทน "มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะเลือกนำเข้าเชื้อเพลิงจากประเทศอื่นแทนสิงคโปร์" บาห์ลิลกล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมเสริมว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจปรากฏผลภายใน 6 เดือนข้างหน้า ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอินโดนีเซียเคยแจ้งว่า อินโดนีเซียต้องการเพิ่มการนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งข้อเสนอนี้จะรวมถึงการซื้อเชื้อเพลิงสำเร็จรูป น้ำมันดิบ และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากสหรัฐฯ ด้วย บาห์ลิลกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการเจรจาครั้งนี้ อินโดนีเซียต้องการนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าจากปริมาณปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันอินโดนีเซียนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4% ของการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมด (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เรียกร้องรัสเซีย-ยูเครนหยุดยิง 30 วัน ขู่คว่ำบาตรเพิ่มหากเมินเฉย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) ให้รัสเซียและยูเครนหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขเป็นเวลา 30 วัน ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียว่า หากข้อเสนอหยุดยิง 30 วันถูกเพิกเฉย สหรัฐฯ และพันธมิตรจะใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม พร้อมกับย้ำว่า การหยุดยิงจะต้องนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพในท้ายที่สุด และเสริมว่า เขาพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือทุกเมื่อหากจำเป็น ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ย้ำว่าเขาต้องการยุติสงครามในยูเครน แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ขู่ว่าจะถอนตัวจากการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยหากการเจรจาไม่มีความคืบหน้า ทั้งนี้ ยูเครนแสดงความพร้อมที่จะหยุดยิง 30 วันทันทีตามข้อเสนอของสหรัฐฯ แต่รัสเซียเสนอให้หยุดยิงเพียง 3 วัน เนื่องในวาระครบรอบ 80 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ในวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ยืนยันว่าได้หารือทางโทรศัพท์กับทรัมป์ และเห็นด้วยกับแผนหยุดยิงดังกล่าว พร้อมกับกล่าวว่า รัสเซียต้องพิสูจน์ว่าต้องการยุติสงครามจริง ๆ โดยเริ่มจากการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข (อินโฟเควสท์)
ปูตินเสนอเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพโดยตรงกับยูเครน ที่อิสตันบูล 15 พ.ค.นี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้ยื่นข้อเสนอในวันนี้ (11 พ.ค.) ให้มีการเจรจาโดยตรงกับยูเครนในวันที่ 15 พ.ค. ที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยเน้นย้ำว่า การเจรจาครั้งนี้ควรมุ่งสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน และกำจัดสาเหตุต้นตอของสงครามที่ดำเนินมาแล้วกว่า 3 ปี ย้อนไปเมื่อเดือนก.พ. ปี 2565 ปธน.ปูตินได้ส่งกำลังทหารหลายพันนายเข้าสู่ยูเครน นับเป็นการจุดชนวนสงครามที่ได้คร่าชีวิตทหารนับแสนนาย และก่อสถานการณ์เผชิญหน้าที่ตึงเครียดที่สุดระหว่างรัสเซียกับกลุ่มชาติตะวันตก นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี 2505 ซึ่งครั้งนั้นโลกเกือบจะเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์ "เรากำลังเสนอให้ยูเครนกลับสู่โต๊ะเจรจาโดยตรง โดยไม่มีเงื่อนไขเบื้องต้นใด ๆ เราขอเสนอให้ยูเครนเริ่มการเจรจาอีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ ที่กรุงอิสตันบูล" ปธน.ปูตินแถลงจากทำเนียบเครมลินในวันนี้ ผู้นำรัสเซียเปิดเผยว่า เขามีกำหนดจะหารือกับปธน.เรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน แห่งตุรกี ภายในวันนี้ เพื่อขอความร่วมมืออำนวยความสะดวกให้การเจรจาดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งปธน.ปูตินหวังว่า การเจรจาครั้งนี้อาจนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง "ข้อเสนอของเรานั้นวางอยู่บนโต๊ะแล้ว การตัดสินใจหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับทางการยูเครนและเหล่าผู้บงการของพวกเขา ซึ่งดูเหมือนจะถูกชี้นำด้วยความทะเยอทะยานทางการเมืองส่วนตน มากกว่าผลประโยชน์ของประชาชนของพวกเขาเอง" ปธน.ปูตินกล่าว ทั้งนี้ ยังไม่มีการตอบสนองจากรัฐบาลยูเครนต่อข้อเสนอดังกล่าวของปธน.ปูติน (อินโฟเควสท์)
อินเดีย-ปากีสถานตกลงหยุดยิง หลังสหรัฐฯ เป็นคนกลางช่วยเจรจา อินเดียและปากีสถานประกาศเมื่อวันเสาร์ (10 พ.ค.) ว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงทันที การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากความขัดแย้งระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์บานปลายนี้มีชนวนเหตุจากการกราดยิงนักท่องเที่ยวเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้วในดินแดนแคชเมียร์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างสองประเทศ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ โพสต์ข้อความเช่นกันว่า ทั้งสองฝ่ายตกลง "หยุดยิงอย่างสมบูรณ์และทันที" ภายหลังสหรัฐฯ เข้ามาเป็นคนกลางช่วยเจรจาข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้ วิกรม มิสรี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ทั้งสองฝ่ายจะยุติการยิงและการปฏิบัติการทางทหารทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางทะเล หรือทางอากาศ ด้านอิซัก ดาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน ยืนยันผ่านโซเชียลมีเดียเช่นกันว่า ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้ว "ปากีสถานมุ่งมั่นสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคมาโดยตลอด โดยไม่ยอมลดทอนอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน!" ดาร์เขียนข้อความดังกล่าวในโพสต์ หลังเข้าร่วมการประชุมของหน่วยบัญชาการแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถาน มิสรีกล่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพทั้งสองฝ่ายมีกำหนดจัดการเจรจาในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ขณะเดียวกัน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายจะพบกัน ณ สถานที่ที่เป็นกลาง ช่วงเช้าวันเสาร์ก่อนหน้านี้ ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างส่งสัญญาณว่าจะไม่ยกระดับความเป็นปรปักษ์ หากอีกฝ่ายหนึ่งพร้อมจะทำเช่นเดียวกัน (อินโฟเควสท์)
อินเดียส่งคำเตือนปากีสถานผ่านสายด่วน หลังเกิดเหตุละเมิดหยุดยิง ขู่ตอบโต้หากเกิดซ้ำ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพอินเดียเปิดเผยว่า ทางการอินเดียได้ส่งข้อความผ่าน "สายด่วน" ถึงปากีสถานเมื่อวันอาทิตย์ (11 พ.ค.) เกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมแจ้งเจตนาว่าจะดำเนินการหากเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก ขณะที่โฆษกกองทัพปากีสถานปฏิเสธว่าไม่มีการฝ่าฝืนข้อตกลงใดๆ พลโท ราจีฟ ไก ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการทางทหารของอินเดีย (DGMO) แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ข้อตกลงหยุดยิงที่มีอายุเพียง 24 ชั่วโมงยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ละเมิด โดยชี้ว่า บางครั้งข้อตกลงเหล่านี้ต้องใช้เวลาจึงจะเริ่มเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่จริง นอกจากนี้ พลโทไก ยังเปิดเผยว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของอินเดียได้มอบอำนาจให้ผู้บัญชาการภาคสนามตัดสินใจรับมือกับการละเมิดจากฝั่งตรงข้ามในรูปแบบที่เห็นว่าเหมาะสม โดยกองกำลังติดอาวุธของอินเดียยังคงอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด ด้านปากีสถาน โฆษกกองทัพแถลงร่วมกับผู้แทนจากกองทัพอากาศและกองทัพเรือ ยืนยันว่า ไม่มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงใด ๆ จากฝั่งปากีสถานหรือกองกำลังติดอาวุธ (อินโฟเควสท์)
ฮูตียิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงโจมตีอิสราเอลวันนี้ กลุ่มกบฏฮูตีออกแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบต่อการยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงโจมตีอิสราเอลในวันนี้ โดยอ้างว่าสามารถโจมตีเป้าหมายสนามบินเบนกูเรียนของอิสราเอล นายยาห์ยา ซาเรีย โฆษกของกลุ่มฮูตี กล่าวว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลไม่สามารถสกัดขีปนาวุธดังกล่าว ส่งผลให้สนามบินเบนกูเรียนต้องปิดดำเนินการเป็นเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง และทำให้ประชาชนหลายล้านคนต้องเข้าหลบภัย ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ฮูตีกล่าวว่า การที่ฮูตีสามารถทำข้อตกลงหยุดยิงกับสหรัฐ ทำให้ฮูตีลดแรงกดดันจากสหรัฐ และทำให้ฮูตีสามารถพุ่งเป้าโจมตีอิสราเอล นอกจากนี้ ฮูตีระบุว่าได้ใช้โดรนโจมตีฐานทัพแห่งหนึ่งในเมืองเทลอาวีฟในวันนี้ อย่างไรก็ดี กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) แถลงว่า ระบบป้องกันภัยของอิสราเอลสามารถสกัดชีปนาวุธดังกล่าว โดยไม่มีผู้ที่เสียชีวิตแต่อย่างใด นายอิสราเอล แคตส์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล กล่าวว่า อิสราเอลจะทำการตอบโต้กลุ่มฮูตีต่อการโจมตีดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
อิหร่านเผยเจรจานิวเคลียร์รอบล่าสุดกับสหรัฐฯ ไม่ราบรื่น แต่ตกลงเดินหน้าคุยต่อ การเจรจานิวเคลียร์รอบล่าสุดระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ปิดฉากลงแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (11 พ.ค.) โดยอิหร่านระบุว่าการหารือครั้งนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเจรจาต่อไป เอสมาอิล บาเกอี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านโพสต์ข้อความผ่านเอ็กซ์ว่า แม้การเจรจาจะไม่ราบรื่นนัก แต่ก็ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจจุดยืนของกันและกันดีขึ้น และช่วยให้หาวิธีจัดการกับความแตกต่างอย่างสมเหตุสมผลและอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เป็นทั้งการพูดคุยโดยตรงและโดยอ้อม ใช้เวลารวมกว่า 3 ชั่วโมง และถือเป็นความคืบหน้าที่ดี พร้อมย้ำว่าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะดำเนินการเจรจาต่อเพื่อหารือในประเด็นทางเทคนิคต่างๆ โดยฝ่ายสหรัฐฯ รู้สึกพอใจกับผลลัพธ์และตั้งตารอการหารือในรอบถัดไปในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีการประกาศวันเจรจารอบต่อไปอย่างเป็นทางการ แต่บาเกอีระบุว่า โอมานซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยจะเป็นผู้ประกาศกำหนดการ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่งเกือบ 3,000 จุด ขานรับอินเดีย-ปากีสถานหยุดยิง (12 พ.ค.) ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นเกือบ 3,000 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี ขานรับการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอินเดียและปากีสถาน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,429.90 บวก 2,975.43 จุด หรือ 3.74% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 800 จุด กังวลอินเดีย-ปากีสถานตึงเครียด (9 พ.ค.) ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 800 จุด ปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 ท่ามกลางความกังวลต่อปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังเกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังของอินเดียและปากีสถาน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 79,454.47 ลบ 880.34 จุด หรือ 1.10% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ผู้ว่าฯ ธปท. ระบุลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 2 ครั้งเพียงพอรองรับพายุเศรษฐกิจระดับหนึ่ง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่า การลดดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งติดต่อกัน ถือว่าเพียงพอรองรับกับพายุเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้ามาถึงไทยได้ในระดับหนึ่ง แต่หากมุมมองเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากภาพที่ ธปท.มองในขณะนี้ ก็พร้อมจะปรับ "ขณะนี้มองว่าเพียงพอแล้วที่จะรองรับการ slow down หาก outlook เปลี่ยน เราก็พร้อมปรับ" ผู้ว่าฯธปท. กล่าว (อินโฟเควสท์)
ผู้ว่า ธปท.ฉายภาพเศรษฐกิจไทยชะลอลงก่อนซึมลากยาวรับพิษ "ทรัมป์" แนะหนทางปรับตัวฝ่าวิกฤติ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน Meet The Press ถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาว่า ได้สร้างความไม่แน่นอนอย่างมากต่อทั้งเศรษฐกิจของโลกและของไทย เปรียบเสมือนพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะเข้ามา สร้างความกังวลกับทุกฝ่ายว่าพายุจะมาถึงเมื่อไร เมื่อพายุมาถึงแล้วจะมีผลกระทบกับภาคส่วนใดบ้าง ผลกระทบจะมากเพียงใด และกินระยะเวลายาวนานแค่ไหน และหลังจากพายุผ่านพ้นไปแล้ว สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ผู้ว่า ธปท.มองว่า ปัจจุบันผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯที่มีต่อเศรษฐกิจไทยอาจจะยังไม่เห็นชัดเจนมากนัก แต่สิ่งที่พอมองเห็นบ้าง ได้แก่ ประเทศคู่ค้าต่างเร่งนำเข้าสินค้าในช่วงนี้ นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูความชัดเจน โดยคาดว่าผลกระทบจะชัดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ภาพเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเป็นรูปของ V shape แบบขากว้าง ซึ่งจะเริ่มเห็นเศรษฐกิจไทยชะลอตัวตั้งแต่ไตรมาส 3 และน่าจะลงไปอยู่ในจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 4 ผู้ว่าฯ ธปท.มองว่า ผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว ซึ่งหากไม่มีการปรับตัวก็มีโอกาสสูงที่เมื่อผ่านพ้นวิกฤติไปแล้วการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอาจจะอยู่ในระดับต่ำกว่าอดีต แต่อย่างไรก็ดี ยังมีโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจสามารถเติบโตขึ้นได้ดีกว่าเดิมได้ หากใช้โอกาสจากวิกฤตินี้ในการขยายการเจรจาการค้ากับประเทศต่าง ๆ ให้มากขึ้น ยกระดับประสิทธิภาพในภาคบริการให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น (อินโฟเควสท์)
ผู้ว่า ธปท.เตือนแรง "กาสิโน" ทำภาพลักษณ์ประเทศเป็นสีเทา หนุน Wellness เพิ่มมูลค่าท่องเที่ยวไทย นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลผลักดันโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (entertainment complex) ว่า โจทย์ใหญ่กว่าการดึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาในประเทศ คือการทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวเติบโตได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน โลกยังให้ความสำคัญกับเรื่องภาพลักษณ์ การทำอะไรที่มีความไม่ชัดเจน มีความไม่แน่นอนสูง ในบริบทนั้นไทยจะถูกมองว่าทำตัวไม่ถูกต้อง ไม่ขาวสะอาด โดยเฉพาะเรื่องกาสิโนที่มองว่าเป็นความเสี่ยง ทำให้ภาพของประเทศมีความเป็นสีเทามากขึ้น ในทางกลับกันหากมาเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ Wellness ในยุคสังคมสูงวัย ซึ่งตลาดในส่วนนี้มีแนวโน้มการเติบโตสูง การรับนักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ จะช่วยตอบโจทย์เรื่องการยกระดับการสร้างมูลค่าเพิ่มได้เป็นอย่างดี และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า (อินโฟเควสท์)
“ดิจิทัลวอลเล็ต"ส่อสะดุด รมว.คลัง เล็งชงบอร์ดกระตุ้นศก.ทบทวน-ปรับแผนใช้งบฯ รับมือ "ทรัมป์" นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ จะนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการใช้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง รวมถึง "โครงการดิจิทัลวอลเล็ต" ด้วย โดยการทบทวนในครั้งนี้ มาจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดเจรจาได้ข้อสรุปชัดเจน ส่งผลให้การค้าโลกหยุดชะงัก รวมถึงกรณีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ "มูดี้ส์" ออกมาเตือนเรื่องฐานะการคลังของไทย ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลัง โดยอยากเห็นการปรับแผนการใช้เงินงบประมาณ มุ่งเน้นไปที่การลงทุนมากขึ้น เพื่อรองรับการส่งออกที่อาจมีปัญหาในอนาคต รองนายกฯ และรมว.คลัง มองว่า การปรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ควรหันมาเน้นเรื่องการลงทุนเพื่อเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งเสริมการจ้างงาน อาทิ การสร้างโรงไฟฟ้าไบโอก๊าซ ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากการหมักวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น หญ้าเนเปียร์, ข้าวโพด ซึ่งจะช่วยรองรับการใช้ไฟฟ้าในอนาคตของธุรกิจ Data Center ที่จะเพิ่มขึ้น และเน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น ตลอดจนปรับปรุงการผลิตของภาคเกษตร ซึ่งเกี่ยวเนื่องไปถึงการบริหารจัดการน้ำที่รัฐบาลจะต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องน้ำกิน น้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตร และน้ำในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงต้องมีการลงทุนเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากขึ้น จากปีนี้ที่แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มชะลอตัวลง (อินโฟเควสท์)
ไทยเจรจาสำเร็จ! เปิดตลาดส่งออก "เนื้อไก่-เนื้อเป็ดดิบ" ไปฟิลิปปินส์ครั้งแรก นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการหารือกับ รมว.เกษตรของฟิลิปปินส์ เมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงความเป็นไปได้ในการเปิดตลาดสินค้าเกษตร ประเภทเนื้อสัตว์ปีกดิบ เช่น ไก่ และเป็ด ไปจำหน่ายที่ประเทศฟิลิปปินส์ นั้น ล่าสุด กรมปศุสัตว์ได้รับแจ้งจากสถานทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทยว่า หน่วยงาน National Veterinary Quarantine Service Division BAI ให้การรับรองสถานประกอบการ 2 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ EST.14 บางกอกแรนช์ และ EST.79 พนัสโพลทรีย์ ให้เป็นผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ปีกดิบไปยังประเทศฟิลิปปินส์ โดยได้รับการลงนามเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเผยแพร่ต่อสาธารณะในกระบวนการขั้นสุดท้าย โดยหน่วยงาน Bureau of Animal Industry (BAI) ได้ขอให้กรมปศุสัตว์ จัดส่งตัวอย่างหนังสือ Health Certificate สำหรับเนื้อสัตว์ปีก เพื่อจะได้พิจารณาข้อความรับรองต่าง ๆ ต่อไป "เป็นข่าวดีของเกษตรกรไทย ที่จะสามารถส่งออกเนื้อสัตว์ปีกไปยังฟิลิปปินส์ได้ ซึ่งเป็นไปตามที่เราได้เคยเจรจากับทางฟิลิปปินส์ไว้ วันนี้เกิดผลสัมฤทธิ์แล้ว ฟิลิปปินส์ได้อนุญาตให้ไทยส่งออกสัตว์ปีกดิบได้ เหลือเพียงขั้นตอนของเอกสาร Health certificate แล้วเสร็จก็จะสามารถส่งออกได้ทันที" นางนฤมล กล่าว โดยในช่วงแรก ฟิลิปปินส์ได้รับรองโรงงานส่งออกของไทย 2 โรงงาน คือ โรงงานเป็ด 1 โรง และโรงงานไก่ 1 โรง ซึ่งในอนาคตจะมีขยายรับรองโรงงานอื่นต่อไป ที่ผ่านมา ไทยเคยส่งออกได้แต่ไก่สุก เพิ่งจะสามารถเปิดตลาดไก่ดิบได้เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก ๆ เพราะตลาดไก่ดิบมีตลาดที่ใหญ่กว่าไก่สุกมาก (อินโฟเควสท์)
ออกหมายเรียกสว. ปมฮั้วเลือกตั้ง ล็อตแรก 53 ราย จ่อออกล็อต 2 สัปดาห์หน้า รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในคดีที่ถูกร้องเรียนให้ตรวจสอบฮั้วเลือก สว. ได้ลงนามในหมายเรียกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ล็อตแรก จำนวน 53 ราย กระจายทั่วภูมิภาคประเทศไทย ตามหัวเมืองจังหวัดสำคัญ 47 ราย และในพื้นที่ กทม. 6 ราย ให้เข้ามาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากับคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ภายในวันที่ 19 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ภายในกรอบสัปดาห์หน้า กกต. จะมีการทยอยออกหมายเรียกสว. ล็อตสองต่อไป ทั้งนี้ รวมแล้วอาจมีจำนวนสว. มากกว่า 100 ราย ที่จะถูกออกหมายเรียกให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งขั้นตอนที่จะไปถึงหลังจากนั้น คือการยื่นเพิกถอนสิทธิสว. ต่อศาลฎีกา รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับพฤติการณ์ของสว. แต่ละรายที่ถูกออกหมายเรียกล้วนมีการกระทำเข้าข่ายความผิดโดยเฉพาะเส้นทางการเงินชัดเจนว่า มีเส้นเงินเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการจัดฮั้ว มีการโอนเงิน-รับเงินตามวันที่และเวลาสำหรับไทม์ไลน์การเลือกสว. อีกทั้งคำให้การของพยานสำคัญได้มีการซัดทอดยอมรับว่า สว. เหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรง มีการกระทำความผิด ไม่ได้ถูกเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยสุจริตเที่ยงธรรม หรือมาโดยการฮั้วสว. (อินโฟเควสท์)
ภูมิใจไทยปัดข่าวจ้องคว่ำ พ.ร.บ.งบฯ ตอบโต้ปมออกหมายเรียก สว. จากกรณีที่มีข่าวแกนนำพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เกิดความไม่พอใจที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกหมายเรียกสมาชิกวุฒิสภา 54 รายไปรับทราบข้อกล่าวหาในคดีฮั้วเลือก สว.ทำให้เกิดความขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทย โดย สส.พรรคภูมิใจไทย อาจไม่ยกมือสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 69 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28-30 พ.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลให้นายกรัฐมนตรีต้องประกาศยุบสภา น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี ในฐานะโฆษกพรรค ภท. ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะพรรคฯ เห็นว่า พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาประเทศ และแก้ปัญหาประชาชน "พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล มีรัฐมนตรีที่กำกับดูกระทรวงซึ่งมีส่วนร่วมจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ไม่มีเหตุที่จะไม่สนับสนุนการจัดสรรงบประมาณเพื่อขับเคลื่อน เพื่อพัฒนา และแก้ปัญหาประเทศ" โฆษกพรรค ภท. กล่าว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 4.35 จุดเด้งกลับช่วงบ่ายลุ้นผลเจรจาจีน-สหรัฐสุดสัปดาห์นี้ บจ.แจ้งงบดีกว่าคาด (9 พ.ค.) SET ปิดวันนี้ที่ 1,210.94 จุด เพิ่มขึ้น 4.35 จุด (+0.36%) มูลค่าซื้อขาย 40,958.44 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยช่วงบ่ายฟื้นตัว ตอบรับเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนสุดสัปดาห์ รวมทั้งตัวเลขนำเข้า-ส่งออกจีน และผลประกอบการ บจ.ดีกว่าคาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าติดตามผลเจรจาสหรัฐ-จีน ให้แนวต้าน 1,225-1,250 จุด แนวรับ 1,189 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,210.94 จุด เพิ่มขึ้น 4.35 จุด (+0.36%) มูลค่าซื้อขาย 40,958.44 ล้านบาท (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.01/02 ทรงตัว จับตามุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐของเจ้าหน้าที่เฟด (9 พ.ค.) นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 33.01/02 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 33.02 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.98-33.20 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทและสกุลเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าเทียบดอลลาร์ จากปัจจัยตั้งแต่เมื่อคืนนี้ที่สหรัฐฯ และอังกฤษสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ ขณะเดียวกัน ปัจจัยเงินบาทยังมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นลงระหว่างวันด้วย สำหรับประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ต้องติดตามคืนนี้ คือความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะออกมาพูดถึงมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ และนโยบายของเฟดที่จะดำเนินต่อไปจากนี้ นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันอังคารไว้ที่ 32.90 - 33.20 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 97,037 ล้านบาท (9 พ.ค.) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 97,037 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุนที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 15,929 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,271 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 18,097 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.61% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.04% (อินโฟเควสท์)  
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
  • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานสรุปความคิดเห็น (Summary of Opinions) ญี่ปุ่น
  • อัตราว่างงานเดือนมี.ค. อังกฤษ
  • ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนพ.ค.จากสถาบัน ZEW ยุโรป
  • ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนพ.ค.จากสถาบัน ZEW เยอรมนี
  • ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนเม.ย.จากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) สหรัฐฯ
  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย. สหรัฐฯ

แชร์เรื่องนี้

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

News Demo
16
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
13
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
12
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ

Shortcut Menu

  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
    โครงสร้างพื้นฐาน
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนผลงานดี
  • ตารางจ่ายเงินปันผล
  • ข่าว/บทวิเคราะห์
  • กลยุทธ์การลงทุน
  • กำหนดการและแบบฟอร์ม
  • โปรโมชั่น
  • ปฏิทินกองทุน
  • ภาพกิจกรรม
  • ประกาศราคากลาง
  • AIMC Category
    Performance Report
  • ถาม-ตอบ
  • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
  • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
  • การตั้งค่าคุกกี้
  • สมัครรับข่าวสาร
  • ติดต่อเรา
  • ร่วมงานกับเรา
  • ประกาศความเป็นส่วนตัว
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

อีเมล: callcenter@ktam.co.th

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

  • พันธมิตรธุรกิจ
  • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • แผนผังเว็บไซต์

การใช้และการจัดการคุกกี้

เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

 การใช้และการจัดการคุกกี้

เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


การกำหนดลักษณะความยินยอม

คุกกี้ที่จำเป็น

คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

คุกกี้วิเคราะห์

เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง