• X
  • ค้นหา
  • TH EN
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
  1. หน้าแรก
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค.  กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนมี.ค. ยอดขายในภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมี.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนก.พ. นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.30 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก.พ. #
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 228,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 231,000 ราย  ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 227,000 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 29,000 ราย สู่ระดับ 1.88 ล้านราย #
สหรัฐฯเผยอัตราการเกิดในประเทศยังต่ำ คาดรัฐบาลเล็งหนุนนโยบายเพิ่มการเกิด ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) เปิดเผยรายงานล่าสุดระบุว่า จำนวนการเกิดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 1% ในปี 2567 สู่ระดับ 3.6 ล้านคน ซึ่งแม้ว่าจำนวนการเกิดจะเพิ่มขึ้นจากปี 2566 แต่ก็ยังอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลจาก CDC ระบุว่า ในช่วงปี 2558-2563 จำนวนการเกิดในสหรัฐฯ ลดลงเฉลี่ย 2% ต่อปี และอัตราการเกิดมีการผันผวนตลอดปี 2567 นอกจากนี้ ข้อมูลของ CDC ยังได้ระบุถึงอัตราการเจริญพันธุ์ (fertility rate) หรือจำนวนการเกิดต่อผู้หญิง 1 คนในวัยเจริญพันธุ์ (15-44 ปี)    ทั้งนี้ อัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกอยู่ที่ 2.25 คนต่อผู้หญิง 1 คน ซึ่งน้อยกว่าในช่วง 30 ปีก่อน ขณะที่ในสหรัฐฯ นั้น อัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่ 1.62 คนต่อผู้หญิง 1 คน หนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์ (USA Today) ได้ระบุถึงรายงานดังกล่าวว่า เนื่องจากอัตราการเกิดทั่วโลกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงประกาศว่าจะพิจารณานโยบายที่มุ่งเน้นการเพิ่มอัตราการเกิด #
"ทรัมป์" เดือด! ตราหน้า "พาวเวล" เป็นคนโง่ หลังเฟดคงดอกเบี้ยวานนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความไม่พอใจอีกครั้งหนึ่งต่อนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากที่เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวานนี้ "สายไปแล้ว เจอโรม พาวเวลเป็นคนโง่ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่นอกเหนือจากนั้น ผมก็ชอบเขามากนะ! ราคาน้ำมันและพลังงานกำลังปรับตัวลง โดยค่าใช้จ่ายเกือบทุกอย่าง (รวมถึงของชำและไข่) ก็กำลังลดลง แทบไม่มีเงินเฟ้อเลย ขณะที่เงินจากการเก็บภาษีศุลกากรกำลังหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ" ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความใน Truth Social ทั้งนี้ แถลงการณ์ของเฟดได้เตือนถึงความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจ และความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น (stagflation) โดยระบุว่า "คณะกรรมการเฟดให้ความสนใจต่อความเสี่ยงที่มีต่อพันธกรณีทั้งสองประการของเฟด และประเมินว่าความเสี่ยงของการว่างงานที่สูงขึ้นและเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้นได้เพิ่มขึ้นแล้ว" นอกจากนี้ ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินวานนี้ นายพาวเวลปฏิเสธแนวคิดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า โดยระบุว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟด "เศรษฐกิจยังคงมีความยืดหยุ่น และกำลังไปได้ค่อนข้างดี นโยบายของเราก็อยู่ในจุดที่เหมาะสมแล้ว ขณะที่ต้นทุนของการรอดูสถานการณ์ต่อไปก็ถือว่าค่อนข้างต่ำ" "ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเฟดจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด แต่ในตอนนี้ เราตัดสินใจที่จะรอดูและเฝ้าสังเกตสถานการณ์ต่อไป" นายพาวเวลกล่าว #
มาตรการภาษีสินค้าจีนทำพ่อแม่มะกันเดือดร้อน เหตุสินค้าเด็กราคาแพงลิบ ภาษีที่รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากจีนกำลังส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกในสหรัฐฯ สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราคาสินค้าหลายอย่างพากันปรับตัวขึ้น แถมยังน่ากังวลว่าจะเกิดการขาดแคลนเครื่องใช้จำเป็นสำหรับเด็กอ่อน ในช่วงที่หลาย ๆ ครอบครัวก็เดือดร้อนกับภาวะค่าครองชีพที่ตึงตัวอยู่แล้ว  เดอะวอชิงตัน โพสต์ รายงานในวันพุธ (7 พ.ค.) ว่า "คาร์ซีต รถเข็นเด็ก เปลนอนเด็ก และโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อมเกือบทุกชิ้นที่ขายในอเมริกา ล้วนผลิตในจีนทั้งสิ้น ทำให้ธุรกิจสินค้าสำหรับเด็กกลายเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อภาวะต้นทุนพุ่งสูงและการขาดแคลนอย่างมาก" รายงานระบุว่า แม้หลาย ๆ อุตสาหกรรมจะทยอยย้ายฐานการผลิตสินค้า เช่น เสื้อผ้า คอมพิวเตอร์ และอื่น ๆ ไปยังเวียดนาม ไทย และอินเดียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ธุรกิจสินค้าสำหรับเด็กส่วนใหญ่ยังคงปักหลักอยู่ในจีน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีความสัมพันธ์อันยาวนานกับโรงงานที่ผลิตได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดของสหรัฐฯ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สมาคมผู้ผลิตสินค้าสำหรับเด็ก (JPMA) ระบุว่า สินค้าสำหรับเด็กกว่า 70% ที่ชาวอเมริกันซื้อนั้น มาจากการผลิตของบริษัทอเมริกันในประเทศจีน รายงานระบุว่า "แต่ด้วยภาษีนำเข้าใหม่ที่ทำให้ต้นทุนสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ราคาสินค้าจำเป็นสำหรับเด็กจึงปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ... ผู้ผลิตกับร้านค้าปลีกต่างพากันเหยียบเบรก โดยชะลอการนำเข้าสินค้าที่รองรับความต้องการได้หลายเดือน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าจะนำไปสู่ภาวะขาดแคลนรถเข็นเด็ก เปล และของใช้อื่น ๆ ที่จำเป็น ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป" #
"ทรัมป์" เตรียมออกคำสั่งฝ่ายบริหารคุมราคายาหวังลดรายจ่าย คาดลงนามสัปดาห์หน้า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เตรียมออกคำสั่งฝ่ายบริหารในการลดราคายา เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการซื้อยา โดยคาดว่าจะลงนามในสัปดาห์หน้า รายงานข่าวระบุว่า มาตรการใหม่นี้มีแนวโน้มจะนำแนวคิด "ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด" (most favored nation) มาใช้กับยาบางประเภทในโครงการเมดิแคร์ (Medicare) โดยจะปรับราคายาที่รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายในโครงการเมดิแคร์ตามราคาที่ถูกกว่าในต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทยาได้รับเงินจากรัฐบาลลดลง ทั้งนี้ ทางทำเนียบขาวได้แจ้งเตือนกลุ่มผู้ผลิตยาล่วงหน้าแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา และคาดว่าจะเริ่มทดลองใช้โครงการนี้ในเร็วๆ นี้ หากมาตรการนี้ถูกนำไปใช้จริง คาดว่าอุตสาหกรรมเภสัชกรรมจะคัดค้านอย่างหนัก โดยผู้บริหารบริษัทยารายหนึ่งมองมาตรการนี้เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่ออุตสาหกรรมและนวัตกรรมทางชีวการแพทย์ในสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทยารายใหญ่ในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในการซื้อขายหลังปิดตลาดเมื่อวันพุธ (7 พ.ค.) โดยหุ้นของอีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) ลดลงกว่า 3% ขณะที่หุ้นของเมอร์ค (Merck), กิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences) และบริสตอล ไมเยอร์ส สควิบป์ (Bristol Myers Squibb) ลดลงประมาณ 1.5% ก่อนหน้านี้ เมื่อวันอังคาร (6 พ.ค.) ที่ผ่านมา ทรัมป์เผยว่าจะมีการประกาศสำคัญเกี่ยวกับราคายาในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งย้ำว่า สหรัฐฯ กำลังถูกเอาเปรียบอย่างหนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นประเทศที่จ่ายค่ายาแพงที่สุดในโลก โดยมีราคายาแพงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เกือบสามเท่า #
"ทรัมป์" เล็งยกเลิกและปรับมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ยุคไบเดน โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันพุธ (7 พ.ค.) ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนจะยกเลิกและปรับเปลี่ยนกฎระเบียบควบคุมการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูง ที่ออกในสมัยของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน โฆษกกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า กฎเกณฑ์ดังกล่าวมีความซับซ้อนและขั้นตอนราชการที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางนวัตกรรมของสหรัฐฯ รัฐบาลจึงมีแผนจะแทนที่ด้วยกฎที่เรียบง่ายกว่า เพื่อปลดล็อกศักยภาพด้านนวัตกรรมและรักษาความเป็นผู้นำ AI ของสหรัฐฯ รายงานระบุว่า กฎระเบียบในยุคไบเดนซึ่งมีกำหนดเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 15 พ.ค. นั้น แบ่งประเทศทั่วโลกออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อให้สหรัฐฯ และพันธมิตรสามารถรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยีไว้ได้ โดยกลุ่มแรก ประกอบด้วย 17 ประเทศและไต้หวัน ซึ่งสามารถนำเข้าชิปได้โดยไม่มีข้อจำกัด ส่วนกลุ่มที่สอง ครอบคลุมราว 120 ประเทศ ที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านปริมาณ และกลุ่มที่สาม ได้แก่ ประเทศที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าถึงชิปเหล่านี้ เช่น จีน รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการประกาศใช้กฎใหม่ โดยโฆษกกระทรวงฯ ระบุว่ายังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด #
ทรัมป์เตรียมแถลงข่าวประกาศข้อตกลงการค้ากับ "ประเทศใหญ่" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบนทรูธ โซเชียล (Truth Social) ว่า เขามีแผนที่จะจัดการแถลงข่าวในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) เวลา 10.00 น. ตามเวลาสหรัฐฯ (21.00 น. ตามเวลาไทย) เกี่ยวกับ "ข้อตกลงการค้าที่สำคัญกับผู้แทนของประเทศขนาดใหญ่และได้รับความเคารพสูงประเทศหนึ่ง" แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นประเทศใด ทั้งนี้ ดัชนี S&P500 ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้น 0.5% หลังจากปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความดังกล่าว  แม้ว่ารายละเอียดเกี่ยวกับการแถลงข่าวยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้ แต่ปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าจะเป็นข้อตกลงแรกจากหลาย ๆ ข้อตกลง ในขณะที่เขาพยายามมองหาลู่ทางที่จะขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการส่งออกของสหรัฐฯ และลดความปั่นป่วนในตลาดที่เกิดจากการประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นวงกว้างของเขา   ทรัมป์เผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองในการหาทางออกให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ หลุดพ้นจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร ขณะที่ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันกำลังไม่พอใจกับการบริหารเศรษฐกิจของเขา #
ทรัมป์ชี้จีนเป็นฝ่ายเริ่มติดต่อขอเจรจาการค้า ยันไม่เต็มใจยกเลิกมาตรการภาษี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ชี้ว่า จีนเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาการค้าระหว่างทั้งสองชาติ ไม่ใช่สหรัฐฯ อย่างที่จีนกล่าวอ้าง และย้ำว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมลดภาษีสินค้าจีนเพื่อดึงจีนกลับสู่โต๊ะเจรจา ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้น หลังทางการจีนยืนกรานว่าจะไม่ยอมเจรจาเว้นเสียแต่ว่าสหรัฐฯ จะถอนภาษีศุลกากร โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนชี้ว่า สหรัฐฯ เป็นฝ่ายที่ส่งสัญญาณว่าต้องการเจรจาการค้ากับจีน ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวว่า "พวกเขาบอกว่าเราเริ่มก่อนหรือ แหม ผมว่าพวกเขาควรกลับไปดูเอกสารของตัวเองเสียหน่อย" พร้อมยืนยันหนักแน่นว่า สหรัฐฯ จะไม่ยอมลดภาษีศุลกากรเพื่อให้จีนกลับมาเจรจา เพราะสหรัฐฯ "เสียรายได้กับจีนในด้านการค้าปีละมากกว่าล้านล้านดอลลาร์" ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ หลังจากมีรายงานว่าสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะพบปะกับเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นภาษีศุลกากรและการค้า #
"ทรัมป์" แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ประกาศบรรลุดีลการค้ากับอังกฤษ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ทำการแถลงข่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ที่ทำเนียบขาวในวันนี้ โดยประกาศว่า สหรัฐได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหราชอาณาจักรแล้ว ข้อตกลงดังกล่าวนับเป็นข้อตกลงฉบับแรกที่สหรัฐทำกับประเทศคู่ค้า นับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในเดือนเม.ย. อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงในการแถลงข่าวดังกล่าว รวมทั้งไม่มีการลงนามในข้อตกลงแต่อย่างใด "เรากำลังร่างรายละเอียดขั้นสุดท้ายของข้อตกลง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า" ปธน.ทรัมป์กล่าว นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้สหรัฐสามารถส่งออกสินค้ามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เข้าสู่ตลาดของสหราชอาณาจักร และสหราชอาณาจักรจะปรับลดหรือขจัดอุปสรรคที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษีศุลกากรซึ่งเคยกีดกันสินค้าจากสหรัฐอย่างไม่เป็นธรรม #
PIMCO ชี้ สหรัฐฯ เสี่ยงเกิดเศรษฐกิจถดถอยสูงสุดในรอบหลายปี แปซิฟิก อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ โค หรือ PIMCO หนึ่งในบริษัทจัดการกองทุนตราสารหนี้ชั้นนำของโลก ได้ให้ความเห็นผ่านหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส (FT) ว่า ปัจจุบันความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยนั้นอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ PIMCO ยังได้ส่งสัญญาณเตือนว่า นักลงทุนอาจกำลังประเมินความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่จะนำมาตรการกำแพงภาษีในอัตราสูงกลับมาใช้อีกครั้งต่ำเกินไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นปัจจัยที่สร้างความปั่นป่วนอย่างหนักให้กับตลาดการเงินเมื่อเดือนก่อน  แดน ไอวาสซิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน (CIO) ของ PIMCO กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ FT ร่วมกับเอ็มมานูเอล โรมัน ซีอีโอ PIMCO ว่า "มีความเป็นไปได้สูงที่เราอาจจะได้เห็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย" และเสริมว่า "โอกาสที่จะเกิดนั้นนับว่าสูงที่สุดในรอบหลายปี" ไอวาสซินคาดการณ์ว่า แม้ในระยะยาว "อัตราภาษีศุลกากรขั้นสุดท้ายน่าจะปรับตัวลดลง" แต่ PIMCO จะยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดถึงแนวทางการปรับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อตอบสนองต่อสภาวะตลาดและสัญญาณชี้นำจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)   ไอวาสซินให้ข้อมูลกับ FT ว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา PIMCO ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เล็กน้อย โดยเน้นไปที่ตราสารหนี้ระยะสั้น พร้อมเสริมว่า สถานการณ์ความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มฐานะการคลังของสหรัฐฯ ที่ดูแย่ลง กำลังทำให้พันธบัตรรัฐบาลของประเทศอื่น ๆ มีความน่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไอวาสซินยังคงเชื่อมั่นว่า สหรัฐฯ จะยังไม่สูญเสียสถานะการเป็นสกุลเงินสำรองของโลก "ในเร็ววันนี้" แต่เขาก็ตั้งข้อสังเกตว่า "เป็นการยากที่จะเห็นความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดดุล" ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ไอวาสซินเคยกล่าวไว้ว่า ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง พร้อมทั้งชี้ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อภาคเอกชน หากสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาวะ Stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะงักงันแต่กลับมีอัตราเงินเฟ้อสูง) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความตึงเครียดทางการค้า #
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 254.48 จุด รับข่าวสหรัฐฯ-อังกฤษบรรลุดีลการค้า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) ขานรับข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าการเจรจากับจีนที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ จะมีสาระสำคัญมากกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,368.45 จุด เพิ่มขึ้น 254.48 จุด หรือ +0.62%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,663.94 จุด เพิ่มขึ้น 32.66 จุด หรือ +0.58% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,928.14 จุด เพิ่มขึ้น 189.98 จุด หรือ +1.07% #
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.84 รับความหวังจีน-สหรัฐฯบรรลุดีลการค้า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดของโลก จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าในระหว่างพบปะกันที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.84 ดอลลาร์ หรือ 3.17% ปิดที่ 59.91 ดอลลาร์/บาร์เรล   ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.72 ดอลลาร์ หรือ 2.81% ปิดที่ 62.84 ดอลลาร์/บาร์เรล #
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่า ขานรับสหรัฐ-อังกฤษบรรลุข้อตกลงการค้า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) ขานรับข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลง หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 1.03% แตะที่ระดับ 100.639 #
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดร่วง $85.90 หลังสหรัฐฯ-อังกฤษบรรลุดีลการค้า สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศการทำข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักร ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ อาจจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่น ๆ เช่นกัน ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 85.90 ดอลลาร์ หรือ 2.53% ปิดที่ 3,306.00 ดอลลาร์/ออนซ์ #
บอนด์ยีลด์ดีดเหนือ 4.3% ตอบรับสหรัฐ-อังกฤษบรรลุดีลการค้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.3% หลังสหรัฐและสหราชอาณาจักรสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ณ เวลา 21.03 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.304% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.786% #
ยุโรป
BoE หั่นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 7-2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.25% ในการประชุมวันนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทั้งนี้ กรรมการ MPC จำนวน 7 รายมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในวันนี้ ขณะที่อีก 2 รายมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.50% การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในวันนี้มีขึ้น ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจอังกฤษ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  นอกจากนี้ การที่เงินเฟ้อของอังกฤษชะลอตัวสู่ระดับ 2.6% ในเดือนมี.ค. ก็ได้เป็นปัจจัยหนุนให้ BoE ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ #
เยอรมนีเกินดุลการค้าเดือนมี.ค.สูงกว่าคาด หลังส่งออกโต-นำเข้าลด สำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนีเปิดเผยในวันนี้ (8 พ.ค.) ว่า ยอดเกินดุลการค้าของประเทศในเดือนมี.ค. อยู่ที่ 2.11 หมื่นล้านยูโร เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 1.8 หมื่นล้านยูโรในเดือนก.พ. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 1.91 หมื่นล้านยูโร การส่งออกในเดือนมี.ค. ขยายตัว 1.1% เมื่อเทียบรายเดือน แม้ว่าอัตราการเติบโตนี้จะชะลอตัวลงจากที่เติบโต 1.8% ในเดือนก.พ. แต่ก็ยังสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1% ในทางตรงกันข้าม การนำเข้าเดือนมี.ค. ปรับตัวลดลง 1.4% เมื่อเทียบรายเดือน จากที่เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ. และยังสวนทางกับการคาดการณ์ของตลาดที่มองว่าการนำเข้าเดือนมี.ค. จะเพิ่มขึ้น 0.4% #
"สตาร์เมอร์" ประกาศอังกฤษบรรลุดีลการค้ากับสหรัฐ นายเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศในวันนี้ว่า อังกฤษได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐแล้ว   ทั้งนี้ นายสตาร์เมอร์กล่าวในการแถลงข่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้สหรัฐยกเลิกอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากเหล็กและอะลูมิเนียมที่มีการนำเข้าจากอังกฤษ และสหรัฐจะปรับลดอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากรถยนต์ของอังกฤษจำนวน 100,000 คันต่อปี โดยอัตราภาษีจะลดลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 27.5% นอกจากนี้ นายสตาร์เมอร์กล่าวว่า ในทางกลับกัน อังกฤษจะอนุญาตให้สหรัฐส่งออกเนื้อวัวจำนวน 13,000 ตันโดยปลอดภาษีเข้าสู่อังกฤษ รวมทั้งอังกฤษจะระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อเอทานอลที่มีการนำเข้าจากสหรัฐ #
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับทรัมป์บรรลุดีลการค้ากับอังกฤษ ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศข้อตกลงทางการค้ากับสหราชอาณาจักรเพื่อลดภาษีนำเข้า ซึ่งนับเป็นข้อตกลงแรกนับตั้งแต่ทรัมป์จุดชนวนสงครามการค้าโลกด้วยการเก็บภาษีนำเข้าในวงกว้าง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 535.63 จุด เพิ่มขึ้น 2.16 จุด หรือ +0.40% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,694.44 จุด เพิ่มขึ้น 67.60 จุด หรือ +0.89%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,352.69 จุด เพิ่มขึ้น 236.73 จุด หรือ +1.02% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,531.61 จุด ลดลง 27.72 จุด หรือ -0.32% #
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 27.72 จุด นลท.ประเมินดีลการค้าสหรัฐฯ-อังกฤษ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพัฒนาการล่าสุดในประเด็นสงครามการค้าทั่วโลก ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,531.61 จุด ลดลง 27.72 จุด หรือ -0.32% #
ญี่ปุ่น
กรรมการ BOJ กังวลภาษีทรัมป์กระทบศก. แนะใช้ความระมัดระวังก่อนขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนมี.ค. ในวันนี้ (8 พ.ค.) โดยระบุว่า กรรมการคนหนึ่งของ BOJ เตือนว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้คณะกรรมการ BOJ ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มี.ค.  กรรมการคนดังกล่าวของ BOJ ระบุว่า หากภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ลงอีก BOJ ก็จำเป็นต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษในการพิจารณาเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่กรรมการบางคนได้แสดงมุมมองว่า BOJ ควรใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบสถานการณ์การค้าและผลกระทบของสถานการณ์เหล่านี้ นอกเหนือไปจากตรวจสอบผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ด้านกรรมการ BOJ อีกคนหนึ่งกล่าวว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเผชิญภาวะขาลงนั้น มีมากขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เช่น นโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และภาวะชะงักงันในห่วงโซ่อุปทาน นอกเหนือไปจากการแข่งขันอันดุเดือดกับบริษัทจีน  อย่างไรก็ดี กรรมการบางคนของ BOJ ระบุว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า BOJ ควรจะคงนโยบายการเงินที่ระดับปัจจุบันและดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป โดยกรรมการคนหนึ่งกล่าวว่า BOJ อาจจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ควรดำเนินนโยบายที่เด็ดขาด สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า รายงานการประชุมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากรรมการ BOJ ได้แสดงจุดยืนในทิศทางเดียวกันว่า BOJ ควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปหากกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศและเงินเฟ้อยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ BOJ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับ "ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ" ส่วนในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 1 พ.ค. คณะกรรมการ BOJ ยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 0.5% #
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 148.97 จุด หุ้นชิปหนุน-หวังเจรจาภาษีคืบหน้า ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกวันนี้ (8 พ.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางของหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังมีรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาผ่อนคลายมาตรการควบคุมชิปที่ใช้ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)  สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 36,928.63 จุด เพิ่มขึ้น 148.97 จุด หรือ +0.41% #
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 9.33 จุด รับความหวังเจรจาการค้าคืบหน้า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (8 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ รวมทั้งมุมมองบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,352.00 จุด เพิ่มขึ้น 9.33 จุด หรือ +0.28% #
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 84.04 จุด รับความหวังจีนเจรจาสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่หกในวันนี้ (8 พ.ค.) ขานรับข่าวจีนและสหรัฐฯ เตรียมเจรจาการค้าในช่วงสุดสัปดาห์นี้ รวมถึงการที่ทางการจีนออกมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจและปรับปรุงความเชื่อมั่นภาคเอกชน ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 22,775.92 จุด เพิ่มขึ้น 84.04 จุด หรือ +0.37% #
เอเชีย และอื่นๆ
ฟิลิปปินส์เผย GDP โตต่ำกว่าคาด 5.4% ใน Q1 จ่อหนุนแบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ย สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์รายงานในวันนี้ (8 พ.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 5.4% ในไตรมาส 1/2568 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 5.7% - 6% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของฟิลิปปินส์ได้เผชิญกับความท้าทาย แม้ในช่วงก่อนเกิดสงครามการค้าซึ่งมีสาเหตุมาจากมาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วโลก อย่างไรก็ดี GDP ไตรมาส 1/2568 ขยายตัวแข็งแกร่งกว่าในไตรมาส 4/2567 ที่มีการขยายตัว 5.3% โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคของภาคครัวเรือนซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 70% - 80% ของเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งได้ปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายของรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ การบริโภคในภาคครัวเรือนปรับตัวขึ้น 5.3% ในไตรมาส 1/2568 เทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่มีการขยายตัว 4.7% ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาลพุ่งขึ้น 18.7% เทียบกับไตรมาส 4 ที่เพิ่มขึ้น 9.7% เศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1 อาจทำให้ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ตัดสินใจเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเอลี เรโมโลนา ผู้ว่าการธนาคารกลางกล่าวเมื่อวานนี้ (7 พ.ค.) ว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง #
เงินสำรองฯ อินโดนีเซียลดลง แตะ 1.525 แสนล้านดอลล์ ณ สิ้นเดือนเม.ย. ธนาคารกลางอินโดนีเซียเปิดเผยวันนี้ (8 พ.ค.) ว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินโดนีเซีย ณ สิ้นเดือนเม.ย. ลดลง 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ระดับ 1.525 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่ธนาคารกลางต้องเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดการเงินโลก รัมดัน เดนนี ปราโกโซ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายสื่อสารของธนาคารกลางอินโดนีเซีย ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ทุนสำรองฯ ลดลง มาจากการชำระคืนหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล ประกอบกับความจำเป็นในการดำเนินนโยบายรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อรับมือกับสภาวะตลาดการเงินโลกที่ไม่แน่นอน  อย่างไรก็ตาม ปราโกโซเน้นย้ำว่า แม้ทุนสำรองฯ จะปรับตัวลดลง แต่ระดับปัจจุบันยังคงถือว่าแข็งแกร่ง โดยสามารถครอบคลุมมูลค่าการนำเข้าได้นานถึง 6.4 เดือน หรือหากรวมภาระการชำระหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลด้วย จะครอบคลุมได้ 6.2 เดือน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ที่ 3 เดือนอย่างมีนัยสำคัญ "ธนาคารกลางอินโดนีเซียประเมินว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศยังคงเพียงพอที่จะสนับสนุนความแข็งแกร่งของภาคเศรษฐกิจต่างประเทศ และช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจมหภาคและการเงิน" ปราโกโซกล่าวเสริม #
ฟิทช์มองเศรษฐกิจอินโดฯ โตไม่ถึง 5% ปีนี้ เหตุสงครามการค้า-การใช้จ่ายผู้บริโภคซบเซา ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอินโดนีเซียลง 0.1% เหลือ 4.9% ในปีนี้ ระบุเป็นเรื่องท้าทายที่เศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะเติบโตได้ถึง 5% ท่ามกลางสงครามการค้าและการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ซบเซา  ขณะเดียวกัน ฟิทช์คาดว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะขยายตัว 4.7% ในปีหน้า โทมัส รุกมาเกอร์ หัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของฟิทช์ กล่าวว่า สถานการณ์ทั่วโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและภาษีศุลกากร ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนของอินโดนีเซียเองก็กำลังอ่อนแอลงด้วย  ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียตั้งเป้าเศรษฐกิจเติบโต 5.2% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 5.03% เมื่อปีที่แล้ว แต่ฟิทช์มองว่ารายได้ของรัฐที่อ่อนแอลงอาจจำกัดความสามารถของรัฐบาลในการสนับสนุนการเติบโต ในขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนชะลอตัวต่ำสุดในรอบห้าไตรมาส อย่างไรก็ดี ฟิทช์คงอันดับความน่าเชื่อถือของอินโดนีเซียที่ 'BBB' พร้อมแนวโน้มมีเสถียรภาพ โดยรุกมาเกอร์ชี้ว่า การเติบโตที่ชะลอตัวปานกลางในปีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตดังกล่าว #
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 400 จุด กังวลสถานการณ์อินเดีย-ปากีสถาน ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 400 จุด ขณะที่นักลงทุนซื้อขายอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความกังวลต่อปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังเกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังของอินเดียและปากีสถาน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,334.81 ลบ 411.97 จุด หรือ 0.51% #
ไทย
4 เดือนแรก ต่างชาติเข้าไทยแล้ว 12.4 ล้านคน รายได้ใกล้ 6 แสนลบ. กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-4 พ.ค. 68 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสะสมแล้ว 12,458,464 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 592,449 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 1,705,635 คน มาเลเซีย 1,576,905 คน รัสเซีย 894,060 คน อินเดีย 779,467 คน และเกาหลีใต้ 602,853 คน สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (28 เม.ย.-4 พ.ค. 68) จากการมีวันหยุดแรงงานในหลายประเทศ และเป็นวันหยุดต่อเนื่อง (Golden Week) ของการท่องเที่ยว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 15.18% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 616,553 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 47,021 คน หรือ 8.26% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 88,079 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน (105,035 คน) มาเลเซีย (92,317 คน) อินเดีย (50,053 คน) เกาหลีใต้ (31,444 คน) และรัสเซีย (28,426 คน) สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวของสัปดาห์นี้ (5-11 พ.ค.) คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาลดลง จากการชะลอตัวหลังสิ้นสุดการท่องเที่ยวในช่วง Golden week แต่ยังคงมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การประกาศปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกีฬา การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาลที่ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น #
สรรพสามิตยืนยันการขึ้นภาษีสรรพสามิต 1 บาท ไม่กระทบราคาขายปลีกน้ำมัน¶ กรมสรรพสามิตยืนยันว่า การปรับอัตราภาษีน้ำมัน ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน จึงไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร ตามกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 42) พ.ศ. 2568 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตได้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน 1 บาทต่อลิตร โดยในขณะเดียวกัน ก็ได้มีการพิจารณาปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกในปัจจุบันที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นการปรับความสมดุลระหว่างการจัดเก็บรายได้ภาษีของรัฐและเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม นางสาวกุลยาฯ กล่าวย้ำว่า กรมสรรพสามิตขอยืนยันว่า การปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลและเบนซินในครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดภาระค่าครองชีพของประชาชนแต่อย่างใด #
ม.หอการค้าฯ เชื่อศก.ไทยปีนี้โตใกล้ 2% ดอกเบี้ย กนง.ยังลดได้อีก 2 ครั้ง นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ ยังไม่มีปัจจัยเชิงลบที่จะเชื่อได้ว่าจะขยายตัวต่ำ โดยยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 จะขยายตัวได้ 2-2.5% และไตรมาส 2 จะขยายตัวใกล้เคียง 2% และคาดหวังว่าในช่วงไตรมาส 3-4 นี้ รัฐบาลจะมีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ทั้งนี้ ไม่พบสัญญาณเศรษฐกิจที่ประชาชนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยอย่างรุนแรง และยังคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทย จะเติบโตได้ราว 2% +/- นายธนวรรธน์ มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสที่จะเห็น กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกอย่างน้อย 2 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งนโยบายการเงินจะผ่อนคลายต่อเนื่อง ควบคู่กับนโยบายการคลังที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง ต่อเนื่อง โดยหลังจากนี้ จะต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ว่าจะมีผลการหารือออกมาอย่างไร รวมทั้งติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศจีน หลังจากที่จีนเริ่มลดอัตราการสำรองเงินสดตามกฎหมาย 0.5% ซึ่งจะเป็นการเปิดช่องให้ธนาคารพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น อีกทั้งการที่จีนส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ก็มีโอกาสทำให้เศรษฐกิจจีนปีนี้โตได้ 5% ซึ่งจะมีผลทำให้ชาวจีนนำเข้าสินค้า และเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้ตามปกติ #
*ศาลอาญา ไม่อนุญาต "ทักษิณ" ออกนอกประเทศไปการ์ตา ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นจำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เดินทางไปประเทศกาตาร์ตามคำเชิญส่วนตัวของเจ้าผู้ครองนครรัฐกาตาร์ โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการนัดหมายส่วนตัว ทั้งนี้ นายทักษิณได้เดินทางมายื่นคำร้องขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรต่อศาลเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยศาลได้เปิดบัลลังก์ไต่สวนคำร้อง ซึ่งครั้งนี้มีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ เดินทางมาร่วมให้ข้อมูลต่อศาลด้วย นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ กล่าวว่า ศาลมีคำสั่งยกคำร้องไม่อนุญาตให้นายทักษิณเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยได้ขอเดินทางออกไปประเทศกาตาร์ เนื่องจากผู้ครองนครกาตาร์ได้ออกหนังสือหรือการ์ดเชิญมายังนายทักษิณในฐานะที่เป็นประธานกลุ่มที่ปรึกษาของประธานอาเซียน หรือนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย  ทั้งนี้น้อมรับดุลยพินิจของศาล เพราะศาลเห็นว่าระยะเวลาที่ยื่นขอที่จะเดินทางไปในช่วงวันที่ 14 มิถุนายนนี้เป็นช่วงเวลาที่ใกล้กับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เมื่อใกล้และอาจเป็นอุปสรรคหรือกระทบต่อการพิจารณาคดีก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องน้อมรับในเหตุผลของศาลที่ศาลมองว่าเหตุผลไม่เพียงพอที่จะอนุญาตให้ออกไปต่างประเทศ #
ภาษีทรัมป์พ่นพิษ! Citi หั่น GDP ปี 68 เหลือโต 2.2% ปี 69 โต 2.0% Citi Research หั่นคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2568 เหลือ 2.2% จาก 3.0% หลังภาคการส่งออก และภาคการผลิต ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การค้าโลกผันผวน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ยังอ่อนแรงจากหนี้ครัวเรือน ภาคท่องเที่ยวมีความเสี่ยงขาลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอ และนักท่องเที่ยวจีนลด พร้อมคาด กนง. ลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ต.ค.68 เหลือ 1.50% หนุนเศรษฐกิจภายใต้เงินเฟ้อต่ำ นายทาริก อาเหม็ด ข่าน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการขายและโซลูชันภาคองค์กรประจำประเทศไทยและเวียดนาม ธนาคารซิตี้แบงก์ประเทศไทย กล่าวว่า ซิตี้ รีเสิร์ช (Citi Research) ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ประเทศไทย ปี 2568 เหลือโต 2.2% และคาดการณ์ GDP ปี 2569 เหลือ 2.0% จากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก ที่คาดว่าจะกระทบต่อภาคการส่งออก และการผลิตของประเทศไทย ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ด้านการบริโภคภาคเอกชน ยังคงอ่อนแอจากระดับหนี้ครัวเรือนสูง แม้ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ Digital Wallet และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำช่วงต้นปี 2568 โดยกลุ่มครัวเรือนรายได้ปานกลางถึงสูง ยังคงพยุงการใช้จ่ายผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมา แต่เริ่มชะลอตัวลงด้วยผลกระทบด้านลบต่อความมั่งคั่ง (negative wealth effect) จากความผันผวนของตลาดหุ้น รวมถึงครัวเรือนบางส่วนอาจมีภาระการเงินเพิ่มขึ้นจากการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดย Citi ยังคงคาดว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.8 ล้านคน และเพิ่มเป็น 43 ล้านคนในปี 2569 แต่มีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง จากความกังวลด้านความปลอดภัยในประเทศไทย #
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดร่วง 13.68 จุด ทิศทางเจรจาการค้าจีน-สหรัฐไม่ชัดหลังท่าที"ทรัมป์"เมินลดภาษี SET ปิดวันนี้ที่ 1,206.59 จุด ลดลง 13.68 จุด (-1.12%) มูลค่าซื้อขาย 42,698.89 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยกลับมาร่วงลงหลังจากขึ้นมามากเมื่อวานนี้ เนื่องจากสัญญาณการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนยังไม่ชัดเจนหลัง "ทรัมป์" แสดงท่าทีไม่ลดภาษี จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป แนวโน้มพรุ่งนี้ติดตาม บจ.แจ้งงบไตรมาส 1/68 และตัวเลขนำเข้า-ส่งออกจีน ให้แนวต้าน 1,215 จุด แนวรับ 1,196 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,206.59 จุด ลดลง 13.68 จุด (-1.12%) มูลค่าซื้อขาย 42,698.89 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีย่อลงในช่วงเช้าก่อนดิ่งลงแรงในช่วงบ่าย โดยทำระดับสูงสุด 1,221.34 จุด และต่ำสุด 1,205.57 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 193 หลักทรัพย์ ลดลง 315 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 158 หลักทรัพย์ #
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 119,370 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 119,370 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 24,367 ล้านบาท2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 121 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 7,956 ล้านบาทYield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.57% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าเล็กน้อย สำหรับกระแสเงินลงทุนของ นักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 8,456 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 7,956 ล้านบาทและมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 500 ล้านบาท หลังจากผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50% ตามการคาดการณ์ของตลาด พร้อมทั้งแสดงความกังวลต่อความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยควบคู่กับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น (Stagflation) ขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังคงมีเป็นไปได้หากมีข้อมูลเศรษฐกิจสนับสนุน ทั้งนี้ตลาดติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ #
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.82/87 แกว่งแคบจากช่วงเช้า จับตาประชุม BoE-ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.82/87 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อเช้าอยู่ที่ระดับ 32.83 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.62-32.92 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทและสกุลเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า ตามดอลลาร์ที่แข็งค่าจากปัจจัยที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงดอกเบี้ยเมื่อคืนนี้ พร้อมระบุว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้ ขณะเดียวกัน สัปดาห์นี้ตลาดรอติดตามความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน  สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามคืนนี้ คือธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย และสหรัฐฯ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.60 - 33.00 บาท/ดอลลาร์ #
 
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนมี.ค. ญี่ปุ่น  
ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนเม.ย. จีน  
ยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนเดือนเม.ย. จีน  

แชร์เรื่องนี้

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

News Demo
16
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
13
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
12
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ

Shortcut Menu

  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
    โครงสร้างพื้นฐาน
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนผลงานดี
  • ตารางจ่ายเงินปันผล
  • ข่าว/บทวิเคราะห์
  • กลยุทธ์การลงทุน
  • กำหนดการและแบบฟอร์ม
  • โปรโมชั่น
  • ปฏิทินกองทุน
  • ภาพกิจกรรม
  • ประกาศราคากลาง
  • AIMC Category
    Performance Report
  • ถาม-ตอบ
  • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
  • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
  • การตั้งค่าคุกกี้
  • สมัครรับข่าวสาร
  • ติดต่อเรา
  • ร่วมงานกับเรา
  • ประกาศความเป็นส่วนตัว
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

อีเมล: callcenter@ktam.co.th

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

  • พันธมิตรธุรกิจ
  • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • แผนผังเว็บไซต์

การใช้และการจัดการคุกกี้

เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

 การใช้และการจัดการคุกกี้

เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


การกำหนดลักษณะความยินยอม

คุกกี้ที่จำเป็น

คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

คุกกี้วิเคราะห์

เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง