“Sustainable Investment” ทางเลือกการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาว
Climate Change วาระสำคัญระดับโลกที่ทุกฝ่ายต้องปรับตัว
-ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Change) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเด็นระดับโลกที่สำคัญที่สุด ทั้งในแง่เศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และแนวทางดำเนินธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์อากาศผันผวนเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ เป้าหมาย Net-Zero จึงถูกกำหนดเป็นพันธกิจร่วมกันของประชาคมโลก
ภาครัฐ และแนวทางดำเนินธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์อากาศผันผวนเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ เป้าหมาย Net-Zero จึงถูกกำหนดเป็นพันธกิจร่วมกันของประชาคมโลก
-สิ่งที่เกิดตามมาคือ ตลาดเงินและตลาดทุนต้องปรับตัวตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนเริ่มตระหนักว่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ถือเป็นหนึ่งใน “ความเสี่ยงทางการเงิน” อย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าคุณจะลงทุนในภาคอุตสาหกรรมใด หากไม่สามารถปรับตัวรับกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมได้ ก็มีโอกาสได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่มากก็น้อย
-แนวคิดนี้เอง ที่ผลักดันให้ “Sustainable Investment” หรือ “การลงทุนอย่างยั่งยืน” ก้าวจากแนวคิดเฉพาะกลุ่ม ไปสู่กระแสหลักที่ได้รับการยอมรับจากผู้จัดการกองทุนรายใหญ่ทั่วโลก
-Bloomberg Intelligence ระบุว่าสินทรัพย์ ESG ทั่วโลกมีมูลค่าทะลุ 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 และคาดว่าจะทะลุ 40 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการจัดสรรเงินทุนในทิศทางที่เอื้อต่ออนาคตของโลกและผลประโยชน์ของนักลงทุนไปพร้อมกัน
-ที่สำคัญกว่านั้น คือ การลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของจริยธรรมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มันคือกลยุทธ์การลงทุนที่มีศักยภาพ ในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างแท้จริง
ในขณะที่โลกเร่งเข้าสู่ Green Economy บริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่พลังงานสะอาด ระบบอัตโนมัติ หรือ ในเศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างคุ้มค่า (Circular Economy) ล้วนมีศักยภาพเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวโดยสรุปคือ การลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงการ “ลดความเสี่ยง” เท่านั้น แต่ยังเป็นการ “เปิดโอกาส” ให้กับพอร์ตการลงทุนในอนาคตไปพร้อมกันด้วย
ตัวอย่างบริษัทระดับโลกที่มุ่งเน้น Climate Strategy และสร้างมูลค่าระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม
- Amazon: ผู้ก่อตั้ง The Climate Pledge ตั้งเป้า Net-Zero ภายในปี 2040 ลงทุนพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ระดับโลก พร้อมเปลี่ยนรถขนส่งเป็น EV สร้างทั้งต้นทุนพลังงานที่ต่ำลง ความยืดหยุ่นด้านกฎระเบียบ รวมถึงด้าน Brand Trust
-Microsoft: ประกาศเป้าหมาย Carbon Negative ภายในปี 2030 และล้างคาร์บอนสะสมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันภายในปี 2050 ใช้ระบบ Internal Carbon Fee ตั้งแต่ปี 2012 และลงทุนใน Climate Innovation Fund กว่า $1 พันล้าน
- Alphabet: บรรลุ Carbon Neutral ตั้งแต่ปี 2007 และตั้งเป้า 100% Carbon-free Energy แบบ 24/7 ภายในปี 2030 ลงทุนพลังงานสะอาดและ AI Energy Optimization ช่วยลดต้นทุน และสร้างภาพลักษณ์ Green Tech Company
- Swiss Re: บริษัทรีอินชัวรันซ์ (ประกันต่อ) ระดับโลกที่รวม Climate Risk เข้ากับธุรกิจประกันภัยและพอร์ตการลงทุน ใช้ Internal Carbon Price ยุติการค้ำประกันธุรกิจถ่านหิน และมีนโยบาย Decarbonization พอร์ตการลงทุนอย่างเป็นระบบ
- Schneider Electric: ผู้นำด้าน Energy Management ที่มีรายได้กว่า 70% มาจาก Green Solutions ตั้งเป้า Net-Zero ภายในปี 2030 และช่วยลูกค้าลด CO? ได้กว่า 800 ล้านตัน
- Iberdrola: ผู้ผลิตพลังงานสะอาดรายใหญ่จากสเปน มีเป้าหมาย Net-Zero ภายในปี 2040 พร้อมลงทุนใน Grid Modernization และ Green Hydrogen สร้างฐานรายได้ระยะยาวจาก Clean Infrastructure
- NextEra Energy: บริษัทไฟฟ้าที่สร้างผลตอบแทนระดับสูงจากพอร์ตโซลาร์และลม ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ตั้งเป้า Real Zero ภายในปี 2045 โดยไม่ใช้ Carbon Offset พร้อมลงทุนระบบ Battery Storage และ Smart Grid
KT-Climate เครื่องมือตอบโจทย์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
-หากคุณเริ่มสนใจ “Sustainable Investment” การลงทุนอย่างยั่งยืนและเชื่อในศักยภาพของบริษัท Climate Leaders ที่กล่าวไว้ในบทความข้างต้น เราขอแนะนำ
“กองทุนเปิดเคแทม Global Climate Change Equity” (ความเสี่ยงระดับ 6) ซึ่งเป็นกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายดังกล่าวโดยเฉพาะ
เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Schroder International Selection Fund Global Climate Change Equity (กองทุนหลัก) โดยเน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่ที่ผู้จัดการกองทุนมีความเห็นว่าได้รับประโยชน์จากการส่งเสริมเรื่องการเปลี่ยนทางภูมิอากาศ หรือจำกัดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
-กองทุนนี้บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของ Schroders ที่มีประสบการณ์ยาวนานด้าน ESG และ Climate Investing โดยเน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่ มีบทบาทสำคัญในการลดโลกร้อน ทั้งด้านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
-จุดเด่นของกองทุนหลัก
-Active Strategy ที่เน้นคุณภาพ คัดเลือกหุ้นโดยอิงทั้งพื้นฐานทางธุรกิจและศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
-กระจายความเสี่ยงทั่วโลก ไม่จำกัดแค่หุ้นพลังงานสะอาด แต่ครอบคลุมเทคโนโลยี สินค้าอุปโภค และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
- เกาะติดเมกะเทรนด์ด้านการลดคาร์บอน เพื่อเปิดรับอานิสงส์จากการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก
- ทีมบริหารที่มีผลงานเด่นและวินัยด้าน ESG Research ที่วิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสจาก Climate Transition ได้อย่างลึกซึ้ง
- ด้วยรายชื่อบริษัทชั้นนำที่อยู่ในพอร์ต ทั้ง Amazon, Microsoft, Schneider, NextEra, Iberdrola ฯลฯ กองทุนนี้จึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนไปพร้อมกับการสนับสนุนโลกที่ยั่งยืน
บทส่งท้าย
- Climate Change จะยังเป็นธีมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเมือง และพฤติกรรมผู้บริโภคไปอีกหลายทศวรรษ
-การลงทุนในบริษัทที่เข้าใจ ปรับตัว และมีวิสัยทัศน์ด้าน Climate จึงเป็นแนวทางที่ไม่เพียงแค่ “ดีต่อโลก” เท่านั้น แต่ยัง “ดีต่อพอร์ตของคุณ” ด้วย
- KT-Climate คือ หนึ่งในกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อเป้าหมายนั้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นในมุมของผลตอบแทน ความยั่งยืน หรือการกระจายความเสี่ยงในโลกยุคใหม่
Sources: Morningstar, BlackRock, World Economic Forum (WEF), MSCI ESG Research, Harvard Business Review, Ernst & Young, McKinsey & Company, Amazon, Microsoft, Alphabet, Swiss Re, Schneider Electric, Iberdrola, NextEra Energy, Schroders, Carbon Disclosure Project
คำเตือน : กองทุนมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน : เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย