• X
  • ค้นหา
  • TH EN
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
  1. หน้าแรก
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนี PPI +2.4% เดือนเม.ย. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนเม.ย.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 3.4% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวลง 0.5% ในเดือนเม.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับตัว 0.0% ในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.1% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวขึ้น 4.0% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวลง 0.4% ในเดือนเม.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสอดคล้องคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ทรงตัวที่ระดับ 229,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 3,250 ราย สู่ระดับ 230,500 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 1.88 ล้านราย (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยยอดค้าปลีกเพิ่มเพียง 0.1% เดือนเม.ย. หลังพุ่ง 1.7% เดือนมี.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าทรงตัว หรือปรับตัว 0.0% หลังจากพุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนมี.ค. นักวิเคราะห์ระบุว่าการที่ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนเม.ย. มีสาเหตุจากการที่ผู้บริโภคแห่ซื้อสินค้าในเดือนมี.ค. ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ต่อประเทศคู่ค้าในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 5.1% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 5.2% ในเดือนมี.ค. หากไม่รวมยอดขายรถยนต์และน้ำมัน ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.1% ในเดือนมี.ค. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ. สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าปลีกลดลง 0.2% ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.4% ยอดขายในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมี.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนก.พ. นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.34 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก ลดลงจากระดับ 1.35 เดือนในเดือนก.พ. ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านต่ำกว่าคาดในเดือนพ.ค. สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 6 จุด สู่ระดับ 34 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2566 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 40 ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ อันเนื่องจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองทั่วไปที่เป็นลบ (อินโฟเควสท์)
เฟดนิวยอร์คเผยดัชนีภาคการผลิตต่ำกว่าคาดในเดือนพ.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ปรับตัวลงสู่ระดับ -9.2 ในเดือนพ.ค. โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -8.2 จากระดับ -8.1 ในเดือนเม.ย. ดัชนียังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก โดยได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของการจ้างงาน (อินโฟเควสท์)
เฟดฟิลาเดลเฟียเผยดัชนีภาคการผลิตสูงกว่าคาดในเดือนพ.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ดีดตัวสู่ระดับ -4.0 ในเดือนพ.ค. จากระดับ -26.4 ในเดือนเม.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -11.3 การดีดตัวของดัชนีภาคการผลิตได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน อย่างไรก็ดี ดัชนีภาคการผลิตยังคงมีค่าเป็นลบ บ่งชี้ว่าภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกอยู่ในภาวะหดตัว (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมทรงตัวในเดือนเม.ย. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐทรงตัวในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากลดลง 0.3% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนเม.ย. ทั้งนี้ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค การผลิตในภาคเหมืองแร่ลดลง 0.3% ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคดีดตัว 3.3% ส่วนการผลิตของภาคโรงงานลดลง 0.4% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. การผลิตของภาคโรงงานได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของการผลิตรถยนต์ เมื่อเทียบรายปี การผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนเม.ย. (อินโฟเควสท์)
"พาวเวล" ส่งสัญญาณดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวขึ้น เหตุเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง และนโยบายการเงินกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม Thomas Laubach Research Conference ในวันนี้ ซึ่งมีการทบทวนกรอบนโยบายของเฟด นายพาวเวลระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนับตั้งแต่ที่เฟดได้ทบทวนกรอบนโยบายครั้งล่าสุดในปี 2020 "อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่สูงขึ้น อาจสะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่เงินเฟ้อจะมีความผันผวนมากขึ้นในอนาคต เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในทศวรรษ 2010 และเราอาจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เกิดภาวะช็อกด้านอุปทานบ่อยครั้งขึ้น และอาจรุนแรงขึ้น ซึ่งถือเป็นความท้าทายมากขึ้นต่อเศรษฐกิจและธนาคารกลางต่าง ๆ" นายพาวเวลกล่าว นายพาวเวลกล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฟดเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ส่งผลให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นประวัติการณ์ และแม้ว่าตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวยังคงใกล้เคียงกับเป้าหมาย 2% ของเฟด แต่ยุคของอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% อาจจะไม่กลับมาอีกในเร็ว ๆ นี้ เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% เป็นเวลาถึง 7 ปี หลังเผชิญวิกฤตการเงินในปี 2008 แต่นับตั้งแต่เดือนธ.ค.2024 เป็นต้นมา เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 4.25-4.50% สำหรับการทบทวนกรอบนโยบายของเฟดในรอบนี้ เฟดจะวางแผนระยะ 5 ปีเพื่อกำหนดแนวทางในการตัดสินใจนโยบาย พร้อมกับวิธีการสื่อสารกับสาธารณะ (อินโฟเควสท์)
ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ-จีน เจรจาต่อเนื่องที่เกาหลีใต้ หลังพักรบเก็บภาษี 90 วัน เจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และหลี่ เฉิงกัง หัวหน้าคณะเจรจาการค้าจีน ได้พบปะเจรจากันที่เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ในวันนี้ (15 พ.ค.) หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเพิ่งเจรจากันที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ และตกลงพักเก็บภาษีบางรายการเป็นระยะเวลา 90 วัน เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า การพบปะดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมออกมาในขณะนี้ ขณะที่ทางสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงโซล ยังไม่ตอบกลับคำร้องขอยืนยันการประชุมดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 271.69 จุด บอนด์ยีลด์ร่วงหนุนตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลง หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังได้ปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นซิสโก้ ซิสเต็มส์ (Cisco Systems) ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์เครือข่ายของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,322.75 จุด เพิ่มขึ้น 271.69 จุด หรือ +0.65%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,916.93 จุด เพิ่มขึ้น 24.35 จุด หรือ +0.41% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,112.32 จุด ลดลง 34.49 จุด หรือ -0.18% (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดร่วง $1.53 คาดอิหร่าน-สหรัฐฯบรรลุดีลนิวเคลียร์ สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่าสหรัฐฯ และอิหร่านอาจจะบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน และจะปูทางให้อิหร่านส่งออกน้ำมันในตลาด ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1.53 ดอลลาร์ หรือ 2.42% ปิดที่ 61.62 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.56 ดอลลาร์ หรือ 2.36% ปิดที่ 64.53 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.16% แตะที่ระดับ 100.878 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 145.68 เยน จากระดับ 146.72 เยนในวันพุธ (14 พ.ค.) ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8362 ฟรังก์ จากระดับ 0.8426 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3966 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3976 ดอลลาร์แคนาดา (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $38.30 รับดอลล์อ่อน-แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐฯ นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังจากมีรายงานว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับยูเครนที่ประเทศตุรกี ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 38.30 ดอลลาร์ หรือ 1.20% ปิดที่ 3,226.60 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)  
บอนด์ยีลด์ร่วง หลังสหรัฐเผยดัชนี PPI ต่ำคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลงในวันนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัวต่ำกว่าคาดในเดือนเม.ย. ณ เวลา 23.01 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.461% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.919% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
GDP ยูโรโซน Q1/68 โต 0.3%, จ้างงานเพิ่มขึ้น 0.3% สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานในวันนี้ (15 พ.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของยูโรโซนขยายตัว 0.3% ในไตรมาส 1/2568 ซึ่งเป็นการปรับลดตัวเลขลงจาก 0.4% ในรายงานเบื้องต้นเมื่อต้นเดือนนี้ โดยถึงแม้เศรษฐกิจภูมิภาคเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ตอนแรก แต่ก็ยังสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.2% ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน GDP ยูโรโซน Q1/68 ขยายตัว 1.2% ซึ่งเท่ากับอัตราขยายตัวในไตรมาสก่อนหน้า และใกล้เคียงกับระดับที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประเมินว่าเป็นศักยภาพการเติบโตของกลุ่ม สำหรับประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ในยูโรโซนนั้น GDP เยอรมนีโต 0.2%, ฝรั่งเศส 0.1%, อิตาลี 0.3% และสเปน 0.6% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะเดียวกันวันนี้ ยูโรสแตทยังได้เปิดเผยว่า อัตราการจ้างงานในยูโรโซนเติบโตขึ้น 0.3% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า นับว่าสูงสุดในรอบสี่ไตรมาส ซึ่งช่วยคลายความกังวลว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแออาจจะส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ เริ่มลดจำนวนพนักงานลง (อินโฟเควสท์)
นายกฯ เยอรมนีคนใหม่ให้คำมั่นมุ่งเสริมแกร่งกองทัพ-ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ให้คำมั่นว่าจะให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติและการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นอันดับแรกในการแถลงครั้งแรกต่อสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนี (Bundestag) ในระหว่างการแถลงครั้งแรกต่อสภาล่างเยอรมนี แมร์ซได้สรุปวาระนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงการเสริมแกร่งกองทัพเยอรมนี (Bundeswehr) ให้กลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป ผ่านการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็น สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลผสมซึ่งประกอบด้วยพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU)/พรรคสหภาพสังคมคริสเตียน (CSU) และพรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) ได้ตกลงกันที่จะยกเว้นการใช้จ่ายด้านกลาโหมซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 1% ของ GDP จากเพดานหนี้ที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้การจัดสรรเงินทุนเพื่อตอบสนองความต้องการของกองทัพมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ในด้านเศรษฐกิจ แมร์ซยอมรับว่า เยอรมนีกำลังเผชิญกับภาวะถดถอย และชี้ว่าระบบราชการที่ยุ่งยากซับซ้อนมากเกินไป ต้นทุนพลังงานที่สูง และระบบภาษีที่เป็นภาระ เป็นอุปสรรคสำคัญขวางกั้นการเติบโต และเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เขาให้คำมั่นว่าจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวอีกครั้งผ่านการลงทุนและการปฏิรูปต่าง ๆ ในเชิงโครงสร้าง โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและการรักษาการจ้างงาน ขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลยังเห็นพ้องกันที่จะจัดตั้งกองทุนมูลค่า 5 แสนล้านยูโร (5.6 แสนล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงการริเริ่มด้านสภาพอากาศ นอกจากนี้ แมร์ซยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนในขณะที่ยังคงรักษาจุดยืนที่รอบคอบเกี่ยวกับหนี้สาธารณะด้วย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นมากที่สุด ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.95 จุด เพิ่มขึ้น 3.07 จุด หรือ +0.56% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,853.47 จุด เพิ่มขึ้น 16.68 จุด หรือ +0.21%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,695.59 จุด เพิ่มขึ้น 168.58 จุด หรือ +0.72% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,633.75 จุด เพิ่มขึ้น 48.74 จุด หรือ +0.57% (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 48.74 จุด ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจ-ผลประกอบการแกร่ง ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) หลังข้อมูลจีดีพีของอังกฤษแข็งแกร่งกว่าคาด ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแตกต่างกัน ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,633.75 จุด เพิ่มขึ้น 48.74 จุด หรือ +0.57% (อินโฟเควสท์)   
ญี่ปุ่น
ทีมศก.ญี่ปุ่นเสนออัดฉีดเงินลงทุน 4 แสนล้านดอลล์เพื่อหนุนผลิตภาพกลุ่ม SME คณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีอิชิบะ ชิเงรุ ของญี่ปุ่น เสนอให้ทุ่มเม็ดเงินลงทุน 4 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มผลิตภาพ(productivity) ให้กับบรรดาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญที่จะทำให้รัฐบาลสามารถบรรลุเป้าหมายการผลักดันให้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นแซงหน้าอัตราเงินเฟ้อ โดยข้อเสนอนี้จะรวมอยู่ในนโยบายประจำปีซึ่งจะเผยแพร่ในช่วงเดือนมิ.ย. คณะที่ปรึกษาซึ่งมีหน้าที่จัดทำนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับรัฐบาล ได้นำเสนอแผน 5 ปีในการประชุมเมื่อวันพุธ (12 พ.ค.) ที่ระบุถึงขั้นตอนต่าง ๆ ในการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ซึ่งครองสัดส่วนการจ้างแรงงาน 70% ของญี่ปุ่น ให้สามารถปรับขึ้นค่าจ้างได้อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ต้องนำเงินที่ได้จากกำไรไปใช้ในการจ้างงานมากกว่าบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้ แผนระยะเวลา 5 ปีดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับขึ้นค่าจ้างจริงให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ 1% อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ ประกอบด้วย การลงทุนในภาครัฐและเอกชนมูลค่า 60 ล้านล้านเยน (4.0786 แสนล้านดอลลาร์) ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจด้วยระบบดิจิทัลหรืออัตโนมัติได้ ตลอดจนเพิ่มการสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการควบรวมกิจการและการซื้อกิจการ การขึ้นค่าจ้างยังถือเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ SMEs ท่ามกลางภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง นอกจากนี้ คณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังได้เสนอให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบกฎระเบียบเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่โดยปกติแล้วจะมุ่งเป้าไปที่บริษัทขนาดใหญ่ที่มักกดดันซัพพลายเออร์ไม่ให้ขึ้นราคาสินค้า (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นเล็งระบายข้าวจากคลังสำรองเพิ่มเป็นเท่าตัว สกัดราคาข้าวพุ่งสูง แหล่งข่าววงในเปิดเผยในวันนี้ (15 พ.ค.) ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาว่าจะระบายข้าวจากคลังสำรองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เนื่องจากญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาขาดแคลนข้าวในประเทศ จนส่งผลให้ราคาข้าวยังคงอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการระบายข้าวจากคลังสำรองเดือนละ 100,000 ตันเป็นระยะเวลา 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค.) หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการระบายข้าวจากคลังสำรองไปแล้วสามรอบ รวมทั้งสิ้น 321,000 ตัน ในช่วงเดือนมี.ค.และเม.ย. สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ราคาข้าวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่จะลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 18 สัปดาห์ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์จนถึงวันที่ 4 พ.ค. โดยข้าวที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศมีราคาเฉลี่ยลดลง 19 เยนต่อ 5 กิโลกรัม จากสัปดาห์ก่อนหน้า เหลือ 4,214 เยนต่อ 5 กิโลกรัม แต่ราคาข้าวยังคงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงประมาณเท่าตัว ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรระบุว่า ปริมาณข้าวทั้งหมดที่บรรดาผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่จัดหามาได้ ณ สิ้นเดือนม.ค. ลดลง 230,000 ตันจากปีก่อน ซึ่งแย่กว่า ณ สิ้นเดือนธ.ค.ที่ลดลง 210,000 ตัน ญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาขาดแคลนข้าว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลผลิตย่ำแย่ในช่วงฤดูร้อนปี 2566 อันเนื่องมาจากอุณหภูมิที่สูงเกินไป และยังเป็นเพราะการบริโภคข้าวตามร้านอาหารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมาก (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 372.62 จุด เยนแข็งฉุดหุ้นส่งออก ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (15 พ.ค.) จากแรงขายหุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ จากการที่เงินเยนแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางความกังวลว่าญี่ปุ่นอาจถูกสหรัฐฯ กดดันให้เข้ามาดูแลปัญหาค่าเงินเยนที่เคยอ่อนค่ามาโดยตลอด สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 37,755.51 จุด ลดลง 372.62 จุด หรือ -0.98% (อินโฟเควสท์)  
จีน
จีนเผยยอดปล่อยกู้ใหม่ลดฮวบในเดือนเม.ย. เหตุสงครามการค้ากระทบดีมานด์ ธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า ยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนของธนาคารพาณิชย์ในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 2.80 แสนล้านหยวน (3.887 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งลดลงอย่างมากจากเดือนมี.ค.ที่ระดับ 3.64 ล้านล้านหยวน และยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 7 แสนล้านหยวน เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อลดลง อีกทั้งยังทำให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมีความระมัดระวังในการกู้ยืมเงิน ส่วนในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ยอดปล่อยกู้ใหม่รวมกันอยู่ที่ 10.06 ล้านล้านหยวน (1.39 ล้านล้านดอลลาร์) ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ระดับ 10.19 ล้านล้านหยวน เมื่อแยกเป็นภาคส่วนพบว่า ยอดปล่อยกู้ให้กับภาคครัวเรือนในช่วง 4 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 5.184 แสนล้านหยวน ขณะที่ยอดปล่อยกู้ให้กับวิสาหกิจปรับตัวขึ้น 9.27 ล้านล้านหยวน ข้อมูลของ PBOC ยังระบุด้วยว่า ยอดเงินฝากสกุลเงินหยวนในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 12.55 ล้านล้านหยวน (อินโฟเควสท์)
จีนระงับควบคุมการส่งออกแร่หายาก-เทคโนโลยีทางทหาร หลังบรรลุดีลการค้าสหรัฐฯ รัฐบาลจีนประกาศระงับการควบคุมการส่งออกแร่หายาก รวมทั้งสินค้าและเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ใช้ในด้านการทหาร ซึ่งมุ่งเป้าไปที่บริษัทในสหรัฐฯ 28 แห่ง โดยการประกาศดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงผ่อนคลายทางการค้าที่จีนและสหรัฐฯ ได้ทำร่วมกันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า การระงับควบคุมการส่งออกสินค้าดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวันพุธ (14 พ.ค.) และจะมีผลเป็นเวลา 90 วัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ จีนได้ประกาศระงับการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิดให้กับบริษัทสหรัฐฯ จำนวน 16 แห่งเมื่อวันที่ 4 เม.ย. ก่อนที่จะเพิ่มชื่อบริษัทอีก 12 แห่งเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ขณะนี้ผู้ส่งออกแร่หายากและสินค้าอื่น ๆ ที่ใช้ในด้านการทหาร สามารถยื่นขอใบอนุญาตส่งออกต่อกระทรวงพาณิชย์ได้ภายในเวลา 90 วัน นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนยังระงับคำสั่งห้ามด้านการค้าและการลงทุนต่อบริษัท 17 แห่งในสหรัฐฯ ด้วย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 23.13 จุด กังวลการค้าจีน-สหรัฐฯ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (15 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ยอดปล่อยกู้ใหม่ของธนาคารจีนลดลงมากกว่าคาดในเดือนเม.ย. ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์สินเชื่อที่อ่อนแอลง ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้า ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,380.82 จุด ลดลง 23.13 จุด หรือ -0.68% (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 187.49 จุด จากแรงขายทำกำไร ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (15 พ.ค.) จากแรงขายทำกำไร ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ รวมถึงจับตาการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่อาจเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 23,453.16 จุด ลดลง 187.49 จุด หรือ -0.79% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
ทรัมป์เผย อินเดียเสนอ "ไม่เก็บภาษีนำเข้า" หวังปิดดีลการค้าใน 90 วัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดเผยในวันนี้ (15 พ.ค.) ว่า อินเดียได้ยื่นข้อเสนอในการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ว่า จะไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ข้อเสนอดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่อินเดียพยายามเจรจาการค้าให้สำเร็จภายในกรอบเวลา 90 วัน ซึ่งเป็นช่วงผ่อนผันที่ทรัมป์ประกาศไว้เมื่อวันที่ 9 เม.ย. เพื่อชะลอการขึ้นภาษีต่อประเทศคู่ค้าสำคัญ รวมถึงอินเดียที่ถูกกำหนดอัตราภาษี 26% ทรัมป์กล่าวระหว่างการหารือกับกลุ่มผู้บริหารในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ว่า การทำการค้าในอินเดียเป็นเรื่องยาก แต่ครั้งนี้อินเดียยื่นข้อเสนอที่จะไม่เก็บภาษีจากสหรัฐฯ เลย ปัจจุบัน สหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยมีมูลค่าการค้ารวมในปี 2567 ราว 1.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และอินเดียเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ประมาณ 4.57 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้เพิ่มเพดานคุ้มครองเงินฝากสองเท่า คาดดันเงินฝากโต 25% รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศปรับเพดานการคุ้มครองเงินฝากเป็น 2 เท่า จากเดิม 50 ล้านวอน เป็น 100 ล้านวอนต่อบัญชีผู้ฝาก (71,174 ดอลลาร์) โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนก.ย.นี้ ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2544 ที่รัฐบาลเกาหลีใต้ปรับเพิ่มเพดานการคุ้มครองเงินฝาก โดยมุ่งเป้าเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบธนาคาร และยกระดับระบบประกันเงินฝากของเกาหลีใต้ให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำ โดยวงเงินใหม่นี้คิดเป็น 2.0 เท่าของ GDP ต่อหัว ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับญี่ปุ่น แต่ยังต่ำกว่าสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ 2.9 เท่า ด้านคณะกรรมการบริการการเงินของเกาหลีใต้ (FSC) คาดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจกระตุ้นให้เกิดการโยกย้ายเงินฝากไปยังสถาบันการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ธนาคารเพื่อการออมทรัพย์ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์อาจต้องพึ่งพาการระดมทุนจากตลาดตราสารหนี้มากขึ้นเพื่อเสริมสภาพคล่อง FSC ยังระบุด้วยว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะติดตามการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุนและผลกระทบต่อตลาดอย่างใกล้ชิด พร้อมป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินขนาดเล็กดำเนินนโยบายปล่อยกู้ที่มีความเสี่ยงเกินไป ทั้งนี้ ข้อมูลจากรายงานวิจัยของ FSC และสถาบันคุ้มครองเงินฝากของเกาหลีใต้ (KDIC) ระบุว่า การปรับเพิ่มเพดานการคุ้มครองเงินฝากอาจทำให้ปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้น 16-25% (อินโฟเควสท์)
ปากีสถาน-อินเดียสั่งขับนักการทูต ปมพัวพันการจารกรรม สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปากีสถานและอินเดียประกาศขับนักการทูตของอีกฝ่ายออกจากประเทศเมื่อวันอังคาร (13 พ.ค.) โดยทั้งสองฝ่ายกล่าวอ้างว่า นักการทูตที่ถูกขับออกนั้นมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการจารกรรม กระทรวงการต่างประเทศของปากีสถานประกาศให้เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ในคณะกรรมาธิการระดับสูงของอินเดียในกรุงอิสลามาบัดเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา และได้สั่งให้ออกจากประเทศภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่อุปทูตรักษาการอินเดียถูกเรียกเข้าพบที่กระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งการตัดสินใจดังกล่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คณะทูตอินเดียปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบทางการทูต ด้านสื่ออินเดียรายงานว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลอินเดียได้ประกาศขับเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของคณะกรรมาธิการระดับสูงของปากีสถานในกรุงนิวเดลี และสั่งให้ออกจากประเทศภายใน 24 ชั่วโมงเช่นกัน โดยกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียระบุว่า นักการทูตชาวปากีสถานรายนี้ที่ถูกประกาศให้เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสถานะทางการทูตในอินเดีย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่ง 1,200 จุด เก็งเจรจาการค้าสหรัฐ-อินเดียคืบหน้า ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้น 1,200 จุด ขานรับคาดการณ์ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและอินเดีย ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,530.74 บวก 1,200.18 จุด หรือ 1.48% (อินโฟเควสท์)  
ไทย
เปิดตัวเลขส่งออกสินค้าเกษตรตลาดอาเซียนและตลาดโลก มูลค่าการค้าโตต่อเนื่อง นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรของไทยในตลาดโลกยังมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังสามารถรักษาตลาดส่งออกได้ สะท้อนจากราคาสินค้าเกษตรของไทยในปี 2567 มีมูลค่า 2,528,839 ล้านบาท จำแนกเป็น มูลค่าส่งออก 1,801,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137,822 ล้านบาท หรือ 8.28% จากปี 2566 ขณะที่มีมูลค่านำเข้า 727,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15,912 ล้านบาท หรือ 2.24% โดยไทยมีมูลค่าการค้ากับอาเซียน (23%) มากเป็นอันดับ 1 รองลงมา คือ จีน (21%) สหรัฐฯ (9%) สหภาพยุโรป (9%) และญี่ปุ่น (7%) สำหรับสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรของไทยในตลาดอาเซียน 9 ประเทศ (บรูไน อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ เวียดนาม) ในปี 2567 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ากับอาเซียนมูลค่า 229,687 ล้านบาท โดยมีมูลค่าส่งออก 410,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.60% จากปี 2566 ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 181,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.49% จากปี 2566 (อินโฟเควสท์)
ภาษีทรัมป์ทำพิษ! ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเม.ย.ลดต่อเนื่อง 3 เดือน ต่ำสุดรอบ 7 เดือน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนเม.ย.68 อยู่ที่ระดับ 55.4 ปรับตัวลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนต.ค.67 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 49.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 53.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 63.9 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 แสดงว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งเป็นผลพวงสืบเนื่องมาตั้งแต่เดือนก.พ. ที่สหรัฐฯ เริ่มประกาศมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่พืชผลทางการเกษตรหลัก ๆ ของไทยราคาย่อตัวลง ทำให้เม็ดเงินที่จะสะพัดในตลาดสินค้าเกษตรลดลงไปจากเดิม และยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นการเมืองไทย ออกมาต่ำสุดในรอบ 7 เดือน แม้จะยังไม่มีสถานการณ์ที่บ่งชี้ชัดเจนว่าจะมีผลกระทบรุนแรง (อินโฟเควสท์)
ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าฯ เม.ย.ลดทุกภูมิภาค ภาคธุรกิจกังวลผลกระทบภาษีทรัมป์ นายวชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) เดือนเม.ย.68 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-30 เม.ย.68 พบว่า ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 48.3 ลดลงจากระดับ 48.9 ในเดือนมี.ค.68 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเกือบทุกภูมิภาค มีสัญญาณการปรับตัวลดลง ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจโดยรวม, การลงทุน, การท่องเที่ยว, การเกษตร, การค้าในจังหวัด, การค้าชายแดน และการจ้างงาน โดยมีเพียงภาคอุตสาหกรรมที่ยังปรับตัวขึ้นเล็กน้อย จากอานิสงส์ของการส่งออกที่ยังขยายตัว จากคำสั่งซื้อที่ยังมีเข้ามาต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนนั้น ยังไม่มีสัญญาณขยายการลงทุนของภาคเอกชนในช่วงนี้ ซึ่งทำให้เห็นว่า ภาคเอกชนยังชะลอการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่วนการท่องเที่ยว แม้เดือนเม.ย. เป็นเทศกาลสงกรานต์ แต่หลายจังหวัดตอบว่าการท่องเที่ยวไม่ได้คึกคักเท่าที่คาดหวังไว้ จะคึกคักเพียงจังหวัดแหล่งท่องเที่ยว ส่วนเมืองรองค่อนข้างเงียบเหงา ส่วนการบริโภค มีสัญญาณคึกคักเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (อินโฟเควสท์)
นายกฯ มั่นใจเจรจาสหรัฐฯ "ทีมไทยแลนด์" เดินถูกทาง เชื่อเป็นผลบวกส่งออกไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนการเดินทางไปประชุมที่เวียดนามเช้าวันนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเจรจากำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาพิจารณาข้อมูลที่เตรียมการไว้ รวมทั้งให้ติดตามสาระสำคัญที่มีการพูดถึงการเจรจาของแต่ละประเทศในเวทีการประชุมการลงทุน ซาอุดิอาระเบีย-สหรัฐฯ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยรมว.คลังของสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงประเทศไทยว่า การพูดคุยกับประเทศไทยนั้น "ทุกอย่างเป็นไปได้ ด้วยดี" พร้อมชื่นชมว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้นำเสนอแนวคิดริเริ่มที่โดดเด่น นับเป็นสัญญาณบวกของประเทศไทยจากการทำงานอย่างต่อเนื่องของ "ทีมไทยแลนด์" ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดยุทธศาสตร์การเจรจากับสหรัฐฯ ที่ให้เน้นความรอบคอบ ครบถ้วน และจังหวะเวลาที่ถูกเหมาะสม เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนการค้า ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ ควบคู่กับการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ทันสมัย แข่งขันได้และเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกมากขึ้น นายจิรายุ กล่าวต่อว่า การทำงานของรัฐบาลน.ส.แพทองธาร เตรียมการมาตั้งแต่ต้นปี ก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้าสาบานตนรับตำแหน่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมาเพื่อประสานและผลักดันการดำเนินงานเชิงยุทธศาสตร์ โดยนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามทุกประเด็นในการเตรียมความพร้อม และให้ทีมศึกษาข้อเสนอแนะของประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงการหารือระหว่างสหรัฐฯ กับ ประเทศต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
แบงก์รัฐจ่อออก soft loan 1 แสนลบ. เยียวยาผู้ส่งออก-SME-ธุรกิจซัพพลายเชนจากมาตรการภาษีสหรัฐ นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ประเมินว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะทำให้เศรษฐกิจไทยสะดุดอย่างน้อย 2 ปี โดยเฉพาะภาคการส่งออก ดังนั้น กระทรวงการคลัง จึงมีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยการลดเป้าหมายกำไรจากการทำธุรกิจ เพื่อจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการ โดยสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการตามนโยบายผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการสินเชื่อซอฟท์โลน วงเงิน 1 แสนล้านบาท โดยธนาคารออมสิน กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขแตกต่างจากสินเชื่อซอฟท์โลนโครงการอื่น เนื่องจากมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการชัดเจน 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ, ธุรกิจซัพพลายเชน และธุรกิจผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ตลอดจนผู้ประกอบการ SME ในภาพรวม ขณะที่สถาบันการเงินของรัฐอื่น เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรม และภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงออกมาตรการลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อผู้ส่งออกและธุรกิจ SME ซัพพลายเชน อย่างมีนัยสำคัญ เป็นต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา (อินโฟเควสท์)
นายกฯ แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกภาคธุรกิจไทยลงทุนในเวียดนามหวังยกระดับการค้า-การลงทุน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับนักลงทุนไทยที่ขยายการลงทุนธุรกิจในประเทศเวียดนาม เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการจัดทำนโยบายของไทยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจุดแข็งของเวียดนาม ในการผลักดันการค้าและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แนวทางของเวียดนามต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงแนวทางการขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนของไทยกับเวียดนามในอนาคต นอกจากนั้น ยังได้แสดงความขอบคุณภาคเอกชนไทยที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ทั้งในระดับประชาชนและภาคเศรษฐกิจ พร้อมกล่าวชื่นชม ThaiCham ในฐานะหอการค้าไทยในต่างประเทศที่เข้มแข็งที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือภาคเอกชนของทั้งสองประเทศอย่างใกล้ชิด นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการอาวุโส หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม ซึ่งได้นำคณะนักธุรกิจไทยเข้าร่วมการหารือ โดยเปิดเผยว่า ภาคเอกชนไทย ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม และบทเรียนจากความสำเร็จที่อาจนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทของไทย พร้อมเสนอข้อคิดเห็นเชิงนโยบายต่อท่านนายกรัฐมนตรีอย่างสร้างสรรค์ (อินโฟเควสท์)
บอร์ดกระตุ้นศก. นัดถกสัปดาห์หน้า "ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3" รอลุ้น?? รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า จะมีการนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในสัปดาห์หน้า โดยประเด็นสำคัญ ได้แก่ การพิจารณาทบทวนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ในเฟส 3 ที่จะให้แก่กลุ่มวัยรุ่น อายุ 16-20 ปี ประมาณ 3 ล้านคน ว่าจะยังคงมาตรการนี้ต่อไป หรือควรจะต้องปรับเปลี่ยนให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางความเห็นจากหลายหน่วยงาน ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 โดยเฉพาะจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอีกหลายหน่วยงาน ที่มองว่ารัฐบาลควรนำงบประมาณไปใช้ในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะก่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ จะพิจารณาเรื่องการทบทวนประมาณรายจ่ายในปี 2569 ในส่วนของจัดสรรงบประมาณที่อาจต้องโยกงบประมาณบางส่วนมาใช้ในเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน รวมทั้งพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจส่งออก ที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา (อินโฟเควสท์)
รมว.คลัง เน้นย้ำปรับโครงสร้างประเทศเพื่อสร้างความมั่งคั่ง ชูความสำคัญเทคโนโลยี-พลิกโฉมภาคเกษตร นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า การสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศไทยจะต้องมาจากการปรับโครงสร้างของประเทศ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญปัญหาโครงสร้างมาเป็นระยะเวลามากกว่า 10-20 ปี ทำให้รัฐบาลต้องมีการตั้งเป้าในการแก้ปัญหาดังกล่าว "ถ้าเราเปลี่ยนแปลงได้อย่างถูกต้อง เศรษฐกิจก็จะมีความหวังอย่างแน่นอน" นายพิชัย กล่าว นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลได้มองความสำคัญ 2 เรื่อง คือ เรื่องแรก เทคโนโลยี จะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี และมีสนามให้ทดลองฝึกฝน เพื่อทำให้เทคโนโลยีเกิดขึ้นได้จริง แม้ว่าประเทศจะรับเทคโนโลยีมาค่อนข้างช้า แต่จากนี้รัฐบาลมองว่าเป็นโอกาสเร่งผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ และนำมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่น เช่น ยานยนต์ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับภาคการผลิตของไทย พร้อมกับพัฒนาผู้ประกอบการที่เป็นห่วงโซ่อุตสาหกรรมในประเทศได้เพิ่มขีดความสามารถของตัวเองตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ เรื่องภาคเกษตรที่ปัจจุบันสัดส่วนลดลงเหลือ 8% จากเดิม 11% เนื่องจากไทยผลิตสินค้าเกษตรที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม และไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ทำให้รัฐบาลต้องหันกลับมาแก้ไขกระบวนการผลิต และยกระดับสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น และ แข่งขันได้ ตลอดจนควบคุมต้นทุนให้ลดลง เพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับภาคเกษตร นอกจากนี้ยังต้องเร่งแก้ปัญหาด้านท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้ามาเพียง 4-5 วัน มองว่าจำนวนวันน้อยเกินไป แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวน้อย ทำให้ต้องมาปรับแก้ให้ตรงกับความต้องการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในยุคนี้ที่เปลี่ยนไป (อินโฟเควสท์)
นายกฯ ยัน "ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3" ยังไม่มีข้อยุติ รอฟังความเห็นเพิ่มเติม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า รัฐบาลจะยกเลิกโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 3 ว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ยกเลิก เพียงแต่ต้องรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม เพราะมีสถานการณ์มาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก มีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามา จึงต้องมีการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมหากได้ข้อสรุปอย่างไรจะรีบแจ้ง "ตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่กระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งเราต้องใช้ทั้งเม็ดเงิน และนโยบายต่าง ๆ ที่จะกระตุ้นทั้งหมด ไม่ใช่แค่ช่วงอายุใดอายุหนึ่ง เพราะแผนงานเดิมเราจะแบ่งช่วงอายุ แต่แผนขณะนี้จะกระตุ้นทุกช่วงอายุทั้งหมด" นายกฯ ระบุ (อินโฟเควสท์)
สว.ชี้ ร่างกม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ ส่อพิรุธ!! ขัดรธน.หลายมาตรา แนะทำประชามติ ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) วุฒิสภา ที่มีนพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว.เป็นประธาน มีวาระพิจารณาแนวคิดการออกแบบกฎหมายและรายละเอียดของการมี Entertainment Complex ในประเทศ โดยเชิญ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาชี้แจง แต่นายกรัฐมนตรี ติดภารกิจต่างประเทศ และมอบหมายนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เข้าชี้แจงแทน แต่นายจุลพันธ์ มีภารกิจที่ประเทศเวียดนาม โดยจะมาชี้แจงในวันที่ 5 มิ.ย. เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ นอกจากนี้ ยังมีนายวีระ ธีรภัทร พิธีกร และนักจัดรายการวิทยุ ตอบรับมาชี้แจงในวันที่ 19 มิ.ย. ขณะที่มีการติดต่อบุคลอื่นเพิ่มเติม เช่น นายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาฯ แต่ยังไม่มีกำหนดว่าจะเข้ามาชี้แจงได้ในวันใด "ยืนยันว่า ไม่ได้ตั้งธงจะเชิญบุคคลที่มีจุดยืนต่อเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คนละฝ่ายกับรัฐบาลเท่านั้น อย่างนายวีระ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร เพราะเราก็อยากเชิญนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ด้วย ยืนยันว่าให้ความเป็นธรรมกับทุกคน" นพ.วีระพันธ์ กล่าว สำหรับการประชุมในวันนี้ เป็นการเปิดเวทีให้ กมธ. ที่มีบทบาทเป็นฝ่ายวิชาการ ได้ร่วมอภิปรายเสนอมุมมองการวิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดร่วง 22.22 จุดรับแรงขายลดเสี่ยงกังวลเศรษฐกิจไทย-การเมือง ผิดหวังงบ Q1/68 SET ปิดวันนี้ที่ 1,194.49 จุด ลดลง 22.22 จุด (-1.83%) มูลค่าซื้อขาย 45,794.74 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยร่วงลงจากแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงจากตัวเศรษฐกิจไทยน่าเป็นห่วง รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองอาจกระทบการพิจารณางบประมาณปี 69 รวมทั้งภาพรวมผลประกอบการ บจ.ไตรมาส 1/68 น่าผิดหวัง แนวโน้มพรุ่งนี้ติดตามงบ บจ.ส่วนที่เหลือ พร้อมให้แนวต้าน 1,200 จุด แนวรับ 1,181 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,194.49 จุด ลดลง 22.22 จุด (-1.83%) มูลค่าซื้อขาย 45,794.74 ล้านบาท (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.33 แข็งค่าจากช่วงเช้าสอดคล้องภูมิภาค ตลาดรอปัจจัยใหม่ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 33.33 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 33.43 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.30-3.45 บาท/ดอลลาร์ โดยวันนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา ซึ่งเมื่อเงินบาทเคลื่อนไหวเข้าใกล้ 33.50 บาท/ดอลลาร์ ก็มีแรงขายดอลลาร์เพื่อทำกำไร จึงทำให้เงินบาททยอยปรับแข็งค่า แต่ยังเป็นการแข็งค่าในทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.20 - 33.50  บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 98,357 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 98,357 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 30,550 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 884 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 4,776 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.65% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% (อินโฟเควสท์)  
ปัจจัยที่ต้องติดตาม

  • ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2568 (ประมาณการเบื้องต้น) ญี่ปุ่น
  • การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค. ญี่ปุ่น
  • ดุลการค้าเดือนมี.ค. ยุโรป
  • ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเม.ย. สหรัฐฯ
  • ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนเม.ย. สหรัฐฯ
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐฯ 

แชร์เรื่องนี้

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

News Demo
18
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
17
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
16
มิถุนายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ

Shortcut Menu

  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
    โครงสร้างพื้นฐาน
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนผลงานดี
  • ตารางจ่ายเงินปันผล
  • ข่าว/บทวิเคราะห์
  • กลยุทธ์การลงทุน
  • กำหนดการและแบบฟอร์ม
  • โปรโมชั่น
  • ปฏิทินกองทุน
  • ภาพกิจกรรม
  • ประกาศราคากลาง
  • AIMC Category
    Performance Report
  • ถาม-ตอบ
  • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
  • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
  • การตั้งค่าคุกกี้
  • สมัครรับข่าวสาร
  • ติดต่อเรา
  • ร่วมงานกับเรา
  • ประกาศความเป็นส่วนตัว
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

อีเมล: callcenter@ktam.co.th

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

  • พันธมิตรธุรกิจ
  • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • แผนผังเว็บไซต์

การใช้และการจัดการคุกกี้

เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

 การใช้และการจัดการคุกกี้

เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


การกำหนดลักษณะความยินยอม

คุกกี้ที่จำเป็น

คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

คุกกี้วิเคราะห์

เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง