ของขวัญสำหรับนักลงทุนจากลุงใจดี กับช่วงเวลาแห่ง “Santa Claus Rally”
กว่า 7 ทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าปกติในช่วงเวลาสั้น ๆ ของปลายปี โดยเฉพาะช่วง 7 วันทำการที่อยู่ระหว่างก่อนและหลังวันปีใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “Santa Claus Rally”
และปรากฏการณ์นี้ ก็ได้กลายเป็นหนึ่งสัญญาณสำคัญที่นักลงทุนใช้ประเมินโมเมนตัมและความเชื่อมั่นของตลาด ก่อนการเริ่มต้นกลยุทธ์ในปีถัดไป
Santa Claus Rally คืออะไร
“Santa Claus Rally” คือรูปแบบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วง 7 วันทำการปลายปี ได้แก่ 5 วันสุดท้ายของเดือนธันวาคม และ 2 วันทำการแรกของเดือนมกราคม (Santa Window) ซึ่งในอดีตมักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าสัปดาห์ทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ผ่านมาในช่วงนี้ได้เคยเกิดเหตุการณ์
• ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ +1.3% ในช่วง 7 วันดังกล่าว นับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของหนึ่งสัปดาห์ตามปกติถึงเกือบสองเท่า
• ผลตอบแทนของช่วงเวลานี้เป็นบวกได้ถึงเกือบ 80% ของปีทั้งหมดที่เก็บสถิติ ถือว่าเป็นอัตราความสำเร็จที่สูงมากเมื่อเทียบกับปัจจัยเชิงฤดูกาลอื่นๆ ในตลาดหุ้น
• แม้ในบางปีที่เดือนธันวาคมผันผวนอย่างหนัก แต่หากตัดออกมาเฉพาะช่วง 7 วันนี้ แล้วยังปิดบวก ตลาดก็ยังถือว่าเกิด Santa Claus Rally อยู่
สาเหตุเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้คืออะไร
Santa Claus Rally ไม่ได้เกิดจากเวทมนตร์ของเทศกาล แต่เกิดจากพฤติกรรมมนุษย์และโครงสร้างตลาดที่เปลี่ยนไปในช่วงปลายปี ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยาการลงทุน ดังนี้
• ในช่วงเทศกาลปลายปี นักลงทุนมักมองอนาคตในแง่ดีด้วยความคาดหวัง และยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น
• ปริมาณการซื้อขายลดลงราว 20–40% และแรงขายเชิงสถาบันก็ลดลง ราคาจึงเกิดการเคลื่อนไหวเชิงบวกได้ง่าย
• สถาบันขนาดใหญ่อาจทำการตกแต่งตัวเลขทางบัญชี (Window Dressing) เพื่อปรับพอร์ตให้ดูดีในรายงานปลายปี ด้วยการเพิ่มน้ำหนักหุ้นที่ทำผลงานดี
• การขายตัดขาดทุนเพื่อประโยชน์ทางภาษี หรือ Tax-Loss Harvesting มักเกิดและเสร็จสิ้นไปตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม ทำให้แรงขายหุ้นลดลง และมีแรงซื้อเพื่อเก็งกำไรใหม่ปลายปีเพิ่มขึ้น
• มีแหล่งเงินใหม่ไหลเข้าตลาดปลายปี เช่น โบนัสปลายปี, Retirement contributions และ Rebalancing แผนการลงทุนต้นปี เพื่อช่วยเร่งแรงซื้อช่วงต้นมกราคม
และเมื่อปัจจัยทั้งด้านจิตวิทยาและเชิงโครงสร้างตลาดหนุนไปในทางเดียวกัน โอกาสที่ตลาดจะบวกจึงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลักฐานทางสถิติยืนยันว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ YUMC
Santa Claus Rally ถูกบันทึกอย่างจริงจังครั้งแรกในปี 1972 ในวารสาร Stock Trader’s Almanac โดยนาย Yale Hirsch และตั้งแต่นั้นมา รูปแบบนี้ยังคงพบได้ต่อเนื่องในหลายยุคสมัยและในหลายสภาวะเศรษฐกิจ ดังนี้
• สถิติย้อนหลังชี้ชัดว่าช่วง Santa Window ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยรายวันประมาณ +0.20% สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายวันตลอดปีที่เพียง +0.03% อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนว่าช่วงปลายปีดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงกว่าปกติที่ผลตอบแทนเอียงไปทางบวก
• การเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้ยังมีความผันผวนต่ำกว่า และมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงที่ทำให้เกิดการขาดทุน (Downside tail-risk) น้อยกว่า ทำให้ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-adjusted return) ดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เลขผลตอบแทนดิบที่สูงขึ้นเพียงอย่างเดียว
• ปรากฏการณ์ใกล้เคียงกันนี้ ยังพบได้ในตลาดหลักทั่วโลก สะท้อนว่ามีพื้นฐานจากพฤติกรรมมนุษย์และกลไกตลาด ไม่ใช่เอกลักษณ์เฉพาะของตลาดสหรัฐฯ
• ดัชนีใหญ่อื่นก็ตอบสนองดีเช่นกัน อย่าง Dow Jones บวกเฉลี่ย 1.4% และ Nasdaq บวกเฉลี่น 1.8% ในช่วง Santa window ตามข้อมูลจาก Corporate Finance Institute
“If Santa Claus should fail to call, bears may come to Broad and Wall.”
(หาก Santa ไม่มา ตลาดอาจกำลังส่งสัญญาณความกังวลเป็นนัยๆ)
พฤติกรรมตลาดช่วง Santa Claus Rally กำลังบอกอะไร
ช่วงปลายปีถือเป็นด่านทดสอบทางอารมณ์ของตลาด หากผู้เล่นส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในอนาคต ถึงแม้ข่าวลบจะยังคงอยู่ ตลาดก็จะยังคงมีแรงซื้อรับปีใหม่ได้ แต่ถ้านักลงทุนไม่กล้าลงทุนแม้เป็นช่วงปลายปี ก็อาจแปลได้ว่าความเสี่ยงในตลาดยังน่ากังวล
ดังนั้น ผลตอบแทนช่วง Santa Window จึง…
• แสดงให้เห็นว่าสภาพจิตใจของตลาดยังพร้อม “รับความเสี่ยง” หรือไม่
• สะท้อนแนวโน้มของนักลงทุนสถาบันว่าเน้นการ “ซื้อสนับสนุนราคา” หรือ “แค่ถือตั้งรับ”
• เป็นตัวชี้ว่ากระแสเงินกำลัง “พร้อมไหลเข้า” หรือ “รอความชัดเจนก่อน” สำหรับปีถัดไป
หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกเชิง Sentiment มากกว่าในเชิง Fundamental
แนวทางประยุกต์ใช้สำหรับนักลงทุน
Santa Claus Rally ไม่ใช่สัญญาณที่บอกให้นักลงทุนไล่ซื้อทุกอย่างในช่วงเวลานั้น แต่เป็นเครื่องมือประกอบการวางจังหวะกลยุทธ์ (tactical) และใช้เพื่อประเมินอารมณ์ตลาด
สำหรับนักลงทุนระยะยาว ผลกระทบของ Santa Claus Rally มักมีความสำคัญเพียงเล็กน้อย เป็นเพียงแรงสนับสนุนเชิงสถิติระยะสั้นที่มีน้ำหนักไม่มากเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของตลาด ดังนั้น นักลงทุนที่มีแผนการลงทุนชัดเจนอยู่แล้วควรยึดตามกลยุทธ์เดิมเป็นหลัก โดยไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตเพียงเพราะ Seasonal effect ช่วงปลายปี
-หาก Santa Claus Rally เกิดขึ้นจริง ก็ถือเป็นสัญญาณบวกเชิงพฤติกรรม ว่าตลาดยังมีความเชื่อมั่นเพียงพอที่จะรับความเสี่ยงต่อไปได้ ซึ่งมักเชื่อมโยงกับโมเมนตัมเชิงบวกในช่วงไตรมาสแรกของปีถัดไป
-แต่หาก Santa Rally ไม่เกิดขึ้น ก็อาจมองเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าได้ว่าตลาดอาจมีความลังเล ขาดความเชื่อมั่น หรือกังวลถึงความเสี่ยงบางอย่างที่ยังกดดันอยู่ ส่งผลให้ต้นปีอาจผันผวนมากขึ้น
-Seasonal effect นี้ เป็นเพียงส่วนเสริม เพราะปัจจัยโครงสร้างอื่นมักมีน้ำหนักต่อตลาดมากกว่า เช่น นโยบายการเงินของ Fed ทิศทางผลประกอบการ หรือสภาพคล่องในระบบ
คำเตือน : ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน: เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย