สหรัฐฯ
EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบลดลง สวนทางคาดการณ์ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.0 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 200,000 บาร์เรล EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 453,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 565,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรล (อินโฟเควสท์)
อินเดียอ่วม! เจอภาษีทรัมป์รวม 50% เหตุยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันนี้ ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 25% ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีดังกล่าววานนี้ เพื่อตอบโต้ต่อการที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย การประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 25% ในวันนี้ เมื่อรวมกับอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐเรียกเก็บจากอินเดียก่อนหน้านี้ที่ระดับ 25% ส่งผลให้ขณะนี้อินเดียถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรรวม 50% ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าววานนี้ว่า เขาจะเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย "เป็นอย่างมาก" จากระดับปัจจุบันที่ 25% ภายในเวลา 24 ชั่วโมงข้างหน้า เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ปธน.ทรัมป์ยังระบุด้วยว่า ข้อเสนอของอินเดียในการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐนั้น ยังคงไม่เพียงพอ พร้อมกับกล่าวหาว่า อินเดียกำลังสนับสนุนสงครามในยูเครน "พวกเขากำลังเติมน้ำมันให้กับเครื่องจักรสงคราม ซึ่งผมไม่พอใจ" ปธน.ทรัมป์กล่าวให้สัมภาษณ์พิเศษต่อสำนักข่าว CNBC วานนี้ และเสริมว่า ประเด็นหลักที่เป็นอุปสรรคระหว่างสหรัฐและอินเดียคือ อัตราภาษีของอินเดียที่สูงเกินไป "อินเดียเคยมีภาษีที่สูงที่สุด แต่ตอนนี้พวกเขาจะให้เราส่งสินค้าเข้าไปโดยไม่เก็บภาษีเลย ซึ่งก็ดูดีนะ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่พวกเขาทำกับน้ำมัน มันไม่ใช่เรื่องดีเลย" ทั้งนี้ อินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียมากกว่า 1 ใน 3 ของความต้องการภายในประเทศ (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เผยมีความคืบหน้าในการเจรจารัสเซียเพื่อยุติสงครามยูเครน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social ในวันนี้ ระบุถึงความคืบหน้าในการเจรจากับรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน "คุณสตีฟ วิตคอฟ ทูตพิเศษของผม เพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมที่มีประสิทธิผลอย่างยิ่งกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย โดยมีความคืบหน้าอย่างมาก!" "หลังจากนั้น ผมได้แจ้งสถานการณ์ล่าสุดแก่พันธมิตรในยุโรปบางประเทศ ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่าสงครามนี้ต้องยุติลง และเราจะร่วมกันผลักดันไปสู่เป้าหมายดังกล่าวในอีกไม่กี่วันและไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้!" ปธน.ทรัมป์ระบุ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 81.38 จุด หุ้นแอปเปิ้ลพุ่งหนุนตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นแอปเปิ้ล (Apple) หลังจากบริษัทประกาศแผนการลงทุนครั้งใหม่ในสหรัฐฯ รวมทั้งปัจจัยบวกจากรายงานผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,193.12 จุด เพิ่มขึ้น 81.38 จุด หรือ +0.18%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,345.06 จุด เพิ่มขึ้น 45.87 จุด หรือ +0.73% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,169.42 จุด เพิ่มขึ้น 252.87 จุด หรือ +1.21% หุ้นแอปเปิ้ลพุ่งขึ้น 5.1% และปัจจัยหนุนดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนี หลังจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยันว่าบริษัทแอปเปิ้ลจะประกาศการลงทุนครั้งใหม่ในสหรัฐฯ มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ขณะนี้มีบริษัท 400 แห่งในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 แล้ว โดยในจำนวนนี้มี 80% ที่รายงานผลประกอบการดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 76% ของช่วงสี่ไตรมาสที่ผ่านมา หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 2.5% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพุ่งขึ้น 1.7% ส่วนหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.5% ตามด้วยหุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 0.9% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 81 เซนต์ หลังเจรจารัสเซียยุติสงครามในยูเครนคืบหน้า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (6 ส.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเจรจากับรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าสหรัฐฯ จะใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่กับรัสเซียหรือไม่ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.24% ปิดที่ 64.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 75 เซนต์ หรือ 1.11% ปิดที่ 66.89 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า จับตาทรัมป์เสนอชื่อผู้ว่าการเฟด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (6 ส.ค.) โดยถูกกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเสนอชื่อสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ แทนเอเดรียนา คูเกลอร์ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.61% แตะที่ระดับ 98.177 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 147.07 เยน จากระดับ 147.61 เยนในวันอังคาร ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8063 ฟรังก์ จากระดับ 0.8074 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3742 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3784 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1663 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1574 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3363 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3295 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $1.3 นลท.ขายทำกำไรหลังราคาพุ่งหลายวัน สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันพุธ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ ขณะที่นักลงทุนจับตาการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเสนอชื่อผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ แทนเอเดรียนา คูเกลอร์ ซึ่งประกาศลาออกก่อนครบวาระ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.3 ดอลลาร์ หรือ 0.04% ปิดที่ 3,433.40 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ดีดตัว ก่อนสหรัฐประมูลพันธบัตรสัปดาห์นี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น ก่อนที่สหรัฐจะทำการประมูลพันธบัตรในสัปดาห์นี้ ณ เวลา 20.06 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.226% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.803% ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐจะทำการประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปี วงเงิน 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันนี้ และจะประมูลพันธบัตรอายุ 30 ปี วงเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีเดือนมิ.ย.ทรุดหนักสวนคาดการณ์ เซ่นพิษภาษีสหรัฐฯ สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (6 ส.ค.) ว่า ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของประเทศในเดือนมิ.ย. ได้ร่วงลง 1% เมื่อเทียบรายเดือนแบบปรับค่าตามฤดูกาลและตามปฏิทินแล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.0% ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และน่ากังวลยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพิจารณาว่าตัวเลขของเดือนพ.ค. ก็เพิ่งถูกปรับแก้ให้ดีขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะลดลงถึง 1.4% ถูกปรับเป็นลดลงเพียง 0.8% เท่านั้น สาเหตุสำคัญมาจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ซบเซาลงอย่างหนัก โดยเฉพาะจากลูกค้านอกยุโรป ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าพิษจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเยอรมนีแล้ว เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดพบว่า ยอดสั่งซื้อจากในประเทศยังคงแข็งแกร่ง เติบโตขึ้น 2.2% ขณะที่ยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศโดยรวมลดลง 3.0% ซึ่งเมื่อแยกย่อยจะพบว่า ยอดสั่งซื้อจากในกลุ่มยูโรโซนเติบโตขึ้น 5.2% ขณะที่ยอดสั่งซื้อจากนอกกลุ่มยูโรโซนกลับดิ่งลงอย่างรุนแรงถึง 7.8% สถานการณ์มีแนวโน้มจะเลวร้ายลงไปอีก เนื่องจากมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บเพิ่ม 15% ต่อสินค้าจากสหภาพยุโรป กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้ (7 ส.ค.) ซึ่งจะทำให้สินค้า "Made in Germany" มีราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี ด้านกระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีออกมาให้ความเห็นว่า ตัวเลขที่ผันผวนสูงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาจากความไม่แน่นอนทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่ในระดับสูง แต่ก็ยอมรับว่า "เมื่อพิจารณาจากการขึ้นภาษีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่น่าจะกลายเป็นมาตรการถาวรแล้ว ภาคอุตสาหกรรมในอนาคตน่าจะเผชิญกับอุปสงค์จากต่างประเทศที่ซบเซาต่อไป" (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดทรงตัว กลุ่มเฮลท์แคร์ร่วงหลังทรัมป์ขู่เก็บภาษียา ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัวในวันพุธ (6 ส.ค.) โดยลดช่วงบวกลงเนื่องจากแรงขายในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ายา ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 541.07 จุด ลดลง 0.33 จุด หรือ -0.06% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,635.03 จุด เพิ่มขึ้น 13.99 จุด หรือ +0.18%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,924.36 จุด เพิ่มขึ้น 78.29 จุด หรือ +0.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,164.31 จุด เพิ่มขึ้น 21.58 จุด หรือ +0.24% ดัชนี STOXX 600 ของยุโรป ลดลง หลังจากที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 2 วัน ขณะที่หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ถูกกดดันอย่างหนัก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มนี้ร่วงลง 2.8% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน หลังทรัมป์เปิดเผยแผนขึ้นภาษีแบบขั้นบันไดกับสินค้ากลุ่มเภสัชกรรม โดยอาจปรับขึ้นสูงถึง 250% ภายใน 18 เดือน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 21.58 จุด นักลงทุนจับตาผลประกอบการ-คาด BoE หั่นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพุธ (6 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง และรอการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ (7 ส.ค.) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 9,164.31 จุด เพิ่มขึ้น 21.58 จุด หรือ +0.24% ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 หลังแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มพลังงานบวกนำตลาด โดยดัชนีกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 1.8% ตามราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมกับอินเดียจากการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย หุ้น Shell และ BP ต่างช่วยหนุนดัชนีหลัก โดยเพิ่มขึ้น 1.3% และ 3.1% ตามลำดับ หุ้นกลุ่มประกันพุ่ง 2.7% หลังจาก Hiscox รายงานว่าเบี้ยประกันรวมสุทธิครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 6.2% ทำให้หุ้นของบริษัททะยานขึ้นถึง 9.4% และเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในดัชนี FTSE 100 ในทางตรงข้าม หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ของอังกฤษร่วงลง 1.4% หลังทรัมป์เปิดเผยว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษียาในอัตราเริ่มต้นที่ระดับต่ำ แต่จะเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 250% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ค่าจ้างญี่ปุ่นโตสุดในรอบ 4 เดือน หนุนแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย กระทรวงแรงงานญี่ปุ่น รายงานในวันนี้ (6 ส.ค.) ว่า ค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน (nominal wage) หรือรายได้เงินสดเฉลี่ยต่อเดือนต่อหัวลูกจ้าง ซึ่งรวมถึงเงินเดือนพื้นฐานและค่าล่วงเวลา เพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนพ.ค. แม้ตัวเลขนี้จะต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.1% แต่ก็เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 เดือน ตัวเลขดังกล่าวเป็นผลมาจากการเจรจาประจำปีกับนายจ้าง ทำให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ค่าจ้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น 2.1% ขณะที่ค่าจ้างไม่รวมโบนัสและค่าล่วงเวลา ก็เพิ่มขึ้น 2.3% ข้อมูลล่าสุดนี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าค่าจ้างยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะทำให้ BOJ พิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อวันที่ 31 ก.ค. โดยคณะกรรมการ BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตามคาด และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณ 2568 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ มีมุมมองบวกว่าการบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ จะช่วยให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นสามารถหลีกเลี่ยงการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงได้ ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ผู้ว่าการ BOJ ได้ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยว่า "หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเรา เราก็คาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับระดับของการสนับสนุนทางการเงินให้สอดคล้องกับการที่เศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีพัฒนาการที่ดีขึ้น" (อินโฟเควสท์)
ผลสำรวจเผย บริษัทใหญ่ในญี่ปุ่นขึ้นเงินเดือนเกิน 5% สองปีซ้อน ผลสำรวจจากสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือ เคดันเรน (Keidanren) พบว่า บริษัทชั้นนำในญี่ปุ่นหลายแห่งมีการขึ้นค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยเกิน 5% ติดต่อกันเป็นปีที่สองแล้ว ผลสำรวจดังกล่าวเผยว่า อัตราการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย ซึ่งรวมทั้งการขึ้นค่าจ้างพื้นฐานและการขึ้นเงินเดือนปกติ อยู่ที่ 5.39% ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามของบริษัทต่าง ๆ ในการรับมือกับปัญหาขาดแคลนแรงงานและภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น การขึ้นเงินเดือนโดยเฉลี่ยที่บริษัทเหล่านี้รายงานต่อเคดันเรน อยู่ที่ 19,195 เยน (ราว 130 ดอลลาร์สหรัฐ) โดยถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่มีการเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2519 เมื่อแยกตามอุตสาหกรรมแล้ว ภาคการผลิตมีการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 5.42% (เพิ่มขึ้น 19,063 เยน) ขณะที่ภาคนอกภาคการผลิตมีการขึ้นเงินเดือน 5.34% (เพิ่มขึ้น 19,487 เยน) สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อมูลนี้ได้จากการสำรวจบริษัทขนาดใหญ่ 247 แห่งที่มีพนักงานมากกว่า 500 คนใน 23 อุตสาหกรรม แต่ผลลัพธ์ที่ได้อ้างอิงจากข้อมูลของบริษัท 139 แห่งใน 19 ภาคส่วนที่มีการรายงานเข้ามา (อินโฟเควสท์)
หัวหน้าทีมเจรจาญี่ปุ่นเดินทางถึงสหรัฐฯ หวังเร่งผลักดันลดภาษีรถยนต์โดยเร็ว เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจและหัวหน้าคณะผู้เจรจาภาษีศุลกากรของญี่ปุ่น เดินทางถึงสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้วในคืนวันอังคาร (5 ส.ค.) เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ ดำเนินการลดภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ของญี่ปุ่นตามที่ตกลงกันไว้โดยเร็วที่สุด สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การเดินทางดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังจากที่เขาบรรลุข้อตกลงการค้ากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสหรัฐฯ ให้คำมั่นที่จะลดอัตราภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าญี่ปุ่น ลงเหลือ 15% จากเดิมที่ขู่ไว้ว่าจะอยู่ที่ 25% โดยอัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้ (7 ส.ค.) อาคาซาวะซึ่งมีกำหนดปฏิบัติภารกิจอยู่ที่กรุงวอชิงตันจนถึงวันศุกร์นี้ กล่าวก่อนออกเดินทางว่า เขาจะพยายามผลักดันให้สหรัฐฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลงทวิภาคีในการเจรจารอบที่ 9 ที่จะถึงนี้กับทีมการค้าของทรัมป์ สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้าน เนื่องจากยังไม่มีการลงนามในเอกสารกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อยืนยันข้อตกลงการค้า นักวิจารณ์บางคนชี้ว่า อาจมีความเข้าใจผิด เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนในคำอธิบายข้อตกลงระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นกล่าวว่าสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นที่อยู่ภายใต้ภาษีศุลกากร 15% ขึ้นไปอยู่แล้ว จะไม่ถูกเรียกเก็บเพิ่มอีก 15% แต่คำสั่งฝ่ายบริหารที่ทรัมป์ลงนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อแก้ไขอัตราภาษีศุลกากร กลับไม่ได้ระบุถึงเงื่อนไขดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
วิกฤตประชากรญี่ปุ่น คนท้องถิ่นลดฮวบหนักสุดในรอบ 57 ปี สวนทางชาวต่างชาติพุ่งทำนิวไฮ สำนักข่าวเกียวโดรายงานข้อมูลรัฐบาลญี่ปุ่นที่เปิดเผยในวันนี้ (6 ส.ค.) โดยระบุว่า จำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นในปี 2567 ได้ลดลงมากถึง 908,000 คน เหลือ 120,653,227 คน ซึ่งนับเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจเมื่อปี 2511 หรือในรอบ 57 ปี และยังเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ติดต่อกัน ข้อมูลจากการสำรวจของกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร ระบุว่า ณ วันที่ 1 ม.ค. 2568 ประชากรโดยรวมของญี่ปุ่น (ซึ่งนับรวมชาวต่างชาติด้วย) อยู่ที่ 124,330,690 คน ลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 554,000 คน เมื่อเจาะลึกในรายละเอียดพบว่า จำนวนการเกิดของชาวญี่ปุ่นในปี 2567 อยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 687,689 คน สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.59 ล้านคน ในขณะที่ประชากรชาวญี่ปุ่นกำลังหดตัว จำนวนชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยในประเทศกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3,677,463 คน หรือเพิ่มขึ้นถึง 10.65% จากปีก่อนหน้า โดยจังหวัดฮอกไกโดมีอัตราการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติสูงที่สุดถึง 19.57% ทั้งนี้ ชาวต่างชาติ 85.77% อยู่ในวัยทำงาน และเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติได้สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนบางส่วน ประกอบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้พรรคการเมืองที่ชูนโยบาย "คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน" (Japanese First) และต้องการจำกัดการรับชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศ เช่น พรรคซันเซโตะ (Sanseito) ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นในการเลือกตั้งวุฒิสภาของญี่ปุ่นครั้งล่าสุด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 245.32 จุด ขานรับกำไรบริษัทแกร่ง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (6 ส.ค.) สวนกระแสความกังวลเรื่องกำแพงภาษีสหรัฐฯ หลังบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งประกาศผลประกอบการแข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลลงได้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,794.86 จุด เพิ่มขึ้น 245.32 จุด หรือ +0.60% หุ้นที่ปรับตัวขึ้นนำตลาดได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันและถ่านหิน (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนตอนใต้อ่วมเจอมรสุมพีกสุด ทำน้ำท่วม-ดินถล่ม ผู้ติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาพุ่ง จีนกำลังเผชิญกับฝนตกหนักมากกว่าปกติ เนื่องจากมรสุมเอเชียตะวันออกที่หยุดนิ่งอยู่ทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ สร้างความปั่นป่วนต่อสภาพอากาศตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. ขณะที่น้ำท่วมฉับพลันทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพ และเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ฝนตกหนักรอบล่าสุดคาดว่าจะลดลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กระทรวงบริหารเหตุฉุกเฉินเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่า แม้มรสุมเอเชียตะวันออกเริ่มอ่อนกำลังลง แต่อุตุนิยมวิทยาของจีนยังเตือนว่า ประเทศอาจยังไม่พ้นช่วงวิกฤต เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะเกิดพายุไต้ฝุ่นอีก 2-3 ลูกในเดือนส.ค.นี้ ภาพวิดีโอที่เผยแพร่แสดงให้เห็นถนนชอปปิงในมณฑลกวางตุ้งกลายเป็นทางน้ำท่วมขัง ซึ่งส่งผลให้การระบาดของไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya) รุนแรงขึ้นจากฝูงยุงที่แพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำเหล่านั้น โดยมณฑลกวางตุ้งรายงานพบผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 7,000 ราย กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่าจะยังมีพายุฝนฟ้าคะนองตามมาอีก หลังจากเมื่อวันก่อน ท้องฟ้าเหนือฮ่องกงและเมืองสำคัญในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ลหรือแม่น้ำจูเจียงเปลี่ยนเป็นสีดำ และเกิดฝนตกหนักที่สุดในเดือนส.ค. นับตั้งแต่ปี 2427 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลจีนได้จัดสรรงบประมาณช่วยเหลือภัยพิบัติกว่า 1 พันล้านหยวน (139.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนการกู้ภัยในมณฑลกวางตุ้ง เหอเป่ย ปักกิ่ง และเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน โดยรวมถึงเงินชดเชยความเสียหายของพื้นที่เพาะปลูกด้วย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 16.40 จุด รับสัญญาณการค้าจีน-สหรัฐฯ คืบหน้า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สามในวันนี้ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,633.99 จุด เพิ่มขึ้น 16.40 จุด หรือ +0.45% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐฯ และจีนใกล้จะบรรลุข้อตกลงขยายเส้นตายการเรียกเก็บภาษีศุลกากร จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังส่งสัญญาณถึงแผนการที่จะพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเมื่อการเจรจาการค้าได้ข้อสรุป ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 8.10 จุด รับความหวังจีนบรรลุดีลการค้าสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าจีนและสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐฯ และจีนใกล้จะบรรลุข้อตกลงการขยายเส้นตายการเรียกเก็บภาษีศุลกากร จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,910.63 จุด เพิ่มขึ้น 8.10 จุด หรือ +0.03% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
แบงก์ชาติอินเดียตรึงดอกเบี้ยตามคาดที่ 5.50% ขณะหวั่นพิษกำแพงภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจ ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (repo rate) ไว้ที่ระดับ 5.50% ในวันนี้ (6 ส.ค.) ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่คณะกรรมการกำลังจับตาดูผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยครั้งก่อน ๆ และประเมินความเสี่ยงจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าที่คาด คณะกรรมการนโยบายการเงินทั้ง 6 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ย และตัดสินใจคงจุดยืนนโยบายแบบ "เป็นกลาง" (neutral) ต่อไป สัญชัย มัลโฮตระ ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดียระบุในแถลงการณ์ว่า แม้ความท้าทายทางการค้าโลกจะยังคงอยู่ แต่แนวโน้มเศรษฐกิจของอินเดียยังคง "สดใส" มัลโฮตระกล่าวว่า แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าคาดอย่างมาก แต่ก็เป็นผลมาจากราคาอาหารที่มีความผันผวนเป็นหลัก ทั้งนี้ ตลอดปี 2568 ธนาคารกลางอินเดียได้ลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1.00% เนื่องจากแรงกดดันด้านราคาลดลง อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กำลังยกระดับการคุกคามที่จะขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย เพื่อตอบโต้กรณีที่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ธนาคารกลางอินเดียยังคงคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 6.5% เท่าเดิม แต่มัลโฮตระยอมรับว่า "แนวโน้มอุปสงค์จากต่างประเทศยังคงมืดมน ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องกำแพงภาษี" (อินโฟเควสท์)
ยอด FDI เวียดนามพุ่งแตะ 2.41 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยว่า เวียดนามดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ได้ 2.409 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 27.3% เมื่อเทียบรายปี รายงานระบุว่า แม้ว่ามูลค่าการลงทุนในโครงการใหม่ลดลง 11.1% สู่ระดับ 1.003 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่จำนวนโครงการใหม่กลับเพิ่มขึ้น 15.2% สู่ระดับ 2,254 โครงการ ในช่วงเวลาดังกล่าว เวียดนามได้เบิกจ่ายเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไปแล้ว 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีสำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
เวียดนามโชว์แกร่ง ไม่สนกำแพงภาษีทรัมป์ ดันส่งออกเดือนก.ค. พุ่ง 16% สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (6 ส.ค.) ว่า ยอดการส่งออกของเวียดนามในเดือนก.ค. ที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 4.227 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดนำเข้าก็เพิ่มขึ้น 17.8% มาอยู่ที่ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เวียดนามเกินดุลการค้าในเดือนดังกล่าว 2.27 พันล้านดอลลาร์ ตัวเลขการส่งออกที่แข็งแกร่งนี้เกิดขึ้น แม้สินค้าจากเวียดนามจะถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 20% ก็ตาม โดยรัฐบาลเวียดนามแถลงเมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ว่า ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งการนำเข้าและส่งออก เป็นผลมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ เร่งกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองคำสั่งซื้อใหม่ที่หลั่งไหลเข้ามา สำหรับภาพรวมในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) ยอดส่งออกเติบโตขึ้น 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่ารวม 2.6244 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.9% คิดเป็นมูลค่า 2.5226 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้มียอดเกินดุลการค้ารวมแล้วกว่า 1.018 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 8.51 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 1.015 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ รายงานยังระบุถึงตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของเดือนก.ค. ที่น่าสนใจ โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 8.5% เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือมาตรวัดเงินเฟ้อ ปรับตัวสูงขึ้น 3.19% โดยยอดค้าปลีกในเดือนเดียวกันขยายตัวถึง 9.2% (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้แจงเตรียมหารือสหรัฐฯ ประเด็นภาษีนำเข้ารถยนต์-กฎหมายดิจิทัล คิม จอง-กวาน รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีใต้ยังจำเป็นต้องเจรจากับสหรัฐฯ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกำหนดเวลาการลดภาษีนำเข้ารถยนต์ของเกาหลีใต้ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จากอัตราปัจจุบันที่ 25% ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ในอัตรา 15% ซึ่งรวมถึงรถยนต์ด้วย โดยภาษีใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค. ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดกับพันธมิตรหลักในเอเชียและหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ คิมระบุว่า ทั้งสองประเทศตกลงกันว่าจะเดินหน้าเจรจาเกี่ยวกับกฎหมายแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติเมื่อเทียบกับบริษัทท้องถิ่นของเกาหลีใต้ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ สมาชิกสภา และภาคธุรกิจยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก คิมยังย้ำว่า ยังไม่มีข้อตกลงใด ๆ เกี่ยวกับการเปิดตลาดสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว ข้าว ผลไม้ หรือสินค้าเกษตรอื่น ๆ ภายใต้กรอบข้อตกลงในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายจะเพิ่มความร่วมมือในกระบวนการกักกันผลไม้และผัก ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีที่สหรัฐฯ ระบุว่าผู้ส่งออกต้องเผชิญ ด้าน คู ยุน-ชอล รัฐมนตรีคลังของเกาหลีใต้กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่า สหรัฐฯ มองว่า กระบวนการกักกันผลไม้และผักของเกาหลีใต้เป็นไปอย่างล่าช้า พร้อมเรียกร้องให้เกาหลีใต้ใช้กระบวนการที่มีเหตุผลและอิงหลักวิทยาศาสตร์มากขึ้น (อินโฟเควสท์)
อินโดฯ-มาเลเซีย-ไทย ขยายเครือข่ายทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินท้องถิ่น ธนาคารแห่งอินโดนีเซียรายงานว่า ธนาคารแห่งอินโดนีเซีย ธนาคารกลางมาเลเซีย และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เพิ่มกลุ่มธนาคารที่เข้าร่วมโครงการตัวแทนบริการแลกเปลี่ยนเงินตราข้ามสกุล (ACCD) เพื่อขยายการบริการทำธุรกรรมทวิภาคีด้วยสกุลเงินท้องถิ่นระหว่างสามประเทศ กลุ่มธนาคารที่เข้าร่วมโครงการฯ จะอำนวยความสะดวกแก่การทำธุรกรรมข้ามพรมแดนเพื่อการค้าสินค้า การบริการ การลงทุนโดยตรง และการลงทุนในหลักทรัพย์ โดยธนาคารกลางทั้งสามแห่งมุ่งยกระดับการเข้าถึงบริการของลูกค้า เสริมสภาพคล่องของสกุลเงินท้องถิ่น และเพิ่มตัวเลือกชำระเงินข้ามพรมแดนสามประเทศแก่ธุรกิจต่างๆ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โครงการริเริ่มนี้ต่อยอดจากข้อตกลงประสานงานตามกรอบการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินท้องถิ่น (LCTF) ซึ่งลงนามวันที่ 17 ก.พ. 2568 (อินโฟเควสท์)
อินโดฯ จ่อขายกุ้งให้จีนเพิ่ม หลังถูกกระทบจากภาษีสหรัฐฯ สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกกุ้งที่สำคัญของอินโดนีเซีย โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 60% ของมูลค่าการส่งออกรวม 1.68 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมกุ้งของอินโดนีเซียอย่างหนัก โดยเฉพาะกับเกษตรกรรายย่อย แม้ภาษีนำเข้ารอบล่าสุดซึ่งตกลงกันในเดือนก.ค. และกำลังจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 19% ซึ่งต่ำกว่าภาษีรอบแรกที่กำหนดไว้ที่ 32% แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบทางธุรกิจอย่างชัดเจน อันดี ทัมซิล หัวหน้าสมาคมเกษตรกรกุ้งอินโดนีเซีย ประเมินว่า ภาษีนำเข้า 19% อาจทำให้การส่งออกกุ้งในปีนี้ลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมกว่าหนึ่งล้านคน โดยจีนซื้อกุ้งอินโดนีเซียเพียง 2% เท่านั้นก่อนหน้าการเก็บภาษี ปัจจุบัน อุตสาหกรรมกุ้งอินโดนีเซียพยายามผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนมากขึ้น โดยในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ทัมซิลพร้อมคณะตัวแทนภาคอุตสาหกรรมได้เดินทางไปยังเมืองกว่างโจวของจีน เพื่อพบผู้นำเข้า เจ้าของร้านอาหาร และแพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าเกษตร และมีแผนเดินทางอีกในอนาคต ทัมซิลตั้งเป้าว่า หากอินโดนีเซียสามารถครองส่วนแบ่งเพียง 20% ของตลาดนำเข้ากุ้งจีนซึ่งมีปริมาณรวมราว 1 ล้านตันต่อปี ก็จะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวงสำหรับประเทศ (อินโฟเควสท์)
ฟิลิปปินส์สั่งระงับนำเข้าข้าว หวังปกป้องเกษตรกรในฤดูเก็บเกี่ยว ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ได้มีคำสั่งในวันนี้ (6 ส.ค.) ให้ระงับการนำเข้าข้าวเป็นเวลา 60 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เพื่อปกป้องเกษตรกรในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มาร์กอสออกคำสั่งดังกล่าวหลังปรึกษาหารือกับคณะรัฐมนตรีและตามคำแนะนำของฟรานซิสโก ติอู ลอเรล จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ก่อนหน้านี้ กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้เสนอแนะให้มาร์กอสระงับการนำเข้าข้าวชั่วคราว และเพิ่มภาษีนำเข้าข้าวเพื่อปกป้องเกษตรกรในท้องถิ่น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่อุปทานข้าวโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวในเอเชียปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี ซึ่งแม้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาหารของผู้บริโภค แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้กับเกษตรกรในหลายประเทศ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรเคยเสนอให้จำกัดปริมาณการนำเข้าข้าวต่อปีไม่เกิน 20% ของระดับปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า การนำเข้าที่สูงกระทบต่อราคาข้าวในประเทศและอาจทำให้โรงสีท้องถิ่นจำนวนมากต้องปิดกิจการ (อินโฟเควสท์)
อินโดนีเซียเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใน Q3/2568 ศรีมุลยานี อินทราวตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย ประกาศในวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียจะเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 10.8 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 2.14 หมื่นล้านบาท) ในไตรมาส 3 ของปีนี้ เพื่อเร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจ รมว.คลังกล่าวว่า มาตรการกระตุ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษากำลังซื้อ สนับสนุนธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของชาติ โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ซึ่งการใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งตัวขึ้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความเชื่อมั่น สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หนึ่งในโครงการริเริ่มสำคัญภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้คือ โครงการโรงเรียนของประชาชน โดยโรงเรียนใหม่เกือบ 200 แห่งจะเริ่มก่อสร้างในเดือนก.ย. ขณะที่โครงการปรับปรุงและซ่อมแซมจะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนก.ค.และส.ค. นอกจากนี้ ศรีมุลยานียังเปิดเผยในการแถลงข่าวอีกว่า รัฐบาลกำลังเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมซึ่งจะเริ่มดำเนินการในช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ปลายปีนี้ ขณะเดียวกัน รมว.คลังอินโดนีเซียกล่าวเสริมว่า รัฐบาลจะเดินหน้าส่งเสริมความพยายามในการรักษาเสถียรภาพราคาอาหารเพื่อปกป้องการบริโภคของประชาชน และจะผลักดันการยกเลิกกฎระเบียบเพื่อเปิดทางให้รัฐบาลสามารถอุดหนุนราคาและจัดหาปุ๋ยแก่เกษตรกร (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ลบกว่า 100 จุด กังวลภาษีทรัมป์ ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 100 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,543.99 ลบ 166.26 จุด หรือ 0.21% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศดิ่งลงนำตลาด (อินโฟเควสท์)
ไทย
ร่วงต่อ! เงินเฟ้อ ก.ค. -0.7% ติดลบเดือนที่ 4 จากราคาพลังงานลด พาณิชย์ยันไม่ใช่เงินฝืด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือนก.ค.68 อยู่ที่ 100.15 ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน -0.70% (YoY) จากตลาดคาด -0.4 ถึง -0.5% โดยอัตราเงินเฟ้อ ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าในกลุ่มผักสด ผลไม้สด และของใช้ส่วนบุคคล ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานลดลง ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่ากระแสไฟฟ้า ตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ "เงินเฟ้อ ก.ค.ที่ลดมาก มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ราคาพลังงาน ทั้งเบนซิน แก๊สโซฮอล์ ดีเซล และค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ ที่ต่างจากปีก่อนถึง 6 บาท รวมทั้งปัจจัยจากราคาพืชผัก ผลไม้สด ที่ราคาลดลงค่อนข้างมากถึง 22 รายการ จากทั้งหมด 32 รายการที่เราเก็บข้อมูล ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อเดือน ก.ค.ลดลง" นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. ระบุ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เฉลี่ย 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.68) สูงขึ้น 0.21% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนก.ค.68 อยู่ที่ 101.40 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.84% ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ย 7 เดือนแรกปีนี้ สูงขึ้น 0.95% อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อของไทยเคยติดลบต่อเนื่องกันถึง 13 เดือน ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563 และกลับมาติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน ในช่วงต.ค.66 - มี.ค. 67 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ (ตัวเลขล่าสุดเดือนมิ.ย.68) พบว่า เงินเฟ้อของไทย ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับที่ 10 จาก 140 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน รองจากบรูไน จากทั้งหมด 9 ประเทศในอาเซียนที่มีการรายงานตัวเลข (อินโฟเควสท์)
"พิชัย" ยังมองเป้าหมายศก.ไทยโต 3-5% แม้ต้องใช้เวลา-เดินหน้า AMC แก้หนี้ประชาชน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการนำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ในเรื่องอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 19% เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า ยังต้องใช้เวลาอีกระยะ เนื่องจากต้องมีการจัดทำรายละเอียดในแต่ละข้อตกลง รวมถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องภาษีสหรัฐฯ พร้อมมองว่า จากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้ประกอบการของไทยได้มีการปรับตัว เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งสำคัญได้ ส่วนเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ที่รัฐบาลเคยคาดหวังไว้ที่ปีละ 3-5% นั้น นายพิชัย กล่าวว่า ถ้าไม่มีอุปสรรคใด ๆ เพิ่มเติม ก็จะตั้งเป้าหมายไว้อย่างนั้น ขณะเดียวกัน ก็จำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ร่วมด้วยเหมือนที่ตนได้เคยพูดไว้ เพราะหากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข โอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นไปอยู่ในระดับดังกล่าว ก็อาจจะทำได้ลำบาก และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนด้วย สำหรับแนวคิดของรัฐบาล ในการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อหนี้เสียออกจากระบบนั้น นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา และคงต้องขอหารือกับธนาคารก่อนว่าจะเป็น AMC ในรูปแบบใด ส่วนงบที่ใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ซึ่งยังเหลืออีกราว 25,000 ล้านบาทนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ยังมีอีกหลายโครงการที่จำเป็นต้องใช้เงินส่วนนี้ เช่น นำมาใช้เกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็สามารถนำมาใช้ได้ (อินโฟเควสท์)
ไทย-กัมพูชา: เวที GBC บรรลุข้อตกลง เตรียมเสนอ สมช.-ครม.นัดพิเศษ ก่อนถกระดับรมต.พรุ่งนี้ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) กล่าวถึงการประชุมเลขานุการคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) เมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) ว่า คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่ายได้ประชุมเจรจาหารือจนถึงเวลา 00.15 น. เนื่องจากฝ่ายเลขาของกัมพูชาไม่สามารถตัดสินใจ หรือตกลงใจได้ในบางหัวข้อ จึงต้องส่งเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้กลับไปให้พนมเปญพิจารณาก่อน ทำให้เกิดความล่าช้าในการตกลงใจ จนกระทั่งเมื่อเช้านี้ มีข่าวดีที่ทั้งสองฝ่ายสามารถสรุปข้อตกลงได้ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารให้ประธานของทั้งสองฝ่ายพิจารณา พล.ร.ต.สุรสันต์ ย้ำว่า เป็นการตกลงระหว่างฝ่ายเลขาฯ ร่วม ยังไม่ถือว่าเป็นข้อตกลงสุดท้ายของประชุมนี้ โดยฝ่ายไทยจะนำเรื่องข้อสรุปเสนอเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในช่วงบ่ายวันนี้ ที่จะมีการประชุม สมช. ร่วมกับการประชุม ครม.วาระพิเศษด้วย เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ก่อนที่ประธานฝ่ายไทยจะเดินทางไปประชุม GBC ในวันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) ที่ประเทศมาเลเซีย สำหรับสถานการณ์บริเวณช่องอ่านม้า ที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามตัดลวดหนามที่ฝ่ายไทยได้วางแนวไว้ ตามขอบเขตอธิปไตยของไทยนั้น ปัจจุบันกำลังทหารในพื้นที่ของทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการพูดคุยเจรจาเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการกระทบกระทั่งใด ๆ สถานการณ์อยู่ในสภาวะปกติ ซึ่งฝ่ายไทยได้ดำเนินการวางลวดหนามชุดใหม่ทดแทนชุดเดิมที่ถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว (อินโฟเควสท์)
รมว.ท่องเที่ยว เคลียร์ปมร้อนงบจัด "Tomorrowland" ในไทยไม่กระทบงบเยียวยาชายแดน จากกรณีที่มีการออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณในการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในไทย เชื่อมโยงเปรียบเทียบกับการใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยากับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ยืนยันว่าเป็นข่าวที่มีการบิดเบือนความจริง และมีความพยายามปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งไม่เกิดผลดี และประโยชน์ต่อประเทศชาติใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับโครงการเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (EDM) ระดับโลก ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นการรับทราบในกรอบการศึกษาความเป็นไปได้การจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ที่เสนอจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไม่ใช่จากกระทรวงวัฒนธรรม การจัดงานเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ และบริษัทพันธมิตรในประเทศไทยที่จะร่วมกันลงทุน ซึ่งเป็นการลงทุนโดยภาคเอกชนเป็นหลัก และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลบางส่วน ซึ่งรายละเอียดในการสนับสนุนนั้น ทางททท. จะนำเสนอแผนที่มีความคุ้มค่า และเหมาะสมต่อไป โดยจะต้องผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผ่านการตรวจสอบอย่างโปร่งใส ซึ่งที่ผ่านมาทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มีการสนับสนุนในโครงการเหล่านี้เป็นจำนวนมาก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ นายสรวงศ์ กล่าวว่า เชื่อว่าในการจัดงาน Tomorrowland แต่ละปีต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท โดยวงเงินคร่าว ๆ ที่จะใช้ในการจัดงานในส่วนของภาครัฐอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท (ในระยะเวลา 5 ปี) หรือเฉลี่ยแล้วรัฐบาลจะสนับสนุนปีละประมาณ 400 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องสปอนเซอร์ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของภาคเอกชน (อินโฟเควสท์)
รมว.ท่องเที่ยว แจงปลดล็อค "โป๊กเกอร์เป็นกีฬา" เป็นไปตามขั้นตอน ปัดโยง Entertainment complex นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์กรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งให้เล่นโป๊กเกอร์ที่เป็นกีฬาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวได้นั้นว่า เป็นไปตามไทม์ไลน์ แต่ยืนยันว่าไม่มีเกี่ยวกับ Entertainment complex และยืนยันว่า การเล่นไพ่ที่เป็นการพนัน ยังถือว่าผิดกฎหมาย นายสรวง์ ระบุว่า เรื่องนี้มีการตรวจสอบหลายรอบแล้ว ก่อนที่จะนำเรื่องเข้าบอร์ดการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จนมีความชัดเจนแล้วว่า 1. โป๊กเกอร์เป็นกีฬาแน่นอน ทั่วโลกยอมรับ และ 2. จะถูกบรรจุเข้าไปเป็นกีฬาเอเชียนเกมส์ และโอลิมปิกในอนาคต ซึ่งบอร์ด กกท. ได้ประกาศเป็นชนิดกีฬา สำหรับขั้นตอนต่อไป คือ การจัดตั้งสมาคมกีฬา เพื่อมาดูแลและรับผิดชอบในการจัดแข่งขัน นายสรวงศ์ กล่าวว่า เนื่องจาก World Poker Tour (WPT) อยากมาจัดงานที่ประเทศไทย จึงนำเรื่องเสนอรมว.มหาดไทย ลงนาม ส่วนการจัดงาน Exhibition ในเดือนส.ค. รมว.มหาดไทย ได้มีการลงนามอนุญาตให้จัดงานเฉพาะรายการนี้ ดังนั้น ทุกครั้งถ้าจะมีการจัดงาน จะต้องให้ รมว.มหาดไทย อนุมัติอยู่ ส่วนที่มีข้อกังวลว่า การจัดงานโป๊กเกอร์จะเป็นรูปแบบเดียวกับ MotoGP และ EDM ที่ภาครัฐจะต้องซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายบางส่วน นายสรวงศ์ ยืนยันว่า ครั้งนี้ภาครัฐไม่ต้องซัพพอร์ตใด ๆ มีแต่รายรับอย่างเดียว โดยที่ได้รับรายงานมางาน Exhibition ครั้งนี้มีผู้สมัครเกินกว่า 2,000 คน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการยกเลิกไปบ้าง (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 17.51 จุดแรลลี่ต่อรับแรงหนุน Fund Flow ไหลเข้าไม่พักหลังคาดเฟดหั่นดอกเบี้ยแน่ SET ปิดวันนี้ที่ 1,264.47 จุด เพิ่มขึ้น 17.51 จุด (+1.40%) มูลค่าซื้อขาย 65,232.67 ล้านบาท นักวิเคราะห์เผยหุ้นไทยวันนี้ยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง และกระจายตัวมากขึ้น ปัจจัยหลักจาก Fund Flow ไหลเข้าหลังคาดเฟดลดดอกเบี้ย-Bond yield อ่อนตัว สินทรัพย์เสี่ยงโลกกลับมาน่าสนใจ ขณะที่ไทยมีความชัดเจนของอัตราภาษีสหรัฐ และมีการปรับประมาณการกำไร บจ.ดีขึ้น แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดยังไปได้ต่อ พร้อมให้แนวต้าน 1,273 จุด แนวรับที่ 1,250 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับขึ้นได้ตลอดทั้งวัน โดยทำระดับสูงสุด 1,266.52 จุด ซึ่งทำนิวไฮในรอบ 6 เดือน และต่ำสุด 1,248.09 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 390 หลักทรัพย์ ลดลง 104 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 161 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.38 แกว่งกรอบแคบรอปัจจัยใหม่หนุนทิศทาง คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.50 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปืดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.38 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าเล็กน้อยจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.34 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.34 - 32.40 บาท/ดอลลาร์ โดยช่วงนี้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ "บาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ค่าเงินภูมิภาคยังไร้ทิศทาง ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาติดลบส่งผลต่อค่าเงินในวงจำกัด" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.30 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 77,728 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 77,728 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 15,164 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,140 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 847 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.28% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบลดลง สวนทางคาดการณ์ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.0 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 200,000 บาร์เรล EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 453,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 565,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรล (อินโฟเควสท์)
อินเดียอ่วม! เจอภาษีทรัมป์รวม 50% เหตุยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันนี้ ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 25% ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีดังกล่าววานนี้ เพื่อตอบโต้ต่อการที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย การประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีก 25% ในวันนี้ เมื่อรวมกับอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐเรียกเก็บจากอินเดียก่อนหน้านี้ที่ระดับ 25% ส่งผลให้ขณะนี้อินเดียถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรรวม 50% ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าววานนี้ว่า เขาจะเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย "เป็นอย่างมาก" จากระดับปัจจุบันที่ 25% ภายในเวลา 24 ชั่วโมงข้างหน้า เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ปธน.ทรัมป์ยังระบุด้วยว่า ข้อเสนอของอินเดียในการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐนั้น ยังคงไม่เพียงพอ พร้อมกับกล่าวหาว่า อินเดียกำลังสนับสนุนสงครามในยูเครน "พวกเขากำลังเติมน้ำมันให้กับเครื่องจักรสงคราม ซึ่งผมไม่พอใจ" ปธน.ทรัมป์กล่าวให้สัมภาษณ์พิเศษต่อสำนักข่าว CNBC วานนี้ และเสริมว่า ประเด็นหลักที่เป็นอุปสรรคระหว่างสหรัฐและอินเดียคือ อัตราภาษีของอินเดียที่สูงเกินไป "อินเดียเคยมีภาษีที่สูงที่สุด แต่ตอนนี้พวกเขาจะให้เราส่งสินค้าเข้าไปโดยไม่เก็บภาษีเลย ซึ่งก็ดูดีนะ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่พวกเขาทำกับน้ำมัน มันไม่ใช่เรื่องดีเลย" ทั้งนี้ อินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียมากกว่า 1 ใน 3 ของความต้องการภายในประเทศ (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เผยมีความคืบหน้าในการเจรจารัสเซียเพื่อยุติสงครามยูเครน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social ในวันนี้ ระบุถึงความคืบหน้าในการเจรจากับรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน "คุณสตีฟ วิตคอฟ ทูตพิเศษของผม เพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมที่มีประสิทธิผลอย่างยิ่งกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย โดยมีความคืบหน้าอย่างมาก!" "หลังจากนั้น ผมได้แจ้งสถานการณ์ล่าสุดแก่พันธมิตรในยุโรปบางประเทศ ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่าสงครามนี้ต้องยุติลง และเราจะร่วมกันผลักดันไปสู่เป้าหมายดังกล่าวในอีกไม่กี่วันและไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้!" ปธน.ทรัมป์ระบุ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 81.38 จุด หุ้นแอปเปิ้ลพุ่งหนุนตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นแอปเปิ้ล (Apple) หลังจากบริษัทประกาศแผนการลงทุนครั้งใหม่ในสหรัฐฯ รวมทั้งปัจจัยบวกจากรายงานผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,193.12 จุด เพิ่มขึ้น 81.38 จุด หรือ +0.18%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,345.06 จุด เพิ่มขึ้น 45.87 จุด หรือ +0.73% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,169.42 จุด เพิ่มขึ้น 252.87 จุด หรือ +1.21% หุ้นแอปเปิ้ลพุ่งขึ้น 5.1% และปัจจัยหนุนดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนี หลังจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยันว่าบริษัทแอปเปิ้ลจะประกาศการลงทุนครั้งใหม่ในสหรัฐฯ มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ขณะนี้มีบริษัท 400 แห่งในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 แล้ว โดยในจำนวนนี้มี 80% ที่รายงานผลประกอบการดีเกินคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 76% ของช่วงสี่ไตรมาสที่ผ่านมา หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 2.5% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพุ่งขึ้น 1.7% ส่วนหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.5% ตามด้วยหุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 0.9% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 81 เซนต์ หลังเจรจารัสเซียยุติสงครามในยูเครนคืบหน้า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (6 ส.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเจรจากับรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าสหรัฐฯ จะใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่กับรัสเซียหรือไม่ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.24% ปิดที่ 64.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 75 เซนต์ หรือ 1.11% ปิดที่ 66.89 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า จับตาทรัมป์เสนอชื่อผู้ว่าการเฟด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (6 ส.ค.) โดยถูกกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเสนอชื่อสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ แทนเอเดรียนา คูเกลอร์ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.61% แตะที่ระดับ 98.177 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 147.07 เยน จากระดับ 147.61 เยนในวันอังคาร ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8063 ฟรังก์ จากระดับ 0.8074 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3742 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3784 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1663 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1574 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3363 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3295 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $1.3 นลท.ขายทำกำไรหลังราคาพุ่งหลายวัน สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันพุธ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ ขณะที่นักลงทุนจับตาการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเสนอชื่อผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ แทนเอเดรียนา คูเกลอร์ ซึ่งประกาศลาออกก่อนครบวาระ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.3 ดอลลาร์ หรือ 0.04% ปิดที่ 3,433.40 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ดีดตัว ก่อนสหรัฐประมูลพันธบัตรสัปดาห์นี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น ก่อนที่สหรัฐจะทำการประมูลพันธบัตรในสัปดาห์นี้ ณ เวลา 20.06 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.226% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.803% ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐจะทำการประมูลพันธบัตรอายุ 10 ปี วงเงิน 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันนี้ และจะประมูลพันธบัตรอายุ 30 ปี วงเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีเดือนมิ.ย.ทรุดหนักสวนคาดการณ์ เซ่นพิษภาษีสหรัฐฯ สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (6 ส.ค.) ว่า ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของประเทศในเดือนมิ.ย. ได้ร่วงลง 1% เมื่อเทียบรายเดือนแบบปรับค่าตามฤดูกาลและตามปฏิทินแล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.0% ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และน่ากังวลยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพิจารณาว่าตัวเลขของเดือนพ.ค. ก็เพิ่งถูกปรับแก้ให้ดีขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะลดลงถึง 1.4% ถูกปรับเป็นลดลงเพียง 0.8% เท่านั้น สาเหตุสำคัญมาจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ซบเซาลงอย่างหนัก โดยเฉพาะจากลูกค้านอกยุโรป ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าพิษจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเยอรมนีแล้ว เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดพบว่า ยอดสั่งซื้อจากในประเทศยังคงแข็งแกร่ง เติบโตขึ้น 2.2% ขณะที่ยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศโดยรวมลดลง 3.0% ซึ่งเมื่อแยกย่อยจะพบว่า ยอดสั่งซื้อจากในกลุ่มยูโรโซนเติบโตขึ้น 5.2% ขณะที่ยอดสั่งซื้อจากนอกกลุ่มยูโรโซนกลับดิ่งลงอย่างรุนแรงถึง 7.8% สถานการณ์มีแนวโน้มจะเลวร้ายลงไปอีก เนื่องจากมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บเพิ่ม 15% ต่อสินค้าจากสหภาพยุโรป กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้ (7 ส.ค.) ซึ่งจะทำให้สินค้า "Made in Germany" มีราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี ด้านกระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีออกมาให้ความเห็นว่า ตัวเลขที่ผันผวนสูงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาจากความไม่แน่นอนทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่ในระดับสูง แต่ก็ยอมรับว่า "เมื่อพิจารณาจากการขึ้นภาษีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่น่าจะกลายเป็นมาตรการถาวรแล้ว ภาคอุตสาหกรรมในอนาคตน่าจะเผชิญกับอุปสงค์จากต่างประเทศที่ซบเซาต่อไป" (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดทรงตัว กลุ่มเฮลท์แคร์ร่วงหลังทรัมป์ขู่เก็บภาษียา ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัวในวันพุธ (6 ส.ค.) โดยลดช่วงบวกลงเนื่องจากแรงขายในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ายา ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 541.07 จุด ลดลง 0.33 จุด หรือ -0.06% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,635.03 จุด เพิ่มขึ้น 13.99 จุด หรือ +0.18%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,924.36 จุด เพิ่มขึ้น 78.29 จุด หรือ +0.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,164.31 จุด เพิ่มขึ้น 21.58 จุด หรือ +0.24% ดัชนี STOXX 600 ของยุโรป ลดลง หลังจากที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 2 วัน ขณะที่หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ถูกกดดันอย่างหนัก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มนี้ร่วงลง 2.8% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน หลังทรัมป์เปิดเผยแผนขึ้นภาษีแบบขั้นบันไดกับสินค้ากลุ่มเภสัชกรรม โดยอาจปรับขึ้นสูงถึง 250% ภายใน 18 เดือน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 21.58 จุด นักลงทุนจับตาผลประกอบการ-คาด BoE หั่นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพุธ (6 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง และรอการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ (7 ส.ค.) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 9,164.31 จุด เพิ่มขึ้น 21.58 จุด หรือ +0.24% ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 หลังแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มพลังงานบวกนำตลาด โดยดัชนีกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 1.8% ตามราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมกับอินเดียจากการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย หุ้น Shell และ BP ต่างช่วยหนุนดัชนีหลัก โดยเพิ่มขึ้น 1.3% และ 3.1% ตามลำดับ หุ้นกลุ่มประกันพุ่ง 2.7% หลังจาก Hiscox รายงานว่าเบี้ยประกันรวมสุทธิครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 6.2% ทำให้หุ้นของบริษัททะยานขึ้นถึง 9.4% และเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในดัชนี FTSE 100 ในทางตรงข้าม หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ของอังกฤษร่วงลง 1.4% หลังทรัมป์เปิดเผยว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษียาในอัตราเริ่มต้นที่ระดับต่ำ แต่จะเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 250% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ค่าจ้างญี่ปุ่นโตสุดในรอบ 4 เดือน หนุนแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย กระทรวงแรงงานญี่ปุ่น รายงานในวันนี้ (6 ส.ค.) ว่า ค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน (nominal wage) หรือรายได้เงินสดเฉลี่ยต่อเดือนต่อหัวลูกจ้าง ซึ่งรวมถึงเงินเดือนพื้นฐานและค่าล่วงเวลา เพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนพ.ค. แม้ตัวเลขนี้จะต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.1% แต่ก็เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 เดือน ตัวเลขดังกล่าวเป็นผลมาจากการเจรจาประจำปีกับนายจ้าง ทำให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ค่าจ้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น 2.1% ขณะที่ค่าจ้างไม่รวมโบนัสและค่าล่วงเวลา ก็เพิ่มขึ้น 2.3% ข้อมูลล่าสุดนี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าค่าจ้างยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะทำให้ BOJ พิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อวันที่ 31 ก.ค. โดยคณะกรรมการ BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตามคาด และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณ 2568 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ มีมุมมองบวกว่าการบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ จะช่วยให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นสามารถหลีกเลี่ยงการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงได้ ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ผู้ว่าการ BOJ ได้ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยว่า "หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเรา เราก็คาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับระดับของการสนับสนุนทางการเงินให้สอดคล้องกับการที่เศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีพัฒนาการที่ดีขึ้น" (อินโฟเควสท์)
ผลสำรวจเผย บริษัทใหญ่ในญี่ปุ่นขึ้นเงินเดือนเกิน 5% สองปีซ้อน ผลสำรวจจากสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือ เคดันเรน (Keidanren) พบว่า บริษัทชั้นนำในญี่ปุ่นหลายแห่งมีการขึ้นค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยเกิน 5% ติดต่อกันเป็นปีที่สองแล้ว ผลสำรวจดังกล่าวเผยว่า อัตราการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย ซึ่งรวมทั้งการขึ้นค่าจ้างพื้นฐานและการขึ้นเงินเดือนปกติ อยู่ที่ 5.39% ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามของบริษัทต่าง ๆ ในการรับมือกับปัญหาขาดแคลนแรงงานและภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น การขึ้นเงินเดือนโดยเฉลี่ยที่บริษัทเหล่านี้รายงานต่อเคดันเรน อยู่ที่ 19,195 เยน (ราว 130 ดอลลาร์สหรัฐ) โดยถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่มีการเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2519 เมื่อแยกตามอุตสาหกรรมแล้ว ภาคการผลิตมีการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 5.42% (เพิ่มขึ้น 19,063 เยน) ขณะที่ภาคนอกภาคการผลิตมีการขึ้นเงินเดือน 5.34% (เพิ่มขึ้น 19,487 เยน) สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อมูลนี้ได้จากการสำรวจบริษัทขนาดใหญ่ 247 แห่งที่มีพนักงานมากกว่า 500 คนใน 23 อุตสาหกรรม แต่ผลลัพธ์ที่ได้อ้างอิงจากข้อมูลของบริษัท 139 แห่งใน 19 ภาคส่วนที่มีการรายงานเข้ามา (อินโฟเควสท์)
หัวหน้าทีมเจรจาญี่ปุ่นเดินทางถึงสหรัฐฯ หวังเร่งผลักดันลดภาษีรถยนต์โดยเร็ว เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจและหัวหน้าคณะผู้เจรจาภาษีศุลกากรของญี่ปุ่น เดินทางถึงสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้วในคืนวันอังคาร (5 ส.ค.) เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ ดำเนินการลดภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ของญี่ปุ่นตามที่ตกลงกันไว้โดยเร็วที่สุด สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การเดินทางดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังจากที่เขาบรรลุข้อตกลงการค้ากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสหรัฐฯ ให้คำมั่นที่จะลดอัตราภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าญี่ปุ่น ลงเหลือ 15% จากเดิมที่ขู่ไว้ว่าจะอยู่ที่ 25% โดยอัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้ (7 ส.ค.) อาคาซาวะซึ่งมีกำหนดปฏิบัติภารกิจอยู่ที่กรุงวอชิงตันจนถึงวันศุกร์นี้ กล่าวก่อนออกเดินทางว่า เขาจะพยายามผลักดันให้สหรัฐฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลงทวิภาคีในการเจรจารอบที่ 9 ที่จะถึงนี้กับทีมการค้าของทรัมป์ สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้าน เนื่องจากยังไม่มีการลงนามในเอกสารกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อยืนยันข้อตกลงการค้า นักวิจารณ์บางคนชี้ว่า อาจมีความเข้าใจผิด เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนในคำอธิบายข้อตกลงระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นกล่าวว่าสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นที่อยู่ภายใต้ภาษีศุลกากร 15% ขึ้นไปอยู่แล้ว จะไม่ถูกเรียกเก็บเพิ่มอีก 15% แต่คำสั่งฝ่ายบริหารที่ทรัมป์ลงนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อแก้ไขอัตราภาษีศุลกากร กลับไม่ได้ระบุถึงเงื่อนไขดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
วิกฤตประชากรญี่ปุ่น คนท้องถิ่นลดฮวบหนักสุดในรอบ 57 ปี สวนทางชาวต่างชาติพุ่งทำนิวไฮ สำนักข่าวเกียวโดรายงานข้อมูลรัฐบาลญี่ปุ่นที่เปิดเผยในวันนี้ (6 ส.ค.) โดยระบุว่า จำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นในปี 2567 ได้ลดลงมากถึง 908,000 คน เหลือ 120,653,227 คน ซึ่งนับเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจเมื่อปี 2511 หรือในรอบ 57 ปี และยังเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ติดต่อกัน ข้อมูลจากการสำรวจของกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร ระบุว่า ณ วันที่ 1 ม.ค. 2568 ประชากรโดยรวมของญี่ปุ่น (ซึ่งนับรวมชาวต่างชาติด้วย) อยู่ที่ 124,330,690 คน ลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 554,000 คน เมื่อเจาะลึกในรายละเอียดพบว่า จำนวนการเกิดของชาวญี่ปุ่นในปี 2567 อยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 687,689 คน สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.59 ล้านคน ในขณะที่ประชากรชาวญี่ปุ่นกำลังหดตัว จำนวนชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยในประเทศกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3,677,463 คน หรือเพิ่มขึ้นถึง 10.65% จากปีก่อนหน้า โดยจังหวัดฮอกไกโดมีอัตราการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติสูงที่สุดถึง 19.57% ทั้งนี้ ชาวต่างชาติ 85.77% อยู่ในวัยทำงาน และเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติได้สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนบางส่วน ประกอบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้พรรคการเมืองที่ชูนโยบาย "คนญี่ปุ่นต้องมาก่อน" (Japanese First) และต้องการจำกัดการรับชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศ เช่น พรรคซันเซโตะ (Sanseito) ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นในการเลือกตั้งวุฒิสภาของญี่ปุ่นครั้งล่าสุด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 245.32 จุด ขานรับกำไรบริษัทแกร่ง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (6 ส.ค.) สวนกระแสความกังวลเรื่องกำแพงภาษีสหรัฐฯ หลังบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งประกาศผลประกอบการแข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลลงได้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,794.86 จุด เพิ่มขึ้น 245.32 จุด หรือ +0.60% หุ้นที่ปรับตัวขึ้นนำตลาดได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันและถ่านหิน (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนตอนใต้อ่วมเจอมรสุมพีกสุด ทำน้ำท่วม-ดินถล่ม ผู้ติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาพุ่ง จีนกำลังเผชิญกับฝนตกหนักมากกว่าปกติ เนื่องจากมรสุมเอเชียตะวันออกที่หยุดนิ่งอยู่ทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ สร้างความปั่นป่วนต่อสภาพอากาศตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. ขณะที่น้ำท่วมฉับพลันทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพ และเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ฝนตกหนักรอบล่าสุดคาดว่าจะลดลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กระทรวงบริหารเหตุฉุกเฉินเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่า แม้มรสุมเอเชียตะวันออกเริ่มอ่อนกำลังลง แต่อุตุนิยมวิทยาของจีนยังเตือนว่า ประเทศอาจยังไม่พ้นช่วงวิกฤต เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะเกิดพายุไต้ฝุ่นอีก 2-3 ลูกในเดือนส.ค.นี้ ภาพวิดีโอที่เผยแพร่แสดงให้เห็นถนนชอปปิงในมณฑลกวางตุ้งกลายเป็นทางน้ำท่วมขัง ซึ่งส่งผลให้การระบาดของไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya) รุนแรงขึ้นจากฝูงยุงที่แพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำเหล่านั้น โดยมณฑลกวางตุ้งรายงานพบผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 7,000 ราย กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่าจะยังมีพายุฝนฟ้าคะนองตามมาอีก หลังจากเมื่อวันก่อน ท้องฟ้าเหนือฮ่องกงและเมืองสำคัญในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ลหรือแม่น้ำจูเจียงเปลี่ยนเป็นสีดำ และเกิดฝนตกหนักที่สุดในเดือนส.ค. นับตั้งแต่ปี 2427 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลจีนได้จัดสรรงบประมาณช่วยเหลือภัยพิบัติกว่า 1 พันล้านหยวน (139.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนการกู้ภัยในมณฑลกวางตุ้ง เหอเป่ย ปักกิ่ง และเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน โดยรวมถึงเงินชดเชยความเสียหายของพื้นที่เพาะปลูกด้วย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 16.40 จุด รับสัญญาณการค้าจีน-สหรัฐฯ คืบหน้า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สามในวันนี้ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,633.99 จุด เพิ่มขึ้น 16.40 จุด หรือ +0.45% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐฯ และจีนใกล้จะบรรลุข้อตกลงขยายเส้นตายการเรียกเก็บภาษีศุลกากร จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังส่งสัญญาณถึงแผนการที่จะพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเมื่อการเจรจาการค้าได้ข้อสรุป ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 8.10 จุด รับความหวังจีนบรรลุดีลการค้าสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าจีนและสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐฯ และจีนใกล้จะบรรลุข้อตกลงการขยายเส้นตายการเรียกเก็บภาษีศุลกากร จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,910.63 จุด เพิ่มขึ้น 8.10 จุด หรือ +0.03% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
แบงก์ชาติอินเดียตรึงดอกเบี้ยตามคาดที่ 5.50% ขณะหวั่นพิษกำแพงภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจ ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (repo rate) ไว้ที่ระดับ 5.50% ในวันนี้ (6 ส.ค.) ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่คณะกรรมการกำลังจับตาดูผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยครั้งก่อน ๆ และประเมินความเสี่ยงจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าที่คาด คณะกรรมการนโยบายการเงินทั้ง 6 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ย และตัดสินใจคงจุดยืนนโยบายแบบ "เป็นกลาง" (neutral) ต่อไป สัญชัย มัลโฮตระ ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดียระบุในแถลงการณ์ว่า แม้ความท้าทายทางการค้าโลกจะยังคงอยู่ แต่แนวโน้มเศรษฐกิจของอินเดียยังคง "สดใส" มัลโฮตระกล่าวว่า แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าคาดอย่างมาก แต่ก็เป็นผลมาจากราคาอาหารที่มีความผันผวนเป็นหลัก ทั้งนี้ ตลอดปี 2568 ธนาคารกลางอินเดียได้ลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1.00% เนื่องจากแรงกดดันด้านราคาลดลง อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กำลังยกระดับการคุกคามที่จะขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย เพื่อตอบโต้กรณีที่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ธนาคารกลางอินเดียยังคงคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 6.5% เท่าเดิม แต่มัลโฮตระยอมรับว่า "แนวโน้มอุปสงค์จากต่างประเทศยังคงมืดมน ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องกำแพงภาษี" (อินโฟเควสท์)
ยอด FDI เวียดนามพุ่งแตะ 2.41 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยว่า เวียดนามดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ได้ 2.409 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 27.3% เมื่อเทียบรายปี รายงานระบุว่า แม้ว่ามูลค่าการลงทุนในโครงการใหม่ลดลง 11.1% สู่ระดับ 1.003 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่จำนวนโครงการใหม่กลับเพิ่มขึ้น 15.2% สู่ระดับ 2,254 โครงการ ในช่วงเวลาดังกล่าว เวียดนามได้เบิกจ่ายเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไปแล้ว 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีสำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
เวียดนามโชว์แกร่ง ไม่สนกำแพงภาษีทรัมป์ ดันส่งออกเดือนก.ค. พุ่ง 16% สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (6 ส.ค.) ว่า ยอดการส่งออกของเวียดนามในเดือนก.ค. ที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 4.227 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดนำเข้าก็เพิ่มขึ้น 17.8% มาอยู่ที่ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เวียดนามเกินดุลการค้าในเดือนดังกล่าว 2.27 พันล้านดอลลาร์ ตัวเลขการส่งออกที่แข็งแกร่งนี้เกิดขึ้น แม้สินค้าจากเวียดนามจะถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 20% ก็ตาม โดยรัฐบาลเวียดนามแถลงเมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ว่า ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งการนำเข้าและส่งออก เป็นผลมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ เร่งกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองคำสั่งซื้อใหม่ที่หลั่งไหลเข้ามา สำหรับภาพรวมในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) ยอดส่งออกเติบโตขึ้น 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่ารวม 2.6244 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.9% คิดเป็นมูลค่า 2.5226 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้มียอดเกินดุลการค้ารวมแล้วกว่า 1.018 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 8.51 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 1.015 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ รายงานยังระบุถึงตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของเดือนก.ค. ที่น่าสนใจ โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 8.5% เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือมาตรวัดเงินเฟ้อ ปรับตัวสูงขึ้น 3.19% โดยยอดค้าปลีกในเดือนเดียวกันขยายตัวถึง 9.2% (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้แจงเตรียมหารือสหรัฐฯ ประเด็นภาษีนำเข้ารถยนต์-กฎหมายดิจิทัล คิม จอง-กวาน รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีใต้ยังจำเป็นต้องเจรจากับสหรัฐฯ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกำหนดเวลาการลดภาษีนำเข้ารถยนต์ของเกาหลีใต้ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จากอัตราปัจจุบันที่ 25% ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ในอัตรา 15% ซึ่งรวมถึงรถยนต์ด้วย โดยภาษีใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค. ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดกับพันธมิตรหลักในเอเชียและหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ คิมระบุว่า ทั้งสองประเทศตกลงกันว่าจะเดินหน้าเจรจาเกี่ยวกับกฎหมายแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติเมื่อเทียบกับบริษัทท้องถิ่นของเกาหลีใต้ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ สมาชิกสภา และภาคธุรกิจยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก คิมยังย้ำว่า ยังไม่มีข้อตกลงใด ๆ เกี่ยวกับการเปิดตลาดสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว ข้าว ผลไม้ หรือสินค้าเกษตรอื่น ๆ ภายใต้กรอบข้อตกลงในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายจะเพิ่มความร่วมมือในกระบวนการกักกันผลไม้และผัก ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีที่สหรัฐฯ ระบุว่าผู้ส่งออกต้องเผชิญ ด้าน คู ยุน-ชอล รัฐมนตรีคลังของเกาหลีใต้กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่า สหรัฐฯ มองว่า กระบวนการกักกันผลไม้และผักของเกาหลีใต้เป็นไปอย่างล่าช้า พร้อมเรียกร้องให้เกาหลีใต้ใช้กระบวนการที่มีเหตุผลและอิงหลักวิทยาศาสตร์มากขึ้น (อินโฟเควสท์)
อินโดฯ-มาเลเซีย-ไทย ขยายเครือข่ายทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินท้องถิ่น ธนาคารแห่งอินโดนีเซียรายงานว่า ธนาคารแห่งอินโดนีเซีย ธนาคารกลางมาเลเซีย และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เพิ่มกลุ่มธนาคารที่เข้าร่วมโครงการตัวแทนบริการแลกเปลี่ยนเงินตราข้ามสกุล (ACCD) เพื่อขยายการบริการทำธุรกรรมทวิภาคีด้วยสกุลเงินท้องถิ่นระหว่างสามประเทศ กลุ่มธนาคารที่เข้าร่วมโครงการฯ จะอำนวยความสะดวกแก่การทำธุรกรรมข้ามพรมแดนเพื่อการค้าสินค้า การบริการ การลงทุนโดยตรง และการลงทุนในหลักทรัพย์ โดยธนาคารกลางทั้งสามแห่งมุ่งยกระดับการเข้าถึงบริการของลูกค้า เสริมสภาพคล่องของสกุลเงินท้องถิ่น และเพิ่มตัวเลือกชำระเงินข้ามพรมแดนสามประเทศแก่ธุรกิจต่างๆ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โครงการริเริ่มนี้ต่อยอดจากข้อตกลงประสานงานตามกรอบการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินท้องถิ่น (LCTF) ซึ่งลงนามวันที่ 17 ก.พ. 2568 (อินโฟเควสท์)
อินโดฯ จ่อขายกุ้งให้จีนเพิ่ม หลังถูกกระทบจากภาษีสหรัฐฯ สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกกุ้งที่สำคัญของอินโดนีเซีย โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 60% ของมูลค่าการส่งออกรวม 1.68 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมกุ้งของอินโดนีเซียอย่างหนัก โดยเฉพาะกับเกษตรกรรายย่อย แม้ภาษีนำเข้ารอบล่าสุดซึ่งตกลงกันในเดือนก.ค. และกำลังจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 19% ซึ่งต่ำกว่าภาษีรอบแรกที่กำหนดไว้ที่ 32% แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบทางธุรกิจอย่างชัดเจน อันดี ทัมซิล หัวหน้าสมาคมเกษตรกรกุ้งอินโดนีเซีย ประเมินว่า ภาษีนำเข้า 19% อาจทำให้การส่งออกกุ้งในปีนี้ลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมกว่าหนึ่งล้านคน โดยจีนซื้อกุ้งอินโดนีเซียเพียง 2% เท่านั้นก่อนหน้าการเก็บภาษี ปัจจุบัน อุตสาหกรรมกุ้งอินโดนีเซียพยายามผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนมากขึ้น โดยในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ทัมซิลพร้อมคณะตัวแทนภาคอุตสาหกรรมได้เดินทางไปยังเมืองกว่างโจวของจีน เพื่อพบผู้นำเข้า เจ้าของร้านอาหาร และแพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าเกษตร และมีแผนเดินทางอีกในอนาคต ทัมซิลตั้งเป้าว่า หากอินโดนีเซียสามารถครองส่วนแบ่งเพียง 20% ของตลาดนำเข้ากุ้งจีนซึ่งมีปริมาณรวมราว 1 ล้านตันต่อปี ก็จะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวงสำหรับประเทศ (อินโฟเควสท์)
ฟิลิปปินส์สั่งระงับนำเข้าข้าว หวังปกป้องเกษตรกรในฤดูเก็บเกี่ยว ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ได้มีคำสั่งในวันนี้ (6 ส.ค.) ให้ระงับการนำเข้าข้าวเป็นเวลา 60 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เพื่อปกป้องเกษตรกรในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มาร์กอสออกคำสั่งดังกล่าวหลังปรึกษาหารือกับคณะรัฐมนตรีและตามคำแนะนำของฟรานซิสโก ติอู ลอเรล จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ก่อนหน้านี้ กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้เสนอแนะให้มาร์กอสระงับการนำเข้าข้าวชั่วคราว และเพิ่มภาษีนำเข้าข้าวเพื่อปกป้องเกษตรกรในท้องถิ่น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่อุปทานข้าวโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวในเอเชียปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี ซึ่งแม้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาหารของผู้บริโภค แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้กับเกษตรกรในหลายประเทศ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรเคยเสนอให้จำกัดปริมาณการนำเข้าข้าวต่อปีไม่เกิน 20% ของระดับปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า การนำเข้าที่สูงกระทบต่อราคาข้าวในประเทศและอาจทำให้โรงสีท้องถิ่นจำนวนมากต้องปิดกิจการ (อินโฟเควสท์)
อินโดนีเซียเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใน Q3/2568 ศรีมุลยานี อินทราวตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย ประกาศในวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียจะเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 10.8 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 2.14 หมื่นล้านบาท) ในไตรมาส 3 ของปีนี้ เพื่อเร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจ รมว.คลังกล่าวว่า มาตรการกระตุ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษากำลังซื้อ สนับสนุนธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของชาติ โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ซึ่งการใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งตัวขึ้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความเชื่อมั่น สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หนึ่งในโครงการริเริ่มสำคัญภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้คือ โครงการโรงเรียนของประชาชน โดยโรงเรียนใหม่เกือบ 200 แห่งจะเริ่มก่อสร้างในเดือนก.ย. ขณะที่โครงการปรับปรุงและซ่อมแซมจะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนก.ค.และส.ค. นอกจากนี้ ศรีมุลยานียังเปิดเผยในการแถลงข่าวอีกว่า รัฐบาลกำลังเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมซึ่งจะเริ่มดำเนินการในช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ปลายปีนี้ ขณะเดียวกัน รมว.คลังอินโดนีเซียกล่าวเสริมว่า รัฐบาลจะเดินหน้าส่งเสริมความพยายามในการรักษาเสถียรภาพราคาอาหารเพื่อปกป้องการบริโภคของประชาชน และจะผลักดันการยกเลิกกฎระเบียบเพื่อเปิดทางให้รัฐบาลสามารถอุดหนุนราคาและจัดหาปุ๋ยแก่เกษตรกร (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ลบกว่า 100 จุด กังวลภาษีทรัมป์ ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 100 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,543.99 ลบ 166.26 จุด หรือ 0.21% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศดิ่งลงนำตลาด (อินโฟเควสท์)
ไทย
ร่วงต่อ! เงินเฟ้อ ก.ค. -0.7% ติดลบเดือนที่ 4 จากราคาพลังงานลด พาณิชย์ยันไม่ใช่เงินฝืด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือนก.ค.68 อยู่ที่ 100.15 ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน -0.70% (YoY) จากตลาดคาด -0.4 ถึง -0.5% โดยอัตราเงินเฟ้อ ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าในกลุ่มผักสด ผลไม้สด และของใช้ส่วนบุคคล ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานลดลง ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่ากระแสไฟฟ้า ตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ "เงินเฟ้อ ก.ค.ที่ลดมาก มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ราคาพลังงาน ทั้งเบนซิน แก๊สโซฮอล์ ดีเซล และค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ ที่ต่างจากปีก่อนถึง 6 บาท รวมทั้งปัจจัยจากราคาพืชผัก ผลไม้สด ที่ราคาลดลงค่อนข้างมากถึง 22 รายการ จากทั้งหมด 32 รายการที่เราเก็บข้อมูล ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อเดือน ก.ค.ลดลง" นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. ระบุ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เฉลี่ย 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.68) สูงขึ้น 0.21% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนก.ค.68 อยู่ที่ 101.40 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.84% ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ย 7 เดือนแรกปีนี้ สูงขึ้น 0.95% อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อของไทยเคยติดลบต่อเนื่องกันถึง 13 เดือน ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563 และกลับมาติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน ในช่วงต.ค.66 - มี.ค. 67 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ (ตัวเลขล่าสุดเดือนมิ.ย.68) พบว่า เงินเฟ้อของไทย ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับที่ 10 จาก 140 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน รองจากบรูไน จากทั้งหมด 9 ประเทศในอาเซียนที่มีการรายงานตัวเลข (อินโฟเควสท์)
"พิชัย" ยังมองเป้าหมายศก.ไทยโต 3-5% แม้ต้องใช้เวลา-เดินหน้า AMC แก้หนี้ประชาชน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการนำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ในเรื่องอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 19% เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า ยังต้องใช้เวลาอีกระยะ เนื่องจากต้องมีการจัดทำรายละเอียดในแต่ละข้อตกลง รวมถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องภาษีสหรัฐฯ พร้อมมองว่า จากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้ประกอบการของไทยได้มีการปรับตัว เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งสำคัญได้ ส่วนเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ที่รัฐบาลเคยคาดหวังไว้ที่ปีละ 3-5% นั้น นายพิชัย กล่าวว่า ถ้าไม่มีอุปสรรคใด ๆ เพิ่มเติม ก็จะตั้งเป้าหมายไว้อย่างนั้น ขณะเดียวกัน ก็จำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ร่วมด้วยเหมือนที่ตนได้เคยพูดไว้ เพราะหากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข โอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นไปอยู่ในระดับดังกล่าว ก็อาจจะทำได้ลำบาก และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนด้วย สำหรับแนวคิดของรัฐบาล ในการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อหนี้เสียออกจากระบบนั้น นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา และคงต้องขอหารือกับธนาคารก่อนว่าจะเป็น AMC ในรูปแบบใด ส่วนงบที่ใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ซึ่งยังเหลืออีกราว 25,000 ล้านบาทนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ยังมีอีกหลายโครงการที่จำเป็นต้องใช้เงินส่วนนี้ เช่น นำมาใช้เกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็สามารถนำมาใช้ได้ (อินโฟเควสท์)
ไทย-กัมพูชา: เวที GBC บรรลุข้อตกลง เตรียมเสนอ สมช.-ครม.นัดพิเศษ ก่อนถกระดับรมต.พรุ่งนี้ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) กล่าวถึงการประชุมเลขานุการคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) เมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) ว่า คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่ายได้ประชุมเจรจาหารือจนถึงเวลา 00.15 น. เนื่องจากฝ่ายเลขาของกัมพูชาไม่สามารถตัดสินใจ หรือตกลงใจได้ในบางหัวข้อ จึงต้องส่งเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้กลับไปให้พนมเปญพิจารณาก่อน ทำให้เกิดความล่าช้าในการตกลงใจ จนกระทั่งเมื่อเช้านี้ มีข่าวดีที่ทั้งสองฝ่ายสามารถสรุปข้อตกลงได้ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารให้ประธานของทั้งสองฝ่ายพิจารณา พล.ร.ต.สุรสันต์ ย้ำว่า เป็นการตกลงระหว่างฝ่ายเลขาฯ ร่วม ยังไม่ถือว่าเป็นข้อตกลงสุดท้ายของประชุมนี้ โดยฝ่ายไทยจะนำเรื่องข้อสรุปเสนอเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในช่วงบ่ายวันนี้ ที่จะมีการประชุม สมช. ร่วมกับการประชุม ครม.วาระพิเศษด้วย เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ก่อนที่ประธานฝ่ายไทยจะเดินทางไปประชุม GBC ในวันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) ที่ประเทศมาเลเซีย สำหรับสถานการณ์บริเวณช่องอ่านม้า ที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามตัดลวดหนามที่ฝ่ายไทยได้วางแนวไว้ ตามขอบเขตอธิปไตยของไทยนั้น ปัจจุบันกำลังทหารในพื้นที่ของทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการพูดคุยเจรจาเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการกระทบกระทั่งใด ๆ สถานการณ์อยู่ในสภาวะปกติ ซึ่งฝ่ายไทยได้ดำเนินการวางลวดหนามชุดใหม่ทดแทนชุดเดิมที่ถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว (อินโฟเควสท์)
รมว.ท่องเที่ยว เคลียร์ปมร้อนงบจัด "Tomorrowland" ในไทยไม่กระทบงบเยียวยาชายแดน จากกรณีที่มีการออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณในการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในไทย เชื่อมโยงเปรียบเทียบกับการใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยากับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ยืนยันว่าเป็นข่าวที่มีการบิดเบือนความจริง และมีความพยายามปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งไม่เกิดผลดี และประโยชน์ต่อประเทศชาติใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับโครงการเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (EDM) ระดับโลก ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นการรับทราบในกรอบการศึกษาความเป็นไปได้การจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ที่เสนอจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไม่ใช่จากกระทรวงวัฒนธรรม การจัดงานเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ และบริษัทพันธมิตรในประเทศไทยที่จะร่วมกันลงทุน ซึ่งเป็นการลงทุนโดยภาคเอกชนเป็นหลัก และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลบางส่วน ซึ่งรายละเอียดในการสนับสนุนนั้น ทางททท. จะนำเสนอแผนที่มีความคุ้มค่า และเหมาะสมต่อไป โดยจะต้องผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผ่านการตรวจสอบอย่างโปร่งใส ซึ่งที่ผ่านมาทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มีการสนับสนุนในโครงการเหล่านี้เป็นจำนวนมาก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ นายสรวงศ์ กล่าวว่า เชื่อว่าในการจัดงาน Tomorrowland แต่ละปีต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท โดยวงเงินคร่าว ๆ ที่จะใช้ในการจัดงานในส่วนของภาครัฐอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท (ในระยะเวลา 5 ปี) หรือเฉลี่ยแล้วรัฐบาลจะสนับสนุนปีละประมาณ 400 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องสปอนเซอร์ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของภาคเอกชน (อินโฟเควสท์)
รมว.ท่องเที่ยว แจงปลดล็อค "โป๊กเกอร์เป็นกีฬา" เป็นไปตามขั้นตอน ปัดโยง Entertainment complex นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์กรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งให้เล่นโป๊กเกอร์ที่เป็นกีฬาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวได้นั้นว่า เป็นไปตามไทม์ไลน์ แต่ยืนยันว่าไม่มีเกี่ยวกับ Entertainment complex และยืนยันว่า การเล่นไพ่ที่เป็นการพนัน ยังถือว่าผิดกฎหมาย นายสรวง์ ระบุว่า เรื่องนี้มีการตรวจสอบหลายรอบแล้ว ก่อนที่จะนำเรื่องเข้าบอร์ดการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จนมีความชัดเจนแล้วว่า 1. โป๊กเกอร์เป็นกีฬาแน่นอน ทั่วโลกยอมรับ และ 2. จะถูกบรรจุเข้าไปเป็นกีฬาเอเชียนเกมส์ และโอลิมปิกในอนาคต ซึ่งบอร์ด กกท. ได้ประกาศเป็นชนิดกีฬา สำหรับขั้นตอนต่อไป คือ การจัดตั้งสมาคมกีฬา เพื่อมาดูแลและรับผิดชอบในการจัดแข่งขัน นายสรวงศ์ กล่าวว่า เนื่องจาก World Poker Tour (WPT) อยากมาจัดงานที่ประเทศไทย จึงนำเรื่องเสนอรมว.มหาดไทย ลงนาม ส่วนการจัดงาน Exhibition ในเดือนส.ค. รมว.มหาดไทย ได้มีการลงนามอนุญาตให้จัดงานเฉพาะรายการนี้ ดังนั้น ทุกครั้งถ้าจะมีการจัดงาน จะต้องให้ รมว.มหาดไทย อนุมัติอยู่ ส่วนที่มีข้อกังวลว่า การจัดงานโป๊กเกอร์จะเป็นรูปแบบเดียวกับ MotoGP และ EDM ที่ภาครัฐจะต้องซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายบางส่วน นายสรวงศ์ ยืนยันว่า ครั้งนี้ภาครัฐไม่ต้องซัพพอร์ตใด ๆ มีแต่รายรับอย่างเดียว โดยที่ได้รับรายงานมางาน Exhibition ครั้งนี้มีผู้สมัครเกินกว่า 2,000 คน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการยกเลิกไปบ้าง (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 17.51 จุดแรลลี่ต่อรับแรงหนุน Fund Flow ไหลเข้าไม่พักหลังคาดเฟดหั่นดอกเบี้ยแน่ SET ปิดวันนี้ที่ 1,264.47 จุด เพิ่มขึ้น 17.51 จุด (+1.40%) มูลค่าซื้อขาย 65,232.67 ล้านบาท นักวิเคราะห์เผยหุ้นไทยวันนี้ยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง และกระจายตัวมากขึ้น ปัจจัยหลักจาก Fund Flow ไหลเข้าหลังคาดเฟดลดดอกเบี้ย-Bond yield อ่อนตัว สินทรัพย์เสี่ยงโลกกลับมาน่าสนใจ ขณะที่ไทยมีความชัดเจนของอัตราภาษีสหรัฐ และมีการปรับประมาณการกำไร บจ.ดีขึ้น แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดยังไปได้ต่อ พร้อมให้แนวต้าน 1,273 จุด แนวรับที่ 1,250 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับขึ้นได้ตลอดทั้งวัน โดยทำระดับสูงสุด 1,266.52 จุด ซึ่งทำนิวไฮในรอบ 6 เดือน และต่ำสุด 1,248.09 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 390 หลักทรัพย์ ลดลง 104 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 161 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.38 แกว่งกรอบแคบรอปัจจัยใหม่หนุนทิศทาง คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.50 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปืดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.38 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าเล็กน้อยจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.34 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.34 - 32.40 บาท/ดอลลาร์ โดยช่วงนี้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ "บาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ค่าเงินภูมิภาคยังไร้ทิศทาง ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาติดลบส่งผลต่อค่าเงินในวงจำกัด" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.30 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 77,728 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 77,728 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 15,164 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,140 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 847 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.28% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
- ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนก.ค. ญี่ปุ่น
- ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนก.ค. จีน
- ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนก.ค. จีน
- ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนมิ.ย. เยอรมนี
- การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. เยอรมนี
- ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค.จาก Halifax อังกฤษ
- ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย อังกฤษ
- จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ สหรัฐฯ
- สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ