สหรัฐฯ
เฟดเผยกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวเล็กน้อย ภาคธุรกิจถูกกระทบจากภาษีศุลกากร ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ Beige Book ในวันพุธ (16 ก.ค.) โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายเดือนพ.ค.จนถึงต้นเดือนก.ค. แม้ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับรายงานครั้งก่อนที่ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจใน 6 เขตชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ภาคธุรกิจยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง รายงาน Beige Book ระบุว่า ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นในทั้ง 12 เขตของสหรัฐฯ โดยภาคธุรกิจเผชิญกับแรงกดดันของต้นทุนการนำเข้าในระดับปานกลางจนถึงระดับสูง ซึ่งต้นทุนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากร "บริษัทหลายแห่งได้ส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยบางส่วนไปให้กับผู้บริโภค ผ่านการปรับขึ้นราคาหรือค่าธรรมเนียม ทว่าบริษัทบางแห่งหลีกเลี่ยงการขึ้นราคาสินค้าเนื่องจากผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคามากขึ้น ส่งผลให้กำไรของบริษัทลดลง" รายงาน Beige Book ระบุ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากร โดยแจ้งให้บรรดาประเทศคู่ค้าทราบถึงอัตราภาษีใหม่ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. หากไม่สามารถเจรจาเงื่อนไขที่ดีขึ้นกับสหรัฐฯ ได้ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยยอดค้าปลีก +0.6% เดือนมิ.ย. สูงกว่าคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% หลังจากลดลง 0.9% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนพ.ค. หากไม่รวมยอดขายน้ำมันและรถยนต์ ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจทรงตัวในเดือนพ.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจทรงตัวในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยเป็นการทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนพ.ค. สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.3% ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งลดลง 0.3% ยอดขายในภาคธุรกิจลดลง 0.4% ในเดือนพ.ค. หลังจากลดลง 0.2% ในเดือนเม.ย. นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.39 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.38 เดือนในเดือนเม.ย. ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านปรับตัวขึ้นในเดือนก.ค. สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านเพิ่มขึ้น 1 จุด สู่ระดับ 33 ในเดือนก.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของผู้สร้างบ้าน โดยได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในระดับสูง นอกจากนี้ ผู้สร้างบ้านจำนวน 38% ได้ประกาศปรับลดราคาบ้านในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2565 (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 232,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 6,250 ราย สู่ระดับ 229,500 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 2,000 ราย สู่ระดับ 1.96 ล้านราย (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.1% เดือนมิ.ย. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนพ.ค. การปรับตัวขึ้นของดัชนีราคานำเข้าได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาสินค้าเพื่อผู้บริโภค เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าลดลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. หลังจากลดลง 0.2% เช่นกันในเดือนพ.ค. นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าทรงตัว หลังจากลดลง 0.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.9% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
เฟดฟิลาเดลเฟียเผยดัชนีภาคการผลิตสูงกว่าคาดในเดือนก.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก พุ่งขึ้นสู่ระดับ +15.9 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -1.2 จากระดับ -4.0 ในเดือนมิ.ย. ดัชนีภาคการผลิตมีค่าเป็นบวก บ่งชี้การขยายตัวของภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐขยายตัว 2.4% ใน Q2/68 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 2/2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งต่อไปในวันที่ 18 ก.ค. (อินโฟเควสท์)
ประธานเฟดนิวยอร์กเตือน "ของจริงยังไม่มา" ชี้ผลกระทบจากกำแพงภาษีเพิ่งเริ่มต้น จอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก กล่าวในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า แม้นโยบายการเงินที่ "คุมเข้มเล็กน้อย" ของเฟดในขณะนี้ยังมีความเหมาะสม เพราะช่วยให้มีเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนตัดสินใจ แต่ก็ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีการค้านั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และของจริงยังมาไม่ถึง วิลเลียมส์กล่าวสุนทรพจน์ว่า "การคงนโยบายที่คุมเข้มเล็กน้อยเช่นนี้ไว้ ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายการจ้างงานสูงสุดและเสถียรภาพด้านราคา" พร้อมเสริมว่า "มันทำให้เรามีเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เข้ามาอย่างใกล้ชิด ประเมินแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป และพิจารณาความสมดุลของความเสี่ยง" แม้ว่าวิลเลียมส์จะมองว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันยังดีและตลาดแรงงานแข็งแกร่ง แต่เขาก็เตือนว่าอย่าเพิ่งชะล่าใจ "สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าผลกระทบจากกำแพงภาษียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะส่งผลเต็มที่" เขากล่าว "ผมคาดว่าผลกระทบจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิลเลียมส์คาดการณ์ว่ากำแพงภาษีจะผลักดันให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นอีกประมาณ 1% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไปจนถึงครึ่งแรกของปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเหลือโตเพียง 1% ในปีนี้ และอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นจาก 4.1% ในปัจจุบันไปอยู่ที่ 4.5% ภายในสิ้นปี ความเห็นของวิลเลียมส์มีขึ้นในวันเดียวกับที่ตลาดการเงินผันผวนอย่างหนัก จากรายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังพิจารณาปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดออกจากตำแหน่ง แต่ภายหลังทรัมป์ได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าว วิลเลียมส์ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อปฏิกิริยาของตลาด แต่เมื่อถูกถามถึงโอกาสที่พาวเวลจะถูกปลด เขาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง" ทั้งนี้ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน วิลเลียมส์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เฟดทุกคนยังคงมุ่งมั่นต่อภารกิจหลักของตนอย่างแน่วแน่ สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ปธน.ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์เฟดอย่างต่อเนื่องที่ไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย และแม้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่จะยังอยู่ในโหมด "รอดูสถานการณ์" แต่รายงานการประชุมนโยบายของเฟดในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กลับเผยให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ได้คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในช่วงปลายปีนี้ โดยมีเสียงส่วนน้อยที่พร้อมจะให้ลดดอกเบี้ยทันทีในการประชุมเดือนก.ค.นี้ (อินโฟเควสท์)
ปธ.เฟดแอตแลนตาชี้ภาษีทรัมป์ทำเงินเฟ้อพุ่ง ส่งซิกปีนี้ลดดอกเบี้ย 0.25% อีกเพียงครั้งเดียว ราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตากล่าวเมื่อวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดกำลังแสดงสัญญาณว่าแรงกดดันด้านราคากำลังก่อตัวสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาษีนำเข้าที่บังคับใช้โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "เราอาจกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน" บอสติกกล่าวให้สัมภาษณ์กับช่องฟ็อกซ์บิสซิเนส (Fox Business) พร้อมชี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือนมิ.ย. ได้ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 2.7% จาก 2.4% ในเดือนพ.ค. และที่น่ากังวลคือ เกือบครึ่งหนึ่งของสินค้าในตะกร้าดัชนีมีราคาเพิ่มขึ้น 5% ขึ้นไป ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่เขาเห็นว่าเป็นหลักฐานของแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่กำลังแผ่ขยายเป็นวงกว้าง จากข้อมูลดังกล่าว บอสติกเชื่อว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวที่ 0.25% ในปีนี้ แม้ว่าบรรดานักลงทุนในตลาดจะคาดหวังว่าจะมีการลดดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งก็ตาม ท่าทีที่ไม่เต็มใจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.25%-4.5% ได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับปธน.ทรัมป์ โดยเมื่อวันพุธได้มีรายงานข่าวว่า ทรัมป์ใกล้จะตัดสินใจปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งข่าวดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการเทขายในตลาดอย่างหนัก ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายลง หลังจากที่ทรัมป์ออกมาชี้แจงว่ายังไม่มีแผนการดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เตรียมส่งจดหมายกว่า 150 ประเทศ แจกภาษี 10%/15% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะส่งจดหมายไปยังมากกว่า 150 ประเทศเพื่อแจ้งอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากประเทศเหล่านี้ โดยอัตราภาษีดังกล่าวอาจอยู่ที่ระดับ 10% หรือ 15% "เราจะส่งจดหมายไปยังมากกว่า 150 ประเทศ ซึ่งจะระบุว่าอัตราภาษีเป็นเท่าไหร่ โดยจะเป็นอัตราเดียวกันสำหรับทุกประเทศในกลุ่มนั้น" ปธน.ทรัมป์กล่าว และเสริมว่า ประเทศที่จะได้รับจดหมายเหล่านี้เป็นประเทศเล็ก ๆ และไม่ได้ทำการค้ามากมายกับสหรัฐ "อัตราภาษีอาจจะอยู่ที่ 10% หรือ 15% เรายังไม่ได้ตัดสินใจ" ปธน.ทรัมป์กล่าวให้สัมภาษณ์กับ Real America’s Voice (อินโฟเควสท์)
สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ อนุมัติเงื่อนไขการอภิปรายร่างกม.คริปโทฯ แล้ว หลังโหวตนานเป็นประวัติการณ์ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อนุมัติกติกาหรือเงื่อนไขการอภิปรายร่างกฎหมายกำกับดูแลคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงร่างกฎหมายงบประมาณของกระทรวงกลาโหมแล้ว หลังใช้เวลาในการลงมตินานกว่า 10 ชั่วโมงในวันพุธ (16 ก.ค.) ซึ่งถือเป็นการลงคะแนนเสียงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ความล่าช้าในการลงมติครั้งนี้เกิดจากการคัดค้านอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่สองของสมาชิกสภาผู้แทนฯ สายอนุรักษนิยมของพรรครีพับลิกัน ซึ่งไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายกำกับดูแลคริปโทฯ จนทำให้การผลักดันร่างกฎหมายไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ตั้งแต่วันอังคาร (15 ก.ค.) อย่างไรก็ตาม ในคืนวันพุธ (16 ก.ค.) กลุ่มที่เคยลงคะแนนไม่เห็นด้วยได้เปลี่ยนท่าทีและกลับมาสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงจุดยืนของกลุ่มอนุรักษนิยมในพรรครีพับลิกันเกิดขึ้นหลังจากที่มีการเจรจากันในนาทีสุดท้ายในคืนวันอังคาร โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เชิญสมาชิกพรรครีพับลิกันราว 12 คนไปพบที่ทำเนียบขาว ก่อนที่ทรัมป์จะโพสต์ผ่าน Truth Social ในเวลาต่อมาว่า ทุกฝ่ายเห็นพ้องในการสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม ความไม่เห็นด้วยใหม่ ๆ ได้ปรากฏขึ้นในวันพุธ โดยไม่เพียงแต่กลุ่มอนุรักษนิยมเท่านั้นที่คัดค้าน แต่ยังรวมถึงสมาชิกคณะกรรมาธิการบริการทางการเงิน (Committee on Financial Services) ซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมายเอง เพราะพวกเขาไม่พอใจกับการปรับแก้ไขในนาทีสุดท้ายที่พยายามจะรวมร่างกฎหมายสองฉบับเข้าด้วยกัน ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกันจากรัฐลุยเซียนาต้องการเสียงสนับสนุนเพิ่มอีกเพียงไม่กี่เสียงจากพรรคเดียวเพื่อให้ร่างกฎหมายผ่านสภาด้วยเสียงข้างมาก แต่ความล่าช้าตลอดสองวันทำให้เกิดข้อสงสัยว่า พรรครีพับลิกันจะสามารถประสานจุดยืนที่แตกต่างกันเพื่อผลักดันร่างกฎหมายฉบับสมบูรณ์ให้กลายเป็นกฎหมายได้หรือไม่ ความล่าช้าครั้งนี้ถือเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมคริปโทฯ ซึ่งทุ่มเงินสนับสนุนการหาเสียงให้กับสมาชิกสภาผู้แทนฯ หลายสิบล้านดอลลาร์ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา และยังทำลายความหวังที่จะได้เห็นกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นสัปดาห์แห่งคริปโทฯ (Crypto Week) (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" ลดเผชิญหน้าจีน หวังปูทางบรรลุดีลการค้า-ซัมมิต "สี จิ้นผิง" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กำลังลดความแข็งกร้าวในการเผชิญหน้ากับจีน โดยท่าทีที่อ่อนลงนี้เป็นความพยายามเพื่อหวังที่จะบรรลุข้อตกลงการค้า และปูทางไปสู่การจัดประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง หลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสอง เขาได้ลดความแข็งกร้าวในการใช้คำพูดเกี่ยวกับการขาดดุลการค้ามูลค่ามหาศาลกับจีน อันเป็นเหตุให้การจ้างงานในสหรัฐฯ ลดลง โดยบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ปธน.ทรัมป์มักจะใช้เสียงแข็งกร้าวน้อยที่สุดในห้องประชุม อีกทั้งเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหารยังยืนยันว่า ปธน.ทรัมป์ชื่นชอบปธน.สีเป็นการส่วนตัวมาโดยตลอด ท่าทีเช่นนี้แตกต่างจากสิ่งที่ปธน.ทรัมป์แสดงออกกับประเทศคู่ค้ารายอื่น ๆ ซึ่งมักจะถูกเขาข่มขู่ว่าจะทำลายเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ด้วยการใช้มาตรการภาษีศุลกากร โดยขณะนี้ปธน.ทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การเร่งทำข้อตกลงการค้ากับจีน แทนที่จะพยายามแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงของความไม่สมดุลทางการค้า แม้ว่าจีนจะมียอดเกินดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกจากการส่งออกที่แข็งแกร่งก็ตาม ท่าทีที่อ่อนลงดังกล่าว ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อปธน.ทรัมป์กล่าวในวันอังคารที่ผ่านมาว่า เขาจะต่อสู้กับจีน "ในรูปแบบที่เป็นมิตรมากขึ้น" รวมทั้งการที่สหรัฐฯ เปิดทางให้บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ กลับมาจำหน่ายชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่น H20 ให้กับจีนอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการกลับลำด้านนโยบาย หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลทรัมป์เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ให้เทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของอเมริกาตกไปอยู่ในมือของจีน แหล่งข่าวกล่าวว่า การพลิกแพลงกลยุทธ์ของปธน.ทรัมป์ และการหลีกเลี่ยงการใช้นโยบายที่แข็งกร้าวกับจีนตามที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้นั้น ได้สร้างความกังวลให้กับเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของเขาและบรรดาผู้ให้คำปรึกษานอกหน่วยงานรัฐบาล เนื่องจากปธน.ทรัมป์กำลังทำให้ "เส้นแดง" ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขีดไว้กับจีนในอดีตที่ผ่านมานนั้น กลายเรื่องที่สามารถต่อรองได้ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ เล็งแบนเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้ทะเล หวั่นกระทบความมั่นคง คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารแห่งสหรัฐฯ (FCC) เปิดเผยในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า ทางหน่วยงานมีแผนที่จะออกกฎเกณฑ์เพื่อห้ามบริษัทต่างๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลสื่อสารใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากสายเคเบิลเหล่านั้นมีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์จากบริษัทที่สหรัฐฯ ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ เช่น หัวเว่ย (Huawei), แซตทีอี (ZTE), ไชน่า เทเลคอม (China Telecom) และไชน่า โมบาย (China Mobile) ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลมานานหลายปีเกี่ยวกับบทบาทของจีนในการจัดการปริมาณการรับส่งข้อมูลเครือข่าย และความเสี่ยงเรื่องการจารกรรม โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่ายสายเคเบิลใต้ทะเลกว่า 400 เส้น ซึ่งรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% เบรนแดน คาร์ ประธานของ FCC ระบุในแถลงการณ์ว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางหน่วยงานเห็นโครงสร้างพื้นฐานสายเคเบิลใต้น้ำถูกคุกคามจากศัตรูต่างชาติอย่างจีน จึงจำเป็นต้องออกมาปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำไม่ให้ถูกต่างชาติเข้าครอบครอง เข้าถึง พร้อมป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และทางกายภาพด้วย (อินโฟเควสท์)
บริษัทมะกันแห่ลดการลงทุนในจีน วิตกผลกระทบสงครามการค้า ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน (USCBC) ระบุว่า บริษัทอเมริกันที่ลดการลงทุนในประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ทางการค้าที่ย่ำแย่ลงของจีนและสหรัฐฯ ผลสำรวจซึ่ง USCBC ได้ทำขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.บ่งชี้ว่า มีบริษัทไม่ถึง 50% ที่ระบุว่าพวกเขาวางแผนจะลงทุนในจีนในปี 2568 ซึ่งลดลงจากระดับ 80% ในปีที่แล้ว และเป็นสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่ USCBC เริ่มตั้งคำถามที่คล้ายกันในการสำรวจเมื่อปี 2549 แม้จีนยังคงเป็นศูนย์กลางที่น่าดึงดูดใจสำหรับการผลิตและนวัตกรรม แต่ 75% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่า มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของจีนเป็นข้อกังวลอันดับแรกในเรื่องต้นทุน เนื่องจากพวกเขามักจะต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ ขณะที่ 27% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่า พวกเขาย้ายหรือวางแผนที่จะย้ายการดำเนินงานบางส่วนออกจากจีน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559 นอกจากนี้ 32% ระบุว่าพวกเขาเสียส่วนแบ่งการตลาดในจีนในช่วงสามปีที่ผ่านมา และเกือบ 70% กังวลว่าจะเสียส่วนแบ่งการตลาดในอีกห้าปีข้างหน้า การสำรวจนี้ครอบคลุมบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ โดยกว่า 40% ของบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ในจีนอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว บริษัทสหรัฐฯ ได้เข้าไปลงทุนด้านการผลิตมูลค่ามหาศาลในจีนในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยอาศัยประโยชน์จากค่าแรงที่ค่อนข้างต่ำและผู้บริโภคที่มีฐานะร่ำรวยขึ้นในจีน แต่กำแพงการค้าที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงได้กระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ต้องกลับมาประเมินการดำเนินธุรกิจในจีนอีกครั้ง แม้การสำรวจประจำปีนี้จะทำขึ้นก่อนที่ความตึงเครียดด้านการค้าจะคลี่คลายลงหลังจากสหรัฐฯ และจีนได้มีการเจรจาร่วมกันที่กรุงลอนดอนในเดือนที่แล้ว แต่ความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างรวดเร็วของบริษัทอเมริกันได้ตอกย้ำถึงผลกระทบของสงครามการค้าที่มีต่อการลงทุนในจีน ไคล์ ซัลลิแวน รองประธานฝ่ายบริการที่ปรึกษาธุรกิจของ USCBC กล่าวว่า บริษัทสหรัฐฯ ต่างก็อยู่ในโหมดรอคอยดูสถานการณ์ เพื่อรอให้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าผ่านพ้นไป (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 229.71 จุด รับผลประกอบการ-ข้อมูลศก.แกร่ง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกกว่า 200 จุดในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจและรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้บริโภคของสหรัฐฯ ยังคงเต็มใจที่จะใช้จ่าย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,484.49 จุด เพิ่มขึ้น 229.71 จุด หรือ +0.52%, และดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,297.36 จุด เพิ่มขึ้น 33.66 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,885.65 จุด เพิ่มขึ้น 155.16 จุด หรือ +0.75% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก $1.16 จากข่าวโดรนโจมตีบ่อน้ำมันอิรัก สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) หลังจากมีรายงานว่าบ่อน้ำมันในแคว้นเคอร์ดิสถานของอิรักถูกโดรนโจมตีเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของอุปทานน้ำมันในภูมิภาคแห่งนี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.16 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่ 67.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ หรือ 1.46% ปิดที่ 69.52 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจแกร่งเกินคาด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกและข้อมูลแรงงาน ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.35% แตะที่ระดับ 98.734 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $13.80 เหตุดอลล์แข็ง-ข้อมูลเศรษฐกิจแกร่ง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายและรอความชัดเจนเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 13.80 ดอลลาร์ หรือ 0.41% ปิดที่ 3,345.30 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง สวนทางดอลลาร์แข็งค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง สวนทางการแข็งค่าของดอลลาร์ในวันนี้ ณ เวลา 20.24 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.453% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 5.008% ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ค่าจ้าง UK ชะลอตัว แต่ยังสูงเกินเป้าของแบงก์ชาติ อัตราการเติบโตของค่าจ้างรายปีแบบไม่รวมโบนัสของสหราชอาณาจักร (UK) ในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. อยู่ที่ 5% ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 4.9% แต่ชะลอลงจากระดับ 5.3% ในช่วงเดือนก.พ.-เม.ย. สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานคลายตัวลง แต่ในอัตราที่ช้ากว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คาดการณ์ไว้ ด้านตัวเลขประมาณการจำนวนลูกจ้างเดือนพ.ค. ถูกปรับแก้ครั้งใหญ่ โดยตัวเลขที่เคยรายงานว่าจำนวนลูกจ้างลดลงถึง 109,000 คน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ถูกปรับแก้ใหม่เป็นลดลงเพียง 25,000 คน ขณะที่ตัวเลขประมาณการของเดือนมิ.ย. แสดงให้เห็นว่าจำนวนลูกจ้างลดลง 41,000 คน BoE กำลังจับตาข้อมูลนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินแรงกดดันด้านราคาในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่อัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้นไปถึง 3.6% ผู้กำหนดนโยบายของ BoE ส่วนใหญ่เชื่อว่า อัตราการเติบโตของค่าจ้างต้องลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3% เพื่อควบคุมให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้เคียงเป้าหมายที่ระดับ 2% โดยเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา BoE เคยคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของค่าจ้างในภาคเอกชนแบบไม่รวมโบนัสจะชะลอตัวลงแตะ 3.8% ภายในสิ้นปีนี้ แม้จะยังคงเผชิญแรงกดดันด้านค่าจ้าง แต่คาดว่า BoE จะยังคงเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีสัญญาณบ่งชี้อื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานกำลังคลายตัวลง เช่น จำนวนตำแหน่งงานว่างที่ลดลง และจำนวนผู้ที่กำลังมองหางานเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน นายจ้างบางส่วนให้เหตุผลว่า การชะลอการจ้างงานเป็นผลมาจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงแผนการที่จะเพิ่มความเข้มงวดในกฎหมายการจ้างงาน (อินโฟเควสท์)
อิตาลีวิตก บริษัท 6,000 แห่งเสี่ยงถูกกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีทรัมป์ สำนักงานการค้าอิตาลี (ITA) เปิดเผยในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า บริษัทอิตาลีมากกว่า 6,000 แห่งกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความกังวลดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันเสาร์ (12 ก.ค.) ว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 30% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ITA ระบุว่า บริษัทที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดย่อมที่ดำเนินกิจการในภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์ยา เฟอร์นิเจอร์ การค้าปลีก และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง (ไม่รวมยานยนต์) รายงานของ ITA ประเมินว่า ยอดส่งออกจากบริษัทเหล่านี้ไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านยูโร (ราว 1.276 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อต้นสัปดาห์นี้ สมาคมพัฒนาอุตสาหกรรมอิตาลีตอนใต้ (SVIMEZ) ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของอิตาลีลดลง 0.5% ในปี 2569 และอาจสูญเสียตำแหน่งงานมากถึง 150,000 ตำแหน่ง อันโตนิโอ ตายานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลีกล่าวเมื่อวันจันทร์ (14 ก.ค.) ว่า สหภาพยุโรปพร้อมที่จะใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับสินค้าจากสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านยูโร หากการเจรจาการค้าระหว่างสองฝ่ายที่กำลังดำเนินอยู่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับผลประกอบการแกร่ง ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) โดยฟื้นตัวหลังลดลง 4 วันติดต่อกัน หลังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอย่าง ABB และ Legrand ซึ่งรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 547.03 จุด เพิ่มขึ้น 5.19 จุด หรือ +0.96% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,822.00 จุด เพิ่มขึ้น 99.91 จุด หรือ +1.29%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,370.93 จุด เพิ่มขึ้น 361.55 จุด หรือ +1.51% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,972.64 จุด เพิ่มขึ้น 46.09 จุด หรือ +0.52% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 46.09 จุด ผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจหนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากอัปเดตผลประกอบการในเชิงบวกของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานของอังกฤษชะลอตัวน้อยกว่าที่กังวลกัน ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 8,972.64 จุด เพิ่มขึ้น 46.09 จุด หรือ +0.52% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ส่งออกญี่ปุ่นลดอีกในเดือนมิ.ย. หวั่นศก.ถดถอยจากผลกระทบภาษีทรัมป์ กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (17 ก.ค.) ว่า ยอดส่งออกเดือนมิ.ย. ลดลง 0.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งนับเป็นการลดลงเดือนที่ 2 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดส่งออกรถยนต์และเหล็กที่ลดลง ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รายงานระบุว่า การส่งออกที่ยังคงซบเซาอาจฉุดเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้หดตัวต่อเนื่องในไตรมาส 2/2568 หลังจากหดตัวในไตรมาสแรก ซึ่งอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค หมายถึงการที่เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส ส่วนยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ขณะที่ญี่ปุ่นกลับมามียอดเกินดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 3 เดือนแตะ 1.531 แสนล้านเยน (1 พันล้านดอลลาร์) รายงานของกระทรวงการคลังระบุว่า ยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนั้น ลดลง 11.4% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่ยอดส่งออกไปจีนลดลง 4.7% แต่ยอดส่งออกไปยุโรปเพิ่มขึ้น 3.6% นักวิเคราะห์ชี้ว่า การค้าโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนอย่างมากจากสงครามภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยญี่ปุ่นต้องรับมือกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตรา 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ และภาษีนำเข้าในอัตรา 50% สำหรับเหล็ก นอกจากนี้ นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. สหรัฐฯ ยังเรียกเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าส่งออกจากญี่ปุ่นแทบทั้งหมด และอัตราภาษีดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในวันที่ 1 ส.ค. หากสองประเทศไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ทันเวลา (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นกังวลตลาดเงิน-พันธบัตรผันผวน ก่อนการเลือกตั้งสว. โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงในวันนี้ (17 ก.ค.) ว่า รัฐบาลมีความกังวลต่อความเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการเก็งกำไร และกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดต่อการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล คาซูฮิโกะ อาโอกิ รองหัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศควรมีเสถียรภาพและสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ความเห็นของเขามีขึ้นขณะที่เงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อวันพุธ (16 ก.ค.) เยนได้อ่อนค่าทะลุระดับ 149 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือน ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีซึ่งเป็นอัตราอ้างอิง ได้พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.595% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ความผันผวนในตลาดดังกล่าวดูเหมือนจะสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลังหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาสูงในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยพรรคฝ่ายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ซึ่งประกอบด้วยพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และพรรคโคเมโตะ (Komeito) กำลังเผชิญศึกหนักในการรักษาเสียงข้างมากไว้ ประเด็นขัดแย้งสำคัญคือภาษีการบริโภค โดยกลุ่มพรรคฝ่ายค้านชูนโยบายหาเสียงว่าจะลดหรือยกเลิกภาษีดังกล่าว ขณะที่นายกฯ อิชิบะปฏิเสธแนวคิดนี้ โดยอ้างถึงความจำเป็นในการหารายได้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านประกันสังคม หากพรรคฝ่ายรัฐบาลสูญเสียเสียงข้างมากไป อำนาจของนายกฯ อิชิบะอาจสั่นคลอนอย่างรุนแรง ปัจจัยที่เพิ่มความไม่แน่นอนเข้ามาอีกคือ รายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อาจปลด เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน ความผันผวนนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงสถานะทางการคลังที่เปราะบางของญี่ปุ่น ซึ่งย่ำแย่ที่สุดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว สถานการณ์ยังถูกซ้ำเติมจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กำลังทยอยลดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ในขณะที่ปรับเปลี่ยนมาตรการออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ (ultraloose monetary policy) ที่ใช้มานานหลายปี (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ส่งสัญญาณดีลการค้าญี่ปุ่นไม่คืบ อาจไม่ทันเส้นตาย 1 ส.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า การบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับญี่ปุ่นให้แล้วเสร็จภายในเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. ที่เขากำหนดไว้สำหรับการเจรจาทวิภาคีนั้น น่าจะทำได้ยาก ทรัมป์กล่าวกับนักข่าว ณ ทำเนียบขาวว่า "เรากำลังเจรจากับพวกเขา แต่ผมคิดว่าเราน่าจะดำเนินการตามจดหมายที่ได้ส่งไปให้กับญี่ปุ่น" โดยชี้ถึงจดหมายชี้แจงอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่สหรัฐฯ ได้แจ้งกับคู่ค้า สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวของทรัมป์มีขึ้นในช่วงเวลาราว 1 สัปดาห์หลังจากที่เขาขู่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าญี่ปุ่นที่อัตรา 25% โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ซึ่งญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในคู่ค้ากว่า 20 ประเทศของสหรัฐฯ ที่ได้รับจดหมายแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราใหม่ฝ่ายเดียวจากสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อัตราภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์กำหนดไว้กับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. นั้น เพิ่มขึ้นจาก 24% ที่ประกาศไว้เมื่อต้นเดือนเม.ย. โดยการประกาศขึ้นภาษีเพียงเล็กน้อยนี้ มีขึ้นในขณะที่เขากำลังเพิ่มแรงกดดันให้ญี่ปุ่นยอมรับข้อตกลงในการเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่ โดยกล่าวหาว่าญี่ปุ่นไม่ยอมนำเข้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ แม้เจ้าหน้าที่จะกล่าวว่า จุดประสงค์ในการเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นของเบสเซนต์ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อหารือเรื่องการค้า แต่แหล่งข่าวของทางการญี่ปุ่นระบุว่า ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กำลังหาช่องทางในการพบกับเบสเซนต์ ซึ่งอาจจะมีขึ้นที่กรุงโตเกียวในวันศุกร์ (18 ก.ค.) (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 237.79 จุด หุ้นชิปพุ่งรับผลประกอบการ TSMC แกร่งเกินคาด ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (17 ก.ค.) โดยหุ้นกลุ่มชิปที่มีน้ำหนักมากต่อตลาด สามารถพลิกกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ หลังบริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง โค (TSMC) ประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจในอนาคต สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,901.19 จุด เพิ่มขึ้น 237.79 จุด หรือ +0.60% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนลุยจัดระเบียบสงครามราคา EV กระตุ้นแข่งขันเชิงคุณภาพ-ลดแนวโน้มเงินฝืด รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะจัดระเบียบการแข่งขันที่ไร้เหตุผลในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ท่ามกลางความกังวลว่า สงครามราคาที่รุนแรงอาจฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีจีนเมื่อวันพุธ (16 ก.ค.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการควบคุมระเบียบตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแนะให้ผู้ประกอบการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านนวัตกรรมและคุณภาพสินค้า แทนที่จะพึ่งกลยุทธ์การตัดราคา ก่อนหน้านี้ ผู้นำระดับสูงของจีนแสดงท่าทีว่าจะจัดการกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงในตลาดรถ EV ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการออกมาตรการเชิงนโยบายตามมาในอนาคตอันใกล้ เทียนเล่ย หวง ผู้ประสานงานโครงการจีนจากสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศระบุว่า รัฐบาลจีนเริ่มกังวลมากขึ้นต่อแนวโน้มภาวะเงินฝืด พร้อมเสริมว่า หากราคารถ EV เริ่มมีเสถียรภาพ ก็อาจช่วยให้ราคาวัตถุดิบต้นน้ำ เช่น เหล็ก มีเสถียรภาพตามไปด้วย และอาจช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านราคาทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 13.05 จุด รับแรงซื้อหุ้นเทคโนฯ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (17 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกลุ่มรถยนต์ รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ มีท่าทีที่อ่อนลงต่อจีน เพื่อหวังที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าและจัดประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,516.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.05 จุด หรือ +0.37% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 18.81 จุด จากแรงขายทำกำไร, วิตกภาษีสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (17 ก.ค.) โดยนักลงทุนยังคงเทขายทำกำไรต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ขณะที่ยังคงมีความกังวลเรื่องมาตรการภาษีของสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมกำหนดภาษีนำเข้าในอัตราเดียวกันสำหรับกว่า 150 ประเทศที่ไม่ได้เป็นประเทศใหญ่มากและไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐฯ มากนัก โดยคาดว่าอัตราภาษีจะอยู่ที่ราว 10%-15% ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,498.95 จุด ลดลง 18.81 จุด หรือ -0.08% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
มาเลย์ยันเดินหน้าเจรจาสหรัฐ หวังลดภาษี "ทรัมป์" ต่ำกว่า 25% ดาโต๊ะ เสรี โมฮัมหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า มาเลเซียยังคงมีความมุ่งมั่นให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐประสบผลสำเร็จ นายโมฮัมหมัดระบุว่า มาเลเซียยังคงมองหาสูตรแห่งชัยชนะที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และการค้าระดับทวิภาคี ทั้งนี้ มาเลเซียมีเวลาถึงวันที่ 1 ส.ค.ในการบรรลุข้อตกลง เพื่อให้สหรัฐลดอัตราภาษีศุลกากรต่ำกว่าระดับ 25% ที่เคยเสนอไว้ "มาเลเซียเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งกับสหรัฐ และอีกหลายประเทศ เรายังคงอยู่ในระหว่างการหารือเกี่ยวกับการลดภาษี และเราไม่ต้องการให้เรื่องนี้กระทบต่อความสัมพันธ์อันดีที่เรามีอยู่ในขณะนี้ โดยขอบเขตการเจรจาควรจะกว้างขึ้น ไม่ใช่เน้นแต่เรื่องการค้า แต่ต้องรวมถึงอธิปไตยและประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย" นายโมฮัมหมัดกล่าว พร้อมแสดงความหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ หลังการเจรจาข้อตกลงการค้า สหรัฐได้ปรับลดอัตราภาษีศุลกากรให้แก่เวียดนามและอินโดนีเซียเหลือเพียง 20% และ 19% ตามลำดับ จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ระดับ 46% และ 32% (อินโฟเควสท์)
กัมพูชาเผย มูลค่าการค้ากับอาเซียนเพิ่มขึ้นแตะ 8.45 พันล้านดอลลาร์ครึ่งปีแรก กระทรวงพาณิชย์กัมพูชาเปิดเผยในวันนี้ (17 ก.ค.) ว่า มูลค่าการค้าระหว่างกัมพูชากับประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบรายปี แตะระดับ 8.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. 2568 รายงานระบุว่า กัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนคิดเป็นมูลค่ารวม 3.12 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าคิดเป็นมูลค่ารวม 5.33 พันล้านดอลลาร์ ขยับขึ้น 0.91% เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างกัมพูชากับอาเซียนคิดเป็นสัดส่วน 27.2% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของกัมพูชาในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ส่งสัญญาณใกล้บรรลุดีลการค้าอินเดีย ข้อตกลง EU มีความเป็นไปได้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับอินเดียมากแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) เช่นกัน อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์กล่าวว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าจะสามารถทำข้อตกลงกับแคนาดาได้หรือไม่ "เราใกล้จะบรรลุข้อตกลงกับอินเดียแล้ว และเราก็อาจทำข้อตกลงกับ EU" ปธน.ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เรียล อเมริกาส์ วอยซ์ (Real America's Voice) ในวันพุธ (16 ก.ค.) เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าข้อตกลงการค้าใดที่กำลังจะเกิดขึ้น รัฐบาลของปธน.ทรัมป์ยังคงเดินหน้าเจรจากับบรรดาประเทศคู่ค้าก่อนถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่ปธน.ทรัมป์จะปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ โดยการเจรจามีเป้าหมายที่จะผลักดันให้สหรัฐฯ ได้รับเงื่อนไขที่ดีขึ้นจากประเทศคู่ค้า รวมทั้งหาแนวทางที่จะทำให้การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ลดลง ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ที่ผ่านมานั้น EU เคยมีท่าทีไม่เป็นมิตร แต่ขณะนี้พวกเขาได้แสดงความเป็นมิตรมาก พร้อมกับกล่าวว่า EU ต้องการทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นข้อตกลงที่แตกต่างจากที่เคยทำร่วมกับสหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน ขณะเดียวกันเมื่อผู้ดำเนินรายการถามถึงแนวโน้มในการทำข้อตกลงกับแคนาดา ซึ่งกำลังเตรียมใช้มาตรการตอบโต้เช่นเดียวกับ EU หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ประสบผลสำเร็จ โดยในเรื่องนี้ทรัมป์กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่มาร์ค คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีของแคนาดาได้กล่าวไว้เมื่อวันพุธว่า ข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อคนงานของแคนาดายังไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเจรจา การแสดงความเห็นของปธน.ทรัมป์มีขึ้นในขณะที่มารอส เซฟโควิช หัวหน้าฝ่ายการค้าของ EU เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในวันพุธ เพื่อหารือเกี่ยวกับภาษีศุลกากร ขณะที่เจ้าหน้าที่ตัวแทนการค้าของอินเดียเดินทางถึงวอชิงตันแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อเจรจารอบใหม่ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 300 จุด จับตาผลเจรจาการค้า ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 300 จุด ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,259.24 ลบ 375.23 จุด หรือ 0.45% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศร่วงลงนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)
ไทย
ไทยยื่นข้อเสนอใหม่ ชงลดภาษีนำเข้าสหรัฐ 0% หลายรายการ-เตรียมแผนเยียวยา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐ ว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ ได้พูดคุยผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งมีการหารือข้อเสนอใหม่ในการลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ 0% ในหลายรายการ รวมทั้งข้อเสนออื่น ๆ สำหรับการเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ นั้น กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมแผนเยียวยาไว้แล้ว รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็น 2 สมมติฐาน คือ สมมติฐานแรก ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% และสมมติฐานสอง ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 20% เทียบเท่าเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ด้านนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายจตุพร ให้หารือกับนายโรเบิร์ต เอฟ โกเด็ก เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ มีบทบาทสำคัญในการการเตรียมข้อมูลเชิงลึกทั้งด้านสถิติการนำเข้า-ส่งออก การวิเคราะห์ผลกระทบ รวมถึงการจัดทำสถานการณ์จำลองเชิงนโยบาย (scenario) สนับสนุนหัวหน้าทีมเจรจา เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์สูงสุด และลดผลกระทบให้น้อยที่สุด รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีในการแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงนโยบายด้านเศรษฐกิ จและการค้าท่ามกลางบริบทการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยฝ่ายไทยได้ติดตามท่าทีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นการจัดเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้า กระทรวงพาณิชย์มีบทบาทในการรวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนหัวหน้าทีมเจรจา ให้สามารถสรุปแนวทางร่วมกับสหรัฐฯ ได้โดยเร็ว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาคส่วนต่างๆ ภายในประเทศ (อินโฟเควสท์)
วุฒิสภา ห่วงทีมไทยแลนด์หงอเกิน! ลดภาษีให้สหรัฐฯเหลือ 0% ทำภาคเกษตร-SME ร่อแร่ นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา กล่าวว่า กรณีที่อินโดนีเซียยอมหั่นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% ส่งผลให้สหรัฐฯ ยอมลดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ลงเหลือ 19% จากเดิม 32% นั้น หากทีมไทยแลนด์เลียนแบบกลยุทธ์ของอินโดนีเซีย และเวียดนามที่ยอมทุกอย่าง จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SME ของไทยอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในภาคเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของประเทศ หากเปิดเสรีมากเกินไปจะทำให้ SME ไทยที่ตกอยู่ในภาวะลำบากอยู่แล้วจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมาหลายปี ยิ่งประสบปัญหาหนักขึ้นไปอีก จนอาจถึงขั้นล้มหายตายจาก และกระทบถึงความมั่นคงทางอาหารของประเทศได้ ประธาน กมธ.การพาณิชย์ฯ กล่าวว่า ไทยควรยอมรับการถูกเก็บภาษีที่ 36% ซึ่งสามารถชดเชยให้กับผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ด้วยการลดภาษีช่วยเหลือ 10% และหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาช่วยชดเชย โดยรัฐบาลต้องแบกรับภาระส่วนหนึ่ง เอกชนผู้ส่งออกต้องบูรณาการส่วนหนึ่ง และธนาคารต้องให้ความช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะดีกว่าการยอมทุกอย่าง แล้วมากระทบวงกว้าง โดยเฉพาะกับ SME ของไทย ประธาน กมธ.การพาณิชย์ฯ กล่าวว่า มีสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ ที่ไทยสามารถให้ภาษี 0% ได้อย่างไม่มีปัญหา คือ ปุ๋ยเคมี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเกษตรกรไทย ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง และช่วยแก้ปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดตามตะเข็บชายแดน เพื่อชดเชยการขาดแคลนในประเทศได้ นอกจากนี้ การเปิดเสรีในส่วนของพลังงาน และเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เครื่องยนต์ หรือเครื่องบิน ก็เป็นสิ่งที่ไทยขาดแคลน และจำเป็นต้องนำเข้าอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดการเกินดุลการค้าได้ ในระยะยาว ไทยสามารถหาตลาดใหม่ๆ ได้ เช่น ตลาด EU หรือตลาดแอฟริกา ซึ่งอาจทดแทนตลาดสหรัฐฯ ได้บางส่วน แต่หากรัฐบาลสามารถชดเชยเรื่องภาษีหรือเรื่องดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนถูกลง 16% แต่ยังสามารถขายสินค้าได้ในราคาเดิม ก็ไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่าง เพราะจะกระทบ SME ไทยในที่สุด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่งแรง 40.48 จุดดีกว่าภูมิภาค คาดหวังเจรจาการค้าสหรัฐหลังยื่นข้อเสนอใหม่ แรงซื้อ DELTA-AOT หนุน SET ปิดวันนี้ที่ 1,198.11 จุด เพิ่มขึ้น 40.48 จุด(+3.50%) มูลค่าซื้อขาย 63,374.58 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าภูมิภาค นักลงทุนคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะได้ปรับลดอัตราภาษีลงจาก 36% หลังไทยมีข้อเสนอที่พยายามเปิดตลาดให้สหรัฐมากขึ้น นอกจากนี้ดัชนียังได้แรงหนุนจาก AOT หลังมีแผนปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร และนักลงทุนคาดหวังผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ จะมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เป็นบวกกับตลาด แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดดัชนีแกว่งชะลอตัวลง แนวต้าน 1,213 จุด และแนวรับ 1,183 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,198.11 จุด เพิ่มขึ้น 40.48 จุด(+3.50%) มูลค่าการซื้อขาย 63,374.58 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งกรอบแคบ โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 1,199.14 จุด ต่ำสุดที่ 1,162.70 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 387 หลักทรัพย์ ลดลง 112 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 150 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 94,522 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 94,522 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 17,296 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 428 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 291 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.39% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวานภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 291 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 291 ล้านบาทและไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิตทั่วไป (Headline PPI)ประจำเดือนมิ.ย. (YoY) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) ประจำเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6% (YoY) ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7% ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.48 ทรงตัวจากช่วงเช้า รอปัจจัยใหม่ ลุ้นข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.48 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากช่วงเช้า ที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.48 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวแคบ ๆ อยู่ในกรอบ 32.45 - 32.54 บาท/ดอลลาร์ โดยเย็นนี้ถือว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับท้ายตลาดเย็นวานนี้ "ภาพรวมยังคงเคลื่อนไหวตามภูมิภาค และแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับท้ายตลาดวานนี้ วันนี้หุ้นบวกเยอะ น่าจะเป็นความคาดหวังเรื่องการดีลภาษีกับสหรัฐฯ" นักบริหารเงินระบุ โดยคืนนี้ ตลาดรอดูการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ คือ ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40 - 32.60 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
อัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐฯ
เฟดเผยกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวเล็กน้อย ภาคธุรกิจถูกกระทบจากภาษีศุลกากร ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ Beige Book ในวันพุธ (16 ก.ค.) โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายเดือนพ.ค.จนถึงต้นเดือนก.ค. แม้ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับรายงานครั้งก่อนที่ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจใน 6 เขตชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ภาคธุรกิจยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง รายงาน Beige Book ระบุว่า ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นในทั้ง 12 เขตของสหรัฐฯ โดยภาคธุรกิจเผชิญกับแรงกดดันของต้นทุนการนำเข้าในระดับปานกลางจนถึงระดับสูง ซึ่งต้นทุนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากร "บริษัทหลายแห่งได้ส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยบางส่วนไปให้กับผู้บริโภค ผ่านการปรับขึ้นราคาหรือค่าธรรมเนียม ทว่าบริษัทบางแห่งหลีกเลี่ยงการขึ้นราคาสินค้าเนื่องจากผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคามากขึ้น ส่งผลให้กำไรของบริษัทลดลง" รายงาน Beige Book ระบุ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากร โดยแจ้งให้บรรดาประเทศคู่ค้าทราบถึงอัตราภาษีใหม่ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. หากไม่สามารถเจรจาเงื่อนไขที่ดีขึ้นกับสหรัฐฯ ได้ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยยอดค้าปลีก +0.6% เดือนมิ.ย. สูงกว่าคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% หลังจากลดลง 0.9% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนพ.ค. หากไม่รวมยอดขายน้ำมันและรถยนต์ ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจทรงตัวในเดือนพ.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจทรงตัวในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยเป็นการทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนพ.ค. สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.3% ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งลดลง 0.3% ยอดขายในภาคธุรกิจลดลง 0.4% ในเดือนพ.ค. หลังจากลดลง 0.2% ในเดือนเม.ย. นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.39 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.38 เดือนในเดือนเม.ย. ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านปรับตัวขึ้นในเดือนก.ค. สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านเพิ่มขึ้น 1 จุด สู่ระดับ 33 ในเดือนก.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของผู้สร้างบ้าน โดยได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในระดับสูง นอกจากนี้ ผู้สร้างบ้านจำนวน 38% ได้ประกาศปรับลดราคาบ้านในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2565 (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 232,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 6,250 ราย สู่ระดับ 229,500 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 2,000 ราย สู่ระดับ 1.96 ล้านราย (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.1% เดือนมิ.ย. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนพ.ค. การปรับตัวขึ้นของดัชนีราคานำเข้าได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาสินค้าเพื่อผู้บริโภค เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าลดลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. หลังจากลดลง 0.2% เช่นกันในเดือนพ.ค. นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าทรงตัว หลังจากลดลง 0.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.9% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
เฟดฟิลาเดลเฟียเผยดัชนีภาคการผลิตสูงกว่าคาดในเดือนก.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก พุ่งขึ้นสู่ระดับ +15.9 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -1.2 จากระดับ -4.0 ในเดือนมิ.ย. ดัชนีภาคการผลิตมีค่าเป็นบวก บ่งชี้การขยายตัวของภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐขยายตัว 2.4% ใน Q2/68 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 2/2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งต่อไปในวันที่ 18 ก.ค. (อินโฟเควสท์)
ประธานเฟดนิวยอร์กเตือน "ของจริงยังไม่มา" ชี้ผลกระทบจากกำแพงภาษีเพิ่งเริ่มต้น จอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก กล่าวในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า แม้นโยบายการเงินที่ "คุมเข้มเล็กน้อย" ของเฟดในขณะนี้ยังมีความเหมาะสม เพราะช่วยให้มีเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนตัดสินใจ แต่ก็ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีการค้านั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และของจริงยังมาไม่ถึง วิลเลียมส์กล่าวสุนทรพจน์ว่า "การคงนโยบายที่คุมเข้มเล็กน้อยเช่นนี้ไว้ ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายการจ้างงานสูงสุดและเสถียรภาพด้านราคา" พร้อมเสริมว่า "มันทำให้เรามีเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เข้ามาอย่างใกล้ชิด ประเมินแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป และพิจารณาความสมดุลของความเสี่ยง" แม้ว่าวิลเลียมส์จะมองว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันยังดีและตลาดแรงงานแข็งแกร่ง แต่เขาก็เตือนว่าอย่าเพิ่งชะล่าใจ "สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าผลกระทบจากกำแพงภาษียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะส่งผลเต็มที่" เขากล่าว "ผมคาดว่าผลกระทบจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิลเลียมส์คาดการณ์ว่ากำแพงภาษีจะผลักดันให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นอีกประมาณ 1% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไปจนถึงครึ่งแรกของปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเหลือโตเพียง 1% ในปีนี้ และอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นจาก 4.1% ในปัจจุบันไปอยู่ที่ 4.5% ภายในสิ้นปี ความเห็นของวิลเลียมส์มีขึ้นในวันเดียวกับที่ตลาดการเงินผันผวนอย่างหนัก จากรายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังพิจารณาปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดออกจากตำแหน่ง แต่ภายหลังทรัมป์ได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าว วิลเลียมส์ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อปฏิกิริยาของตลาด แต่เมื่อถูกถามถึงโอกาสที่พาวเวลจะถูกปลด เขาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง" ทั้งนี้ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน วิลเลียมส์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เฟดทุกคนยังคงมุ่งมั่นต่อภารกิจหลักของตนอย่างแน่วแน่ สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ปธน.ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์เฟดอย่างต่อเนื่องที่ไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย และแม้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่จะยังอยู่ในโหมด "รอดูสถานการณ์" แต่รายงานการประชุมนโยบายของเฟดในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กลับเผยให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ได้คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในช่วงปลายปีนี้ โดยมีเสียงส่วนน้อยที่พร้อมจะให้ลดดอกเบี้ยทันทีในการประชุมเดือนก.ค.นี้ (อินโฟเควสท์)
ปธ.เฟดแอตแลนตาชี้ภาษีทรัมป์ทำเงินเฟ้อพุ่ง ส่งซิกปีนี้ลดดอกเบี้ย 0.25% อีกเพียงครั้งเดียว ราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตากล่าวเมื่อวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดกำลังแสดงสัญญาณว่าแรงกดดันด้านราคากำลังก่อตัวสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาษีนำเข้าที่บังคับใช้โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "เราอาจกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน" บอสติกกล่าวให้สัมภาษณ์กับช่องฟ็อกซ์บิสซิเนส (Fox Business) พร้อมชี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือนมิ.ย. ได้ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 2.7% จาก 2.4% ในเดือนพ.ค. และที่น่ากังวลคือ เกือบครึ่งหนึ่งของสินค้าในตะกร้าดัชนีมีราคาเพิ่มขึ้น 5% ขึ้นไป ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่เขาเห็นว่าเป็นหลักฐานของแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่กำลังแผ่ขยายเป็นวงกว้าง จากข้อมูลดังกล่าว บอสติกเชื่อว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวที่ 0.25% ในปีนี้ แม้ว่าบรรดานักลงทุนในตลาดจะคาดหวังว่าจะมีการลดดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งก็ตาม ท่าทีที่ไม่เต็มใจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.25%-4.5% ได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับปธน.ทรัมป์ โดยเมื่อวันพุธได้มีรายงานข่าวว่า ทรัมป์ใกล้จะตัดสินใจปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งข่าวดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการเทขายในตลาดอย่างหนัก ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายลง หลังจากที่ทรัมป์ออกมาชี้แจงว่ายังไม่มีแผนการดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เตรียมส่งจดหมายกว่า 150 ประเทศ แจกภาษี 10%/15% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะส่งจดหมายไปยังมากกว่า 150 ประเทศเพื่อแจ้งอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากประเทศเหล่านี้ โดยอัตราภาษีดังกล่าวอาจอยู่ที่ระดับ 10% หรือ 15% "เราจะส่งจดหมายไปยังมากกว่า 150 ประเทศ ซึ่งจะระบุว่าอัตราภาษีเป็นเท่าไหร่ โดยจะเป็นอัตราเดียวกันสำหรับทุกประเทศในกลุ่มนั้น" ปธน.ทรัมป์กล่าว และเสริมว่า ประเทศที่จะได้รับจดหมายเหล่านี้เป็นประเทศเล็ก ๆ และไม่ได้ทำการค้ามากมายกับสหรัฐ "อัตราภาษีอาจจะอยู่ที่ 10% หรือ 15% เรายังไม่ได้ตัดสินใจ" ปธน.ทรัมป์กล่าวให้สัมภาษณ์กับ Real America’s Voice (อินโฟเควสท์)
สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ อนุมัติเงื่อนไขการอภิปรายร่างกม.คริปโทฯ แล้ว หลังโหวตนานเป็นประวัติการณ์ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อนุมัติกติกาหรือเงื่อนไขการอภิปรายร่างกฎหมายกำกับดูแลคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงร่างกฎหมายงบประมาณของกระทรวงกลาโหมแล้ว หลังใช้เวลาในการลงมตินานกว่า 10 ชั่วโมงในวันพุธ (16 ก.ค.) ซึ่งถือเป็นการลงคะแนนเสียงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ความล่าช้าในการลงมติครั้งนี้เกิดจากการคัดค้านอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่สองของสมาชิกสภาผู้แทนฯ สายอนุรักษนิยมของพรรครีพับลิกัน ซึ่งไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายกำกับดูแลคริปโทฯ จนทำให้การผลักดันร่างกฎหมายไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ตั้งแต่วันอังคาร (15 ก.ค.) อย่างไรก็ตาม ในคืนวันพุธ (16 ก.ค.) กลุ่มที่เคยลงคะแนนไม่เห็นด้วยได้เปลี่ยนท่าทีและกลับมาสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงจุดยืนของกลุ่มอนุรักษนิยมในพรรครีพับลิกันเกิดขึ้นหลังจากที่มีการเจรจากันในนาทีสุดท้ายในคืนวันอังคาร โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เชิญสมาชิกพรรครีพับลิกันราว 12 คนไปพบที่ทำเนียบขาว ก่อนที่ทรัมป์จะโพสต์ผ่าน Truth Social ในเวลาต่อมาว่า ทุกฝ่ายเห็นพ้องในการสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม ความไม่เห็นด้วยใหม่ ๆ ได้ปรากฏขึ้นในวันพุธ โดยไม่เพียงแต่กลุ่มอนุรักษนิยมเท่านั้นที่คัดค้าน แต่ยังรวมถึงสมาชิกคณะกรรมาธิการบริการทางการเงิน (Committee on Financial Services) ซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมายเอง เพราะพวกเขาไม่พอใจกับการปรับแก้ไขในนาทีสุดท้ายที่พยายามจะรวมร่างกฎหมายสองฉบับเข้าด้วยกัน ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกันจากรัฐลุยเซียนาต้องการเสียงสนับสนุนเพิ่มอีกเพียงไม่กี่เสียงจากพรรคเดียวเพื่อให้ร่างกฎหมายผ่านสภาด้วยเสียงข้างมาก แต่ความล่าช้าตลอดสองวันทำให้เกิดข้อสงสัยว่า พรรครีพับลิกันจะสามารถประสานจุดยืนที่แตกต่างกันเพื่อผลักดันร่างกฎหมายฉบับสมบูรณ์ให้กลายเป็นกฎหมายได้หรือไม่ ความล่าช้าครั้งนี้ถือเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมคริปโทฯ ซึ่งทุ่มเงินสนับสนุนการหาเสียงให้กับสมาชิกสภาผู้แทนฯ หลายสิบล้านดอลลาร์ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา และยังทำลายความหวังที่จะได้เห็นกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นสัปดาห์แห่งคริปโทฯ (Crypto Week) (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" ลดเผชิญหน้าจีน หวังปูทางบรรลุดีลการค้า-ซัมมิต "สี จิ้นผิง" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กำลังลดความแข็งกร้าวในการเผชิญหน้ากับจีน โดยท่าทีที่อ่อนลงนี้เป็นความพยายามเพื่อหวังที่จะบรรลุข้อตกลงการค้า และปูทางไปสู่การจัดประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง หลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสอง เขาได้ลดความแข็งกร้าวในการใช้คำพูดเกี่ยวกับการขาดดุลการค้ามูลค่ามหาศาลกับจีน อันเป็นเหตุให้การจ้างงานในสหรัฐฯ ลดลง โดยบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ปธน.ทรัมป์มักจะใช้เสียงแข็งกร้าวน้อยที่สุดในห้องประชุม อีกทั้งเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหารยังยืนยันว่า ปธน.ทรัมป์ชื่นชอบปธน.สีเป็นการส่วนตัวมาโดยตลอด ท่าทีเช่นนี้แตกต่างจากสิ่งที่ปธน.ทรัมป์แสดงออกกับประเทศคู่ค้ารายอื่น ๆ ซึ่งมักจะถูกเขาข่มขู่ว่าจะทำลายเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ด้วยการใช้มาตรการภาษีศุลกากร โดยขณะนี้ปธน.ทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การเร่งทำข้อตกลงการค้ากับจีน แทนที่จะพยายามแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงของความไม่สมดุลทางการค้า แม้ว่าจีนจะมียอดเกินดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกจากการส่งออกที่แข็งแกร่งก็ตาม ท่าทีที่อ่อนลงดังกล่าว ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อปธน.ทรัมป์กล่าวในวันอังคารที่ผ่านมาว่า เขาจะต่อสู้กับจีน "ในรูปแบบที่เป็นมิตรมากขึ้น" รวมทั้งการที่สหรัฐฯ เปิดทางให้บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ กลับมาจำหน่ายชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่น H20 ให้กับจีนอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการกลับลำด้านนโยบาย หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลทรัมป์เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ให้เทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของอเมริกาตกไปอยู่ในมือของจีน แหล่งข่าวกล่าวว่า การพลิกแพลงกลยุทธ์ของปธน.ทรัมป์ และการหลีกเลี่ยงการใช้นโยบายที่แข็งกร้าวกับจีนตามที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้นั้น ได้สร้างความกังวลให้กับเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของเขาและบรรดาผู้ให้คำปรึกษานอกหน่วยงานรัฐบาล เนื่องจากปธน.ทรัมป์กำลังทำให้ "เส้นแดง" ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขีดไว้กับจีนในอดีตที่ผ่านมานนั้น กลายเรื่องที่สามารถต่อรองได้ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ เล็งแบนเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้ทะเล หวั่นกระทบความมั่นคง คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารแห่งสหรัฐฯ (FCC) เปิดเผยในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า ทางหน่วยงานมีแผนที่จะออกกฎเกณฑ์เพื่อห้ามบริษัทต่างๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลสื่อสารใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากสายเคเบิลเหล่านั้นมีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์จากบริษัทที่สหรัฐฯ ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ เช่น หัวเว่ย (Huawei), แซตทีอี (ZTE), ไชน่า เทเลคอม (China Telecom) และไชน่า โมบาย (China Mobile) ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลมานานหลายปีเกี่ยวกับบทบาทของจีนในการจัดการปริมาณการรับส่งข้อมูลเครือข่าย และความเสี่ยงเรื่องการจารกรรม โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่ายสายเคเบิลใต้ทะเลกว่า 400 เส้น ซึ่งรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% เบรนแดน คาร์ ประธานของ FCC ระบุในแถลงการณ์ว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางหน่วยงานเห็นโครงสร้างพื้นฐานสายเคเบิลใต้น้ำถูกคุกคามจากศัตรูต่างชาติอย่างจีน จึงจำเป็นต้องออกมาปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำไม่ให้ถูกต่างชาติเข้าครอบครอง เข้าถึง พร้อมป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และทางกายภาพด้วย (อินโฟเควสท์)
บริษัทมะกันแห่ลดการลงทุนในจีน วิตกผลกระทบสงครามการค้า ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน (USCBC) ระบุว่า บริษัทอเมริกันที่ลดการลงทุนในประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ทางการค้าที่ย่ำแย่ลงของจีนและสหรัฐฯ ผลสำรวจซึ่ง USCBC ได้ทำขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.บ่งชี้ว่า มีบริษัทไม่ถึง 50% ที่ระบุว่าพวกเขาวางแผนจะลงทุนในจีนในปี 2568 ซึ่งลดลงจากระดับ 80% ในปีที่แล้ว และเป็นสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่ USCBC เริ่มตั้งคำถามที่คล้ายกันในการสำรวจเมื่อปี 2549 แม้จีนยังคงเป็นศูนย์กลางที่น่าดึงดูดใจสำหรับการผลิตและนวัตกรรม แต่ 75% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่า มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของจีนเป็นข้อกังวลอันดับแรกในเรื่องต้นทุน เนื่องจากพวกเขามักจะต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ ขณะที่ 27% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่า พวกเขาย้ายหรือวางแผนที่จะย้ายการดำเนินงานบางส่วนออกจากจีน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559 นอกจากนี้ 32% ระบุว่าพวกเขาเสียส่วนแบ่งการตลาดในจีนในช่วงสามปีที่ผ่านมา และเกือบ 70% กังวลว่าจะเสียส่วนแบ่งการตลาดในอีกห้าปีข้างหน้า การสำรวจนี้ครอบคลุมบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ โดยกว่า 40% ของบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ในจีนอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว บริษัทสหรัฐฯ ได้เข้าไปลงทุนด้านการผลิตมูลค่ามหาศาลในจีนในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยอาศัยประโยชน์จากค่าแรงที่ค่อนข้างต่ำและผู้บริโภคที่มีฐานะร่ำรวยขึ้นในจีน แต่กำแพงการค้าที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงได้กระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ต้องกลับมาประเมินการดำเนินธุรกิจในจีนอีกครั้ง แม้การสำรวจประจำปีนี้จะทำขึ้นก่อนที่ความตึงเครียดด้านการค้าจะคลี่คลายลงหลังจากสหรัฐฯ และจีนได้มีการเจรจาร่วมกันที่กรุงลอนดอนในเดือนที่แล้ว แต่ความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างรวดเร็วของบริษัทอเมริกันได้ตอกย้ำถึงผลกระทบของสงครามการค้าที่มีต่อการลงทุนในจีน ไคล์ ซัลลิแวน รองประธานฝ่ายบริการที่ปรึกษาธุรกิจของ USCBC กล่าวว่า บริษัทสหรัฐฯ ต่างก็อยู่ในโหมดรอคอยดูสถานการณ์ เพื่อรอให้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าผ่านพ้นไป (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 229.71 จุด รับผลประกอบการ-ข้อมูลศก.แกร่ง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกกว่า 200 จุดในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจและรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้บริโภคของสหรัฐฯ ยังคงเต็มใจที่จะใช้จ่าย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,484.49 จุด เพิ่มขึ้น 229.71 จุด หรือ +0.52%, และดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,297.36 จุด เพิ่มขึ้น 33.66 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,885.65 จุด เพิ่มขึ้น 155.16 จุด หรือ +0.75% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก $1.16 จากข่าวโดรนโจมตีบ่อน้ำมันอิรัก สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) หลังจากมีรายงานว่าบ่อน้ำมันในแคว้นเคอร์ดิสถานของอิรักถูกโดรนโจมตีเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของอุปทานน้ำมันในภูมิภาคแห่งนี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.16 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่ 67.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ หรือ 1.46% ปิดที่ 69.52 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจแกร่งเกินคาด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกและข้อมูลแรงงาน ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.35% แตะที่ระดับ 98.734 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $13.80 เหตุดอลล์แข็ง-ข้อมูลเศรษฐกิจแกร่ง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายและรอความชัดเจนเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 13.80 ดอลลาร์ หรือ 0.41% ปิดที่ 3,345.30 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง สวนทางดอลลาร์แข็งค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง สวนทางการแข็งค่าของดอลลาร์ในวันนี้ ณ เวลา 20.24 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.453% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 5.008% ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ค่าจ้าง UK ชะลอตัว แต่ยังสูงเกินเป้าของแบงก์ชาติ อัตราการเติบโตของค่าจ้างรายปีแบบไม่รวมโบนัสของสหราชอาณาจักร (UK) ในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. อยู่ที่ 5% ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 4.9% แต่ชะลอลงจากระดับ 5.3% ในช่วงเดือนก.พ.-เม.ย. สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานคลายตัวลง แต่ในอัตราที่ช้ากว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คาดการณ์ไว้ ด้านตัวเลขประมาณการจำนวนลูกจ้างเดือนพ.ค. ถูกปรับแก้ครั้งใหญ่ โดยตัวเลขที่เคยรายงานว่าจำนวนลูกจ้างลดลงถึง 109,000 คน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ถูกปรับแก้ใหม่เป็นลดลงเพียง 25,000 คน ขณะที่ตัวเลขประมาณการของเดือนมิ.ย. แสดงให้เห็นว่าจำนวนลูกจ้างลดลง 41,000 คน BoE กำลังจับตาข้อมูลนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินแรงกดดันด้านราคาในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่อัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้นไปถึง 3.6% ผู้กำหนดนโยบายของ BoE ส่วนใหญ่เชื่อว่า อัตราการเติบโตของค่าจ้างต้องลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3% เพื่อควบคุมให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้เคียงเป้าหมายที่ระดับ 2% โดยเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา BoE เคยคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของค่าจ้างในภาคเอกชนแบบไม่รวมโบนัสจะชะลอตัวลงแตะ 3.8% ภายในสิ้นปีนี้ แม้จะยังคงเผชิญแรงกดดันด้านค่าจ้าง แต่คาดว่า BoE จะยังคงเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีสัญญาณบ่งชี้อื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานกำลังคลายตัวลง เช่น จำนวนตำแหน่งงานว่างที่ลดลง และจำนวนผู้ที่กำลังมองหางานเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน นายจ้างบางส่วนให้เหตุผลว่า การชะลอการจ้างงานเป็นผลมาจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงแผนการที่จะเพิ่มความเข้มงวดในกฎหมายการจ้างงาน (อินโฟเควสท์)
อิตาลีวิตก บริษัท 6,000 แห่งเสี่ยงถูกกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีทรัมป์ สำนักงานการค้าอิตาลี (ITA) เปิดเผยในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า บริษัทอิตาลีมากกว่า 6,000 แห่งกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความกังวลดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันเสาร์ (12 ก.ค.) ว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 30% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ITA ระบุว่า บริษัทที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดย่อมที่ดำเนินกิจการในภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์ยา เฟอร์นิเจอร์ การค้าปลีก และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง (ไม่รวมยานยนต์) รายงานของ ITA ประเมินว่า ยอดส่งออกจากบริษัทเหล่านี้ไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านยูโร (ราว 1.276 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อต้นสัปดาห์นี้ สมาคมพัฒนาอุตสาหกรรมอิตาลีตอนใต้ (SVIMEZ) ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของอิตาลีลดลง 0.5% ในปี 2569 และอาจสูญเสียตำแหน่งงานมากถึง 150,000 ตำแหน่ง อันโตนิโอ ตายานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลีกล่าวเมื่อวันจันทร์ (14 ก.ค.) ว่า สหภาพยุโรปพร้อมที่จะใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับสินค้าจากสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านยูโร หากการเจรจาการค้าระหว่างสองฝ่ายที่กำลังดำเนินอยู่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับผลประกอบการแกร่ง ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) โดยฟื้นตัวหลังลดลง 4 วันติดต่อกัน หลังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอย่าง ABB และ Legrand ซึ่งรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 547.03 จุด เพิ่มขึ้น 5.19 จุด หรือ +0.96% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,822.00 จุด เพิ่มขึ้น 99.91 จุด หรือ +1.29%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,370.93 จุด เพิ่มขึ้น 361.55 จุด หรือ +1.51% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,972.64 จุด เพิ่มขึ้น 46.09 จุด หรือ +0.52% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 46.09 จุด ผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจหนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากอัปเดตผลประกอบการในเชิงบวกของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานของอังกฤษชะลอตัวน้อยกว่าที่กังวลกัน ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 8,972.64 จุด เพิ่มขึ้น 46.09 จุด หรือ +0.52% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ส่งออกญี่ปุ่นลดอีกในเดือนมิ.ย. หวั่นศก.ถดถอยจากผลกระทบภาษีทรัมป์ กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (17 ก.ค.) ว่า ยอดส่งออกเดือนมิ.ย. ลดลง 0.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งนับเป็นการลดลงเดือนที่ 2 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดส่งออกรถยนต์และเหล็กที่ลดลง ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รายงานระบุว่า การส่งออกที่ยังคงซบเซาอาจฉุดเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้หดตัวต่อเนื่องในไตรมาส 2/2568 หลังจากหดตัวในไตรมาสแรก ซึ่งอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค หมายถึงการที่เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส ส่วนยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ขณะที่ญี่ปุ่นกลับมามียอดเกินดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 3 เดือนแตะ 1.531 แสนล้านเยน (1 พันล้านดอลลาร์) รายงานของกระทรวงการคลังระบุว่า ยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนั้น ลดลง 11.4% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่ยอดส่งออกไปจีนลดลง 4.7% แต่ยอดส่งออกไปยุโรปเพิ่มขึ้น 3.6% นักวิเคราะห์ชี้ว่า การค้าโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนอย่างมากจากสงครามภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยญี่ปุ่นต้องรับมือกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตรา 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ และภาษีนำเข้าในอัตรา 50% สำหรับเหล็ก นอกจากนี้ นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. สหรัฐฯ ยังเรียกเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าส่งออกจากญี่ปุ่นแทบทั้งหมด และอัตราภาษีดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในวันที่ 1 ส.ค. หากสองประเทศไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ทันเวลา (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นกังวลตลาดเงิน-พันธบัตรผันผวน ก่อนการเลือกตั้งสว. โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงในวันนี้ (17 ก.ค.) ว่า รัฐบาลมีความกังวลต่อความเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการเก็งกำไร และกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดต่อการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล คาซูฮิโกะ อาโอกิ รองหัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศควรมีเสถียรภาพและสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ความเห็นของเขามีขึ้นขณะที่เงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเมื่อวันพุธ (16 ก.ค.) เยนได้อ่อนค่าทะลุระดับ 149 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือน ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีซึ่งเป็นอัตราอ้างอิง ได้พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.595% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ความผันผวนในตลาดดังกล่าวดูเหมือนจะสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลังหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาสูงในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยพรรคฝ่ายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ซึ่งประกอบด้วยพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และพรรคโคเมโตะ (Komeito) กำลังเผชิญศึกหนักในการรักษาเสียงข้างมากไว้ ประเด็นขัดแย้งสำคัญคือภาษีการบริโภค โดยกลุ่มพรรคฝ่ายค้านชูนโยบายหาเสียงว่าจะลดหรือยกเลิกภาษีดังกล่าว ขณะที่นายกฯ อิชิบะปฏิเสธแนวคิดนี้ โดยอ้างถึงความจำเป็นในการหารายได้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านประกันสังคม หากพรรคฝ่ายรัฐบาลสูญเสียเสียงข้างมากไป อำนาจของนายกฯ อิชิบะอาจสั่นคลอนอย่างรุนแรง ปัจจัยที่เพิ่มความไม่แน่นอนเข้ามาอีกคือ รายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อาจปลด เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน ความผันผวนนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงสถานะทางการคลังที่เปราะบางของญี่ปุ่น ซึ่งย่ำแย่ที่สุดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว สถานการณ์ยังถูกซ้ำเติมจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กำลังทยอยลดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ในขณะที่ปรับเปลี่ยนมาตรการออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ (ultraloose monetary policy) ที่ใช้มานานหลายปี (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ส่งสัญญาณดีลการค้าญี่ปุ่นไม่คืบ อาจไม่ทันเส้นตาย 1 ส.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยในวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า การบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับญี่ปุ่นให้แล้วเสร็จภายในเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. ที่เขากำหนดไว้สำหรับการเจรจาทวิภาคีนั้น น่าจะทำได้ยาก ทรัมป์กล่าวกับนักข่าว ณ ทำเนียบขาวว่า "เรากำลังเจรจากับพวกเขา แต่ผมคิดว่าเราน่าจะดำเนินการตามจดหมายที่ได้ส่งไปให้กับญี่ปุ่น" โดยชี้ถึงจดหมายชี้แจงอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่สหรัฐฯ ได้แจ้งกับคู่ค้า สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวของทรัมป์มีขึ้นในช่วงเวลาราว 1 สัปดาห์หลังจากที่เขาขู่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าญี่ปุ่นที่อัตรา 25% โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ซึ่งญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในคู่ค้ากว่า 20 ประเทศของสหรัฐฯ ที่ได้รับจดหมายแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราใหม่ฝ่ายเดียวจากสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อัตราภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์กำหนดไว้กับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. นั้น เพิ่มขึ้นจาก 24% ที่ประกาศไว้เมื่อต้นเดือนเม.ย. โดยการประกาศขึ้นภาษีเพียงเล็กน้อยนี้ มีขึ้นในขณะที่เขากำลังเพิ่มแรงกดดันให้ญี่ปุ่นยอมรับข้อตกลงในการเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่ โดยกล่าวหาว่าญี่ปุ่นไม่ยอมนำเข้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ แม้เจ้าหน้าที่จะกล่าวว่า จุดประสงค์ในการเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นของเบสเซนต์ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อหารือเรื่องการค้า แต่แหล่งข่าวของทางการญี่ปุ่นระบุว่า ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กำลังหาช่องทางในการพบกับเบสเซนต์ ซึ่งอาจจะมีขึ้นที่กรุงโตเกียวในวันศุกร์ (18 ก.ค.) (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 237.79 จุด หุ้นชิปพุ่งรับผลประกอบการ TSMC แกร่งเกินคาด ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (17 ก.ค.) โดยหุ้นกลุ่มชิปที่มีน้ำหนักมากต่อตลาด สามารถพลิกกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ หลังบริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง โค (TSMC) ประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจในอนาคต สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,901.19 จุด เพิ่มขึ้น 237.79 จุด หรือ +0.60% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนลุยจัดระเบียบสงครามราคา EV กระตุ้นแข่งขันเชิงคุณภาพ-ลดแนวโน้มเงินฝืด รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะจัดระเบียบการแข่งขันที่ไร้เหตุผลในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ท่ามกลางความกังวลว่า สงครามราคาที่รุนแรงอาจฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีจีนเมื่อวันพุธ (16 ก.ค.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการควบคุมระเบียบตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแนะให้ผู้ประกอบการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านนวัตกรรมและคุณภาพสินค้า แทนที่จะพึ่งกลยุทธ์การตัดราคา ก่อนหน้านี้ ผู้นำระดับสูงของจีนแสดงท่าทีว่าจะจัดการกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงในตลาดรถ EV ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการออกมาตรการเชิงนโยบายตามมาในอนาคตอันใกล้ เทียนเล่ย หวง ผู้ประสานงานโครงการจีนจากสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศระบุว่า รัฐบาลจีนเริ่มกังวลมากขึ้นต่อแนวโน้มภาวะเงินฝืด พร้อมเสริมว่า หากราคารถ EV เริ่มมีเสถียรภาพ ก็อาจช่วยให้ราคาวัตถุดิบต้นน้ำ เช่น เหล็ก มีเสถียรภาพตามไปด้วย และอาจช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านราคาทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 13.05 จุด รับแรงซื้อหุ้นเทคโนฯ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (17 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกลุ่มรถยนต์ รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ มีท่าทีที่อ่อนลงต่อจีน เพื่อหวังที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าและจัดประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,516.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.05 จุด หรือ +0.37% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 18.81 จุด จากแรงขายทำกำไร, วิตกภาษีสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (17 ก.ค.) โดยนักลงทุนยังคงเทขายทำกำไรต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ขณะที่ยังคงมีความกังวลเรื่องมาตรการภาษีของสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมกำหนดภาษีนำเข้าในอัตราเดียวกันสำหรับกว่า 150 ประเทศที่ไม่ได้เป็นประเทศใหญ่มากและไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐฯ มากนัก โดยคาดว่าอัตราภาษีจะอยู่ที่ราว 10%-15% ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,498.95 จุด ลดลง 18.81 จุด หรือ -0.08% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
มาเลย์ยันเดินหน้าเจรจาสหรัฐ หวังลดภาษี "ทรัมป์" ต่ำกว่า 25% ดาโต๊ะ เสรี โมฮัมหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า มาเลเซียยังคงมีความมุ่งมั่นให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐประสบผลสำเร็จ นายโมฮัมหมัดระบุว่า มาเลเซียยังคงมองหาสูตรแห่งชัยชนะที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และการค้าระดับทวิภาคี ทั้งนี้ มาเลเซียมีเวลาถึงวันที่ 1 ส.ค.ในการบรรลุข้อตกลง เพื่อให้สหรัฐลดอัตราภาษีศุลกากรต่ำกว่าระดับ 25% ที่เคยเสนอไว้ "มาเลเซียเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งกับสหรัฐ และอีกหลายประเทศ เรายังคงอยู่ในระหว่างการหารือเกี่ยวกับการลดภาษี และเราไม่ต้องการให้เรื่องนี้กระทบต่อความสัมพันธ์อันดีที่เรามีอยู่ในขณะนี้ โดยขอบเขตการเจรจาควรจะกว้างขึ้น ไม่ใช่เน้นแต่เรื่องการค้า แต่ต้องรวมถึงอธิปไตยและประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย" นายโมฮัมหมัดกล่าว พร้อมแสดงความหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ หลังการเจรจาข้อตกลงการค้า สหรัฐได้ปรับลดอัตราภาษีศุลกากรให้แก่เวียดนามและอินโดนีเซียเหลือเพียง 20% และ 19% ตามลำดับ จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ระดับ 46% และ 32% (อินโฟเควสท์)
กัมพูชาเผย มูลค่าการค้ากับอาเซียนเพิ่มขึ้นแตะ 8.45 พันล้านดอลลาร์ครึ่งปีแรก กระทรวงพาณิชย์กัมพูชาเปิดเผยในวันนี้ (17 ก.ค.) ว่า มูลค่าการค้าระหว่างกัมพูชากับประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบรายปี แตะระดับ 8.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. 2568 รายงานระบุว่า กัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนคิดเป็นมูลค่ารวม 3.12 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าคิดเป็นมูลค่ารวม 5.33 พันล้านดอลลาร์ ขยับขึ้น 0.91% เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างกัมพูชากับอาเซียนคิดเป็นสัดส่วน 27.2% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของกัมพูชาในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ส่งสัญญาณใกล้บรรลุดีลการค้าอินเดีย ข้อตกลง EU มีความเป็นไปได้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับอินเดียมากแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) เช่นกัน อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์กล่าวว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าจะสามารถทำข้อตกลงกับแคนาดาได้หรือไม่ "เราใกล้จะบรรลุข้อตกลงกับอินเดียแล้ว และเราก็อาจทำข้อตกลงกับ EU" ปธน.ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เรียล อเมริกาส์ วอยซ์ (Real America's Voice) ในวันพุธ (16 ก.ค.) เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าข้อตกลงการค้าใดที่กำลังจะเกิดขึ้น รัฐบาลของปธน.ทรัมป์ยังคงเดินหน้าเจรจากับบรรดาประเทศคู่ค้าก่อนถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่ปธน.ทรัมป์จะปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ โดยการเจรจามีเป้าหมายที่จะผลักดันให้สหรัฐฯ ได้รับเงื่อนไขที่ดีขึ้นจากประเทศคู่ค้า รวมทั้งหาแนวทางที่จะทำให้การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ลดลง ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ที่ผ่านมานั้น EU เคยมีท่าทีไม่เป็นมิตร แต่ขณะนี้พวกเขาได้แสดงความเป็นมิตรมาก พร้อมกับกล่าวว่า EU ต้องการทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นข้อตกลงที่แตกต่างจากที่เคยทำร่วมกับสหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน ขณะเดียวกันเมื่อผู้ดำเนินรายการถามถึงแนวโน้มในการทำข้อตกลงกับแคนาดา ซึ่งกำลังเตรียมใช้มาตรการตอบโต้เช่นเดียวกับ EU หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ประสบผลสำเร็จ โดยในเรื่องนี้ทรัมป์กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่มาร์ค คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีของแคนาดาได้กล่าวไว้เมื่อวันพุธว่า ข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อคนงานของแคนาดายังไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเจรจา การแสดงความเห็นของปธน.ทรัมป์มีขึ้นในขณะที่มารอส เซฟโควิช หัวหน้าฝ่ายการค้าของ EU เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในวันพุธ เพื่อหารือเกี่ยวกับภาษีศุลกากร ขณะที่เจ้าหน้าที่ตัวแทนการค้าของอินเดียเดินทางถึงวอชิงตันแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อเจรจารอบใหม่ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 300 จุด จับตาผลเจรจาการค้า ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 300 จุด ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,259.24 ลบ 375.23 จุด หรือ 0.45% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศร่วงลงนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)
ไทย
ไทยยื่นข้อเสนอใหม่ ชงลดภาษีนำเข้าสหรัฐ 0% หลายรายการ-เตรียมแผนเยียวยา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐ ว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ ได้พูดคุยผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งมีการหารือข้อเสนอใหม่ในการลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ 0% ในหลายรายการ รวมทั้งข้อเสนออื่น ๆ สำหรับการเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ นั้น กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมแผนเยียวยาไว้แล้ว รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็น 2 สมมติฐาน คือ สมมติฐานแรก ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% และสมมติฐานสอง ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 20% เทียบเท่าเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ด้านนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายจตุพร ให้หารือกับนายโรเบิร์ต เอฟ โกเด็ก เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ มีบทบาทสำคัญในการการเตรียมข้อมูลเชิงลึกทั้งด้านสถิติการนำเข้า-ส่งออก การวิเคราะห์ผลกระทบ รวมถึงการจัดทำสถานการณ์จำลองเชิงนโยบาย (scenario) สนับสนุนหัวหน้าทีมเจรจา เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์สูงสุด และลดผลกระทบให้น้อยที่สุด รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีในการแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงนโยบายด้านเศรษฐกิ จและการค้าท่ามกลางบริบทการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยฝ่ายไทยได้ติดตามท่าทีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นการจัดเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้า กระทรวงพาณิชย์มีบทบาทในการรวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนหัวหน้าทีมเจรจา ให้สามารถสรุปแนวทางร่วมกับสหรัฐฯ ได้โดยเร็ว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาคส่วนต่างๆ ภายในประเทศ (อินโฟเควสท์)
วุฒิสภา ห่วงทีมไทยแลนด์หงอเกิน! ลดภาษีให้สหรัฐฯเหลือ 0% ทำภาคเกษตร-SME ร่อแร่ นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา กล่าวว่า กรณีที่อินโดนีเซียยอมหั่นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% ส่งผลให้สหรัฐฯ ยอมลดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ลงเหลือ 19% จากเดิม 32% นั้น หากทีมไทยแลนด์เลียนแบบกลยุทธ์ของอินโดนีเซีย และเวียดนามที่ยอมทุกอย่าง จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SME ของไทยอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในภาคเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของประเทศ หากเปิดเสรีมากเกินไปจะทำให้ SME ไทยที่ตกอยู่ในภาวะลำบากอยู่แล้วจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมาหลายปี ยิ่งประสบปัญหาหนักขึ้นไปอีก จนอาจถึงขั้นล้มหายตายจาก และกระทบถึงความมั่นคงทางอาหารของประเทศได้ ประธาน กมธ.การพาณิชย์ฯ กล่าวว่า ไทยควรยอมรับการถูกเก็บภาษีที่ 36% ซึ่งสามารถชดเชยให้กับผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ด้วยการลดภาษีช่วยเหลือ 10% และหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาช่วยชดเชย โดยรัฐบาลต้องแบกรับภาระส่วนหนึ่ง เอกชนผู้ส่งออกต้องบูรณาการส่วนหนึ่ง และธนาคารต้องให้ความช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะดีกว่าการยอมทุกอย่าง แล้วมากระทบวงกว้าง โดยเฉพาะกับ SME ของไทย ประธาน กมธ.การพาณิชย์ฯ กล่าวว่า มีสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ ที่ไทยสามารถให้ภาษี 0% ได้อย่างไม่มีปัญหา คือ ปุ๋ยเคมี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเกษตรกรไทย ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง และช่วยแก้ปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดตามตะเข็บชายแดน เพื่อชดเชยการขาดแคลนในประเทศได้ นอกจากนี้ การเปิดเสรีในส่วนของพลังงาน และเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เครื่องยนต์ หรือเครื่องบิน ก็เป็นสิ่งที่ไทยขาดแคลน และจำเป็นต้องนำเข้าอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดการเกินดุลการค้าได้ ในระยะยาว ไทยสามารถหาตลาดใหม่ๆ ได้ เช่น ตลาด EU หรือตลาดแอฟริกา ซึ่งอาจทดแทนตลาดสหรัฐฯ ได้บางส่วน แต่หากรัฐบาลสามารถชดเชยเรื่องภาษีหรือเรื่องดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนถูกลง 16% แต่ยังสามารถขายสินค้าได้ในราคาเดิม ก็ไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่าง เพราะจะกระทบ SME ไทยในที่สุด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่งแรง 40.48 จุดดีกว่าภูมิภาค คาดหวังเจรจาการค้าสหรัฐหลังยื่นข้อเสนอใหม่ แรงซื้อ DELTA-AOT หนุน SET ปิดวันนี้ที่ 1,198.11 จุด เพิ่มขึ้น 40.48 จุด(+3.50%) มูลค่าซื้อขาย 63,374.58 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าภูมิภาค นักลงทุนคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะได้ปรับลดอัตราภาษีลงจาก 36% หลังไทยมีข้อเสนอที่พยายามเปิดตลาดให้สหรัฐมากขึ้น นอกจากนี้ดัชนียังได้แรงหนุนจาก AOT หลังมีแผนปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร และนักลงทุนคาดหวังผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ จะมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เป็นบวกกับตลาด แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดดัชนีแกว่งชะลอตัวลง แนวต้าน 1,213 จุด และแนวรับ 1,183 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,198.11 จุด เพิ่มขึ้น 40.48 จุด(+3.50%) มูลค่าการซื้อขาย 63,374.58 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งกรอบแคบ โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 1,199.14 จุด ต่ำสุดที่ 1,162.70 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 387 หลักทรัพย์ ลดลง 112 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 150 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 94,522 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 94,522 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 17,296 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 428 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 291 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.39% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวานภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 291 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 291 ล้านบาทและไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิตทั่วไป (Headline PPI)ประจำเดือนมิ.ย. (YoY) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) ประจำเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6% (YoY) ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7% ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.48 ทรงตัวจากช่วงเช้า รอปัจจัยใหม่ ลุ้นข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.48 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากช่วงเช้า ที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.48 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวแคบ ๆ อยู่ในกรอบ 32.45 - 32.54 บาท/ดอลลาร์ โดยเย็นนี้ถือว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับท้ายตลาดเย็นวานนี้ "ภาพรวมยังคงเคลื่อนไหวตามภูมิภาค และแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับท้ายตลาดวานนี้ วันนี้หุ้นบวกเยอะ น่าจะเป็นความคาดหวังเรื่องการดีลภาษีกับสหรัฐฯ" นักบริหารเงินระบุ โดยคืนนี้ ตลาดรอดูการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ คือ ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40 - 32.60 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
อัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐฯ