สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนี PPI +2.3% เดือนมิ.ย. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนมิ.ย.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. หรือปรับตัว 0.0% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าปรับตัวขึ้น 0.2% หลังจากดีดตัว 0.3% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7% จากระดับ 3.2% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. หรือปรับตัว 0.0% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าปรับตัวขึ้น 0.2% หลังจากดีดตัว 0.4% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง หลังดอกเบี้ยเงินกู้ดีดตัว สมาคมธนาคารเพื่อการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยร่วงลง 10% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวขึ้น ทั้งนี้ จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง 12% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนจำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ลดลง 7% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อที่อยู่อาศัยแบบคงที่ระยะเวลา 30 ปี สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 806,500 ดอลลาร์ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 6.82% จากระดับ 6.77% ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมสูงกว่าคาดในเดือนมิ.ย. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.1% หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค การผลิตในภาคเหมืองแร่ลดลง 0.3% ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 2.8% ส่วนการผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี การผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 213,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากลดลง 2.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรล หลังจากลดลง 825,000 บาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เปรยอาจเริ่มเก็บภาษีนำเข้ายา-เซมิคอนดักเตอร์สิ้นเดือนนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวในวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเริ่มบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาในช่วงสิ้นเดือนนี้ โดยจะค่อย ๆ ทยอยเก็บภาษีเพื่อให้บริษัทยามีเวลาในการสร้างโรงงานผลิตในสหรัฐฯ "น่าจะเป็นช่วงสิ้นเดือนนี้ เราจะเริ่มเก็บภาษีศุลกากรขั้นต่ำ และให้เวลาบริษัทยาประมาณหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นในการสร้างโรงงาน จากนั้นเราจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงมาก" ทรัมป์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวหลังกลับมาจากการร่วมงานสาธารณะที่เมืองพิตต์สเบิร์ก ทรัมป์ยังเปิดเผยด้วยว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยา แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลจะเสร็จสิ้นการตรวจสอบความมั่นคงแห่งชาติว่าด้วยการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และผลิตภัณฑ์ยาภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าทรัมป์อาจประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวในอีกไม่นานนี้ ทั้งนี้ การตรวจสอบดังกล่าวดำเนินการภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมายการขยายการค้า พ.ศ. 2505 ซึ่งให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการปรับเปลี่ยนการนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ หากพิจารณาแล้วว่าสินค้าดังกล่าวอาจคุกคามความมั่นคงของชาติ (อินโฟเควสท์)
ปธ.เฟดดัลลัสแนะตรึงดอกเบี้ยนานขึ้น กังวลเงินเฟ้อยังสูง ลอรี โลแกน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดอาจจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อให้คงอยู่ที่ระดับต่ำ ในช่วงเวลาที่แรงกดดันด้านราคาเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โลแกนกล่าวในการประชุม World Affairs Council of San Antonio เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า เฟดจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน การแสดงความเห็นของโลกแกนมีขึ้นหลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.ของสหรัฐฯ ออกมาสูงเกินคาด โดยโลแกนกล่าวในเรื่องนี้ว่า เธอต้องการเห็นเงินเฟ้อที่ระดับต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานขึ้น ก่อนที่จะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ย โลแกนกล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยง และอาจต้องใช้เวลาที่นานขึ้นกว่าที่ราคาจะมีเสถียรภาพ แต่ในขณะเดียวกันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช้าเกินไปก็เสี่ยงที่จะทำให้ตลาดแรงงานอ่อนแอลงอีก แม้ว่าเฟดมีทางเลือกในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อให้การจ้างงานกลับสู่ทิศทางที่ถูกต้องก็ตาม นอกจากนี้ โลแกนกล่าวว่า การที่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ตลาดหุ้นอยู่ในระดับใกล้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งนโยบายการคลังของรัฐบาลนั้น ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา สภาคองเกรสได้ผ่านร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" หรือร่างกฎหมายลดหย่อนภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายขนานใหญ่มูลค่ารวมหลายล้านล้านดอลลาร์ของปธน.ทรัมป์ ซึ่งการผ่านกฎหมายดังกล่าวจะทำให้นโยบายการลดหย่อนภาษีที่ทรัมป์เคยริเริ่มไว้ในปี 2560 มีผลบังคับใช้ถาวร ทั้งนี้ โลแกนกล่าวว่า ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้เธอมองว่าเฟดจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อนำเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายอย่างยั่งยืน (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เล็งเก็บภาษีประเทศเล็ก 10% เตรียมส่งจดหมายแจ้งเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาวางแผนจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงประเทศในแอฟริกาและแคริบเบียน ในอัตราที่สูงกว่า 10% เล็กน้อย พร้อมเผยว่าจะส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีดังกล่าวเร็ว ๆ นี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ฐานทัพร่วมแอนดรูว์ส รัฐแมริแลนด์ เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า "เราอาจจะกำหนดภาษีอัตราเดียวสำหรับทุกประเทศเหล่านั้น" ซึ่งอาจ "มากกว่า 10% เล็กน้อย" สำหรับสินค้าจากอย่างน้อย 100 ประเทศ ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ เพิ่งประกาศบรรลุข้อตกลงกับอินโดนีเซีย ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนี้ อินโดนีเซียจะเสียภาษี 19% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังอินโดนีเซียจะปลอดจากอุปสรรคทางการค้า ทั้งภาษีศุลกากรและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ได้ส่งจดหมายถึงผู้นำหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงคู่ค้ารายใหญ่บางรายของสหรัฐฯ โดยประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราตั้งแต่ 20% ถึง 50% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังเผยด้วยว่า เขาอาจจะประกาศภาษีศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ยาในช่วงปลายเดือนนี้ (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" ออกโรงดับข่าวลือ ยันไม่มีแผนปลด "พาวเวล" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวยืนยันในวันนี้ว่า เขาไม่มีแผนที่จะปลดนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวเปิดเผยต่อสำนักข่าว CNBC ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แจ้งต่อสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกันว่า เขาจะปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่ง หลังจากได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคต่อการดำเนินการดังกล่าว เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นวานนี้ (15 ก.ค.) ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์รายงานว่า ปธน.ทรัมป์ถึงขั้นร่างจดหมายปลดนายพาวเวลไว้แล้ว และได้นำไปให้สมาชิกรัฐสภาดูในที่ประชุมดังกล่าว อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่แน่ชัด และการปลดนายพาวเวลอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในทันที อย่างไรก็ดี คำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อไม่นานมานี้ บ่งชี้ว่า ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจปลดเจ้าหน้าที่เฟดตามอำเภอใจ ส่วนนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวต่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กเช่นกันว่า เขาไม่คาดว่าปธน.ทรัมป์จะดำเนินการเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม นางแอนนา พอลินา ลูน่า ส.ส.รีพับลิกันจากรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขัดขวางร่างกฎหมายคริปโทฯวานนี้ ได้โพสต์ข้อความบน X ว่า การปลดนายพาวเวลกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐคนใดพยายามปลดผู้ว่าการเฟด แม้ว่าเคยมีการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำเฟดก็ตาม ปธน.ทรัมป์เป็นผู้เสนอชื่อนายพาวเวลให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดในเดือนพ.ย.2561 ต่อจากนางเจเน็ต เยลเลน ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังในสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยวุฒิสภาให้ความเห็นชอบนายพาวเวลในเดือนก.พ.2562 แต่เขาก็ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากปธน.ทรัมป์ทั้งในช่วงสมัยแรกและสมัยที่สองของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์แย้มชื่อ "เบสเซนต์" นั่งประธานเฟด แต่ก็ไม่อยากให้เป็น ชี้ชอบผลงานขุนคลัง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ถือเป็น "ตัวเลือกหนึ่ง" ที่จะมาทำหน้าที่แทนเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่ก็ปัดตกแนวคิดดังกล่าวแทบจะในทันที โดยให้เหตุผลว่าพอใจกับผลงานของเบสเซนต์ในตำแหน่งปัจจุบัน คำกล่าวนี้ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์พาวเวล ซึ่งมีมาอย่างยาวนานในประเด็นที่ว่า ประธานเฟดคนปัจจุบันผู้นี้ไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ในวันเดียวกันนี้ ทรัมป์ยังได้เปรยขึ้นมาอีกว่า ตนอาจปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งได้ โดยยกเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดที่บานปลายเกินงบประมาณ อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีไม่สามารถปลดประธานเฟดออกจากตำแหน่งได้ด้วยเหตุผลความขัดแย้งด้านนโยบายการเงิน ทั้งนี้ ทรัมป์เองเป็นผู้แต่งตั้งพาวเวล ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกัน ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.สมัยแรก ก่อนที่พาวเวลจะได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งในสมัยของปธน.โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ แต่ภาวะเงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้นั้น บรรดาคณะกรรมการของเฟดจึงแสดงท่าทีลังเลที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับปัจจุบันที่ 4.25%-4.5% โดยให้เหตุผลว่า มีความกังวลว่านโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์อาจเป็นชนวนให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นระลอกใหม่ได้ สำหรับบุคคลอื่นที่อาจได้รับการพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งแทนพาวเวล ซึ่งจะครบวาระในเดือนพ.ค. 2569 นั้น ประกอบด้วยเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด และเควิน แฮสเส็ตต์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ขณะที่เบสเซนต์เองก็ได้ยืนยันกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กแล้วว่า "กระบวนการอย่างเป็นทางการ" เพื่อสรรหาผู้สืบทอดตำแหน่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว (อินโฟเควสท์)
รมว.คลังสหรัฐฯ ปลอบตลาดไม่ต้องกังวลเส้นตายภาษีนำเข้าจีน 12 ส.ค.นี้ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมาให้ความมั่นใจต่อตลาดว่า เส้นตายการระงับใช้ภาษีนำเข้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่จะสิ้นสุดในเดือนหน้า อาจขยับได้ พร้อมยืนยันว่า การเจรจาระหว่างสองชาติกำลังคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี เบสเซนต์กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ Bloomberg Surveillance เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า ผมบอกกับนักลงทุนว่า อย่ากังวลกับวันที่ 12 ส.ค. ซึ่งหมายถึงเส้นตายสิ้นสุดช่วงพักชำระภาษี 90 วันที่ประกาศไว้เมื่อ 12 พ.ค. ถ้อยแถลงดังกล่าวมีแนวโน้มช่วยคลายความกังวลของตลาดที่เกรงว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอาจกลับมาตึงเครียดอีก หากอัตราภาษีหวนคืนสู่ระดับเดิมก่อนบรรลุข้อตกลงพักรบทางการค้า เบสเซนต์ยังเปิดเผยว่า เขาหวังจะหารือกับเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีนในเร็วๆ นี้ โดยอาจจัดการประชุมขึ้นในประเทศที่ 3 ทั้งก่อนหรือหลังการประชุมภายในของผู้นำจีนในช่วงต้นเดือนส.ค. เบสเซนต์ระบุว่า เรากำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องนี้ พร้อมเสริมว่า รัฐบาลจีนจะมีการประชุมสำคัญช่วงต้นเดือนหน้า เรากำลังพิจารณาว่าจะนัดเจอกันก่อนหรือหลังการประชุมนั้นดี ทั้งนี้ เบสเซนต์และคณะผู้แทนเจรจาการค้าสหรัฐฯ เคยหารือกับเจ้าหน้าที่จีน ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพ.ค. และบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ก่อนจะเดินหน้าหารือเพิ่มเติมในเดือนมิ.ย. ณ กรุงลอนดอน ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้บรรลุความเข้าใจร่วมกันในการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และแร่หายาก (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ร่วมประชุมยักษ์ใหญ่เทค-พลังงาน ผลักดันสหรัฐฯ ผู้นำ AI ท่ามกลางการลงทุนมหาศาล ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดกับผู้บริหารจากบริษัทเทคโนโลยีและพลังงานรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ในวันอังคาร (15 ก.ค.) ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในประเทศ การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ และจีน สองคู่แข่งทางเศรษฐกิจ กำลังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในสมรภูมิเทคโนโลยีเพื่อชิงความเป็นใหญ่ด้าน AI ซึ่งทวีความสำคัญขึ้นในทุกมิติ การประชุมสุดยอดด้านพลังงานและนวัตกรรม (Energy and Innovation Summit) ณ มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน มีเป้าหมายเพื่อหารือแนวทางผลักดันให้สหรัฐฯ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI โดยมีผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำเข้าร่วม อาทิ เมตา (Meta), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), อัลฟาเบท (Alphabet) และเอ็กซอนโมบิล (Exxon Mobil) ในงานนี้ ปธน.ทรัมป์และวุฒิสมาชิก เดฟ แมคคอร์มิก พันธมิตรจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงาน ได้เน้นย้ำถึงการลงทุนด้าน AI และพลังงานในรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่มบิ๊กเทคกำลังเร่งหาพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ใช้พลังงานมหาศาล ได้มีการประกาศข้อตกลงและการลงทุนครั้งสำคัญหลายรายการในวันอังคาร ได้แก่ แบล็กสโตน (Blackstone) บริษัทจัดการสินทรัพย์ ประกาศแผนลงทุน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในเพนซิลเวเนีย ขณะเดียวกัน คอร์วีฟ (CoreWeave) ประกาศลงทุน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI และกูเกิล (Google) บรรลุข้อตกลงมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังน้ำในสหรัฐฯ จากโรงไฟฟ้า 2 แห่งในเพนซิลเวเนีย ภายใต้สัญญาระยะยาว 20 ปี ความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นได้ผลักดันให้เกิดข้อตกลงที่ไม่เคยมีมาก่อนระหว่างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกับพลังงาน รวมถึงความพยายามที่จะกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทรีไมล์ไอส์แลนด์ (Three Mile Island) อีกครั้ง ทั้งนี้ การเติบโตของ AI ได้ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ซึ่งเคยซบเซามาเกือบ 2 ทศวรรษ กลับมาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาไฟฟ้าขาดแคลน ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น และความเสี่ยงที่จะเกิดไฟดับ ส่งผลให้กลุ่มบิ๊กเทคเผชิญอุปสรรคในการแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ รวมถึงคู่แข่งสำคัญอย่างจีน (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ออกโรงคลายปมขัดแย้งสส.รีพับลิกัน หวั่นโหวตคว่ำร่างกฎหมายคริปโทฯ เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ต้องออกโรงเป็นคนกลางเจรจากับสส. จากพรรครีพับลิกันด้วยกันเอง หลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันที่อาจทำให้ร่างกฎหมายคริปโทเคอร์เรนซีที่รอคอยกันมานานต้องหยุดชะงัก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากสภาผู้แทนราษฎรได้มีการลงมติในขั้นตอนทางระเบียบวาระในวันอังคาร แต่ผลกลับออกมาว่าเสียงไม่พอ ทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกปัดตกไปในเบื้องต้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวกับคริปโทฯ ร่วงลงทันที ทว่าในช่วงค่ำวันเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ได้ออกแถลงการณ์ว่า เขาได้เชิญสมาชิกสภาฯ 11 คน จาก 12 คนที่จำเป็นต่อการผ่านมตินี้ เข้าไปหารือที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว เดิมที พรรครีพับลิกันในสภาฯ ได้ประกาศให้สัปดาห์นี้เป็น "สัปดาห์คริปโทฯ" (Crypto Week) เพื่อผลักดันกฎหมายหลายฉบับที่มุ่งสร้างความชัดเจนและมอบความชอบธรรมให้แก่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เหตุที่การลงมติครั้งแรกกลับล้มเหลว ก็เพราะมีสมาชิกพรรครีพับลิกันสายอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่ง ไม่พอใจวิธีการที่ผู้นำในสภาฯ นำร่างกฎหมายคริปโทฯ 3 ฉบับมารวมพิจารณาเป็นชุดเดียวกัน พวกเขาจึงหันไปร่วมมือกับพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นฝ่ายค้าน เพื่อสกัดกั้นมติดังกล่าว ไม่นานหลังจากนั้น ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เขาวางแผนที่จะหารือกับสมาชิกต่อไปและหวังว่าจะมีการลงมติใหม่อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน สภาฯ ยังเตรียมพิจารณาร่างกฎหมายที่ห้ามไม่ให้สหรัฐฯ ออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง เนื่องจากฝ่ายรีพับลิกันกังวลว่ารัฐบาลอาจมีอำนาจควบคุมการเงินส่วนบุคคลของประชาชนได้มากเกินไป อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายนี้ยังไม่ถูกนำไปพิจารณาในวุฒิสภา และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็ยังไม่ได้แสดงความต้องการที่จะพัฒนาเงินดิจิทัลดังกล่าวแต่อย่างใด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 231.49 จุด หลังทรัมป์ปฏิเสธข่าวปลดพาวเวล ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (16 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปฏิเสธข่าวการปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยคำยืนยันของปธน.ทรัมป์ช่วยให้ตลาดพลิกกลับสู่แดนบวก หลังจากที่ร่วงลงในช่วงแรกทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,254.78 จุด เพิ่มขึ้น 231.49 จุด หรือ +0.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,263.70 จุด เพิ่มขึ้น 19.94 จุด หรือ +0.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,730.49 จุด เพิ่มขึ้น 52.69 จุด หรือ +0.25% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 14 เซนต์ กังวลสต็อกเชื้อเพลิงพุ่ง สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (16 ก.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากสต็อกเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 66.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.28% ปิดที่ 68.52 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า หลัง PPI ต่ำหนุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (16 ก.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.23% แตะที่ระดับ 98.392 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $22.40 รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (16 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์และข้อพิพาทด้านการค้า นอกจากนี้ ราคาทองคำยังพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงแรก หลังจากสื่อรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก่อนที่ราคาจะลดช่วงบวกหลังจากปธน.ทรัมป์ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 22.40 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ 3,359.10 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง หลังสหรัฐเผยดัชนี PPI ต่ำคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะเพิ่มโอกาสของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ณ เวลา 20.07 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.465% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.995% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
เงินเฟ้อ UK พุ่งเกินคาด แตะ 3.6% เดือนมิ.ย. สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการในวันนี้ (16 ก.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักร (UK) แตะระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปีที่ 3.6% ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นจาก 3.4% ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.4% อัตราเงินเฟ้อของ UK เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่แตะระดับต่ำสุดในรอบสามปีที่ 1.7% เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว โดยในเดือนพ.ค. ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 3.7% ในเดือนก.ย. ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางเกือบสองเท่า รายงานระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในช่วงเดือนพ.ค. และมิ.ย. หลังการเปิดเผยข้อมูล ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันให้ BoE ตัดสินใจไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนส.ค. ก่อนหน้านี้ ในเดือนเม.ย. อัตราเงินเฟ้อได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วไปอยู่ที่ 3.5% เนื่องจากมีการปรับขึ้นค่าสาธารณูปโภคที่ควบคุมโดยรัฐ เช่น ค่าน้ำและค่าไฟ ประกอบกับค่าโดยสารเครื่องบินที่พุ่งสูงขึ้น และแรงกดดันต่อต้นทุนการบริการที่ใช้แรงงานมาก จากการขึ้นภาษีการจ้างงานและค่าแรงขั้นต่ำ อย่างไรก็ตาม แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการ BoE กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะยังคงอยู่ในทิศทางที่ค่อย ๆ ปรับลดลง เนื่องจากตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงกำลังกดดันให้การเติบโตของค่าจ้างชะลอตัว และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงซบเซา BoE ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% นับตั้งแต่เดือนส.ค. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายของ BoE บางส่วนมีความกังวลว่า การที่ทักษะของแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และข้อจำกัดด้านอุปทานอื่น ๆ จะทำให้การเติบโตของค่าจ้างยังคงสูงขึ้นเร็วเกินไป จนทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่สามารถกลับสู่เป้าหมายได้ในเร็ววันนี้ อัตราเงินเฟ้อในภาคบริการ ซึ่งเป็นมาตรวัดที่ BoE มองว่าเป็นตัวชี้วัดแรงกดดันด้านราคาที่เกิดจากภายในประเทศได้ดีกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ยังคงอยู่ที่ระดับ 4.7% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลงแตะ 4.6% การคาดการณ์ของ BoE ในเดือนพ.ค. ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมายได้อีกครั้งในไตรมาสแรกของปี 2570 (อินโฟเควสท์)
ผู้ว่าฯ BoE เตือนสงครามการค้าทรัมป์กระทบครัวเรือนทั่วโลก แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่า สงครามการค้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังดำเนินอยู่นั้น เป็นแนวทางที่ผิดในการแก้ปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือน เบลีย์กล่าวสุนทรพจน์ประจำปีที่ Mansion House เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) โดยเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าและการเงินที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งกำลังบิดเบือนเศรษฐกิจและเป็นต้นตอของความตึงเครียดทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น เบลีย์ระบุว่า การหาจุดสมดุลระหว่างเศรษฐกิจโลกที่เปิดเสรีกับผลประโยชน์ของชาติ เป็นประเด็นที่มีมายาวนาน แต่กฎเกณฑ์ของกระบวนการที่ใช้นั้นต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ไม่ใช่การกำหนดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแม้จะมีอำนาจมากก็ตาม เพราะนั่นไม่ใช่ทางออกสำหรับเสถียรภาพที่ยั่งยืน แม้ทรัมป์ใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อหวังดึงงานอุตสาหกรรมกลับสู่สหรัฐฯ แต่เบลีย์เตือนว่า แผนนี้อาจส่งผลตรงกันข้าม โดยชี้ว่า การขึ้นภาษีนำเข้าเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกแตกแยกเป็นหลายส่วน และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง เบลีย์กล่าวทิ้งท้ายว่า เราต้องไม่ลืมว่าความท้าทายที่ทุกประเทศต้องเผชิญคือการผลักดันให้เศรษฐกิจโลกเติบโต เพื่อสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ คำเตือนของเบลีย์มีขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากทรัมป์ประกาศขู่รีดภาษีนำเข้า 30% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้เก็บภาษีนำเข้า 30% สำหรับสินค้าจากจีน และกำหนดอัตราภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% กับสินค้านำเข้าจากทั่วโลกยกเว้นเพียงบางรายการ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่ามาตรการภาษีดังกล่าวจะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (อินโฟเควสท์)
ผู้ว่าฯ BoE หนุน IMF แก้ปัญหาเศรษฐกิจโลก ชี้จีน-สหรัฐฯ ต้นเหตุความไม่สมดุล แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับความไม่สมดุลที่เสี่ยงต่อเสถียรภาพในเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นตอมาจากสหรัฐฯ และจีน โดยเขาเน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลก ควรดำเนินการในระดับพหุภาคี ไม่ใช่เพียงในระดับประเทศ เพราะจะทำให้การกำหนดนโยบายมีประสิทธิภาพมากกว่า เบลีย์กล่าวว่า IMF ควรใช้บทบาทในการจัดประชุมหารือร่วมกับประเทศสมาชิก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และควรร่วมมือกับองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อประเมินภาพรวมของระบบการค้าโลกอย่างรอบด้าน ทั้งนี้เขาเห็นว่า ความท้าทายสำคัญของเศรษฐกิจโลกคือการสร้างการเติบโตเพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนทั่วโลก เบลีย์มองว่า ปัญหาหลักของเศรษฐกิจโลกเกิดจากการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการเกินดุลอย่างมหาศาลและอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอของจีน เขาเรียกร้องให้จีนกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลส่วนเกิน ก่อนที่มาตรการกีดกันทางการค้าจะทวีความรุนแรง และก่อนที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความผันผวนด้านเศรษฐกิจมหภาคและความไม่มั่นคงทางการเงิน เบลีย์ยังกล่าวว่า ประเทศที่มีการขาดดุลมากมักจะเผชิญแรงกดดันจากตลาดการเงินมากที่สุด โดยปีนี้ตลาดมีความปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด ทำให้จำเป็นต้องติดตามและเฝ้าระวังความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินอย่างใกล้ชิด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ หุ้นกลุ่มชิปร่วงฉุดตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันพุธ (16 ก.ค.) โดยหุ้นกลุ่มชิปได้รับแรงกดดันอย่างหนัก หลังบริษัทเอเอสเอ็มแอล (ASML) เตือนว่ารายได้จะเติบโตลดลง ขณะที่รายงานที่ข่าวว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการปลด เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 541.84 จุด ลดลง 3.11 จุด หรือ -0.57% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,722.09 จุด ลดลง 44.12 จุด หรือ -0.57%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,009.38 จุด ลดลง 50.91 จุด หรือ -0.21% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,926.55 จุด ลดลง 11.77 จุด หรือ -0.13% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 11.77 จุด นลท.รอการเปิดเผยข้อมูลจ้างงาน-ค่าจ้างในอังกฤษ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันพุธ (16 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ มีแผนที่จะปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ขณะที่นักลงทุนรอการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของอังกฤษในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ระดับ 8,926.55 จุด ลดลง 11.77 จุด หรือ -0.13% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ความเชื่อมั่นผู้ผลิตญี่ปุ่นก.ค.ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังผวากำแพงภาษีสหรัฐฯ ผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ "ทังกัน" (Tankan) ของรอยเตอร์ ชี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้ผลิตในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนก.ค. และมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม้ว่ายังคงมีความกังวลเกี่ยวกับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก็ตาม ผลสำรวจรายเดือนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคการผลิตขยับขึ้นมาอยู่ที่ +7 ในเดือนก.ค. จากเดิมที่ +6 ในเดือนมิ.ย. ขณะที่ดัชนีของภาคบริการยังคงทรงตัวอยู่ที่ +30 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ข้อมูลดังกล่าวมาจากการสำรวจบริษัทรายใหญ่นอกภาคการเงินจำนวน 497 แห่ง โดยในจำนวนนี้มี 241 แห่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งจัดทำระหว่างวันที่ 2-11 ก.ค. ระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตคาดการณ์ว่าความเชื่อมั่นจะปรับตัวขึ้นอีกสู่ระดับ +8 ภายในเดือนต.ค. แต่ในทางกลับกัน กลุ่มธุรกิจภาคบริการกลับมองว่าแนวโน้มจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ +27 เมื่อเจาะลึกลงไปในภาคการผลิต พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวดีขึ้นจาก -16 ในเดือนมิ.ย. มาอยู่ที่ -4 ในเดือนก.ค. ส่วนกลุ่มผู้ผลิตเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นจาก +12 เป็น +18 โดยได้อานิสงส์จากความต้องการชิปที่เริ่มฟื้นตัว ในทางตรงกันข้าม กลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรขนส่ง ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์อันเป็นหัวใจสำคัญของญี่ปุ่น กลับมีทิศทางสวนทาง โดยดัชนีความเชื่อมั่นลดลงจาก +20 ในเดือนมิ.ย. เหลือเพียง +9 ในเดือนก.ค. โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกำแพงภาษีรถยนต์ 25% ของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและต้นทุน แม้ว่าภาพรวมความเชื่อมั่นจะยังอยู่ในแดนบวก แต่ผู้ผลิตญี่ปุ่นยังคงเฝ้าระวังความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยผู้ผลิตเครื่องจักรรายหนึ่งระบุว่า ลูกค้าเริ่มระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากผลของภาษีสหรัฐฯ และสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง ด้านภาคบริการมีทิศทางผสมผสานกันไป โดยความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ค้าส่งปรับตัวดีขึ้น แต่ความเชื่อมั่นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ การค้าปลีก ไอที และการขนส่งกลับลดลงจากเดือนมิ.ย. โดยผู้จัดการบริษัทค้าปลีกรายหนึ่งชี้ว่า บรรยากาศยังคงก้ำกึ่ง โดยซูเปอร์มาร์เก็ตได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สูงขึ้นหลังปรับขึ้นราคาได้สำเร็จ แต่ห้างสรรพสินค้ากลับมียอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวขาเข้า ผลสำรวจนี้จัดทำขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก กำลังเผชิญมรสุมจากความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลก โดยเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้หดตัวไปแล้วในไตรมาสแรกของปีจากการบริโภคที่ไม่คึกคัก และยอดส่งออกในเดือนพ.ค. ก็ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งหมายถึงการที่เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นรับทัพนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (16 ก.ค.) ว่า ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนเป็นจำนวนมากถึง 21.5 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ถือเป็นสถิติสูงสุด โดยความต้องการเดินทางยังคงสูงแม้อยู่นอกช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ข้อมูลระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้ ทำลายสถิติเดิมที่ระดับ 17.78 ล้านคนของปี 2567 ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนมิ.ย. มีจำนวนรวม 3.38 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ถือเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเดือนมิ.ย.เช่นกัน (อินโฟเควสท์)
ชาวญี่ปุ่นวางแผนใช้จ่ายซัมเมอร์นี้สูงเป็นประวัติการณ์ หลังบริษัทปรับขึ้นค่าจ้าง ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดเผย ชาวญี่ปุ่นวางแผนใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 100,000 เยนในช่วงวันหยุดฤดูร้อนปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่บริษัทใหญ่ ๆ ปรับขึ้นค่าจ้าง ผู้ตอบแบบสอบถาม 18.5% ระบุว่า พวกเขาตั้งใจใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 104,901 เยน (ราว 22,900 บาท) ทุบสถิติใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยทำลายสถิติ 89,296 เยนในปี 2558 สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อมูลดังกล่าวได้จากการสำรวจออนไลน์ที่บริษัทประกันชีวิต เมจิ ยาสึดะ (Meiji Yasuda Life Insurance Co.) จัดทำขึ้นในเดือนมิ.ย. โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 1,120 คน ในช่วงอายุ 20-50 ปี ในบรรดาผู้ตอบแบบสอบถามที่วางแผนเพิ่มการใช้จ่าย 74.9% ระบุว่า เหตุผลหลักคือเพื่อการท่องเที่ยว รองลงมา 27.5% ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามที่วางแผนจะลดการใช้จ่าย 62.0% กล่าวว่า พวกเขากำลังเผชิญกับงบประมาณที่จำกัดเนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ในขณะที่ 24.9% วางแผนออมเงินเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต งบประมาณเฉลี่ยของผู้ที่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศอยู่ที่ 151,938 เยน เพิ่มขึ้น 10.6% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากค่าที่พักที่พุ่งสูงขึ้นท่ามกลางจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน งบประมาณของผู้ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง 13.3% สู่ระดับ 380,051 เยน โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 40% ระบุว่า พวกเขาจะพกอาหารและเครื่องดื่มไปด้วยเพื่อประหยัดเงินท่ามกลางเงินเยนที่อ่อนค่าลง (อินโฟเควสท์)
จับตาศึกเลือกตั้งสว. ญี่ปุ่น 20 ก.ค. นี้ เปิด 3 ฉากทัศน์การเมืองหลังปิดหีบ-ชี้ชะตานายกฯ อิชิบะ ญี่ปุ่นเตรียมเปิดหีบเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจับตาเป็นพิเศษ ท่ามกลางบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ตึงเครียด ความนิยมรัฐบาลที่ลดลง และแรงกดดันจากฝ่ายค้านที่เข้มแข็งมากขึ้น แม้การเลือกตั้งวุฒิสภาในอดีตจะถูกมองว่าไม่มีอิทธิพลเทียบเท่าสภาผู้แทนราษฎร แต่สำหรับครั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจส่งผลโดยตรงต่ออนาคตของรัฐบาลผสม และตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 14.62 จุด จับตาเลือกตั้งสว.-ฤดูประกาศผลประกอบการ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบเล็กน้อยในวันนี้ (16 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการซื้อขาย เพราะมีความระมัดระวังมากขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในช่วงสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ตลอดจนการเข้าสู่ฤดูประกาศผลประกอบการในช่วงปลายเดือน สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,663.40 จุด ลดลง 14.62 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 1.22 จุด กังวลการค้าไม่แน่นอน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบเล็กน้อยในวันนี้ (16 ก.ค.) โดยปรับตัวลงต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนด้านการค้า ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาสัญญาณการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีนในช่วงเวลาที่จีนกำลังต่อสู้กับแรงกดดันด้านเงินฝืดและการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,503.78 จุด ลดลง 1.22 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
WTO เผยการค้าโลกโตกว่า 5% ใน Q1 แต่คาดแนวโน้มปี 68 อ่อนแอจากภาษีศุลกากร องค์การการค้าโลก (WTO) เปิดเผยในวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า ปริมาณการค้าโลกขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรกของปี 2568 แต่คาดว่าอัตราการขยายตัวของการค้าในปี 2568 จะชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร ข้อมูลล่าสุดของ WTO ระบุว่า ปริมาณการค้าโลกในไตรมาส 1 ขยายตัว 5.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี และขยายตัว 3.6% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จาก WTO คาดการณ์ว่า การเติบโตของปริมาณการค้าโลกจะอ่อนแรงลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะสร้างแรงกดดันต่ออุปสงค์การนำเข้าสินค้า สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า WTO ได้ระบุรายงาน Global Trade Outlook and Statistics ที่เผยแพร่ในเดือนเม.ย. ว่า ปริมาณการค้าโลกในปี 2568 จะลดลง 0.2% โดยเตือนถึงผลกระทบของการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) รวมทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า สำหรับข้อมูลที่ WTO เปิดเผยในวันอังคารนั้น เผยให้เห็นว่าปริมาณการค้าในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในไตรมาสแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งของการนำเข้า โดยในอเมริกาเหนือมีการเติบโตของการนำเข้าแข็งแกร่งที่สุดที่ 13.4% ตามมาด้วยแอฟริกา 5.1% ขณะที่ตะวันออกกลางเป็นผู้นำด้านการส่งออก โดยมีการเติบโตอยู่ที่ 6.3% ตามมาด้วยเอเชีย 5.6% เมื่อพิจารณาตามประเภทสินค้าพบว่า การค้าอุปกรณ์สำนักงานและโทรคมนาคมมีการเติบโตแข็งแกร่งที่สุดถึง 16% รองลงมาคือเคมีภัณฑ์ 12% และเสื้อผ้า 7% ในทางตรงกันข้าม การค้าผลิตภัณฑ์ยานยนต์ เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์จากเหมืองแร่ รวมทั้งเหล็กและเหล็กกล้าปรับตัวลดลง (อินโฟเควสท์)
โอเปกตรึงตัวเลขคาดการณ์ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกเพิ่ม 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 68-69 กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก (OPEC) ประกาศคงตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2568-2569 ไว้ที่ระดับเดิม โอเปกได้เปิดเผยคาดการณ์การเติบโตของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในรายงานตลาดน้ำมันประจำเดือนที่เผยแพร่ออกมาในวันนี้ (16 ก.ค.) โดยประมาณการว่า จะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ในปี 2568 และ 2569 ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากการประเมินเมื่อเดือนที่แล้ว นอกจากนี้ โอเปกคาดว่า ความต้องการน้ำมันจากกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) จะเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2568 ขณะที่ความต้องการจากประเทศนอกกลุ่ม OECD คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2568 ในด้านผลิตภัณฑ์น้ำมันนั้น ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2568 คาดว่าจะยังคงถูกขับเคลื่อนโดยความต้องการเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่ง สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกนั้น โอเปกคาดว่า เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในเส้นทางการเติบโตอย่างมั่นคง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โอเปกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.9% ในปี 2568 และ 3.1% ในปี 2569 ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
แบงก์ชาติอินโดนีเซียหั่นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% รับมือการค้าโลกชะลอตัว ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repurchase rate) ระยะเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลง 0.25% สู่ระดับ 5.25% ในการประชุมวันนี้ (16 ก.ค.) ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ในวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนก.ย. 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่อินโดนีเซียกำลังเผชิญกับการค้าโลกที่อ่อนแอลงและอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลง (อินโฟเควสท์)
เวียดนามตั้งเป้า GDP ปีนี้โตเกิน 8% แม้เผชิญความท้าทายรอบด้าน ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนามในไตรมาส 2/2568 เติบโต 7.96% เมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้นจาก 6.93% ในไตรมาสแรก ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลในการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนามเปิดเผยในวันนี้ (16 ก.ค.) ว่า รัฐบาลตั้งเป้าให้อัตราการเติบโตของ GDP ปีนี้อยู่ที่ 8.3%-8.5% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโต 7.09% ในปีที่แล้ว โดยรัฐบาลมองว่าเป้าหมายดังกล่าวจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการบรรลุอัตราการเติบโตระดับเลขสองหลักในช่วงปี 2569-2573 ทั้งนี้ สภานิติบัญญัติของเวียดนามได้อนุมัติเกณฑ์การเติบโตอย่างน้อย 8% สำหรับปีนี้แล้ว เวียดนามวางแผนปรับปรุงกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม อาทิ การบริโภคภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุน ควบคู่กับการเร่งพัฒนาปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ เช่น การเติบโตสีเขียวและเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างไรก็ตาม นายกฯ เวียดนามยอมรับว่า เวียดนามยังคงเผชิญความท้าทายจากความขัดแย้ง การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดทางการค้า การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถ้อยแถลงของผู้นำเวียดนามมีขึ้นไม่นานหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าข้อตกลงทางการค้ากับเวียดนามใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเมื่อต้นเดือนนี้ ทรัมป์ระบุว่าสินค้าจากเวียดนามจะถูกเก็บภาษีนำเข้า 20% และสินค้าที่ส่งต่อจากประเทศที่สามผ่านเวียดนามจะถูกเก็บภาษี 40% ซึ่งต่ำกว่าอัตรา 46% ที่ทรัมป์เคยขู่ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
อินเดียส่งออกไปสหรัฐฯ โต 23% นำเข้าหดตัว 10% ในมิ.ย. กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดียเปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 23.53% สู่ระดับ 8.3 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ขณะที่การนำเข้าลดลง 10.61% มาอยู่ที่ราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. การส่งออกสินค้าของอินเดียไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 22.18% สู่ระดับ 2.551 หมื่นล้านดอลลาร์ และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 11.68% เป็น 1.286 หมื่นล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดียในไตรมาส เดือนเม.ย.-มิ.ย. 2568 ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังเจรจาข้อตกลงทางการค้า โดยรายงานข่าวระบุว่า ทีมอินเดียอยู่ที่กรุงวอชิงตันเพื่อเจรจารอบที่ 5 สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวมของอินเดียในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. 2568 อยู่ที่ประมาณ 2.1031 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมบริการ อยู่ที่ 1.1217 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.92% และมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมัน อยู่ที่ 9.477 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของส่งออก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยาและเวชภัณฑ์ สินค้าวิศวกรรม ผลิตภัณฑ์ทางทะเล และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม และสัตว์ปีก (อินโฟเควสท์)
เศรษฐกิจเม็กซิโกเสี่ยงทรุด หากทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า 30% มูดี้ส์ อนาไลติคส์ (Moody’s Analytics) คาดการณ์ว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก 30% อาจทำให้เศรษฐกิจของเม็กซิโกหดตัวลงถึง 1 จุดเปอร์เซ็นต์ภายในปีหน้า มูดี้ส์เปิดเผยว่า การประเมินดังกล่าวอ้างอิงจากประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งระบุว่า อัตราภาษีใหม่ 30% จะมีผลบังคับใช้ในเดือนส.ค.นี้ อัลเฟรโด คูตินโญ หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจลาตินอเมริกาของมูดี้ส์ อนาไลติคส์กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อดุลการค้าของเม็กซิโก โดยทำให้ราคาสินค้าของเม็กซิโกสูงขึ้นและไม่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกัน ซึ่งจะส่งผลให้คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ลดลง และส่งผลต่อเนื่องต่อการผลิตและการจ้างงานภายในประเทศเม็กซิโก รายงานของมูดี้ส์ระบุว่า ผลกระทบจะปรากฏทันทีในรูปแบบของการส่งออกจากเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ ที่ลดลง 3.4% ภายในช่วง 3 เดือนแรกของการเก็บภาษีรอบใหม่ และหากนับรวมตลอดทั้งปี การส่งออกทั้งหมดอาจลดลงราว 2.6% เมื่อคำนึงถึงผลกระทบเพิ่มเติมจากการนำเข้า ค่าเงิน และปัจจัยอื่น ๆ มาตรการภาษีล่าสุดของสหรัฐฯ นี้จะซ้ำเติมกำแพงภาษีการค้าเดิม เช่น ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม รวมถึงโควตานำเข้ามะเขือเทศที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้ เศรษฐกิจเม็กซิโก ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลาตินอเมริกา รองจากบราซิลนั้น เติบโตเพียง 1.4% ในปี 2567 ลดลงจาก 3.3% ในปี 2566 (อินโฟเควสท์)
เยเมนยึดอาวุธ 750 ตัน ส่งจากอิหร่านเตรียมถึงมือกบฏฮูตี ทางการเยเมน ซึ่งได้รับการรับรองจากนานาชาติ ประกาศว่า รัฐบาลสามารถยึดอาวุธน้ำหนักรวม 750 ตันในทะเลแดง โดยอาวุธดังกล่าวรวมถึงระบบขีปนาวุธหลากหลายประเภท นายตาเร็ก โมฮัมเหม็ด ซาเลห์ สมาชิกสภาผู้นำของประธานาธิบดีเยเมน และผู้บัญชาการกองกำลังต่อต้านแห่งชาติ โพสต์ข้อความบน X ระบุว่า อาวุธที่ถูกยึดประกอบด้วย ระบบขีปนาวุธทางเรือและทางอากาศ, ระบบป้องกันภัยทางอากาศ, อุปกรณ์เรดาร์รุ่นใหม่, โดรน, อุปกรณ์ดักฟัง, ปืนใหญ่ B-10, เลนส์ติดตามเป้าหมาย, ปืนไรเฟิลซุ่มยิง, กระสุน และยุทโธปกรณ์ทางทหารอื่น ๆ เจ้าหน้าที่เยเมนรายนี้ยังได้เผยแพร่วิดีโอที่เขาระบุว่าเป็นภาพของอาวุธที่ยึดได้ ซึ่งแสดงให้เห็นยุทโธปกรณ์ใหม่และหลากหลายจำนวนมากที่บรรทุกอยู่บนเรือ นายซาเลห์กล่าวว่า เรือบรรทุกอาวุธลำนี้กำลังเดินทางออกจากอิหร่านไปยังกลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งครอบครองกรุงซานาและจังหวัดทางตอนเหนือของเยเมน ที่ผ่านมา รัฐบาลเยเมนได้กล่าวหาอิหร่านว่าเป็นผู้จัดหาอาวุธให้แก่กลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งอิหร่านก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดบวก หุ้นแบงก์นำตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยมีการซื้อขายในกรอบแคบ ขณะที่นักลงทุนชะลอการซื้อขาย ท่ามกลางแนวโน้มตลาดที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,634.48 บวก 63.57 จุด หรือ 0.07% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ผู้ว่าฯ ธปท.รอภาษีทรัมป์ชัด ก่อนประเมินผลศก.ไทย แนะขยายสัดส่วนค้ำประกัน เพิ่มโอกาส SME เข้าถึงสินเชื่อ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ขณะนี้อาจยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทย จากมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ (Reciprocal Tariff) เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาของทีมไทยแลนด์ ซึ่งแม้บางประเทศจะเริ่มเห็นความชัดเจนออกมาแล้ว แต่ในส่วนของไทยนั้น ต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้วผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของการเร่งเจรจาให้จบ เพื่อทำให้ทุกอย่างเกิดความชัดเจน ทั้งนี้ สำหรับการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นั้น จำเป็นต้องทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจ รวมถึงภาคการเงินที่จะต้องหันหาเข้าหากัน โดย ธปท.ได้มีการประชุมร่วมกัน ทั้งกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อร่วมกันวางมาตรการการรองรับผลกระทบ ซึ่งนอกจากมาตรการเยียวยาแล้ว แต่ยังมีเรื่องของระยะยาวในการปรับตัว และยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วย สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นั้น มาจากหลายช่องทาง คือ 1.กลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯ โดยตรง และกลุ่มที่เราเป็นห่วงมาโดยตลอด คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาในไทย จากที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ เช่น กลุ่มเสื้อผ้า, เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SME และมีความเปราะบางสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 3.38 จุดพักตัวหวั่นเฟดชะลอลดดอกเบี้ยหลังเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ลุ้นเจรจาการค้าสหรัฐ-ไทย SET ปิดวันนี้ที่ 1,157.63 จุด ลดลง 3.38 จุด (-0.29%) มูลค่าซื้อขาย 42,928.06 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีแกว่งไซด์เวย์ พักตัวตลอดวัน หลังฟื้นตัวขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง มีปัจจัยเชิงลบจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาดเล็กน้อย เข้ามากดดันว่าเฟดจะชะลอปรับลดอัตราดอกเบี้ย และรวมถึง ข่าวอินโดนีเซียบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 19% น้อยลงจาก 32% ก่อนหน้านี้ เข้ามากดดันตลาดหุ้นไทยในบางส่วน แต่ตลาดก็เริ่มมีความหวังว่าไทยจะสามารถเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย หรือหมายความว่าอาจจะได้ข้อสรุปที่ดีกว่าหรือเทียบเท่าเวียดนาม แนวโน้มวันพรุ่งนี้ คาดดัชนีแกว่งออกข้าง ถึงฟื้นตัว แนะนำให้ติดตามการเจรจาการค้าต่อไป พร้อมให้กรอบแนวต้าน 1,168 - 1,175 จุด แนวรับ 1,150 - 1,145 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,157.63 จุด ลดลง 3.38 จุด (-0.29%) มูลค่าซื้อขาย 42,928.06 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวสลับแดนลบ-บวก โดยทำระดับสูงสุด 1,167.80 จุด และต่ำสุด 1,154.13 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 176 หลักทรัพย์ ลดลง 272 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 202 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.52 ทรงตัวจากช่วงเช้า ตลาดจับตาตัวเลข PPI สหรัฐคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.52 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.51/52 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.45-32.57 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทและสกุลเงินในภูมิภาควันนี้เคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า โดยยังคงย่อยข่าวตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาว่าสูงกว่าคาดเมื่อคืนนี้ สำหรับคืนนี้ตลาดรอดูดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย. ของสหรัฐฯ ซึ่งถ้าออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ตลาดมองว่าอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยได้ยากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าต่อ และทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.45 - 32.65 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 73,626 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 73,626 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 5,859 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 625 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 680 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.39% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-3 bps. ในตราสารระยะยาว ทิศทางเดียวกับผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลในวันนี้รุ่น LB726A อายุ 50 ปี วงเงิน 7,000 ล้านบาทอัตราผลตอบแทนของผลประมูลอยู่ที่ 2.23% ต่ำกว่า Yield ตลาดของวันก่อนหน้า 9 bps. โดยมีผู้สนใจยื่นประมูลสูงถึง 2.77 เท่าของวงเงิน และรุ่น SLB406A อายุ 15 ปี วงเงิน 15,000 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของผลประมูลอยู่ที่ 1.7031% เท่ากับ Yield ตลาดของวันก่อนหน้า โดยมีผู้สนใจยื่นประมูลสูงถึง 2.25 เท่าของวงเงิน สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 680 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 680 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) ประจำเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.7%(YoY) สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.6% ขณะที่รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักร (UK) ประจำเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.6% สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.4% ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (Beige Book) ในคืนนี้ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ สหรัฐฯ
ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
ดัชนีการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ
สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ค. สหรัฐฯ
ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนี PPI +2.3% เดือนมิ.ย. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนมิ.ย.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. หรือปรับตัว 0.0% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าปรับตัวขึ้น 0.2% หลังจากดีดตัว 0.3% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7% จากระดับ 3.2% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. หรือปรับตัว 0.0% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าปรับตัวขึ้น 0.2% หลังจากดีดตัว 0.4% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง หลังดอกเบี้ยเงินกู้ดีดตัว สมาคมธนาคารเพื่อการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยร่วงลง 10% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวขึ้น ทั้งนี้ จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง 12% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนจำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ลดลง 7% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อที่อยู่อาศัยแบบคงที่ระยะเวลา 30 ปี สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 806,500 ดอลลาร์ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 6.82% จากระดับ 6.77% ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมสูงกว่าคาดในเดือนมิ.ย. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.1% หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค การผลิตในภาคเหมืองแร่ลดลง 0.3% ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 2.8% ส่วนการผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี การผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 213,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากลดลง 2.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรล หลังจากลดลง 825,000 บาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เปรยอาจเริ่มเก็บภาษีนำเข้ายา-เซมิคอนดักเตอร์สิ้นเดือนนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวในวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเริ่มบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาในช่วงสิ้นเดือนนี้ โดยจะค่อย ๆ ทยอยเก็บภาษีเพื่อให้บริษัทยามีเวลาในการสร้างโรงงานผลิตในสหรัฐฯ "น่าจะเป็นช่วงสิ้นเดือนนี้ เราจะเริ่มเก็บภาษีศุลกากรขั้นต่ำ และให้เวลาบริษัทยาประมาณหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นในการสร้างโรงงาน จากนั้นเราจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงมาก" ทรัมป์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวหลังกลับมาจากการร่วมงานสาธารณะที่เมืองพิตต์สเบิร์ก ทรัมป์ยังเปิดเผยด้วยว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยา แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลจะเสร็จสิ้นการตรวจสอบความมั่นคงแห่งชาติว่าด้วยการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และผลิตภัณฑ์ยาภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าทรัมป์อาจประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวในอีกไม่นานนี้ ทั้งนี้ การตรวจสอบดังกล่าวดำเนินการภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมายการขยายการค้า พ.ศ. 2505 ซึ่งให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการปรับเปลี่ยนการนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ หากพิจารณาแล้วว่าสินค้าดังกล่าวอาจคุกคามความมั่นคงของชาติ (อินโฟเควสท์)
ปธ.เฟดดัลลัสแนะตรึงดอกเบี้ยนานขึ้น กังวลเงินเฟ้อยังสูง ลอรี โลแกน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดอาจจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อให้คงอยู่ที่ระดับต่ำ ในช่วงเวลาที่แรงกดดันด้านราคาเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โลแกนกล่าวในการประชุม World Affairs Council of San Antonio เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า เฟดจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน การแสดงความเห็นของโลกแกนมีขึ้นหลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.ของสหรัฐฯ ออกมาสูงเกินคาด โดยโลแกนกล่าวในเรื่องนี้ว่า เธอต้องการเห็นเงินเฟ้อที่ระดับต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานขึ้น ก่อนที่จะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ย โลแกนกล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยง และอาจต้องใช้เวลาที่นานขึ้นกว่าที่ราคาจะมีเสถียรภาพ แต่ในขณะเดียวกันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช้าเกินไปก็เสี่ยงที่จะทำให้ตลาดแรงงานอ่อนแอลงอีก แม้ว่าเฟดมีทางเลือกในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อให้การจ้างงานกลับสู่ทิศทางที่ถูกต้องก็ตาม นอกจากนี้ โลแกนกล่าวว่า การที่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ตลาดหุ้นอยู่ในระดับใกล้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งนโยบายการคลังของรัฐบาลนั้น ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา สภาคองเกรสได้ผ่านร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" หรือร่างกฎหมายลดหย่อนภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายขนานใหญ่มูลค่ารวมหลายล้านล้านดอลลาร์ของปธน.ทรัมป์ ซึ่งการผ่านกฎหมายดังกล่าวจะทำให้นโยบายการลดหย่อนภาษีที่ทรัมป์เคยริเริ่มไว้ในปี 2560 มีผลบังคับใช้ถาวร ทั้งนี้ โลแกนกล่าวว่า ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้เธอมองว่าเฟดจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อนำเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายอย่างยั่งยืน (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เล็งเก็บภาษีประเทศเล็ก 10% เตรียมส่งจดหมายแจ้งเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาวางแผนจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงประเทศในแอฟริกาและแคริบเบียน ในอัตราที่สูงกว่า 10% เล็กน้อย พร้อมเผยว่าจะส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีดังกล่าวเร็ว ๆ นี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ฐานทัพร่วมแอนดรูว์ส รัฐแมริแลนด์ เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า "เราอาจจะกำหนดภาษีอัตราเดียวสำหรับทุกประเทศเหล่านั้น" ซึ่งอาจ "มากกว่า 10% เล็กน้อย" สำหรับสินค้าจากอย่างน้อย 100 ประเทศ ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ เพิ่งประกาศบรรลุข้อตกลงกับอินโดนีเซีย ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนี้ อินโดนีเซียจะเสียภาษี 19% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังอินโดนีเซียจะปลอดจากอุปสรรคทางการค้า ทั้งภาษีศุลกากรและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ได้ส่งจดหมายถึงผู้นำหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงคู่ค้ารายใหญ่บางรายของสหรัฐฯ โดยประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราตั้งแต่ 20% ถึง 50% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังเผยด้วยว่า เขาอาจจะประกาศภาษีศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ยาในช่วงปลายเดือนนี้ (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" ออกโรงดับข่าวลือ ยันไม่มีแผนปลด "พาวเวล" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวยืนยันในวันนี้ว่า เขาไม่มีแผนที่จะปลดนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวเปิดเผยต่อสำนักข่าว CNBC ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แจ้งต่อสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกันว่า เขาจะปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่ง หลังจากได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคต่อการดำเนินการดังกล่าว เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นวานนี้ (15 ก.ค.) ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์รายงานว่า ปธน.ทรัมป์ถึงขั้นร่างจดหมายปลดนายพาวเวลไว้แล้ว และได้นำไปให้สมาชิกรัฐสภาดูในที่ประชุมดังกล่าว อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่แน่ชัด และการปลดนายพาวเวลอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในทันที อย่างไรก็ดี คำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อไม่นานมานี้ บ่งชี้ว่า ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจปลดเจ้าหน้าที่เฟดตามอำเภอใจ ส่วนนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวต่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กเช่นกันว่า เขาไม่คาดว่าปธน.ทรัมป์จะดำเนินการเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม นางแอนนา พอลินา ลูน่า ส.ส.รีพับลิกันจากรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขัดขวางร่างกฎหมายคริปโทฯวานนี้ ได้โพสต์ข้อความบน X ว่า การปลดนายพาวเวลกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐคนใดพยายามปลดผู้ว่าการเฟด แม้ว่าเคยมีการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำเฟดก็ตาม ปธน.ทรัมป์เป็นผู้เสนอชื่อนายพาวเวลให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดในเดือนพ.ย.2561 ต่อจากนางเจเน็ต เยลเลน ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังในสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยวุฒิสภาให้ความเห็นชอบนายพาวเวลในเดือนก.พ.2562 แต่เขาก็ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากปธน.ทรัมป์ทั้งในช่วงสมัยแรกและสมัยที่สองของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์แย้มชื่อ "เบสเซนต์" นั่งประธานเฟด แต่ก็ไม่อยากให้เป็น ชี้ชอบผลงานขุนคลัง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ถือเป็น "ตัวเลือกหนึ่ง" ที่จะมาทำหน้าที่แทนเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่ก็ปัดตกแนวคิดดังกล่าวแทบจะในทันที โดยให้เหตุผลว่าพอใจกับผลงานของเบสเซนต์ในตำแหน่งปัจจุบัน คำกล่าวนี้ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์พาวเวล ซึ่งมีมาอย่างยาวนานในประเด็นที่ว่า ประธานเฟดคนปัจจุบันผู้นี้ไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ในวันเดียวกันนี้ ทรัมป์ยังได้เปรยขึ้นมาอีกว่า ตนอาจปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งได้ โดยยกเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดที่บานปลายเกินงบประมาณ อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีไม่สามารถปลดประธานเฟดออกจากตำแหน่งได้ด้วยเหตุผลความขัดแย้งด้านนโยบายการเงิน ทั้งนี้ ทรัมป์เองเป็นผู้แต่งตั้งพาวเวล ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกัน ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.สมัยแรก ก่อนที่พาวเวลจะได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งในสมัยของปธน.โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ แต่ภาวะเงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้นั้น บรรดาคณะกรรมการของเฟดจึงแสดงท่าทีลังเลที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับปัจจุบันที่ 4.25%-4.5% โดยให้เหตุผลว่า มีความกังวลว่านโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์อาจเป็นชนวนให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นระลอกใหม่ได้ สำหรับบุคคลอื่นที่อาจได้รับการพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งแทนพาวเวล ซึ่งจะครบวาระในเดือนพ.ค. 2569 นั้น ประกอบด้วยเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด และเควิน แฮสเส็ตต์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ขณะที่เบสเซนต์เองก็ได้ยืนยันกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กแล้วว่า "กระบวนการอย่างเป็นทางการ" เพื่อสรรหาผู้สืบทอดตำแหน่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว (อินโฟเควสท์)
รมว.คลังสหรัฐฯ ปลอบตลาดไม่ต้องกังวลเส้นตายภาษีนำเข้าจีน 12 ส.ค.นี้ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมาให้ความมั่นใจต่อตลาดว่า เส้นตายการระงับใช้ภาษีนำเข้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่จะสิ้นสุดในเดือนหน้า อาจขยับได้ พร้อมยืนยันว่า การเจรจาระหว่างสองชาติกำลังคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี เบสเซนต์กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ Bloomberg Surveillance เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า ผมบอกกับนักลงทุนว่า อย่ากังวลกับวันที่ 12 ส.ค. ซึ่งหมายถึงเส้นตายสิ้นสุดช่วงพักชำระภาษี 90 วันที่ประกาศไว้เมื่อ 12 พ.ค. ถ้อยแถลงดังกล่าวมีแนวโน้มช่วยคลายความกังวลของตลาดที่เกรงว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอาจกลับมาตึงเครียดอีก หากอัตราภาษีหวนคืนสู่ระดับเดิมก่อนบรรลุข้อตกลงพักรบทางการค้า เบสเซนต์ยังเปิดเผยว่า เขาหวังจะหารือกับเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีนในเร็วๆ นี้ โดยอาจจัดการประชุมขึ้นในประเทศที่ 3 ทั้งก่อนหรือหลังการประชุมภายในของผู้นำจีนในช่วงต้นเดือนส.ค. เบสเซนต์ระบุว่า เรากำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องนี้ พร้อมเสริมว่า รัฐบาลจีนจะมีการประชุมสำคัญช่วงต้นเดือนหน้า เรากำลังพิจารณาว่าจะนัดเจอกันก่อนหรือหลังการประชุมนั้นดี ทั้งนี้ เบสเซนต์และคณะผู้แทนเจรจาการค้าสหรัฐฯ เคยหารือกับเจ้าหน้าที่จีน ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพ.ค. และบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ก่อนจะเดินหน้าหารือเพิ่มเติมในเดือนมิ.ย. ณ กรุงลอนดอน ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้บรรลุความเข้าใจร่วมกันในการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และแร่หายาก (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ร่วมประชุมยักษ์ใหญ่เทค-พลังงาน ผลักดันสหรัฐฯ ผู้นำ AI ท่ามกลางการลงทุนมหาศาล ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดกับผู้บริหารจากบริษัทเทคโนโลยีและพลังงานรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ในวันอังคาร (15 ก.ค.) ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในประเทศ การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ และจีน สองคู่แข่งทางเศรษฐกิจ กำลังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในสมรภูมิเทคโนโลยีเพื่อชิงความเป็นใหญ่ด้าน AI ซึ่งทวีความสำคัญขึ้นในทุกมิติ การประชุมสุดยอดด้านพลังงานและนวัตกรรม (Energy and Innovation Summit) ณ มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน มีเป้าหมายเพื่อหารือแนวทางผลักดันให้สหรัฐฯ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI โดยมีผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำเข้าร่วม อาทิ เมตา (Meta), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), อัลฟาเบท (Alphabet) และเอ็กซอนโมบิล (Exxon Mobil) ในงานนี้ ปธน.ทรัมป์และวุฒิสมาชิก เดฟ แมคคอร์มิก พันธมิตรจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงาน ได้เน้นย้ำถึงการลงทุนด้าน AI และพลังงานในรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่มบิ๊กเทคกำลังเร่งหาพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ใช้พลังงานมหาศาล ได้มีการประกาศข้อตกลงและการลงทุนครั้งสำคัญหลายรายการในวันอังคาร ได้แก่ แบล็กสโตน (Blackstone) บริษัทจัดการสินทรัพย์ ประกาศแผนลงทุน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในเพนซิลเวเนีย ขณะเดียวกัน คอร์วีฟ (CoreWeave) ประกาศลงทุน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI และกูเกิล (Google) บรรลุข้อตกลงมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังน้ำในสหรัฐฯ จากโรงไฟฟ้า 2 แห่งในเพนซิลเวเนีย ภายใต้สัญญาระยะยาว 20 ปี ความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นได้ผลักดันให้เกิดข้อตกลงที่ไม่เคยมีมาก่อนระหว่างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกับพลังงาน รวมถึงความพยายามที่จะกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทรีไมล์ไอส์แลนด์ (Three Mile Island) อีกครั้ง ทั้งนี้ การเติบโตของ AI ได้ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ซึ่งเคยซบเซามาเกือบ 2 ทศวรรษ กลับมาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาไฟฟ้าขาดแคลน ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น และความเสี่ยงที่จะเกิดไฟดับ ส่งผลให้กลุ่มบิ๊กเทคเผชิญอุปสรรคในการแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ รวมถึงคู่แข่งสำคัญอย่างจีน (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ออกโรงคลายปมขัดแย้งสส.รีพับลิกัน หวั่นโหวตคว่ำร่างกฎหมายคริปโทฯ เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ต้องออกโรงเป็นคนกลางเจรจากับสส. จากพรรครีพับลิกันด้วยกันเอง หลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันที่อาจทำให้ร่างกฎหมายคริปโทเคอร์เรนซีที่รอคอยกันมานานต้องหยุดชะงัก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากสภาผู้แทนราษฎรได้มีการลงมติในขั้นตอนทางระเบียบวาระในวันอังคาร แต่ผลกลับออกมาว่าเสียงไม่พอ ทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกปัดตกไปในเบื้องต้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวกับคริปโทฯ ร่วงลงทันที ทว่าในช่วงค่ำวันเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ได้ออกแถลงการณ์ว่า เขาได้เชิญสมาชิกสภาฯ 11 คน จาก 12 คนที่จำเป็นต่อการผ่านมตินี้ เข้าไปหารือที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว เดิมที พรรครีพับลิกันในสภาฯ ได้ประกาศให้สัปดาห์นี้เป็น "สัปดาห์คริปโทฯ" (Crypto Week) เพื่อผลักดันกฎหมายหลายฉบับที่มุ่งสร้างความชัดเจนและมอบความชอบธรรมให้แก่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เหตุที่การลงมติครั้งแรกกลับล้มเหลว ก็เพราะมีสมาชิกพรรครีพับลิกันสายอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่ง ไม่พอใจวิธีการที่ผู้นำในสภาฯ นำร่างกฎหมายคริปโทฯ 3 ฉบับมารวมพิจารณาเป็นชุดเดียวกัน พวกเขาจึงหันไปร่วมมือกับพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นฝ่ายค้าน เพื่อสกัดกั้นมติดังกล่าว ไม่นานหลังจากนั้น ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เขาวางแผนที่จะหารือกับสมาชิกต่อไปและหวังว่าจะมีการลงมติใหม่อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน สภาฯ ยังเตรียมพิจารณาร่างกฎหมายที่ห้ามไม่ให้สหรัฐฯ ออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง เนื่องจากฝ่ายรีพับลิกันกังวลว่ารัฐบาลอาจมีอำนาจควบคุมการเงินส่วนบุคคลของประชาชนได้มากเกินไป อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายนี้ยังไม่ถูกนำไปพิจารณาในวุฒิสภา และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็ยังไม่ได้แสดงความต้องการที่จะพัฒนาเงินดิจิทัลดังกล่าวแต่อย่างใด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 231.49 จุด หลังทรัมป์ปฏิเสธข่าวปลดพาวเวล ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (16 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปฏิเสธข่าวการปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยคำยืนยันของปธน.ทรัมป์ช่วยให้ตลาดพลิกกลับสู่แดนบวก หลังจากที่ร่วงลงในช่วงแรกทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,254.78 จุด เพิ่มขึ้น 231.49 จุด หรือ +0.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,263.70 จุด เพิ่มขึ้น 19.94 จุด หรือ +0.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,730.49 จุด เพิ่มขึ้น 52.69 จุด หรือ +0.25% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 14 เซนต์ กังวลสต็อกเชื้อเพลิงพุ่ง สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (16 ก.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากสต็อกเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 66.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.28% ปิดที่ 68.52 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า หลัง PPI ต่ำหนุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (16 ก.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.23% แตะที่ระดับ 98.392 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $22.40 รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (16 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์และข้อพิพาทด้านการค้า นอกจากนี้ ราคาทองคำยังพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงแรก หลังจากสื่อรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก่อนที่ราคาจะลดช่วงบวกหลังจากปธน.ทรัมป์ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 22.40 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ 3,359.10 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง หลังสหรัฐเผยดัชนี PPI ต่ำคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะเพิ่มโอกาสของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ณ เวลา 20.07 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.465% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.995% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
เงินเฟ้อ UK พุ่งเกินคาด แตะ 3.6% เดือนมิ.ย. สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการในวันนี้ (16 ก.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักร (UK) แตะระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปีที่ 3.6% ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นจาก 3.4% ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.4% อัตราเงินเฟ้อของ UK เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่แตะระดับต่ำสุดในรอบสามปีที่ 1.7% เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว โดยในเดือนพ.ค. ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 3.7% ในเดือนก.ย. ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางเกือบสองเท่า รายงานระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในช่วงเดือนพ.ค. และมิ.ย. หลังการเปิดเผยข้อมูล ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันให้ BoE ตัดสินใจไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนส.ค. ก่อนหน้านี้ ในเดือนเม.ย. อัตราเงินเฟ้อได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วไปอยู่ที่ 3.5% เนื่องจากมีการปรับขึ้นค่าสาธารณูปโภคที่ควบคุมโดยรัฐ เช่น ค่าน้ำและค่าไฟ ประกอบกับค่าโดยสารเครื่องบินที่พุ่งสูงขึ้น และแรงกดดันต่อต้นทุนการบริการที่ใช้แรงงานมาก จากการขึ้นภาษีการจ้างงานและค่าแรงขั้นต่ำ อย่างไรก็ตาม แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการ BoE กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะยังคงอยู่ในทิศทางที่ค่อย ๆ ปรับลดลง เนื่องจากตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงกำลังกดดันให้การเติบโตของค่าจ้างชะลอตัว และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงซบเซา BoE ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% นับตั้งแต่เดือนส.ค. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายของ BoE บางส่วนมีความกังวลว่า การที่ทักษะของแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และข้อจำกัดด้านอุปทานอื่น ๆ จะทำให้การเติบโตของค่าจ้างยังคงสูงขึ้นเร็วเกินไป จนทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่สามารถกลับสู่เป้าหมายได้ในเร็ววันนี้ อัตราเงินเฟ้อในภาคบริการ ซึ่งเป็นมาตรวัดที่ BoE มองว่าเป็นตัวชี้วัดแรงกดดันด้านราคาที่เกิดจากภายในประเทศได้ดีกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ยังคงอยู่ที่ระดับ 4.7% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลงแตะ 4.6% การคาดการณ์ของ BoE ในเดือนพ.ค. ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมายได้อีกครั้งในไตรมาสแรกของปี 2570 (อินโฟเควสท์)
ผู้ว่าฯ BoE เตือนสงครามการค้าทรัมป์กระทบครัวเรือนทั่วโลก แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่า สงครามการค้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังดำเนินอยู่นั้น เป็นแนวทางที่ผิดในการแก้ปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือน เบลีย์กล่าวสุนทรพจน์ประจำปีที่ Mansion House เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) โดยเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าและการเงินที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งกำลังบิดเบือนเศรษฐกิจและเป็นต้นตอของความตึงเครียดทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น เบลีย์ระบุว่า การหาจุดสมดุลระหว่างเศรษฐกิจโลกที่เปิดเสรีกับผลประโยชน์ของชาติ เป็นประเด็นที่มีมายาวนาน แต่กฎเกณฑ์ของกระบวนการที่ใช้นั้นต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ไม่ใช่การกำหนดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแม้จะมีอำนาจมากก็ตาม เพราะนั่นไม่ใช่ทางออกสำหรับเสถียรภาพที่ยั่งยืน แม้ทรัมป์ใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อหวังดึงงานอุตสาหกรรมกลับสู่สหรัฐฯ แต่เบลีย์เตือนว่า แผนนี้อาจส่งผลตรงกันข้าม โดยชี้ว่า การขึ้นภาษีนำเข้าเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกแตกแยกเป็นหลายส่วน และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง เบลีย์กล่าวทิ้งท้ายว่า เราต้องไม่ลืมว่าความท้าทายที่ทุกประเทศต้องเผชิญคือการผลักดันให้เศรษฐกิจโลกเติบโต เพื่อสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ คำเตือนของเบลีย์มีขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากทรัมป์ประกาศขู่รีดภาษีนำเข้า 30% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้เก็บภาษีนำเข้า 30% สำหรับสินค้าจากจีน และกำหนดอัตราภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% กับสินค้านำเข้าจากทั่วโลกยกเว้นเพียงบางรายการ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่ามาตรการภาษีดังกล่าวจะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (อินโฟเควสท์)
ผู้ว่าฯ BoE หนุน IMF แก้ปัญหาเศรษฐกิจโลก ชี้จีน-สหรัฐฯ ต้นเหตุความไม่สมดุล แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับความไม่สมดุลที่เสี่ยงต่อเสถียรภาพในเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นตอมาจากสหรัฐฯ และจีน โดยเขาเน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลก ควรดำเนินการในระดับพหุภาคี ไม่ใช่เพียงในระดับประเทศ เพราะจะทำให้การกำหนดนโยบายมีประสิทธิภาพมากกว่า เบลีย์กล่าวว่า IMF ควรใช้บทบาทในการจัดประชุมหารือร่วมกับประเทศสมาชิก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และควรร่วมมือกับองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อประเมินภาพรวมของระบบการค้าโลกอย่างรอบด้าน ทั้งนี้เขาเห็นว่า ความท้าทายสำคัญของเศรษฐกิจโลกคือการสร้างการเติบโตเพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนทั่วโลก เบลีย์มองว่า ปัญหาหลักของเศรษฐกิจโลกเกิดจากการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการเกินดุลอย่างมหาศาลและอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอของจีน เขาเรียกร้องให้จีนกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลส่วนเกิน ก่อนที่มาตรการกีดกันทางการค้าจะทวีความรุนแรง และก่อนที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความผันผวนด้านเศรษฐกิจมหภาคและความไม่มั่นคงทางการเงิน เบลีย์ยังกล่าวว่า ประเทศที่มีการขาดดุลมากมักจะเผชิญแรงกดดันจากตลาดการเงินมากที่สุด โดยปีนี้ตลาดมีความปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด ทำให้จำเป็นต้องติดตามและเฝ้าระวังความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินอย่างใกล้ชิด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ หุ้นกลุ่มชิปร่วงฉุดตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันพุธ (16 ก.ค.) โดยหุ้นกลุ่มชิปได้รับแรงกดดันอย่างหนัก หลังบริษัทเอเอสเอ็มแอล (ASML) เตือนว่ารายได้จะเติบโตลดลง ขณะที่รายงานที่ข่าวว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการปลด เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 541.84 จุด ลดลง 3.11 จุด หรือ -0.57% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,722.09 จุด ลดลง 44.12 จุด หรือ -0.57%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,009.38 จุด ลดลง 50.91 จุด หรือ -0.21% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,926.55 จุด ลดลง 11.77 จุด หรือ -0.13% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 11.77 จุด นลท.รอการเปิดเผยข้อมูลจ้างงาน-ค่าจ้างในอังกฤษ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันพุธ (16 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ มีแผนที่จะปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ขณะที่นักลงทุนรอการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของอังกฤษในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ระดับ 8,926.55 จุด ลดลง 11.77 จุด หรือ -0.13% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ความเชื่อมั่นผู้ผลิตญี่ปุ่นก.ค.ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังผวากำแพงภาษีสหรัฐฯ ผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ "ทังกัน" (Tankan) ของรอยเตอร์ ชี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้ผลิตในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนก.ค. และมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม้ว่ายังคงมีความกังวลเกี่ยวกับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก็ตาม ผลสำรวจรายเดือนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคการผลิตขยับขึ้นมาอยู่ที่ +7 ในเดือนก.ค. จากเดิมที่ +6 ในเดือนมิ.ย. ขณะที่ดัชนีของภาคบริการยังคงทรงตัวอยู่ที่ +30 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ข้อมูลดังกล่าวมาจากการสำรวจบริษัทรายใหญ่นอกภาคการเงินจำนวน 497 แห่ง โดยในจำนวนนี้มี 241 แห่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งจัดทำระหว่างวันที่ 2-11 ก.ค. ระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตคาดการณ์ว่าความเชื่อมั่นจะปรับตัวขึ้นอีกสู่ระดับ +8 ภายในเดือนต.ค. แต่ในทางกลับกัน กลุ่มธุรกิจภาคบริการกลับมองว่าแนวโน้มจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ +27 เมื่อเจาะลึกลงไปในภาคการผลิต พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวดีขึ้นจาก -16 ในเดือนมิ.ย. มาอยู่ที่ -4 ในเดือนก.ค. ส่วนกลุ่มผู้ผลิตเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นจาก +12 เป็น +18 โดยได้อานิสงส์จากความต้องการชิปที่เริ่มฟื้นตัว ในทางตรงกันข้าม กลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรขนส่ง ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์อันเป็นหัวใจสำคัญของญี่ปุ่น กลับมีทิศทางสวนทาง โดยดัชนีความเชื่อมั่นลดลงจาก +20 ในเดือนมิ.ย. เหลือเพียง +9 ในเดือนก.ค. โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกำแพงภาษีรถยนต์ 25% ของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและต้นทุน แม้ว่าภาพรวมความเชื่อมั่นจะยังอยู่ในแดนบวก แต่ผู้ผลิตญี่ปุ่นยังคงเฝ้าระวังความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยผู้ผลิตเครื่องจักรรายหนึ่งระบุว่า ลูกค้าเริ่มระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากผลของภาษีสหรัฐฯ และสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง ด้านภาคบริการมีทิศทางผสมผสานกันไป โดยความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ค้าส่งปรับตัวดีขึ้น แต่ความเชื่อมั่นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ การค้าปลีก ไอที และการขนส่งกลับลดลงจากเดือนมิ.ย. โดยผู้จัดการบริษัทค้าปลีกรายหนึ่งชี้ว่า บรรยากาศยังคงก้ำกึ่ง โดยซูเปอร์มาร์เก็ตได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สูงขึ้นหลังปรับขึ้นราคาได้สำเร็จ แต่ห้างสรรพสินค้ากลับมียอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวขาเข้า ผลสำรวจนี้จัดทำขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก กำลังเผชิญมรสุมจากความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลก โดยเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้หดตัวไปแล้วในไตรมาสแรกของปีจากการบริโภคที่ไม่คึกคัก และยอดส่งออกในเดือนพ.ค. ก็ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งหมายถึงการที่เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นรับทัพนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (16 ก.ค.) ว่า ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนเป็นจำนวนมากถึง 21.5 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ถือเป็นสถิติสูงสุด โดยความต้องการเดินทางยังคงสูงแม้อยู่นอกช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ข้อมูลระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้ ทำลายสถิติเดิมที่ระดับ 17.78 ล้านคนของปี 2567 ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนมิ.ย. มีจำนวนรวม 3.38 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ถือเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเดือนมิ.ย.เช่นกัน (อินโฟเควสท์)
ชาวญี่ปุ่นวางแผนใช้จ่ายซัมเมอร์นี้สูงเป็นประวัติการณ์ หลังบริษัทปรับขึ้นค่าจ้าง ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดเผย ชาวญี่ปุ่นวางแผนใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 100,000 เยนในช่วงวันหยุดฤดูร้อนปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่บริษัทใหญ่ ๆ ปรับขึ้นค่าจ้าง ผู้ตอบแบบสอบถาม 18.5% ระบุว่า พวกเขาตั้งใจใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 104,901 เยน (ราว 22,900 บาท) ทุบสถิติใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยทำลายสถิติ 89,296 เยนในปี 2558 สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อมูลดังกล่าวได้จากการสำรวจออนไลน์ที่บริษัทประกันชีวิต เมจิ ยาสึดะ (Meiji Yasuda Life Insurance Co.) จัดทำขึ้นในเดือนมิ.ย. โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 1,120 คน ในช่วงอายุ 20-50 ปี ในบรรดาผู้ตอบแบบสอบถามที่วางแผนเพิ่มการใช้จ่าย 74.9% ระบุว่า เหตุผลหลักคือเพื่อการท่องเที่ยว รองลงมา 27.5% ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามที่วางแผนจะลดการใช้จ่าย 62.0% กล่าวว่า พวกเขากำลังเผชิญกับงบประมาณที่จำกัดเนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ในขณะที่ 24.9% วางแผนออมเงินเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต งบประมาณเฉลี่ยของผู้ที่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศอยู่ที่ 151,938 เยน เพิ่มขึ้น 10.6% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากค่าที่พักที่พุ่งสูงขึ้นท่ามกลางจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน งบประมาณของผู้ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง 13.3% สู่ระดับ 380,051 เยน โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 40% ระบุว่า พวกเขาจะพกอาหารและเครื่องดื่มไปด้วยเพื่อประหยัดเงินท่ามกลางเงินเยนที่อ่อนค่าลง (อินโฟเควสท์)
จับตาศึกเลือกตั้งสว. ญี่ปุ่น 20 ก.ค. นี้ เปิด 3 ฉากทัศน์การเมืองหลังปิดหีบ-ชี้ชะตานายกฯ อิชิบะ ญี่ปุ่นเตรียมเปิดหีบเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจับตาเป็นพิเศษ ท่ามกลางบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ตึงเครียด ความนิยมรัฐบาลที่ลดลง และแรงกดดันจากฝ่ายค้านที่เข้มแข็งมากขึ้น แม้การเลือกตั้งวุฒิสภาในอดีตจะถูกมองว่าไม่มีอิทธิพลเทียบเท่าสภาผู้แทนราษฎร แต่สำหรับครั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจส่งผลโดยตรงต่ออนาคตของรัฐบาลผสม และตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 14.62 จุด จับตาเลือกตั้งสว.-ฤดูประกาศผลประกอบการ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบเล็กน้อยในวันนี้ (16 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการซื้อขาย เพราะมีความระมัดระวังมากขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในช่วงสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ตลอดจนการเข้าสู่ฤดูประกาศผลประกอบการในช่วงปลายเดือน สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,663.40 จุด ลดลง 14.62 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 1.22 จุด กังวลการค้าไม่แน่นอน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบเล็กน้อยในวันนี้ (16 ก.ค.) โดยปรับตัวลงต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนด้านการค้า ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาสัญญาณการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีนในช่วงเวลาที่จีนกำลังต่อสู้กับแรงกดดันด้านเงินฝืดและการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,503.78 จุด ลดลง 1.22 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
WTO เผยการค้าโลกโตกว่า 5% ใน Q1 แต่คาดแนวโน้มปี 68 อ่อนแอจากภาษีศุลกากร องค์การการค้าโลก (WTO) เปิดเผยในวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า ปริมาณการค้าโลกขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรกของปี 2568 แต่คาดว่าอัตราการขยายตัวของการค้าในปี 2568 จะชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร ข้อมูลล่าสุดของ WTO ระบุว่า ปริมาณการค้าโลกในไตรมาส 1 ขยายตัว 5.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี และขยายตัว 3.6% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จาก WTO คาดการณ์ว่า การเติบโตของปริมาณการค้าโลกจะอ่อนแรงลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะสร้างแรงกดดันต่ออุปสงค์การนำเข้าสินค้า สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า WTO ได้ระบุรายงาน Global Trade Outlook and Statistics ที่เผยแพร่ในเดือนเม.ย. ว่า ปริมาณการค้าโลกในปี 2568 จะลดลง 0.2% โดยเตือนถึงผลกระทบของการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) รวมทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า สำหรับข้อมูลที่ WTO เปิดเผยในวันอังคารนั้น เผยให้เห็นว่าปริมาณการค้าในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในไตรมาสแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งของการนำเข้า โดยในอเมริกาเหนือมีการเติบโตของการนำเข้าแข็งแกร่งที่สุดที่ 13.4% ตามมาด้วยแอฟริกา 5.1% ขณะที่ตะวันออกกลางเป็นผู้นำด้านการส่งออก โดยมีการเติบโตอยู่ที่ 6.3% ตามมาด้วยเอเชีย 5.6% เมื่อพิจารณาตามประเภทสินค้าพบว่า การค้าอุปกรณ์สำนักงานและโทรคมนาคมมีการเติบโตแข็งแกร่งที่สุดถึง 16% รองลงมาคือเคมีภัณฑ์ 12% และเสื้อผ้า 7% ในทางตรงกันข้าม การค้าผลิตภัณฑ์ยานยนต์ เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์จากเหมืองแร่ รวมทั้งเหล็กและเหล็กกล้าปรับตัวลดลง (อินโฟเควสท์)
โอเปกตรึงตัวเลขคาดการณ์ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกเพิ่ม 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 68-69 กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก (OPEC) ประกาศคงตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2568-2569 ไว้ที่ระดับเดิม โอเปกได้เปิดเผยคาดการณ์การเติบโตของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในรายงานตลาดน้ำมันประจำเดือนที่เผยแพร่ออกมาในวันนี้ (16 ก.ค.) โดยประมาณการว่า จะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ในปี 2568 และ 2569 ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากการประเมินเมื่อเดือนที่แล้ว นอกจากนี้ โอเปกคาดว่า ความต้องการน้ำมันจากกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) จะเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2568 ขณะที่ความต้องการจากประเทศนอกกลุ่ม OECD คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2568 ในด้านผลิตภัณฑ์น้ำมันนั้น ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2568 คาดว่าจะยังคงถูกขับเคลื่อนโดยความต้องการเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่ง สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกนั้น โอเปกคาดว่า เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในเส้นทางการเติบโตอย่างมั่นคง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โอเปกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.9% ในปี 2568 และ 3.1% ในปี 2569 ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
แบงก์ชาติอินโดนีเซียหั่นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% รับมือการค้าโลกชะลอตัว ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repurchase rate) ระยะเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลง 0.25% สู่ระดับ 5.25% ในการประชุมวันนี้ (16 ก.ค.) ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ในวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนก.ย. 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่อินโดนีเซียกำลังเผชิญกับการค้าโลกที่อ่อนแอลงและอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลง (อินโฟเควสท์)
เวียดนามตั้งเป้า GDP ปีนี้โตเกิน 8% แม้เผชิญความท้าทายรอบด้าน ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนามในไตรมาส 2/2568 เติบโต 7.96% เมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้นจาก 6.93% ในไตรมาสแรก ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลในการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนามเปิดเผยในวันนี้ (16 ก.ค.) ว่า รัฐบาลตั้งเป้าให้อัตราการเติบโตของ GDP ปีนี้อยู่ที่ 8.3%-8.5% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโต 7.09% ในปีที่แล้ว โดยรัฐบาลมองว่าเป้าหมายดังกล่าวจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการบรรลุอัตราการเติบโตระดับเลขสองหลักในช่วงปี 2569-2573 ทั้งนี้ สภานิติบัญญัติของเวียดนามได้อนุมัติเกณฑ์การเติบโตอย่างน้อย 8% สำหรับปีนี้แล้ว เวียดนามวางแผนปรับปรุงกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม อาทิ การบริโภคภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุน ควบคู่กับการเร่งพัฒนาปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ เช่น การเติบโตสีเขียวและเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างไรก็ตาม นายกฯ เวียดนามยอมรับว่า เวียดนามยังคงเผชิญความท้าทายจากความขัดแย้ง การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดทางการค้า การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถ้อยแถลงของผู้นำเวียดนามมีขึ้นไม่นานหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าข้อตกลงทางการค้ากับเวียดนามใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเมื่อต้นเดือนนี้ ทรัมป์ระบุว่าสินค้าจากเวียดนามจะถูกเก็บภาษีนำเข้า 20% และสินค้าที่ส่งต่อจากประเทศที่สามผ่านเวียดนามจะถูกเก็บภาษี 40% ซึ่งต่ำกว่าอัตรา 46% ที่ทรัมป์เคยขู่ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
อินเดียส่งออกไปสหรัฐฯ โต 23% นำเข้าหดตัว 10% ในมิ.ย. กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดียเปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 23.53% สู่ระดับ 8.3 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ขณะที่การนำเข้าลดลง 10.61% มาอยู่ที่ราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. การส่งออกสินค้าของอินเดียไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 22.18% สู่ระดับ 2.551 หมื่นล้านดอลลาร์ และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 11.68% เป็น 1.286 หมื่นล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดียในไตรมาส เดือนเม.ย.-มิ.ย. 2568 ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังเจรจาข้อตกลงทางการค้า โดยรายงานข่าวระบุว่า ทีมอินเดียอยู่ที่กรุงวอชิงตันเพื่อเจรจารอบที่ 5 สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวมของอินเดียในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. 2568 อยู่ที่ประมาณ 2.1031 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมบริการ อยู่ที่ 1.1217 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.92% และมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมัน อยู่ที่ 9.477 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของส่งออก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยาและเวชภัณฑ์ สินค้าวิศวกรรม ผลิตภัณฑ์ทางทะเล และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม และสัตว์ปีก (อินโฟเควสท์)
เศรษฐกิจเม็กซิโกเสี่ยงทรุด หากทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า 30% มูดี้ส์ อนาไลติคส์ (Moody’s Analytics) คาดการณ์ว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก 30% อาจทำให้เศรษฐกิจของเม็กซิโกหดตัวลงถึง 1 จุดเปอร์เซ็นต์ภายในปีหน้า มูดี้ส์เปิดเผยว่า การประเมินดังกล่าวอ้างอิงจากประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งระบุว่า อัตราภาษีใหม่ 30% จะมีผลบังคับใช้ในเดือนส.ค.นี้ อัลเฟรโด คูตินโญ หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจลาตินอเมริกาของมูดี้ส์ อนาไลติคส์กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อดุลการค้าของเม็กซิโก โดยทำให้ราคาสินค้าของเม็กซิโกสูงขึ้นและไม่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกัน ซึ่งจะส่งผลให้คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ลดลง และส่งผลต่อเนื่องต่อการผลิตและการจ้างงานภายในประเทศเม็กซิโก รายงานของมูดี้ส์ระบุว่า ผลกระทบจะปรากฏทันทีในรูปแบบของการส่งออกจากเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ ที่ลดลง 3.4% ภายในช่วง 3 เดือนแรกของการเก็บภาษีรอบใหม่ และหากนับรวมตลอดทั้งปี การส่งออกทั้งหมดอาจลดลงราว 2.6% เมื่อคำนึงถึงผลกระทบเพิ่มเติมจากการนำเข้า ค่าเงิน และปัจจัยอื่น ๆ มาตรการภาษีล่าสุดของสหรัฐฯ นี้จะซ้ำเติมกำแพงภาษีการค้าเดิม เช่น ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม รวมถึงโควตานำเข้ามะเขือเทศที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้ เศรษฐกิจเม็กซิโก ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลาตินอเมริกา รองจากบราซิลนั้น เติบโตเพียง 1.4% ในปี 2567 ลดลงจาก 3.3% ในปี 2566 (อินโฟเควสท์)
เยเมนยึดอาวุธ 750 ตัน ส่งจากอิหร่านเตรียมถึงมือกบฏฮูตี ทางการเยเมน ซึ่งได้รับการรับรองจากนานาชาติ ประกาศว่า รัฐบาลสามารถยึดอาวุธน้ำหนักรวม 750 ตันในทะเลแดง โดยอาวุธดังกล่าวรวมถึงระบบขีปนาวุธหลากหลายประเภท นายตาเร็ก โมฮัมเหม็ด ซาเลห์ สมาชิกสภาผู้นำของประธานาธิบดีเยเมน และผู้บัญชาการกองกำลังต่อต้านแห่งชาติ โพสต์ข้อความบน X ระบุว่า อาวุธที่ถูกยึดประกอบด้วย ระบบขีปนาวุธทางเรือและทางอากาศ, ระบบป้องกันภัยทางอากาศ, อุปกรณ์เรดาร์รุ่นใหม่, โดรน, อุปกรณ์ดักฟัง, ปืนใหญ่ B-10, เลนส์ติดตามเป้าหมาย, ปืนไรเฟิลซุ่มยิง, กระสุน และยุทโธปกรณ์ทางทหารอื่น ๆ เจ้าหน้าที่เยเมนรายนี้ยังได้เผยแพร่วิดีโอที่เขาระบุว่าเป็นภาพของอาวุธที่ยึดได้ ซึ่งแสดงให้เห็นยุทโธปกรณ์ใหม่และหลากหลายจำนวนมากที่บรรทุกอยู่บนเรือ นายซาเลห์กล่าวว่า เรือบรรทุกอาวุธลำนี้กำลังเดินทางออกจากอิหร่านไปยังกลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งครอบครองกรุงซานาและจังหวัดทางตอนเหนือของเยเมน ที่ผ่านมา รัฐบาลเยเมนได้กล่าวหาอิหร่านว่าเป็นผู้จัดหาอาวุธให้แก่กลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งอิหร่านก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดบวก หุ้นแบงก์นำตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยมีการซื้อขายในกรอบแคบ ขณะที่นักลงทุนชะลอการซื้อขาย ท่ามกลางแนวโน้มตลาดที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,634.48 บวก 63.57 จุด หรือ 0.07% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ผู้ว่าฯ ธปท.รอภาษีทรัมป์ชัด ก่อนประเมินผลศก.ไทย แนะขยายสัดส่วนค้ำประกัน เพิ่มโอกาส SME เข้าถึงสินเชื่อ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ขณะนี้อาจยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทย จากมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ (Reciprocal Tariff) เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาของทีมไทยแลนด์ ซึ่งแม้บางประเทศจะเริ่มเห็นความชัดเจนออกมาแล้ว แต่ในส่วนของไทยนั้น ต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้วผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของการเร่งเจรจาให้จบ เพื่อทำให้ทุกอย่างเกิดความชัดเจน ทั้งนี้ สำหรับการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นั้น จำเป็นต้องทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจ รวมถึงภาคการเงินที่จะต้องหันหาเข้าหากัน โดย ธปท.ได้มีการประชุมร่วมกัน ทั้งกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อร่วมกันวางมาตรการการรองรับผลกระทบ ซึ่งนอกจากมาตรการเยียวยาแล้ว แต่ยังมีเรื่องของระยะยาวในการปรับตัว และยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วย สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นั้น มาจากหลายช่องทาง คือ 1.กลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯ โดยตรง และกลุ่มที่เราเป็นห่วงมาโดยตลอด คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาในไทย จากที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ เช่น กลุ่มเสื้อผ้า, เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SME และมีความเปราะบางสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 3.38 จุดพักตัวหวั่นเฟดชะลอลดดอกเบี้ยหลังเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ลุ้นเจรจาการค้าสหรัฐ-ไทย SET ปิดวันนี้ที่ 1,157.63 จุด ลดลง 3.38 จุด (-0.29%) มูลค่าซื้อขาย 42,928.06 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีแกว่งไซด์เวย์ พักตัวตลอดวัน หลังฟื้นตัวขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง มีปัจจัยเชิงลบจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาดเล็กน้อย เข้ามากดดันว่าเฟดจะชะลอปรับลดอัตราดอกเบี้ย และรวมถึง ข่าวอินโดนีเซียบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 19% น้อยลงจาก 32% ก่อนหน้านี้ เข้ามากดดันตลาดหุ้นไทยในบางส่วน แต่ตลาดก็เริ่มมีความหวังว่าไทยจะสามารถเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย หรือหมายความว่าอาจจะได้ข้อสรุปที่ดีกว่าหรือเทียบเท่าเวียดนาม แนวโน้มวันพรุ่งนี้ คาดดัชนีแกว่งออกข้าง ถึงฟื้นตัว แนะนำให้ติดตามการเจรจาการค้าต่อไป พร้อมให้กรอบแนวต้าน 1,168 - 1,175 จุด แนวรับ 1,150 - 1,145 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,157.63 จุด ลดลง 3.38 จุด (-0.29%) มูลค่าซื้อขาย 42,928.06 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวสลับแดนลบ-บวก โดยทำระดับสูงสุด 1,167.80 จุด และต่ำสุด 1,154.13 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 176 หลักทรัพย์ ลดลง 272 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 202 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.52 ทรงตัวจากช่วงเช้า ตลาดจับตาตัวเลข PPI สหรัฐคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.52 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.51/52 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.45-32.57 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทและสกุลเงินในภูมิภาควันนี้เคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า โดยยังคงย่อยข่าวตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาว่าสูงกว่าคาดเมื่อคืนนี้ สำหรับคืนนี้ตลาดรอดูดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย. ของสหรัฐฯ ซึ่งถ้าออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ตลาดมองว่าอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยได้ยากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าต่อ และทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.45 - 32.65 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 73,626 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 73,626 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 5,859 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 625 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 680 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.39% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-3 bps. ในตราสารระยะยาว ทิศทางเดียวกับผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลในวันนี้รุ่น LB726A อายุ 50 ปี วงเงิน 7,000 ล้านบาทอัตราผลตอบแทนของผลประมูลอยู่ที่ 2.23% ต่ำกว่า Yield ตลาดของวันก่อนหน้า 9 bps. โดยมีผู้สนใจยื่นประมูลสูงถึง 2.77 เท่าของวงเงิน และรุ่น SLB406A อายุ 15 ปี วงเงิน 15,000 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของผลประมูลอยู่ที่ 1.7031% เท่ากับ Yield ตลาดของวันก่อนหน้า โดยมีผู้สนใจยื่นประมูลสูงถึง 2.25 เท่าของวงเงิน สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 680 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 680 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) ประจำเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.7%(YoY) สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.6% ขณะที่รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักร (UK) ประจำเดือนมิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.6% สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.4% ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (Beige Book) ในคืนนี้ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ สหรัฐฯ
ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
ดัชนีการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ
สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ค. สหรัฐฯ
ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) สหรัฐฯ