สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนี CPI +2.7% เดือนมิ.ย. สูงกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนมิ.ย.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.6% จากระดับ 2.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.0% จากระดับ 2.8% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% จากระดับ 0.1% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เตือนเฟดลดดอกเบี้ย 3% หลังสหรัฐเผยดัชนี CPI วันนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันนี้ "เฟดควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3% เพราะเงินเฟ้อต่ำมาก และจะเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึงปีละ 1 ล้านล้านดอลลาร์" "ดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ จงลดอัตราดอกเบี้ยลง เดี๋ยวนี้!!!" ปธน.ทรัมป์ระบุใน Truth Social (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ เปิดฉากตรวจสอบการนำเข้าโดรน-โพลีซิลิคอนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยในวันจันทร์ (14 ก.ค.) ว่า ทางกระทรวงได้เปิดฉากการตรวจสอบด้านความมั่นคงแห่งชาติภายใต้มาตรา 232 กับการนำเข้าโดรนและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนโพลีซิลิคอน (polysilicon) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของแผงโซลาร์เซลล์และชิปเซมิคอนดักเตอร์ การตรวจสอบดังกล่าว ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค. แต่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะก่อนหน้านี้ อาจถูกใช้เป็นพื้นฐานของการเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจากโดรนนำเข้าและโพลีซิลิคอน และวัสดุอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจีนครองสัดส่วนยอดขายส่วนใหญ่ของการจำหน่ายโดรนเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ดำเนินการตรวจสอบด้านความมั่นคงของชาติหลายรายการ ซึ่งรวมถึง การนำเข้าเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องยนต์เครื่องบิน และชิ้นส่วนต่าง ๆ รถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่และอะไหล่ต่าง ๆ ชิปเซมิคอนดักเตอร์และผลิตภัณฑ์ยา ทั้งนี้ ทางการสหรัฐฯ ได้ยกระดับการปราบปรามโดรนจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยดีเจไอ (DJI) ซึ่งเป็นผู้ผลิตโดรนรายใหญ่ที่สุดในโลกจากจีน จำหน่ายโดรนเชิงพาณิชย์มากกว่าครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ ปธน.โจ ไบเดนในขณะนั้น ได้ลงนามในกฎหมายในเดือนธ.ค. ที่อาจนำไปสู่การสั่งห้าม DJI และออเทล (Autel) จำหน่ายโดรนรุ่นใหม่ในสหรัฐฯ ในท้ายที่สุด ก่อนที่ต่อมาในเดือนม.ค. กระทรวงพาณิชย์ภายใต้การดูแลของของไบเดนเปิดเผยว่า กำลังพิจารณากฎระเบียบที่จะจำกัดหรือสั่งห้ามจำหน่ายโดรนจีนในสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมโดรนของสหรัฐฯ สมาคมระบบยานยนต์ไร้คนขับระหว่างประเทศ (Association for Uncrewed Vehicle Systems International) แถลงสนับสนุนการสอบสวนดังกล่าว โดยระบุว่าจะมีการทบทวนประเด็นความเข้มข้นของห่วงโซ่อุปทาน ศักยภาพการผลิตภายในประเทศ ตลอดจนบทบาทของเงินอุดหนุนจากต่างประเทศและแนวทางการกำหนดราคาด้วย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 436.36 จุด เหตุวิตกเงินเฟ้อสูง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 400 จุดในวันอังคาร (15 ก.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาดในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,023.29 จุด ลดลง 436.36 จุด หรือ -0.98%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,243.76 จุด ลดลง 24.80 จุด หรือ -0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,677.80 จุด เพิ่มขึ้น 37.47 จุด หรือ + 0.18% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 46 เซนต์ หลังทรัมป์ส่งสัญญาณเลี่ยงคว่ำบาตรรัสเซีย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (15 ก.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศให้เวลารัสเซีย 50 วันในการยุติสงครามในยูเครน นับเป็นการส่งสัญญาณหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะงักงันด้านอุปทานน้ำมัน ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.69% ปิดที่ 66.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 50 เซนต์ หรือ 0.72% ปิดที่ 68.71 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $22.4 กังวลเงินเฟ้อสูงหนุนเฟดตรึงดอกเบี้ย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (15 ก.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่สูงเกินคาด ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตรึงอัตราดอกเบี้ยสูง ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 22.4 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ 3,336.70 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์พลิกดีดตัว ตอบรับดัชนี CPI อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพลิกดีดตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ดีดตัวขึ้นจากเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้เงินเฟ้อจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ณ เวลา 22.33 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.487% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 5.020% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ กลุ่มการเงิน-เฮลท์แคร์ถ่วงตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (15 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่นักลงทุนรอติดตามข่าวเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-สหภาพยุโรป (EU) และประเมินข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 544.95 จุด ลดลง 2.04 จุด หรือ -0.37% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,766.21 จุด ลดลง 41.96 จุด หรือ -0.54%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,060.29 จุด ลดลง 100.35 จุด หรือ -0.42% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,938.32 จุด ลดลง 59.74 จุด หรือ -0.66% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 59.74 จุด กังวลเงินเฟ้อ-จับตาทิศทางนโยบายการเงิน BoE ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันอังคาร (15 ก.ค.) หลังจากแตะระดับ 9,000 จุดเป็นครั้งแรกในช่วงเช้า โดยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากภาษี ขณะที่นักลงทุนยังจับตาทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ระดับ 8,938.32 จุด ลดลง 59.74 จุด หรือ -0.66% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ขุนคลังญี่ปุ่นจับตาตลาดพันธบัตร หลังบอนด์ยีลด์พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลก คัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะจับตาความเคลื่อนไหวในตลาดพันธบัตรอย่างใกล้ชิด หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในวันนี้ (15 ก.ค.) พร้อมกับกล่าวว่าทางรัฐบาลจะพูดคุยกับนักลงทุนในตลาด เพื่อดำเนินนโยบายการบริหารจัดการหนี้อย่างเหมาะสม "เราจะพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อบริหารจัดการการคลังอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ตลาดสูญเสียความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาล" คาโตะกล่าวในการแถลงข่าว การประกาศจับตาดังกล่าวมีขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.595% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการเงินโลกอันเนื่องมาจากการล้มละลายของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ (Lehman Brothers Holdings) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของญี่ปุ่นนั้น ปรับตัวขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าพรรครัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะทำผลงานย่ำแย่ในการเลือกตั้งสภาสูง (House of Councillors) ในวันอาทิตย์นี้ (20 ก.ค.) ซึ่งจะนำไปสู่การออกนโยบายที่จะยิ่งส่งผลกระทบต่อสถานะการคลังของประเทศ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเกิดขึ้นในขณะที่มาตรการรับมือกับภาวะราคาอาหารสูงได้กลายเป็นจุดสนใจมากที่สุดของการเลือกตั้งสภาสูงในครั้งนี้ โดยพรรคฝ่ายค้านหลายพรรคเรียกร้องให้รัฐบาลปรับลดอัตราภาษีบริโภค ซึ่งเป็นนโยบายที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ทางด้านพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล และพรรคโคเมอิโตะซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ได้ให้คำมั่นว่าจะแจกเงินช่วยเหลือให้กับประชาชน แต่ผลสำรวจเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลอาจสูญเสียเสียงข้างมากในการเลือกตั้งสภาสูง (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นอายุ 10 ปีพุ่งแตะ 1.595% สูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.595% ในช่วงเช้าวันนี้ (15 ก.ค.) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการเงินโลกอันเนื่องมาจากการล้มละลายของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ (Lehman Brothers Holdings) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของญี่ปุ่นนั้น ปรับตัวขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าพรรครัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะทำผลงานย่ำแย่ในการเลือกตั้งสภาสูง (House of Councillors) ในวันอาทิตย์นี้ (20 ก.ค.) ซึ่งจะนำไปสู่การออกนโยบายที่จะยิ่งส่งผลกระทบต่อสถานะการคลังของประเทศ ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นว่า ภาวะผันผวนในตลาดตราสารหนี้อาจจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและผู้บริโภคญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นด้วย (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นเล็งกำหนดบริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลการขึ้นค่าจ้างต่อนักลงทุน แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวเกียวโดว่า ญี่ปุ่นมีแผนจะกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้างพนักงานในรายงานหลักทรัพย์ประจำปี เพื่อให้นักลงทุนสามารถประเมินได้ว่าค่าจ้างที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นแซงหน้าอัตราเงินเฟ้อหรือไม่ แหล่งข่าวระบุว่า สำนักงานบริการทางการเงิน (FSA) คาดหวังว่าข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งอาจจะเริ่มให้มีผลบังคับใช้ในรายงานตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีหน้านั้น จะส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ ลงทุนในทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ญี่ปุ่นสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ FSA มีแผนที่จะทบทวนคำสั่งที่เกี่ยวข้องของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ หลังจากที่ข้อเสนอนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือโดยคณะผู้เชี่ยวชาญและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน นอกเหนือจากบริษัทจดทะเบียนแล้ว บริษัทประเภทอื่น ๆ บางประเภท ซึ่งรวมถึงบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แต่มีผู้ถือหุ้น 1,000 รายขึ้นไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะเปิดเผยรายงานหลักทรัพย์ประจำปีด้วยเช่นกัน โดยในรายงานดังกล่าวนั้น บริษัทต่าง ๆ จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนพนักงาน อายุเฉลี่ย อายุงานเฉลี่ย ค่าจ้างเฉลี่ยต่อปี อัตราส่วนของผู้หญิงที่ทำงานในตำแหน่งบริหาร เปอร์เซ็นต์ของพนักงานที่ลาหยุดเพื่อดูแลบุตร และช่องว่างค่าจ้างระหว่างพนักงานชายและหญิง แหล่งข่าวระบุว่า รายการข้อมูลที่ต้องเปิดเผยเพิ่มเติมนั้น บริษัทต่าง ๆ จะถูกกำหนดให้ต้องอธิบายเหตุผลสำหรับการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้าง และกลยุทธ์ในการดึงดูดผู้มีความสามารถ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นตั้งหน่วยงานใหม่ดูแลชาวต่างชาติ สร้างความมั่นใจประชาชนก่อนเลือกตั้ง รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศจัดตั้งหน่วยงานใหม่ในวันนี้ (15 ก.ค.) เพื่อดูแลปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ โดยหวังคลายความกังวลของประชาชนต่อการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนชาวต่างชาติในประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสที่นโยบายที่เกี่ยวกับคนต่างชาติกลายเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งระดับชาติ รัฐบาลระบุในแถลงการณ์ว่า หน่วยงานแห่งใหม่นี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์อำนวยการที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐเพื่อรับมือกับปัญหาต่าง ๆ เช่น อาชญากรรม และภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง โดยจะอยู่ภายใต้การกำกับของ วาตารุ ซากาตะ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่รวม 78 คน ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แม้ญี่ปุ่นมีนโยบายเข้มงวดในการควบคุมผู้อพยพมาอย่างยาวนาน แต่ก็เริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดบางประการ เพื่อรองรับการขาดแคลนแรงงานจากภาวะประชากรสูงวัยและจำนวนประชากรลดลง ในปีที่ผ่านมา จำนวนชาวต่างชาติที่พำนักในญี่ปุ่นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.8 ล้านคน แม้จะคิดเป็นเพียง 3% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทั้งนี้ การจัดตั้งหน่วยงานใหม่นี้มีขึ้นหลังจากสมาชิกพรรครัฐบาลจากพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ได้เสนอแผนการเมื่อเดือนมิ.ย. เพื่อผลักดันแนวทางสร้างสังคมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบและกลมกลืนกับชาวต่างชาติ (อินโฟเควสท์)
"อิชิบะ" จ่อพบขุนคลังสหรัฐฯ ศุกร์นี้ ก่อนเส้นตายข้อตกลงการค้า หนังสือพิมพ์โยมิอุริรายงานในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีกำหนดพบปะหารือกับสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่กรุงโตเกียวในวันศุกร์นี้ (18 ก.ค.) ก่อนถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ที่ทั้งสองประเทศจะต้องบรรลุข้อตกลงทางการค้า การพบปะครั้งนี้จะถือเป็นการประชุมระดับสูงครั้งแรกระหว่างรัฐบาลโตเกียวกับวอชิงตัน หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายถึงญี่ปุ่น แจ้งเรื่องการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นเป็น 25% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ขณะเดียวกัน โยมิอุริมีรายงานอีกชิ้นหนึ่งว่า คณะผู้นำสหภาพยุโรป (EU) จะเดินทางเยือนญี่ปุ่นเพื่อพบนายกฯ อิชิบะในช่วงปลายเดือนนี้เช่นกัน โดยประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน และประธานคณะมนตรียุโรป อันโตนิโอ คอสตา จะเดินทางไปยังกรุงโตเกียวในราววันที่ 23 ก.ค. เพื่อเปิดตัวแผน "พันธมิตรเพื่อความสามารถในการแข่งขัน" (Competitiveness Alliance) โยมิอุริอ้างอิงร่างแถลงการณ์ว่า กรอบความร่วมมือใหม่ระหว่าง EU กับญี่ปุ่นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อตอบโต้มาตรการทางภาษีของปธน.ทรัมป์ และการจำกัดการส่งออกแร่หายาก (rare earth) ของจีน โดยทั้งสองฝ่ายจะเน้นย้ำถึงพันธกิจในการรักษาระเบียบเศรษฐกิจที่ "มีเสถียรภาพ คาดการณ์ได้ ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ เสรี และเป็นธรรม" ทั้งนี้ EU เองก็กำลังเผชิญกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ในอัตรา 30% แถลงการณ์ดังกล่าวอาจครอบคลุมถึงความร่วมมือระหว่าง EU กับญี่ปุ่นในด้านอื่น ๆ เช่น ห่วงโซ่อุปทานแร่หายากและแบตเตอรี่ การลงทุนด้านก๊าซธรรมชาติ การเจรจาด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และดาวเทียม (อินโฟเควสท์)
โพลชี้ พรรคฝ่ายรัฐบาลญี่ปุ่นส่อแววแพ้เลือกตั้งสว. เสียเสียงข้างมากในวุฒิสภา ผลสำรวจความเห็นที่เผยแพร่โดยสื่อหลายสำนักในวันนี้ (15 ก.ค.) บ่งชี้ว่า พรรคฝ่ายรัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะสูญเสียเสียงข้างมากในการเลือกตั้งวุฒิสภาที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 ก.ค. นี้ โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ กระแสคาดการณ์ดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลของนักวิเคราะห์บางส่วนว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายการคลังของประเทศ หนังสือพิมพ์อาซาฮีระบุโดยอ้างอิงผลสำรวจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและการรายงานข่าวทั่วประเทศว่า พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ และพรรคโคเมโตะ (Komeito) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อาจต้องพยายามอย่างหนักเพื่อรักษา 50 ที่นั่งที่จำเป็นต่อการครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ขณะที่สำนักข่าวจิจิก็รายงานในทิศทางเดียวกันว่า พรรคฝ่ายรัฐบาลกำลังเผชิญความท้าทายในการหาเสียงและอาจสูญเสียเสียงข้างมากในสภาสูง ทั้งนี้ คะแนนนิยมของรัฐบาลอิชิบะตกต่ำลงท่ามกลางปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของญี่ปุ่น เดวิด โบลลิง ผู้อำนวยการจากบริษัทที่ปรึกษา Eurasia Group กล่าวในบทวิเคราะห์ว่า "คะแนนนิยมที่ตกต่ำของอิชิบะสะท้อนความไม่พอใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต่อสถานการณ์ปัจจุบัน" พร้อมประเมินว่ามีโอกาส 60% ที่พรรคฝ่ายรัฐบาลจะสูญเสียเสียงข้างมาก การเลือกตั้งครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ให้ลุล่วงก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% หนังสือพิมพ์โยมิอุริรายงานว่า นายกฯ อิชิบะมีกำหนดการเข้าพบสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ (18 ก.ค.) ระหว่างการเยือนญี่ปุ่นเพื่อร่วมงานวันชาติสหรัฐฯ ในมหกรรม World Expo ที่เมืองโอซาก้า ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้น นายกฯ อิชิบะได้ให้คำมั่นว่าจะจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านค่าครองชีพ แต่ปฏิเสธข้อเรียกร้องของพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการให้ลดภาษีการขาย นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า หากพรรครัฐบาลพ่ายแพ้การเลือกตั้ง อาจเพิ่มโอกาสที่จะมีการลดภาษี และอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในการลดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ นาโอยะ ฮาเซกาวะ หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านพันธบัตรจาก Okasan Securities กล่าวว่า "หากพรรคฝ่ายรัฐบาลสูญเสียเสียงข้างมาก ตลาดจะจับตาดูสัญญาณเกี่ยวกับอนาคตของนายกฯ อิชิบะ โครงสร้างของรัฐบาลชุดใหม่ และทิศทางนโยบายการคลัง" (อินโฟเควสท์)
จับตาเลือกตั้งสว.ญี่ปุ่น พรรคการเมืองชูนโยบายชาวต่างชาติเรียกคะแนนโหวต แม้ผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องมากที่สุด โดยเฉพาะราคาอาหารและน้ำมันที่สูงขึ้น แต่เป็นที่น่าจับตาว่า ประเด็นเกี่ยวกับชาวต่างชาติกำลังเป็นหนึ่งในนโยบายที่บรรดาพรรคการเมืองญี่ปุ่นหยิบยกมาช่วงชิงคะแนนในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ท่ามกลางจำนวนชาวต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั้งมาเที่ยว มาทำงาน และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ มีจุดยืนที่เข้มงวดมากขึ้นกว่าการหาเสียงในอดีต โดยพรรคชูนโยบาย "ชาวต่างชาติผิดกฎหมายเป็นศูนย์" ด้วยการตรวจสอบประวัติบุคคลอย่างเข้มงวดก่อนอนุญาตให้เข้าประเทศ ขณะเดียวกัน นายกฯ อิชิบะเน้นย้ำว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีแรงงานต่างชาติที่ถูกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการลดลงของประชากร ด้านพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (CDP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก สนับสนุนการมีแรงงานต่างชาติมากขึ้น โยชิฮิโกะ โนดะ หัวหน้าพรรค ย้ำว่า ญี่ปุ่นต้องการแรงงานต่างชาติเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคน โดยเฉพาะในภาคการพยาบาลและการดูแลเด็ก นอกจากนี้ พรรคมีแนวคิดสนับสนุนสังคมหลากหลายวัฒนธรรม ต้อนรับชาวต่างชาติและครอบครัวให้มาทำงาน เรียนรู้ และอยู่ร่วมกับชุมชนท้องถิ่นได้ ขณะที่พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน (DPP) ไม่ต่อต้านแรงงานต่างชาติ พร้อมสนับสนุนการฝึกอบรมภาษาญี่ปุ่นสำหรับเด็กต่างชาติ ช่วยเหลือพวกเขาให้ปรับตัวเข้ากับชีวิตในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ยูอิจิโระ ทามากิ หัวหน้าพรรค สนับสนุนให้มีการกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้นสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อควบคุมราคาอสังหาฯ ตามเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ส่วนพรรคซันเซโตะ (Sanseito) ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยม ถือเป็นพรรคที่มีจุดยืนแข็งกร้าวที่สุด โซเฮ คามิยะ หัวหน้าพรรค เรียกร้องให้ยุติการสนับสนุนสวัสดิการสำหรับชาวต่างชาติ ห้ามจ้างชาวต่างชาติทำงานในภาครัฐ จำกัดจำนวนแรงงานและนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ และทำให้การโอนสัญชาติหรือการได้รับถิ่นที่อยู่ถาวรของชาวต่างชาติยากขึ้น สำหรับสาเหตุที่ทำให้ประเด็นชาวต่างชาติเป็นที่ถกเถียงและได้รับความสนใจในสังคมญี่ปุ่นมากขึ้นนั้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่ามีหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยพรรคฝ่ายค้านสายอนุรักษนิยมขนาดเล็กกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น พรรคซันเซโตะซึ่งมีนโยบาย "ญี่ปุ่นต้องมาก่อน" และสนับสนุนการควบคุมชาวต่างชาติอย่างเข้มงวด ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองในการสำรวจความคิดเห็นของสื่อบางแห่ง สวนทางกับพรรครัฐบาลที่ได้รับคะแนนสนับสนุนลดลง ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2567 ระบุว่า มีแรงงานต่างชาติประมาณ 2.3 ล้านคนในญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นเกือบ 254,000 คนจากปีก่อนหน้า ในจำนวนนี้ 24.8% มาจากเวียดนาม, 17.8% มาจากจีน และ 10.7% มาจากฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 37 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด และจำนวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 3.77 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 218.40 จุด เยนอ่อนหนุนหุ้นส่งออก ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (15 ก.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มผู้ส่งออกบางส่วนหลังเงินเยนอ่อนค่าลง ขณะที่นักลงทุนยังคงเฝ้ารออย่างระมัดระวังต่อข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,678.02 จุด เพิ่มขึ้น 218.40 จุด หรือ +0.55% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนเผย GDP ไตรมาส 2 โตเกินคาด 5.2% อานิสงส์ส่งออกแกร่ง สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 5.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% และสูงกว่าเป้าหมายตลอดปีที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกไปยังตลาดนอกสหรัฐฯ ซึ่งช่วยพยุงภาคการผลิตของจีน อย่างไรก็ดี GDP ไตรมาส 2 ของจีนขยายตัวต่ำกว่าในไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 5.4% สะท้อนให้เห็นว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังคงสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนซึ่งได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากภาวะเงินฝืดและตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงเป็นเวลานานหลายปี นอกจากนี้ การชะลอตัวของ GDP จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลจีนเร่งออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดัชนีหุ้นบริษัทจีนในตลาดหุ้นฮ่องกงและในตลาดหุ้นจีนยังคงเคลื่อนไหวในแดนบวกหลังจาก NBS เปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ขณะที่ค่าเงินหยวนทรงตัว และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปีทรงตัวเช่นกัน (อินโฟเควสท์)
ราคาบ้านจีนร่วงหนักสุดในรอบ 8 เดือน เพิ่มแรงกดดันรัฐบาลออกมาตรการฟื้นฟู สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองของจีน ซึ่งไม่รวมที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ลดลง 0.27% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 8 เดือน และตอกย้ำถึงกระแสคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลจีนจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์ ส่วนราคาบ้านมือสองของจีนปรับตัวลง 0.61% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567 ทั้งนี้ นักลงทุนต่างก็เรียกร้องให้รัฐบาลจีนออกมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย เนื่องจากมาตรการกระตุ้นที่รัฐบาลจีนประกาศใช้เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้วนั้น เริ่มส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจน้อยลง การชะลอตัวเป็นเวลานานของตลาดที่อยู่อาศัยของจีนกำลังขัดขวางความพยายามในการกระตุ้นอุปสงค์ผู้บริโภคและการพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ในขณะที่การส่งออกของจีนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
จีนเผยลงทุนสินทรัพย์ถาวรครึ่งปีแรกโต 2.8% อุตฯไฮเทคพุ่ง-อสังหาฯทรุด สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งช่วยชดเชยภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง ข้อมูลระบุว่า การลงทุนรวมเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 24.87 ล้านล้านหยวน (3.48 ล้านล้านดอลลาร์) ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. ปีนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคอุตสาหกรรมพบว่า การลงทุนด้านการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การลงทุนด้านการผลิตเพิ่มขึ้น 7.5% การลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทคมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น โดยการลงทุนในบริการสารสนเทศเพิ่มขึ้น 37.4%, การผลิตเครื่องบินและยานอวกาศเพิ่มขึ้น 26.3% และการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานเพิ่มขึ้น 21.5% หากไม่รวมภาคอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในช่วงหกเดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน การลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ลดลง 11.2% การลงทุนภาคเอกชนลดลง 0.6% จากปีก่อน อย่างไรก็ดี หากไม่รวมอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 5.1% (อินโฟเควสท์)
จีนเผยยอดค้าปลีกชะลอตัวเดือนมิ.ย. แต่การผลิตอุตสาหกรรมยังแกร่ง สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 4.8% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.4% และชะลอตัวลงจากเดือนพ.ค. ที่ปรับตัวขึ้น 6.4% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 6.8% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี แข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5.7% และดีกว่าในเดือนพ.ค.ที่มีการขยายตัว 5.8% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรปรับตัวขึ้น 2.8% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.6% ขณะที่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ร่วงลงถึง 11.2% ในครึ่งปีแรก เทียบกับช่วง 5 เดือนแรกที่ปรับตัวลง 10.7% ส่วนการลงทุนด้านสาธารณูปโภคและการผลิตชะลอตัวลงเช่นกัน สำหรับอัตราว่างงานในเขตเมืองทรงตัวที่ระดับ 5% ในเดือนมิ.ย. หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่ 5.4% ในเดือนก.พ. นอกจากนี้ NBS ยังเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 5.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% และสูงกว่าเป้าหมายตลอดปีที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกไปยังตลาดอื่น ไม่รวมสหรัฐฯ ซึ่งช่วยพยุงภาคการผลิตของจีน ทั้งนี้ NBS ระบุในแถลงการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนที่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงมีความยืดหยุ่น อย่างไรก็ดี NBS เตือนว่าปัจจัยในต่างประเทศยังคงไม่แน่นอนและไม่มีเสถียรภาพ ในขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแอ (อินโฟเควสท์)
จีนผลิตน้ำมันดิบ-ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีแรก สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า การผลิตก๊าซธรรมชาติของจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ข้อมูลของ NBS ระบุว่า จีนผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในปริมาณ 1.308 แสนล้านลูกบาศก์เมตรในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี เฉพาะเดือนมิ.ย.เพียงเดือนเดียว จีนผลิตก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 2.12 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร NBS ยังระบุด้วยว่า การผลิตถ่านหินดิบของจีนเพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 2.4 พันล้านตันในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นอกจากนี้ จีนผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 108.48 ล้านตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 14.65 จุด นักลงทุนซึมซับข้อมูลศก. ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (15 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากนักลงทุนซึมซับข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,505.00 จุด ลดลง 14.65 จุด หรือ -0.42% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดพุ่ง 386.80 จุด หุ้นเทคฯหนุนตลาด, ขานรับ GDP จีนโตเกินคาด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 เดือนในวันนี้ (15 ก.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากที่มีรายงานว่า อินวิเดีย (Nvidia) เตรียมกลับมาส่งออกชิป H20 ให้ลูกค้าในจีนได้อีกครั้ง นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับตัวเลข GDP ของจีนที่ออกมาดีเกินคาด ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,590.12 จุด เพิ่มขึ้น 386.80 จุด หรือ +1.60% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
ยอดขาย EV ทั่วโลกพุ่ง 24% ตลาดจีน-ยุโรปหนุน ขณะสหรัฐฯ ชะลอตัว โร โมชัน (Rho Motion) บริษัทวิจัยตลาดเปิดเผยในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินทั่วโลก พุ่งขึ้น 24% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ายังคงขยายตัวต่อเนื่องในจีนและยุโรป ชาร์ลส์ เลสเตอร์ ผู้จัดการข้อมูลของโร โมชันเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ยอดขาย EV ในสหรัฐฯ ลดลง 1% ในเดือนมิ.ย. และคาดว่าจะฟื้นตัวได้ยากในปีนี้ หลังจากที่กฎหมายการใช้จ่ายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ปรับลดเครดิตภาษีลงเร็วกว่าที่คาดไว้ เลสเตอร์เสริมว่า ยอดขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือที่รวมถึงแคนาดาด้วยนั้นตกต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลกเป็นครั้งแรกซึ่งรวมถึงตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาใต้ และอเมริกากลาง ภาษีนำเข้า 25% ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกเช่นกัน หลายรายปรับลดคาดการณ์ยอดขายในปี 2568 ยอดขาย EV และรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินทั่วโลกพุ่งแตะ 1.8 ล้านคันในเดือนมิ.ย. โดยยอดขายในจีนพุ่งขึ้น 28% เมื่อเทียบเป็นรายปีอยู่ที่ 1.11 ล้านคัน, ยอดขายในยุโรปเพิ่มขึ้น 23% อยู่ที่ประมาณ 390,000 คัน ขณะที่ยอดขายในอเมริกาเหนือลดลง 9% อยู่ที่ราว 140,000 คัน และยอดขายในส่วนอื่น ๆ ของโลกพุ่งขึ้น 43% สู่ระดับมากกว่า 140,000 คัน ในยุโรปนั้น แรงจูงใจสำหรับผู้ซื้อปลีกและผู้ซื้อรถยนต์แบบกลุ่มในตลาดสำคัญ ๆ เช่น เยอรมนีและสเปน ควบคู่ไปกับการมี EV ราคาถูกให้เลือกใช้มากขึ้นนั้น คาดว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ส่องข้อตกลงการค้า: สหรัฐเก็บภาษีอินโดฯ 19%/อินโดฯเก็บภาษีสหรัฐ 0% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความบน Truth Social ระบุว่า สหรัฐได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับอินโดนีเซียแล้ว ทั้งนี้ สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากอินโดนีเซียในอัตรา 19% หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐขู่เรียกเก็บภาษีดังกล่าวสูงถึง 32% อย่างไรก็ดี หากมีการส่งผ่านสินค้าจากประเทศที่มีอัตราภาษีสูงกว่า ภาษีดังกล่าวก็จะถูกบวกเพิ่มเข้าไปในภาษีที่อินโดนีเซียต้องจ่ายด้วย นอกจากนี้ ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ อินโดนีเซียได้ให้คำมั่นว่าจะซื้อพลังงานจากสหรัฐวงเงิน 15,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตรจากสหรัฐวงเงิน 4,500 ล้านดอลลาร์ และเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ ซึ่งหลายลำเป็นรุ่น 777 ขณะเดียวกัน สินค้าที่ส่งออกจากสหรัฐไปยังอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นทั้งภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และเป็นครั้งแรกที่เกษตรกร ผู้เลี้ยงสัตว์ และชาวประมงของสหรัฐ จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรกว่า 280 ล้านคนอย่างเต็มรูปแบบ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ รีดภาษีนำเข้ามะเขือเทศจากเม็กซิโก 17.09% ยกเลิกข้อตกลงปี 62 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันจันทร์ (14 ก.ค.) ว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 17.09% สำหรับมะเขือเทศสดส่วนใหญ่จากเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นการถอนตัวจากข้อตกลงระงับการไต่สวนการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดมะเขือเทศที่ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2562 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนเม.ย. กระทรวงฯ ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่สามารถปกป้องเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศในสหรัฐฯ จากการนำเข้าที่มีราคาต่ำเกินจริงจากเม็กซิโกได้ และเผยว่าได้รับความคิดเห็นจากผู้ปลูกมะเขือเทศชาวอเมริกันจำนวนมากที่เรียกร้องให้ยุติข้อตกลงนี้ โดยกระทรวงฯ ย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าวจะเปิดทางให้เกษตรกรในประเทศแข่งขันในตลาดได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น ปัจจุบัน กระทรวงฯ มีคำสั่งเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุนจำนวน 734 รายการ ซึ่งช่วยเยียวยาธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม ข้อมูลจากหอสังเกตการณ์ความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ (OEC) ระบุว่า สหรัฐฯ นำเข้ามะเขือเทศมูลค่า 3.63 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 โดยกว่า 3.12 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 86% มาจากเม็กซิโก แม้ผู้ปลูกมะเขือเทศในสหรัฐฯ อาจยินดีกับมาตรการนี้ซึ่งออกแบบมาเพื่อปกป้องพวกเขาจากการแข่งขันด้านราคา แต่รายงานข่าวระบุว่า หลายฝ่ายกังวลว่าภาษีใหม่นี้อาจส่งผลให้ราคามะเขือเทศสูงขึ้น และอาจกระทบต่อซัพพลายเชนมะเขือเทศซึ่งเป็นผักที่บริโภคมากเป็นอันดับสองในสหรัฐฯ ทั้งนี้ หอการค้าสหรัฐฯ และกลุ่มธุรกิจอีกประมาณ 30 องค์กร ได้ร่วมกันส่งจดหมายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนการถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า การยุติข้อตกลงอาจสร้างความปั่นป่วนให้กับซัพพลายเชนมะเขือเทศของสหรัฐฯ และส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" บรรลุดีลการค้ากับอินโดนีเซียแล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยในวันนี้ว่า เขาได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับอินโดนีเซียแล้ว "เราเพิ่งทำข้อตกลงกับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกฝ่าย โดยผมได้เจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีของพวกเขาซึ่งเป็นที่เคารพนับถือมาก รายละเอียดจะตามมา!!!" ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social (อินโฟเควสท์)
บราซิลโดนภาษีทรัมป์ 50% คาดกระทบ GDP หายไป 0.41% เกตูลิโอ วาร์กัส ฟาวน์เดชัน (FGV) สถาบันวิจัยชั้นนำของบราซิล เผยแพร่รายงานล่าสุดระบุว่า อัตราภาษี 50% ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บกับสินค้าที่นำเข้าจากบราซิล อาจส่งผลกระทบให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของบราซิลลดลงไปถึง 0.41% รายงานระบุว่า มาตรการภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้การส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรของบราซิลไปยังสหรัฐฯ ลดลงมากถึง 75% ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบัน สินค้าเกษตรของบราซิล เช่น กาแฟ น้ำตาล และน้ำส้ม คิดเป็นประมาณ 30% ของสินค้าทั้งหมดที่บราซิลส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของบราซิล ทั้งนี้ เมื่อวันพุธที่ 9 ก.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าจะเก็บภาษี 50% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากบราซิล โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป แม้รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่เริ่มดำเนินมาตรการจริง แต่บรรยากาศความไม่แน่นอนในเวทีการค้าระหว่างประเทศเริ่มส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคี อีกทั้งรายงานยังระบุว่า มาตรการดังกล่าวอาจละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่ง ขานรับ CPI อินเดียต่ำสุดกว่า 6 ปี ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียดีดตัวขึ้นกว่า 300 จุด ขานรับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอินเดีย ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 ปี ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,570.91 บวก 317.45 จุด หรือ 0.39% (อินโฟเควสท์)
ไทย
รมว.คลัง ยืนยันเจรจาภาษี "ทรัมป์" ไร้ประเด็นความมั่นคงแลกดีล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยถึงการยื่นข้อเสนอการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีข่าวว่าไทยยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับความมั่นคง เช่น การให้ตั้งฐานทัพเรือที่ จ.พังงา นั้น ยืนยันว่า ไม่มีเรื่องดังกล่าว เพราะตนดูเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
รมว.คลัง ยืนยันชง ครม.ตั้งผู้ว่า ธปท.สัปดาห์หน้าทันแน่ ย้ำไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยอมรับว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ แต่ยืนยันว่าการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า เรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณาอย่างแน่นอน "ผมเสนอไปแล้ว แต่ว่าผมอาจจะเสนอช้าไปนิดนึง แต่อาทิตย์หน้าเข้าแน่นอน" รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าว พร้อมยืนยันว่าเหตุที่ยังไม่ได้เข้าที่ประชุม ครม.วันนี้ ไม่ใช่เพราะติดปัญหาเรื่องคุณสมบัติแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท.เป็นตำแหน่งที่สำคัญ จึงต้องทำให้เรียบร้อย ผู้สื่อข่าวถามว่า ในสัปดาห์หน้าชื่อบุคคลที่เสนอเข้า ครม.จะยังเป็นชื่อเดิมหรือไม่ นายพิชัย ไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรง ๆ โดยตอบเพียงแค่ว่า "ก็ผมยื่นไปแล้ว"
"แพทองธาร" ยื่นขอขยายเวลาส่งคำชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญ 15 วัน อ้างเหตุเตรียมเอกสารไม่ทัน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 15 วันในการส่งคำชี้แจงข้อกล่าวหาของกลุ่ม 36 สว.ที่เข้าชื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา "เมื่อสักครู่นี้ได้ส่งคำขอไปยังศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว เพื่อขอขยายเวลาอีก 15 วัน ก็ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา" นพ.พรหมินทร์ กล่าว ทั้งนี้ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากดำเนินการจัดทำคำชี้แจงต่าง ๆ ยังไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 17.70 จุด รับแรง Cover Short หุ้นใหญ่ สลับขายกลุ่มแบงก์กังวล NIM หด SET ปิดวันนี้ที่ 1,161.01 จุด เพิ่มขึ้น 17.70 จุด (+1.55%) มูลค่าซื้อขาย 48,024.99 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีกว่าภูมิภาค รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นมาของหุ้นหลายตัว ส่วนใหญ่เป็นการทำ Cover Short อาทิ AOT CPALL TRUE GULF ขณะที่กลุ่มแบงก์ย่อลงรับแนวโน้ผลประกอบการอาจไม่โต และกังวลผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่หนุนลดดอกเบี้ยมากขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งไซด์เวย์อัพ แนะติดตาม CPI สหรัฐคืนนี้ ให้กรอบแนวรับ 1,155 จุด และแนวต้าน 1,170 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,161.01 จุด เพิ่มขึ้น 17.70 จุด (+1.55%) มูลค่าการซื้อขาย 48,024.99 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีฟื้นตัวต่อ โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,139.64 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,162.72 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 381 หลักทรัพย์ ลดลง 108 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 157 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 120,578 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 120,578 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 53,198 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 213 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,364 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.4% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 1,382 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 1,382 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 5.2% (YoY) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% และสูงกว่าเป้าหมายตลอดปีที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% จากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกไปยังตลาดนอกสหรัฐฯ ซึ่งช่วยพยุงภาคการผลิตของจีน ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนมิ.ย. ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.42 กลับมาแข็งค่า หลังครม.ยังไม่เคาะผู้ว่าธปท.คนใหม่ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.55 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.42 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจาก เปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.48 บาท/ดอลลาร์ หลังเปิดตลาดบาทเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า โดยอยู่ในระดับอ่อนค่าสุดในภูมิภาค ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าหลังมีข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ และสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลก ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40 - 32.52 บาท/ดอลลาร์ "บาทกลับมาแข็งค่าหลังมีข่าว ครม.ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องผู้ว่า ธปท.คนใหม่ ซึ่งตลาดเชื่อว่าหากนายวิทัย รัตนากร ได้เป็นผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.30 - 32.55 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ
รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนี CPI +2.7% เดือนมิ.ย. สูงกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนมิ.ย.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.6% จากระดับ 2.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.0% จากระดับ 2.8% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% จากระดับ 0.1% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เตือนเฟดลดดอกเบี้ย 3% หลังสหรัฐเผยดัชนี CPI วันนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันนี้ "เฟดควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3% เพราะเงินเฟ้อต่ำมาก และจะเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึงปีละ 1 ล้านล้านดอลลาร์" "ดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ จงลดอัตราดอกเบี้ยลง เดี๋ยวนี้!!!" ปธน.ทรัมป์ระบุใน Truth Social (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ เปิดฉากตรวจสอบการนำเข้าโดรน-โพลีซิลิคอนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยในวันจันทร์ (14 ก.ค.) ว่า ทางกระทรวงได้เปิดฉากการตรวจสอบด้านความมั่นคงแห่งชาติภายใต้มาตรา 232 กับการนำเข้าโดรนและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนโพลีซิลิคอน (polysilicon) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของแผงโซลาร์เซลล์และชิปเซมิคอนดักเตอร์ การตรวจสอบดังกล่าว ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค. แต่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะก่อนหน้านี้ อาจถูกใช้เป็นพื้นฐานของการเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจากโดรนนำเข้าและโพลีซิลิคอน และวัสดุอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจีนครองสัดส่วนยอดขายส่วนใหญ่ของการจำหน่ายโดรนเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ดำเนินการตรวจสอบด้านความมั่นคงของชาติหลายรายการ ซึ่งรวมถึง การนำเข้าเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องยนต์เครื่องบิน และชิ้นส่วนต่าง ๆ รถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่และอะไหล่ต่าง ๆ ชิปเซมิคอนดักเตอร์และผลิตภัณฑ์ยา ทั้งนี้ ทางการสหรัฐฯ ได้ยกระดับการปราบปรามโดรนจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยดีเจไอ (DJI) ซึ่งเป็นผู้ผลิตโดรนรายใหญ่ที่สุดในโลกจากจีน จำหน่ายโดรนเชิงพาณิชย์มากกว่าครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ ปธน.โจ ไบเดนในขณะนั้น ได้ลงนามในกฎหมายในเดือนธ.ค. ที่อาจนำไปสู่การสั่งห้าม DJI และออเทล (Autel) จำหน่ายโดรนรุ่นใหม่ในสหรัฐฯ ในท้ายที่สุด ก่อนที่ต่อมาในเดือนม.ค. กระทรวงพาณิชย์ภายใต้การดูแลของของไบเดนเปิดเผยว่า กำลังพิจารณากฎระเบียบที่จะจำกัดหรือสั่งห้ามจำหน่ายโดรนจีนในสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมโดรนของสหรัฐฯ สมาคมระบบยานยนต์ไร้คนขับระหว่างประเทศ (Association for Uncrewed Vehicle Systems International) แถลงสนับสนุนการสอบสวนดังกล่าว โดยระบุว่าจะมีการทบทวนประเด็นความเข้มข้นของห่วงโซ่อุปทาน ศักยภาพการผลิตภายในประเทศ ตลอดจนบทบาทของเงินอุดหนุนจากต่างประเทศและแนวทางการกำหนดราคาด้วย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 436.36 จุด เหตุวิตกเงินเฟ้อสูง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 400 จุดในวันอังคาร (15 ก.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาดในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,023.29 จุด ลดลง 436.36 จุด หรือ -0.98%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,243.76 จุด ลดลง 24.80 จุด หรือ -0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,677.80 จุด เพิ่มขึ้น 37.47 จุด หรือ + 0.18% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 46 เซนต์ หลังทรัมป์ส่งสัญญาณเลี่ยงคว่ำบาตรรัสเซีย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (15 ก.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศให้เวลารัสเซีย 50 วันในการยุติสงครามในยูเครน นับเป็นการส่งสัญญาณหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะงักงันด้านอุปทานน้ำมัน ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.69% ปิดที่ 66.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 50 เซนต์ หรือ 0.72% ปิดที่ 68.71 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $22.4 กังวลเงินเฟ้อสูงหนุนเฟดตรึงดอกเบี้ย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (15 ก.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่สูงเกินคาด ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตรึงอัตราดอกเบี้ยสูง ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 22.4 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ 3,336.70 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์พลิกดีดตัว ตอบรับดัชนี CPI อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพลิกดีดตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ดีดตัวขึ้นจากเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้เงินเฟ้อจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ณ เวลา 22.33 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.487% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 5.020% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ กลุ่มการเงิน-เฮลท์แคร์ถ่วงตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (15 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่นักลงทุนรอติดตามข่าวเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-สหภาพยุโรป (EU) และประเมินข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 544.95 จุด ลดลง 2.04 จุด หรือ -0.37% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,766.21 จุด ลดลง 41.96 จุด หรือ -0.54%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,060.29 จุด ลดลง 100.35 จุด หรือ -0.42% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,938.32 จุด ลดลง 59.74 จุด หรือ -0.66% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 59.74 จุด กังวลเงินเฟ้อ-จับตาทิศทางนโยบายการเงิน BoE ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันอังคาร (15 ก.ค.) หลังจากแตะระดับ 9,000 จุดเป็นครั้งแรกในช่วงเช้า โดยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากภาษี ขณะที่นักลงทุนยังจับตาทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ระดับ 8,938.32 จุด ลดลง 59.74 จุด หรือ -0.66% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ขุนคลังญี่ปุ่นจับตาตลาดพันธบัตร หลังบอนด์ยีลด์พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลก คัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะจับตาความเคลื่อนไหวในตลาดพันธบัตรอย่างใกล้ชิด หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในวันนี้ (15 ก.ค.) พร้อมกับกล่าวว่าทางรัฐบาลจะพูดคุยกับนักลงทุนในตลาด เพื่อดำเนินนโยบายการบริหารจัดการหนี้อย่างเหมาะสม "เราจะพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อบริหารจัดการการคลังอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ตลาดสูญเสียความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาล" คาโตะกล่าวในการแถลงข่าว การประกาศจับตาดังกล่าวมีขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.595% ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการเงินโลกอันเนื่องมาจากการล้มละลายของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ (Lehman Brothers Holdings) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของญี่ปุ่นนั้น ปรับตัวขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าพรรครัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะทำผลงานย่ำแย่ในการเลือกตั้งสภาสูง (House of Councillors) ในวันอาทิตย์นี้ (20 ก.ค.) ซึ่งจะนำไปสู่การออกนโยบายที่จะยิ่งส่งผลกระทบต่อสถานะการคลังของประเทศ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเกิดขึ้นในขณะที่มาตรการรับมือกับภาวะราคาอาหารสูงได้กลายเป็นจุดสนใจมากที่สุดของการเลือกตั้งสภาสูงในครั้งนี้ โดยพรรคฝ่ายค้านหลายพรรคเรียกร้องให้รัฐบาลปรับลดอัตราภาษีบริโภค ซึ่งเป็นนโยบายที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ทางด้านพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล และพรรคโคเมอิโตะซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ได้ให้คำมั่นว่าจะแจกเงินช่วยเหลือให้กับประชาชน แต่ผลสำรวจเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลอาจสูญเสียเสียงข้างมากในการเลือกตั้งสภาสูง (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นอายุ 10 ปีพุ่งแตะ 1.595% สูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.595% ในช่วงเช้าวันนี้ (15 ก.ค.) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการเงินโลกอันเนื่องมาจากการล้มละลายของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิงส์ (Lehman Brothers Holdings) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของญี่ปุ่นนั้น ปรับตัวขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าพรรครัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะทำผลงานย่ำแย่ในการเลือกตั้งสภาสูง (House of Councillors) ในวันอาทิตย์นี้ (20 ก.ค.) ซึ่งจะนำไปสู่การออกนโยบายที่จะยิ่งส่งผลกระทบต่อสถานะการคลังของประเทศ ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นว่า ภาวะผันผวนในตลาดตราสารหนี้อาจจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและผู้บริโภคญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นด้วย (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นเล็งกำหนดบริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลการขึ้นค่าจ้างต่อนักลงทุน แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวเกียวโดว่า ญี่ปุ่นมีแผนจะกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้างพนักงานในรายงานหลักทรัพย์ประจำปี เพื่อให้นักลงทุนสามารถประเมินได้ว่าค่าจ้างที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นแซงหน้าอัตราเงินเฟ้อหรือไม่ แหล่งข่าวระบุว่า สำนักงานบริการทางการเงิน (FSA) คาดหวังว่าข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งอาจจะเริ่มให้มีผลบังคับใช้ในรายงานตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีหน้านั้น จะส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ ลงทุนในทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ญี่ปุ่นสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ FSA มีแผนที่จะทบทวนคำสั่งที่เกี่ยวข้องของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ หลังจากที่ข้อเสนอนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือโดยคณะผู้เชี่ยวชาญและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน นอกเหนือจากบริษัทจดทะเบียนแล้ว บริษัทประเภทอื่น ๆ บางประเภท ซึ่งรวมถึงบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แต่มีผู้ถือหุ้น 1,000 รายขึ้นไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะเปิดเผยรายงานหลักทรัพย์ประจำปีด้วยเช่นกัน โดยในรายงานดังกล่าวนั้น บริษัทต่าง ๆ จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนพนักงาน อายุเฉลี่ย อายุงานเฉลี่ย ค่าจ้างเฉลี่ยต่อปี อัตราส่วนของผู้หญิงที่ทำงานในตำแหน่งบริหาร เปอร์เซ็นต์ของพนักงานที่ลาหยุดเพื่อดูแลบุตร และช่องว่างค่าจ้างระหว่างพนักงานชายและหญิง แหล่งข่าวระบุว่า รายการข้อมูลที่ต้องเปิดเผยเพิ่มเติมนั้น บริษัทต่าง ๆ จะถูกกำหนดให้ต้องอธิบายเหตุผลสำหรับการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจ้าง และกลยุทธ์ในการดึงดูดผู้มีความสามารถ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นตั้งหน่วยงานใหม่ดูแลชาวต่างชาติ สร้างความมั่นใจประชาชนก่อนเลือกตั้ง รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศจัดตั้งหน่วยงานใหม่ในวันนี้ (15 ก.ค.) เพื่อดูแลปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ โดยหวังคลายความกังวลของประชาชนต่อการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนชาวต่างชาติในประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสที่นโยบายที่เกี่ยวกับคนต่างชาติกลายเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งระดับชาติ รัฐบาลระบุในแถลงการณ์ว่า หน่วยงานแห่งใหม่นี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์อำนวยการที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐเพื่อรับมือกับปัญหาต่าง ๆ เช่น อาชญากรรม และภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง โดยจะอยู่ภายใต้การกำกับของ วาตารุ ซากาตะ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่รวม 78 คน ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แม้ญี่ปุ่นมีนโยบายเข้มงวดในการควบคุมผู้อพยพมาอย่างยาวนาน แต่ก็เริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดบางประการ เพื่อรองรับการขาดแคลนแรงงานจากภาวะประชากรสูงวัยและจำนวนประชากรลดลง ในปีที่ผ่านมา จำนวนชาวต่างชาติที่พำนักในญี่ปุ่นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.8 ล้านคน แม้จะคิดเป็นเพียง 3% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทั้งนี้ การจัดตั้งหน่วยงานใหม่นี้มีขึ้นหลังจากสมาชิกพรรครัฐบาลจากพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ได้เสนอแผนการเมื่อเดือนมิ.ย. เพื่อผลักดันแนวทางสร้างสังคมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบและกลมกลืนกับชาวต่างชาติ (อินโฟเควสท์)
"อิชิบะ" จ่อพบขุนคลังสหรัฐฯ ศุกร์นี้ ก่อนเส้นตายข้อตกลงการค้า หนังสือพิมพ์โยมิอุริรายงานในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีกำหนดพบปะหารือกับสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่กรุงโตเกียวในวันศุกร์นี้ (18 ก.ค.) ก่อนถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ที่ทั้งสองประเทศจะต้องบรรลุข้อตกลงทางการค้า การพบปะครั้งนี้จะถือเป็นการประชุมระดับสูงครั้งแรกระหว่างรัฐบาลโตเกียวกับวอชิงตัน หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายถึงญี่ปุ่น แจ้งเรื่องการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นเป็น 25% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ขณะเดียวกัน โยมิอุริมีรายงานอีกชิ้นหนึ่งว่า คณะผู้นำสหภาพยุโรป (EU) จะเดินทางเยือนญี่ปุ่นเพื่อพบนายกฯ อิชิบะในช่วงปลายเดือนนี้เช่นกัน โดยประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน และประธานคณะมนตรียุโรป อันโตนิโอ คอสตา จะเดินทางไปยังกรุงโตเกียวในราววันที่ 23 ก.ค. เพื่อเปิดตัวแผน "พันธมิตรเพื่อความสามารถในการแข่งขัน" (Competitiveness Alliance) โยมิอุริอ้างอิงร่างแถลงการณ์ว่า กรอบความร่วมมือใหม่ระหว่าง EU กับญี่ปุ่นนี้ จัดทำขึ้นเพื่อตอบโต้มาตรการทางภาษีของปธน.ทรัมป์ และการจำกัดการส่งออกแร่หายาก (rare earth) ของจีน โดยทั้งสองฝ่ายจะเน้นย้ำถึงพันธกิจในการรักษาระเบียบเศรษฐกิจที่ "มีเสถียรภาพ คาดการณ์ได้ ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ เสรี และเป็นธรรม" ทั้งนี้ EU เองก็กำลังเผชิญกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ในอัตรา 30% แถลงการณ์ดังกล่าวอาจครอบคลุมถึงความร่วมมือระหว่าง EU กับญี่ปุ่นในด้านอื่น ๆ เช่น ห่วงโซ่อุปทานแร่หายากและแบตเตอรี่ การลงทุนด้านก๊าซธรรมชาติ การเจรจาด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และดาวเทียม (อินโฟเควสท์)
โพลชี้ พรรคฝ่ายรัฐบาลญี่ปุ่นส่อแววแพ้เลือกตั้งสว. เสียเสียงข้างมากในวุฒิสภา ผลสำรวจความเห็นที่เผยแพร่โดยสื่อหลายสำนักในวันนี้ (15 ก.ค.) บ่งชี้ว่า พรรคฝ่ายรัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะสูญเสียเสียงข้างมากในการเลือกตั้งวุฒิสภาที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 ก.ค. นี้ โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ กระแสคาดการณ์ดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลของนักวิเคราะห์บางส่วนว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายการคลังของประเทศ หนังสือพิมพ์อาซาฮีระบุโดยอ้างอิงผลสำรวจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและการรายงานข่าวทั่วประเทศว่า พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ และพรรคโคเมโตะ (Komeito) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อาจต้องพยายามอย่างหนักเพื่อรักษา 50 ที่นั่งที่จำเป็นต่อการครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ขณะที่สำนักข่าวจิจิก็รายงานในทิศทางเดียวกันว่า พรรคฝ่ายรัฐบาลกำลังเผชิญความท้าทายในการหาเสียงและอาจสูญเสียเสียงข้างมากในสภาสูง ทั้งนี้ คะแนนนิยมของรัฐบาลอิชิบะตกต่ำลงท่ามกลางปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของญี่ปุ่น เดวิด โบลลิง ผู้อำนวยการจากบริษัทที่ปรึกษา Eurasia Group กล่าวในบทวิเคราะห์ว่า "คะแนนนิยมที่ตกต่ำของอิชิบะสะท้อนความไม่พอใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต่อสถานการณ์ปัจจุบัน" พร้อมประเมินว่ามีโอกาส 60% ที่พรรคฝ่ายรัฐบาลจะสูญเสียเสียงข้างมาก การเลือกตั้งครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ให้ลุล่วงก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% หนังสือพิมพ์โยมิอุริรายงานว่า นายกฯ อิชิบะมีกำหนดการเข้าพบสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ (18 ก.ค.) ระหว่างการเยือนญี่ปุ่นเพื่อร่วมงานวันชาติสหรัฐฯ ในมหกรรม World Expo ที่เมืองโอซาก้า ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้น นายกฯ อิชิบะได้ให้คำมั่นว่าจะจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านค่าครองชีพ แต่ปฏิเสธข้อเรียกร้องของพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการให้ลดภาษีการขาย นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า หากพรรครัฐบาลพ่ายแพ้การเลือกตั้ง อาจเพิ่มโอกาสที่จะมีการลดภาษี และอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในการลดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ นาโอยะ ฮาเซกาวะ หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านพันธบัตรจาก Okasan Securities กล่าวว่า "หากพรรคฝ่ายรัฐบาลสูญเสียเสียงข้างมาก ตลาดจะจับตาดูสัญญาณเกี่ยวกับอนาคตของนายกฯ อิชิบะ โครงสร้างของรัฐบาลชุดใหม่ และทิศทางนโยบายการคลัง" (อินโฟเควสท์)
จับตาเลือกตั้งสว.ญี่ปุ่น พรรคการเมืองชูนโยบายชาวต่างชาติเรียกคะแนนโหวต แม้ผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องมากที่สุด โดยเฉพาะราคาอาหารและน้ำมันที่สูงขึ้น แต่เป็นที่น่าจับตาว่า ประเด็นเกี่ยวกับชาวต่างชาติกำลังเป็นหนึ่งในนโยบายที่บรรดาพรรคการเมืองญี่ปุ่นหยิบยกมาช่วงชิงคะแนนในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ท่ามกลางจำนวนชาวต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั้งมาเที่ยว มาทำงาน และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ มีจุดยืนที่เข้มงวดมากขึ้นกว่าการหาเสียงในอดีต โดยพรรคชูนโยบาย "ชาวต่างชาติผิดกฎหมายเป็นศูนย์" ด้วยการตรวจสอบประวัติบุคคลอย่างเข้มงวดก่อนอนุญาตให้เข้าประเทศ ขณะเดียวกัน นายกฯ อิชิบะเน้นย้ำว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีแรงงานต่างชาติที่ถูกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการลดลงของประชากร ด้านพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (CDP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก สนับสนุนการมีแรงงานต่างชาติมากขึ้น โยชิฮิโกะ โนดะ หัวหน้าพรรค ย้ำว่า ญี่ปุ่นต้องการแรงงานต่างชาติเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคน โดยเฉพาะในภาคการพยาบาลและการดูแลเด็ก นอกจากนี้ พรรคมีแนวคิดสนับสนุนสังคมหลากหลายวัฒนธรรม ต้อนรับชาวต่างชาติและครอบครัวให้มาทำงาน เรียนรู้ และอยู่ร่วมกับชุมชนท้องถิ่นได้ ขณะที่พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน (DPP) ไม่ต่อต้านแรงงานต่างชาติ พร้อมสนับสนุนการฝึกอบรมภาษาญี่ปุ่นสำหรับเด็กต่างชาติ ช่วยเหลือพวกเขาให้ปรับตัวเข้ากับชีวิตในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ยูอิจิโระ ทามากิ หัวหน้าพรรค สนับสนุนให้มีการกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้นสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อควบคุมราคาอสังหาฯ ตามเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ส่วนพรรคซันเซโตะ (Sanseito) ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยม ถือเป็นพรรคที่มีจุดยืนแข็งกร้าวที่สุด โซเฮ คามิยะ หัวหน้าพรรค เรียกร้องให้ยุติการสนับสนุนสวัสดิการสำหรับชาวต่างชาติ ห้ามจ้างชาวต่างชาติทำงานในภาครัฐ จำกัดจำนวนแรงงานและนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ และทำให้การโอนสัญชาติหรือการได้รับถิ่นที่อยู่ถาวรของชาวต่างชาติยากขึ้น สำหรับสาเหตุที่ทำให้ประเด็นชาวต่างชาติเป็นที่ถกเถียงและได้รับความสนใจในสังคมญี่ปุ่นมากขึ้นนั้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่ามีหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยพรรคฝ่ายค้านสายอนุรักษนิยมขนาดเล็กกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น พรรคซันเซโตะซึ่งมีนโยบาย "ญี่ปุ่นต้องมาก่อน" และสนับสนุนการควบคุมชาวต่างชาติอย่างเข้มงวด ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองในการสำรวจความคิดเห็นของสื่อบางแห่ง สวนทางกับพรรครัฐบาลที่ได้รับคะแนนสนับสนุนลดลง ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2567 ระบุว่า มีแรงงานต่างชาติประมาณ 2.3 ล้านคนในญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นเกือบ 254,000 คนจากปีก่อนหน้า ในจำนวนนี้ 24.8% มาจากเวียดนาม, 17.8% มาจากจีน และ 10.7% มาจากฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 37 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด และจำนวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 3.77 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 218.40 จุด เยนอ่อนหนุนหุ้นส่งออก ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (15 ก.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มผู้ส่งออกบางส่วนหลังเงินเยนอ่อนค่าลง ขณะที่นักลงทุนยังคงเฝ้ารออย่างระมัดระวังต่อข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,678.02 จุด เพิ่มขึ้น 218.40 จุด หรือ +0.55% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนเผย GDP ไตรมาส 2 โตเกินคาด 5.2% อานิสงส์ส่งออกแกร่ง สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 5.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% และสูงกว่าเป้าหมายตลอดปีที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกไปยังตลาดนอกสหรัฐฯ ซึ่งช่วยพยุงภาคการผลิตของจีน อย่างไรก็ดี GDP ไตรมาส 2 ของจีนขยายตัวต่ำกว่าในไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 5.4% สะท้อนให้เห็นว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังคงสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนซึ่งได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากภาวะเงินฝืดและตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงเป็นเวลานานหลายปี นอกจากนี้ การชะลอตัวของ GDP จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลจีนเร่งออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดัชนีหุ้นบริษัทจีนในตลาดหุ้นฮ่องกงและในตลาดหุ้นจีนยังคงเคลื่อนไหวในแดนบวกหลังจาก NBS เปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ขณะที่ค่าเงินหยวนทรงตัว และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปีทรงตัวเช่นกัน (อินโฟเควสท์)
ราคาบ้านจีนร่วงหนักสุดในรอบ 8 เดือน เพิ่มแรงกดดันรัฐบาลออกมาตรการฟื้นฟู สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองของจีน ซึ่งไม่รวมที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ลดลง 0.27% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 8 เดือน และตอกย้ำถึงกระแสคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลจีนจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์ ส่วนราคาบ้านมือสองของจีนปรับตัวลง 0.61% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567 ทั้งนี้ นักลงทุนต่างก็เรียกร้องให้รัฐบาลจีนออกมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย เนื่องจากมาตรการกระตุ้นที่รัฐบาลจีนประกาศใช้เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้วนั้น เริ่มส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจน้อยลง การชะลอตัวเป็นเวลานานของตลาดที่อยู่อาศัยของจีนกำลังขัดขวางความพยายามในการกระตุ้นอุปสงค์ผู้บริโภคและการพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ในขณะที่การส่งออกของจีนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
จีนเผยลงทุนสินทรัพย์ถาวรครึ่งปีแรกโต 2.8% อุตฯไฮเทคพุ่ง-อสังหาฯทรุด สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งช่วยชดเชยภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง ข้อมูลระบุว่า การลงทุนรวมเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 24.87 ล้านล้านหยวน (3.48 ล้านล้านดอลลาร์) ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. ปีนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคอุตสาหกรรมพบว่า การลงทุนด้านการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การลงทุนด้านการผลิตเพิ่มขึ้น 7.5% การลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทคมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น โดยการลงทุนในบริการสารสนเทศเพิ่มขึ้น 37.4%, การผลิตเครื่องบินและยานอวกาศเพิ่มขึ้น 26.3% และการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานเพิ่มขึ้น 21.5% หากไม่รวมภาคอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนในช่วงหกเดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน การลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ลดลง 11.2% การลงทุนภาคเอกชนลดลง 0.6% จากปีก่อน อย่างไรก็ดี หากไม่รวมอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 5.1% (อินโฟเควสท์)
จีนเผยยอดค้าปลีกชะลอตัวเดือนมิ.ย. แต่การผลิตอุตสาหกรรมยังแกร่ง สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 4.8% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.4% และชะลอตัวลงจากเดือนพ.ค. ที่ปรับตัวขึ้น 6.4% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 6.8% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี แข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5.7% และดีกว่าในเดือนพ.ค.ที่มีการขยายตัว 5.8% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรปรับตัวขึ้น 2.8% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.6% ขณะที่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ร่วงลงถึง 11.2% ในครึ่งปีแรก เทียบกับช่วง 5 เดือนแรกที่ปรับตัวลง 10.7% ส่วนการลงทุนด้านสาธารณูปโภคและการผลิตชะลอตัวลงเช่นกัน สำหรับอัตราว่างงานในเขตเมืองทรงตัวที่ระดับ 5% ในเดือนมิ.ย. หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่ 5.4% ในเดือนก.พ. นอกจากนี้ NBS ยังเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 5.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% และสูงกว่าเป้าหมายตลอดปีที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกไปยังตลาดอื่น ไม่รวมสหรัฐฯ ซึ่งช่วยพยุงภาคการผลิตของจีน ทั้งนี้ NBS ระบุในแถลงการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนที่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงมีความยืดหยุ่น อย่างไรก็ดี NBS เตือนว่าปัจจัยในต่างประเทศยังคงไม่แน่นอนและไม่มีเสถียรภาพ ในขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแอ (อินโฟเควสท์)
จีนผลิตน้ำมันดิบ-ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีแรก สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า การผลิตก๊าซธรรมชาติของจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ข้อมูลของ NBS ระบุว่า จีนผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในปริมาณ 1.308 แสนล้านลูกบาศก์เมตรในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี เฉพาะเดือนมิ.ย.เพียงเดือนเดียว จีนผลิตก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 2.12 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร NBS ยังระบุด้วยว่า การผลิตถ่านหินดิบของจีนเพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 2.4 พันล้านตันในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นอกจากนี้ จีนผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 108.48 ล้านตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 14.65 จุด นักลงทุนซึมซับข้อมูลศก. ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (15 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากนักลงทุนซึมซับข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,505.00 จุด ลดลง 14.65 จุด หรือ -0.42% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดพุ่ง 386.80 จุด หุ้นเทคฯหนุนตลาด, ขานรับ GDP จีนโตเกินคาด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 เดือนในวันนี้ (15 ก.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากที่มีรายงานว่า อินวิเดีย (Nvidia) เตรียมกลับมาส่งออกชิป H20 ให้ลูกค้าในจีนได้อีกครั้ง นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับตัวเลข GDP ของจีนที่ออกมาดีเกินคาด ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,590.12 จุด เพิ่มขึ้น 386.80 จุด หรือ +1.60% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
ยอดขาย EV ทั่วโลกพุ่ง 24% ตลาดจีน-ยุโรปหนุน ขณะสหรัฐฯ ชะลอตัว โร โมชัน (Rho Motion) บริษัทวิจัยตลาดเปิดเผยในวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินทั่วโลก พุ่งขึ้น 24% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ายังคงขยายตัวต่อเนื่องในจีนและยุโรป ชาร์ลส์ เลสเตอร์ ผู้จัดการข้อมูลของโร โมชันเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ยอดขาย EV ในสหรัฐฯ ลดลง 1% ในเดือนมิ.ย. และคาดว่าจะฟื้นตัวได้ยากในปีนี้ หลังจากที่กฎหมายการใช้จ่ายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ปรับลดเครดิตภาษีลงเร็วกว่าที่คาดไว้ เลสเตอร์เสริมว่า ยอดขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือที่รวมถึงแคนาดาด้วยนั้นตกต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลกเป็นครั้งแรกซึ่งรวมถึงตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาใต้ และอเมริกากลาง ภาษีนำเข้า 25% ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกเช่นกัน หลายรายปรับลดคาดการณ์ยอดขายในปี 2568 ยอดขาย EV และรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินทั่วโลกพุ่งแตะ 1.8 ล้านคันในเดือนมิ.ย. โดยยอดขายในจีนพุ่งขึ้น 28% เมื่อเทียบเป็นรายปีอยู่ที่ 1.11 ล้านคัน, ยอดขายในยุโรปเพิ่มขึ้น 23% อยู่ที่ประมาณ 390,000 คัน ขณะที่ยอดขายในอเมริกาเหนือลดลง 9% อยู่ที่ราว 140,000 คัน และยอดขายในส่วนอื่น ๆ ของโลกพุ่งขึ้น 43% สู่ระดับมากกว่า 140,000 คัน ในยุโรปนั้น แรงจูงใจสำหรับผู้ซื้อปลีกและผู้ซื้อรถยนต์แบบกลุ่มในตลาดสำคัญ ๆ เช่น เยอรมนีและสเปน ควบคู่ไปกับการมี EV ราคาถูกให้เลือกใช้มากขึ้นนั้น คาดว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ส่องข้อตกลงการค้า: สหรัฐเก็บภาษีอินโดฯ 19%/อินโดฯเก็บภาษีสหรัฐ 0% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความบน Truth Social ระบุว่า สหรัฐได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับอินโดนีเซียแล้ว ทั้งนี้ สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากอินโดนีเซียในอัตรา 19% หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐขู่เรียกเก็บภาษีดังกล่าวสูงถึง 32% อย่างไรก็ดี หากมีการส่งผ่านสินค้าจากประเทศที่มีอัตราภาษีสูงกว่า ภาษีดังกล่าวก็จะถูกบวกเพิ่มเข้าไปในภาษีที่อินโดนีเซียต้องจ่ายด้วย นอกจากนี้ ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ อินโดนีเซียได้ให้คำมั่นว่าจะซื้อพลังงานจากสหรัฐวงเงิน 15,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตรจากสหรัฐวงเงิน 4,500 ล้านดอลลาร์ และเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ ซึ่งหลายลำเป็นรุ่น 777 ขณะเดียวกัน สินค้าที่ส่งออกจากสหรัฐไปยังอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นทั้งภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และเป็นครั้งแรกที่เกษตรกร ผู้เลี้ยงสัตว์ และชาวประมงของสหรัฐ จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรกว่า 280 ล้านคนอย่างเต็มรูปแบบ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ รีดภาษีนำเข้ามะเขือเทศจากเม็กซิโก 17.09% ยกเลิกข้อตกลงปี 62 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันจันทร์ (14 ก.ค.) ว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 17.09% สำหรับมะเขือเทศสดส่วนใหญ่จากเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นการถอนตัวจากข้อตกลงระงับการไต่สวนการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดมะเขือเทศที่ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2562 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนเม.ย. กระทรวงฯ ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่สามารถปกป้องเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศในสหรัฐฯ จากการนำเข้าที่มีราคาต่ำเกินจริงจากเม็กซิโกได้ และเผยว่าได้รับความคิดเห็นจากผู้ปลูกมะเขือเทศชาวอเมริกันจำนวนมากที่เรียกร้องให้ยุติข้อตกลงนี้ โดยกระทรวงฯ ย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าวจะเปิดทางให้เกษตรกรในประเทศแข่งขันในตลาดได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น ปัจจุบัน กระทรวงฯ มีคำสั่งเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุนจำนวน 734 รายการ ซึ่งช่วยเยียวยาธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม ข้อมูลจากหอสังเกตการณ์ความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ (OEC) ระบุว่า สหรัฐฯ นำเข้ามะเขือเทศมูลค่า 3.63 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 โดยกว่า 3.12 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 86% มาจากเม็กซิโก แม้ผู้ปลูกมะเขือเทศในสหรัฐฯ อาจยินดีกับมาตรการนี้ซึ่งออกแบบมาเพื่อปกป้องพวกเขาจากการแข่งขันด้านราคา แต่รายงานข่าวระบุว่า หลายฝ่ายกังวลว่าภาษีใหม่นี้อาจส่งผลให้ราคามะเขือเทศสูงขึ้น และอาจกระทบต่อซัพพลายเชนมะเขือเทศซึ่งเป็นผักที่บริโภคมากเป็นอันดับสองในสหรัฐฯ ทั้งนี้ หอการค้าสหรัฐฯ และกลุ่มธุรกิจอีกประมาณ 30 องค์กร ได้ร่วมกันส่งจดหมายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนการถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า การยุติข้อตกลงอาจสร้างความปั่นป่วนให้กับซัพพลายเชนมะเขือเทศของสหรัฐฯ และส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" บรรลุดีลการค้ากับอินโดนีเซียแล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยในวันนี้ว่า เขาได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับอินโดนีเซียแล้ว "เราเพิ่งทำข้อตกลงกับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกฝ่าย โดยผมได้เจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีของพวกเขาซึ่งเป็นที่เคารพนับถือมาก รายละเอียดจะตามมา!!!" ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social (อินโฟเควสท์)
บราซิลโดนภาษีทรัมป์ 50% คาดกระทบ GDP หายไป 0.41% เกตูลิโอ วาร์กัส ฟาวน์เดชัน (FGV) สถาบันวิจัยชั้นนำของบราซิล เผยแพร่รายงานล่าสุดระบุว่า อัตราภาษี 50% ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บกับสินค้าที่นำเข้าจากบราซิล อาจส่งผลกระทบให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของบราซิลลดลงไปถึง 0.41% รายงานระบุว่า มาตรการภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้การส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรของบราซิลไปยังสหรัฐฯ ลดลงมากถึง 75% ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบัน สินค้าเกษตรของบราซิล เช่น กาแฟ น้ำตาล และน้ำส้ม คิดเป็นประมาณ 30% ของสินค้าทั้งหมดที่บราซิลส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของบราซิล ทั้งนี้ เมื่อวันพุธที่ 9 ก.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าจะเก็บภาษี 50% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากบราซิล โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป แม้รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่เริ่มดำเนินมาตรการจริง แต่บรรยากาศความไม่แน่นอนในเวทีการค้าระหว่างประเทศเริ่มส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคี อีกทั้งรายงานยังระบุว่า มาตรการดังกล่าวอาจละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่ง ขานรับ CPI อินเดียต่ำสุดกว่า 6 ปี ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียดีดตัวขึ้นกว่า 300 จุด ขานรับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอินเดีย ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 ปี ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,570.91 บวก 317.45 จุด หรือ 0.39% (อินโฟเควสท์)
ไทย
รมว.คลัง ยืนยันเจรจาภาษี "ทรัมป์" ไร้ประเด็นความมั่นคงแลกดีล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยถึงการยื่นข้อเสนอการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีข่าวว่าไทยยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับความมั่นคง เช่น การให้ตั้งฐานทัพเรือที่ จ.พังงา นั้น ยืนยันว่า ไม่มีเรื่องดังกล่าว เพราะตนดูเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
รมว.คลัง ยืนยันชง ครม.ตั้งผู้ว่า ธปท.สัปดาห์หน้าทันแน่ ย้ำไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยอมรับว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ แต่ยืนยันว่าการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า เรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณาอย่างแน่นอน "ผมเสนอไปแล้ว แต่ว่าผมอาจจะเสนอช้าไปนิดนึง แต่อาทิตย์หน้าเข้าแน่นอน" รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าว พร้อมยืนยันว่าเหตุที่ยังไม่ได้เข้าที่ประชุม ครม.วันนี้ ไม่ใช่เพราะติดปัญหาเรื่องคุณสมบัติแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท.เป็นตำแหน่งที่สำคัญ จึงต้องทำให้เรียบร้อย ผู้สื่อข่าวถามว่า ในสัปดาห์หน้าชื่อบุคคลที่เสนอเข้า ครม.จะยังเป็นชื่อเดิมหรือไม่ นายพิชัย ไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรง ๆ โดยตอบเพียงแค่ว่า "ก็ผมยื่นไปแล้ว"
"แพทองธาร" ยื่นขอขยายเวลาส่งคำชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญ 15 วัน อ้างเหตุเตรียมเอกสารไม่ทัน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 15 วันในการส่งคำชี้แจงข้อกล่าวหาของกลุ่ม 36 สว.ที่เข้าชื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา "เมื่อสักครู่นี้ได้ส่งคำขอไปยังศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว เพื่อขอขยายเวลาอีก 15 วัน ก็ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา" นพ.พรหมินทร์ กล่าว ทั้งนี้ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากดำเนินการจัดทำคำชี้แจงต่าง ๆ ยังไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 17.70 จุด รับแรง Cover Short หุ้นใหญ่ สลับขายกลุ่มแบงก์กังวล NIM หด SET ปิดวันนี้ที่ 1,161.01 จุด เพิ่มขึ้น 17.70 จุด (+1.55%) มูลค่าซื้อขาย 48,024.99 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีกว่าภูมิภาค รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นมาของหุ้นหลายตัว ส่วนใหญ่เป็นการทำ Cover Short อาทิ AOT CPALL TRUE GULF ขณะที่กลุ่มแบงก์ย่อลงรับแนวโน้ผลประกอบการอาจไม่โต และกังวลผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่หนุนลดดอกเบี้ยมากขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งไซด์เวย์อัพ แนะติดตาม CPI สหรัฐคืนนี้ ให้กรอบแนวรับ 1,155 จุด และแนวต้าน 1,170 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,161.01 จุด เพิ่มขึ้น 17.70 จุด (+1.55%) มูลค่าการซื้อขาย 48,024.99 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีฟื้นตัวต่อ โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,139.64 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,162.72 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 381 หลักทรัพย์ ลดลง 108 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 157 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 120,578 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 120,578 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 53,198 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 213 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,364 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.4% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 1,382 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 1,382 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 5.2% (YoY) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% และสูงกว่าเป้าหมายตลอดปีที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% จากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกไปยังตลาดนอกสหรัฐฯ ซึ่งช่วยพยุงภาคการผลิตของจีน ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนมิ.ย. ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.42 กลับมาแข็งค่า หลังครม.ยังไม่เคาะผู้ว่าธปท.คนใหม่ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.55 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.42 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจาก เปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.48 บาท/ดอลลาร์ หลังเปิดตลาดบาทเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า โดยอยู่ในระดับอ่อนค่าสุดในภูมิภาค ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าหลังมีข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ และสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลก ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40 - 32.52 บาท/ดอลลาร์ "บาทกลับมาแข็งค่าหลังมีข่าว ครม.ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องผู้ว่า ธปท.คนใหม่ ซึ่งตลาดเชื่อว่าหากนายวิทัย รัตนากร ได้เป็นผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.30 - 32.55 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ
รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สหรัฐฯ