• X
  • ค้นหา
  • TH EN
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu แนะนำ
    • NAV
    • ค้นหากองทุน
    • กองทุนแนะนำ
    • กองทุนผลงานดี
    • ตารางจ่ายเงินปันผล
    • วันหยุดกองทุน
    • ข่าว/บทวิเคราะห์
    • กลยุทธ์การลงทุน
    • กำหนดการและแบบฟอร์ม
    • โปรโมชั่น
    • ข้อมูลกองทุน
    • เปรียบเทียบกองทุน
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
  1. หน้าแรก
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
เฟดคงดอกเบี้ยตามคาด ส่งสัญญาณหั่นดอกเบี้ย 2 ครั้งปีนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันนี้ (18 มิ.ย.) ตามการคาดการณ์ของตลาด  ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปีนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2570 ทั้งนี้ Dot Plot บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1% ในช่วงปี 2568-2570 (อินโฟเควสท์)
เฟดหั่นคาดการณ์ GDP สหรัฐเหลือ 1.4% ปีนี้ จากเดิม 1.7% คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันนี้ (18 มิ.ย.) ตามการคาดการณ์ของตลาด ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปีนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2570  ทั้งนี้ Dot Plot บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1% ในช่วงปี 2568-2570   ส่วนการคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐนั้น เฟดได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 1.4% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.7% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 3.1% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.8% ทั้งนี้ เฟดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568, 2569 และ 2570 อยู่ที่ระดับ 1.4%, 1.6% และ 1.8% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนมี.ค.ว่าจะมีการขยายตัว 1.7%, 1.8% และ 1.8% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวในระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 1.8%   นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 2568, 2569 และ 2570 อยู่ที่ระดับ 4.5%, 4.5% และ 4.4% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนมี.ค.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.4%, 4.3% และ 4.3% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการว่างงานระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2%   ขณะเดียวกัน เฟดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อตามดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ในปี 2568, 2569 และ 2570 อยู่ที่ระดับ 3.1%, 2.4% และ 2.1% ตามลำดับ หลังจากคาดการณ์ในเดือนมี.ค.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.8%, 2.2% และ 2.0% ตามลำดับ (อินโฟเควสท์)
คำต่อคำ: แถลงการณ์ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เดือนมิ.ย. 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 18 มิ.ย. ตามเวลาสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อมูลที่เฟดได้รับเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่แข็งแกร่ง แม้ว่าความผันผวนของยอดส่งออกสุทธิได้ส่งผลกระทบต่อข้อมูลก็ตาม ขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และภาวะตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง คณะกรรมการ FOMC พยายามหาแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในระยะยาว ส่วนความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจลดลงแล้ว แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง และคณะกรรมการยังคงให้ความสนใจกับความเสี่ยงที่จะมีต่อ Dual Mandate ของเฟด คือการจ้างงานที่ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพและอัตราเงินเฟ้อที่เคลื่อนตัวสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว คณะกรรมการฯ ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ส่วนในการพิจารณาเรื่องขนาดและเวลาของการปรับช่วงเป้าหมายของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มเติมนั้น คณะกรรมการจะใช้ความระมัดระวังในการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า รวมทั้งแนวโน้มของพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และสมดุลของความเสี่ยง คณะกรรมการจะยังคงปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) นอกจากนี้ คณะกรรมการมีความมุ่งมั่นอย่างมากในการสนับสนุนการจ้างงานที่ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพ และทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ส่วนในการประเมินแนวทางที่เหมาะสมของนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการฯ จะยังคงจับตาข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯ จะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ของคณะกรรมการฯ โดยคณะกรรมการฯ จะประเมินข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน และสถานการณ์ในต่างประเทศ (อินโฟเควสท์)
"พาวเวล" ชี้เฟดรอดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อนปรับนโยบายการเงิน คาดเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นฤดูร้อนนี้ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินในวันพุธ (18 มิ.ย.) โดยกล่าวว่า นโยบายการเงินอาจจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง แต่ในระยะใกล้นี้ เขายังไม่เห็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะอ่อนแอลง "เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการขยายตัวสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะอ่อนแอลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และนั่นเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง หลายต่อหลายครั้งที่ผู้คนคิดว่าเศรษฐกิจจะอ่อนแอลง ซึ่งต่อให้ในท้ายที่สุดมันจะอ่อนแอ แต่ในขณะนี้เรายังไม่เห็นสัญญาณของสิ่งนั้น" พาวเวลกล่าว พาวเวลระบุว่า กรรมการเฟดคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจากราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ เนื่องจากผลกระทบจากภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะส่งผลต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ "สิ่งที่นักวิเคราะห์ภายนอกทุกคนและเฟดเองกำลังพูดถึงก็คือ เราคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และเราต้องนำสิ่งนี้มาพิจารณา" พาวเวลกล่าว และเสริมว่า "เรามองว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและเป็นการตัดสินใจที่ดีขึ้น หากเรารอเวลาอีกสักสองสามเดือนหรือนานกว่านั้น เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าการส่งผ่านเงินเฟ้อดังกล่าวนั้นจะเป็นอย่างไร" พาวเวลระบุว่า ในการประชุมครั้งนี้ กรรมการเฟด 19 คนมีความเห็นที่แตกต่างกัน โดยมี 7 คนที่มองว่าไม่จำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมุมมองที่ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์จะลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนเม.ย. แต่ขณะนี้ก็ยังคงเป็น "ช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนอย่างมาก" ในการแถลงข่าวครั้งนี้ พาวเวลไม่ได้กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และความเสี่ยงที่ความขัดแย้งดังกล่าวจะมีต่อตลาดน้ำมันโลกหรือตลาดอื่น ๆ โดยพาวเวลกล่าวเพียงว่า เฟดกำลังติดตามความขัดแย้งนี้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ และแม้ว่าราคาพลังงานอาจจะปรับตัวสูงขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานมักจะอ่อนตัวลงในภายหลัง และไม่มีผลกระทบที่ยั่งยืนต่อเงินเฟ้อ "ขณะนี้เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะรอดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจก่อนที่จะพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายของเรา และเฟดพร้อมที่จะ 'ตอบสนอง' ต่อข้อมูลที่เข้ามาอย่างทันท่วงที" (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" ดักคอ "พาวเวล" เรียกเป็น "คนโง่" ที่จะไม่ลดดอกเบี้ยคืนนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำการโจมตีนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ โดยเรียกเขาว่าเป็น "คนโง่" ซึ่งจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในคืนนี้ "เรามีคนโง่คนหนึ่งอยู่ตรงนั้น พูดตามตรง ผมคิดว่าเขาคงจะไม่ลดดอกเบี้ยในวันนี้ ยุโรปลดดอกเบี้ยไปแล้ว 10 ครั้ง ส่วนเราไม่มีเลย ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นพวกนักการเมืองหรือเปล่า โดยเขาอาจจะเป็นคนที่เล่นการเมืองแต่ไม่ฉลาด และเขากำลังทำให้ประเทศต้องเสียหายคิดเป็นเงินมหาศาล" "ถ้าเขากังวลเรื่องเงินเฟ้อ ก็เข้าใจได้ ผมก็เข้าใจนะ แต่ผมไม่คิดว่ามีเงินเฟ้อ ตอนนี้ก็ยังไม่มี" "แต่ตอนนี้เรามีคนที่แค่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยของเฟด เขาแค่ไม่ยอมทำ เขาไม่ใช่คนฉลาดเลย ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะเล่นการเมือง ผมคิดว่าเขาเกลียดผมด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เป็นไร" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปธน.ทรัมป์วิจารณ์นายพาวเวล โดยเขาได้โจมตีนายพาวเวลอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยของเฟดควรถูกปรับลดลงอย่างน้อย 2% (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 245,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 246,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 245,500 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2566  ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลงสู่ระดับ 1.95 ล้านราย (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง แม้ดอกเบี้ยเงินกู้ปรับตัวลง สมาคมธนาคารเพื่อการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว แม้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวลง  ทั้งนี้ จำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ลดลง 2% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง 3% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อที่อยู่อาศัยแบบคงที่ระยะเวลา 30 ปี สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 806,500 ดอลลาร์ ปรับตัวลงสู่ระดับ 6.84% จากระดับ 6.93% ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 11.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 995,000 บาร์เรล  สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 209,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 627,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 514,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 440,000 บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
CBO ชี้ร่างกฎหมายภาษี-งบประมาณทรัมป์ เสี่ยงทำสหรัฐฯ ขาดดุล 2.8 ล้านล้านดอลล์ สำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ (CBO) เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (17 มิ.ย.) ว่า ร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลเพิ่มขึ้นถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งทรัมป์เรียกว่า เป็นฉบับที่ "สวยงามและยิ่งใหญ่" (One Big Beautiful Bill) ถือเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล โดยครอบคลุมนโยบายหลายด้าน อาทิ การเก็บภาษี การควบคุมพรมแดน และปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงในกลุ่มสมาชิกสภาฯ ว่า อาจยิ่งเพิ่มภาระหนี้สาธารณะให้กับประเทศ รายงานของ CBO ยังระบุว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในสหรัฐฯ ขยายตัว โดยประชาชนกลุ่มรายได้น้อยจะต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 1,600 ดอลลาร์ต่อปี ขณะที่ครัวเรือนที่มั่งคั่งที่สุดจะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นถึง 12,000 ดอลลาร์ต่อปี สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เนื่องจากมีรายงานหลายฉบับที่แสดงความกังวลและมีมุมมองเชิงลบต่อร่างกฎหมายดังกล่าวและมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้ CBO ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสมาชิกพรรครีพับลิกันบางราย ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ สังกัดพรรครีพับลิกันออกมาระบุว่า CBO ขึ้นชื่อเรื่องการคาดการณ์ผิดพลาด ขณะที่แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวก็บ่งชี้ว่า ตัวเลขคาดการณ์ของ CBO นั้นไร้สาระ อย่างไรก็ดี ทรัมป์ยังคงผลักดันให้รัฐสภาอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวให้ทันก่อนวันชาติสหรัฐฯ ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ซึ่งการคาดการณ์ของ CBO อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างสองพรรคใหญ่ในสภาคองเกรส (อินโฟเควสท์)
วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ ก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมคริปโทฯ วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติผ่านร่างกฎหมายสำคัญเมื่อวันอังคาร (17 มิ.ย.) เพื่อจัดตั้งกรอบกำกับดูแลเหรียญสเตเบิลคอยน์ หรือคริปโทเคอร์เรนซีที่มีการตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐ โดยถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ร่างกฎหมายดังกล่าวมีชื่อว่า GENIUS Act และได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้งสองพรรคการเมือง โดยมีสมาชิกพรรคเดโมแครตร่วมลงมติเห็นชอบกับพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นเสียงข้างมาก อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรก่อน ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากเช่นกัน จากนั้นจึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการลงนามโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป  แอนดรูว์ โอลเมม หุ้นส่วนจัดการจากสำนักงานกฎหมายเมเยอร์ บราวน์ (Mayer Brown) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติในรัฐบาลทรัมป์ระบุว่า การผ่านร่างกฎหมายนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งกรอบกำกับดูแลอย่างเป็นทางการสำหรับเหรียญประเภทนี้ ทั้งนี้ สเตเบิลคอยน์เป็นคริปโทเคอร์เรนซีประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาให้มีมูลค่าคงที่ โดยทั่วไปจะตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเทรดเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของราคาคริปโทฯ และยังถูกมองว่ามีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือสำหรับการชำระเงินในอนาคต ภายใต้ร่างกฎหมาย GENIUS Act นั้น มีการกำหนดให้เหรียญสเตเบิลคอยน์ต้องมีสินทรัพย์สภาพคล่องหนุนหลัง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น อีกทั้งผู้ออกเหรียญจะต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์สำรองต่อสาธารณชนเป็นรายเดือน ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีพยายามผลักดันให้ฝ่ายนิติบัญญัติกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยความเชื่อว่ากรอบกำกับดูแลที่แน่นอนจะส่งเสริมให้เหรียญสเตเบิลคอยน์ถูกนำมาใช้ในวงกว้างมากขึ้น ในการเลือกตั้งเมื่อปีก่อน กลุ่มผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมคริปโทฯ ได้ทุ่มงบกว่า 119 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนผู้สมัครที่มีจุดยืนที่เป็นมิตรกับคริปโท และพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองทั้งสองฝ่าย (อินโฟเควสท์)
ศาลสหรัฐฯ สั่งเบรกนโยบายพาสปอร์ตทรัมป์ที่เล็งเป้ากลุ่มคนข้ามเพศ จูเลีย โคบิก ผู้พิพากษาศาลกลางในเมืองบอสตันของสหรัฐฯ ได้สกัดกั้นไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ปฏิเสธที่จะออกหนังสือเดินทางที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ทางเพศให้กับชาวอเมริกันข้ามเพศและผู้ที่ไม่ระบุเพศ กรณีดังกล่าวเป็นหนึ่งในคำสั่งฝ่ายบริหารที่น่ากังวลของทรัมป์ หลังจากที่เขาหวนคืนสู่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ซึ่งสั่งการให้รัฐบาลรับรองเฉพาะสองเพศที่แตกต่างกันทางชีววิทยา คือ ชายและหญิงเท่านั้น โดยก่อนหน้ายุคทรัมป์ กระทรวงการต่างประเทศอนุญาตให้ประชาชนสามารถปรับปรุงการระบุเพศในหนังสือเดินทางได้ ทั้งนี้ ผู้พิพากษาโคบิกได้ขยายคำสั่งห้ามชั่วคราวที่เธอเคยออกไปเมื่อเดือนเม.ย. ซึ่งอนุญาตให้บุคคลข้ามเพศและผู้ที่ไม่ระบุเพศ 6 คนที่ยื่นฟ้องร้องนโยบายนี้ สามารถทำหนังสือเดินทางที่ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตน หรือระบุเพศเป็น "X" ได้ในระหว่างที่คดียังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งในสมัยของรัฐบาลโจ ไบเดน เมื่อปี 2565 ผู้สมัครหนังสือเดินทางสามารถเลือก "X" เป็นสัญลักษณ์ระบุเพศที่เป็นกลางในคำร้องขอหนังสือเดินทางได้ นอกเหนือจากการเลือก "M" หรือ "F" สำหรับเพศชายหรือหญิง การตัดสินใจของผู้พิพากษาโคบิกมีขึ้นหลังจากที่สรุปได้ว่า นโยบายที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นำมาใช้ตามคำสั่งบริหารที่ทรัมป์ลงนามนั้น มีแนวโน้มที่จะเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเพศ และเกิดจากอคติที่ไม่สมเหตุสมผลต่อชาวอเมริกันที่เป็นคนข้ามเพศ ซึ่งเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ด้านแอนนา เคลลี โฆษกทำเนียบขาว ตอบโต้ในแถลงการณ์ว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นอีกความพยายามของ "ผู้พิพากษาหัวรั้น" ในการขัดขวางนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ และผลักดันแนวคิดทางเพศที่ขัดต่อความจริงทางชีววิทยา (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 44.14 จุด หลังเฟดคงดอกเบี้ย-พาวเวลคาดเงินเฟ้อสูง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (18 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อนปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,171.66 จุด ลดลง 44.14 จุด หรือ -0.10%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,980.87 จุด ลดลง 1.85 จุด หรือ -0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,546.27 จุด เพิ่มขึ้น 25.18 จุด หรือ +0.13% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 30 เซนต์ นลท.จับตาสถานการณ์ตะวันออกกลาง สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (18 มิ.ย.) ขณะที่นักลงทุนประเมินความเป็นไปได้ที่ว่าความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางตกอยู่ในภาวะชะงักงัน รวมทั้งความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งนี้โดยตรง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 75.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือ 0.33% ปิดที่ 76.70 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวกเล็กน้อย ก่อนตลาดรู้ผลประชุมเฟด สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันพุธ (18 มิ.ย.) ก่อนที่นักลงทุนจะรู้ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยตลาดทองคำนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม  ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.20 ดอลลาร์ หรือ 0.04% ปิดที่ 3,408.10 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง ก่อนประกาศผลประชุมเฟดคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ก่อนการประกาศผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้   ณ เวลา 19.32 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.371% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.871% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
EU เสนอร่างกฎหมายยุตินำเข้าก๊าซ-น้ำมันจากรัสเซียภายใน 2570 คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้เสนอร่างกฎหมายเพื่อเลิกนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันทั้งหมดจากรัสเซียเข้าสู่สหภาพยุโรป (EU) แบบค่อยเป็นค่อยไปภายในสิ้นปี 2570  สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ร่างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน REPowerEU โดยจะห้ามทำสัญญาซื้อขายก๊าซใหม่กับรัสเซียตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 และกำหนดให้ยกเลิกสัญญาระยะสั้นที่มีอยู่เดิมภายในวันที่ 17 มิ.ย. 2569 ส่วนสัญญาซื้อขายก๊าซที่ส่งผ่านท่อและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระยะยาวกับซัพพลายเออร์รัสเซีย จะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ถึงแค่สิ้นปี 2570 เท่านั้น ประเทศสมาชิก EU จะต้องยื่นแผนกระจายแหล่งพลังงาน พร้อมมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อค่อย ๆ ลดการนำเข้าก๊าซและน้ำมันจากรัสเซีย นอกจากนี้ สมาชิก EU ยังต้องรายงานปริมาณก๊าซรัสเซียและข้อผูกพันตามสัญญา รวมถึงการขนส่ง LNG เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและให้สามารถบังคับใช้ได้จริง แผนนี้ยังรวมถึงการยุติการนำเข้าน้ำมันรัสเซียภายในปี 2570 ด้วย แม้สัดส่วนการนำเข้าน้ำมันรัสเซียของสหภาพยุโรปจะลดลงอย่างมากจาก 27% เมื่อต้นปี 2565 เหลือเพียง 3% ปี 2567 แต่คณะกรรมาธิการฯ ก็ยังยืนยันว่าจำเป็นต้องหยุดนำเข้าทั้งหมดเพื่อขจัดความเสี่ยงที่อาจจะยังคงมีอยู่  อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภายุโรปและคณะมนตรียุโรป โดยจะต้องได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่จึงจะผ่านความเห็นชอบ (อินโฟเควสท์)
CBI ชี้ ภาษีสหรัฐฯ-ต้นทุนในประเทศพุ่ง ฉุดเศรษฐกิจ UK ชะลอตัว เศรษฐกิจสหราชอาณาจักร (UK) กำลังเผชิญปัจจัยฉุดรั้งครั้งสำคัญ ทั้งจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และต้นทุนภายในประเทศที่สูงขึ้น ส่งผลให้สมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งสหราชอาณาจักร (CBI) ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำ ต้องปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของปี 2568 และ 2569 ลงอย่างมีนัยสำคัญ CBI คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตเพียง 1.2% (จากเดิม 1.6%) และจะชะลอตัวลงอีกเหลือ 1.0% ในปี 2569 (จากเดิม 1.5%)   ปัจจัยสำคัญมาจากต้นทุนแรงงานในประเทศที่เพิ่มขึ้นหลังการปรับขึ้นเงินสมทบประกันสังคมและค่าแรงขั้นต่ำเมื่อเดือนเม.ย. ซึ่งกระทบต่อแผนการจ้างงานและการลงทุนของภาคธุรกิจโดยตรง ขณะเดียวกัน กำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก็สร้างความกังวลและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจ แม้ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก (ซึ่งมีสัดส่วนไปสหรัฐฯ ราว 7%) จะมีจำกัดก็ตาม สถานการณ์ยังถูกซ้ำเติมจากความเสี่ยงภายนอก โดย CBI ระบุว่ากำลังจับตาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นและกระทบต่อครัวเรือนและธุรกิจในวงกว้าง ในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว CBI คาดว่าเงินเฟ้อปีนี้จะยังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก่อนจะลดลงสู่ระดับ 2.5% ในปี 2569 ด้านทิศทางดอกเบี้ย BoE คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า ขณะที่ CBI ประเมินว่า BoE จะทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างช้า ๆ ลงสู่ระดับ 3.5% ภายในปลายปี 2568 จากปัจจุบันที่ 4.25% แม้ภาพรวมระยะสั้นจะดูซบเซา แต่ CBI มองว่าการเติบโตในปี 2569 จะมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากเงินเฟ้อที่ลดลงและต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำลง (อินโฟเควสท์)
เงินเฟ้อ UK เดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 3.4% สูงสุดในรอบกว่า 1 ปี แต่สอดคล้องแบงก์ชาติคาดการณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของสหราชอาณาจักรเปิดเผยในวันนี้ (18 มิ.ย.) ว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ปรับตัวขึ้น 3.4% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.3% แต่สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE)  เงินเฟ้อเดือนพ.ค.ยังคงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ BoE กำลังพิจารณาว่าจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปหรือไม่ ท่ามกลางความเสี่ยงที่ราคาพลังงานจะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ส่วนเงินเฟ้อด้านการบริการ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแรงกดดันของอุปสงค์ภายในประเทศนั้น ชะลอตัวลงแตะระดับ 4.7% ในเดือนพ.ค. จากระดับ 5.4% ในเดือนเม.ย. และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ BoE  ตลาดคาดการณ์ว่า BoE จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ (19 มิ.ย.) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า BoE อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนส.ค. ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปี BoE คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 3.7% ในไตรมาส 3 ก่อนที่จะเริ่มชะลอตัวลงในปีหน้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ วิตกสถานการณ์ตึงเครียดในตอ.กลาง-จับตาผลประชุมเฟด ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพุธ (18 มิ.ย.) ขณะที่นักลงทุนรอผลการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และความตึงเครียดที่ยังดำเนินอยู่ในตะวันออกกลางยังเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 540.33 จุด ลดลง 1.93 จุด หรือ -0.36% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,656.12 จุด ลดลง 27.61 จุด หรือ -0.36%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,317.81 จุด ลดลง 116.84 จุด หรือ -0.50% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,843.47 จุด เพิ่มขึ้น 9.44 จุด หรือ +0.11% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 9.44 จุด นักลงทุนจับตาการประชุมเฟด-BoE ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเล็กน้อยในวันพุธ (18 มิ.ย.) ขณะที่นักลงทุนประเมินตัวเลขเงินเฟ้อภายในประเทศล่าสุด ก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) แม้ว่าความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะยังคงฉุดความเชื่อมั่นในตลาด ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,843.47 จุด เพิ่มขึ้น 9.44 จุด หรือ +0.11% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 6.376 แสนล้านเยนในเดือนพ.ค. เหตุส่งออกไปสหรัฐฯ ดิ่งหนัก กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานเบื้องต้นในวันนี้ (18 มิ.ย.) ว่า ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 6.376 แสนล้านเยน (4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนพ.ค. เนื่องจากการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนัก โดยคาดว่าเป็นผลกระทบมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับขึ้นภาษีศุลกากร ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง เนื่องจากยอดส่งออกโดยรวมปรับตัวลง 1.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 8.13 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยถูกกดดันจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ร่วงลง 11.1% ขณะที่ยอดนำเข้าโดยรวมลดลง 7.7% แตะที่ระดับ 8.77 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่สอง สะท้อนให้เห็นถึงการลดลงของราคาน้ำมันดิบจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และถ่านหินจากออสเตรเลีย สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ ญี่ปุ่นเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่า 4.517 แสนล้านเยน ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากการส่งออกลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง สู่ระดับ 1.51 ล้านล้านเยน ขณะที่การนำเข้าลดลง 13.5% แตะระดับ 1.06 ล้านล้านเยน ยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ดิ่งลง 24.7% และยอดส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ลดลง 19% เมื่อพิจารณาในแง่มูลค่า ส่วนในแง่ปริมาณนั้น ยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ลดลง 3.9% ขณะเดียวกันญี่ปุ่นขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น 17.2% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 6.2487 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการขาดดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 50 โดยการส่งออกไปยังจีนลดลง 8.8% สู่ระดับ 1.44 ล้านล้านเยน และนำเข้าลดลง 2.2% แตะระดับ 2.07 ล้านล้านเยน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นเกินดุลการค้ากับประเทศในเอเชียซึ่งรวมถึงจีน เพิ่มขึ้นกว่า 12 เท่า สู่ระดับ 3.1335 แสนล้านเยน ขณะเดียวกันก็ขาดดุลการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) มูลค่า 3.089 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการขาดดุลติดต่อกันเดือนที่ 16 (อินโฟเควสท์)
ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรญี่ปุ่นเดือนเม.ย. ร่วงหนัก 9.1% ข้อมูลจากสำนักคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยตัวเลขยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐาน (Core Machinery Orders) ในวันนี้ (18 มิ.ย.) โดยพบว่า ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ยอดสั่งซื้อหดตัว 9.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เหลือมูลค่า 9.19 แสนล้านเยน (ประมาณ 6.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานดังกล่าว ซึ่งมีความผันผวนสูงและถือเป็นตัวบ่งชี้การใช้จ่ายในการลงทุนในอีก 6-9 เดือนข้างหน้านั้น นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เนื่องจากยอดสั่งซื้อทั้งจากภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตต่างก็พากันปรับตัวลง ยอดสั่งซื้อจากภาคการผลิตลดลง 0.6% มาอยู่ที่ 4.566 แสนล้านเยน โดยกลุ่มที่ลดลงอย่างหนักคือเครื่องจักรไฟฟ้าและอุปกรณ์การผลิตอเนกประสงค์ ด้านออร์เดอร์ยานยนต์และชิ้นส่วนร่วงหนักถึง 20.3% ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กกลับโตสวนทาง โดยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 39.9% ส่วนยอดสั่งซื้อนอกภาคการผลิต (ไม่นับเรือและสาธารณูปโภค) ก็ลดลงไป 11.8% เหลือ 4.708 แสนล้านเยน ถึงแม้ตัวเลขรวมออกมาน่าผิดหวัง แต่สำนักคณะรัฐมนตรียังประเมินภาพรวมเหมือนเดิมว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักร "เริ่มเห็นแววฟื้นตัวแล้ว" โดยให้เหตุผลว่า ถ้าดูค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือนย้อนหลัง ตัวเลขยังคงเติบโตได้ 2.2% และยังอยู่ในแดนบวก (อินโฟเควสท์)
ต่างชาติเที่ยวญี่ปุ่นทุบสถิติ 3.7 ล้านคนในเดือนพ.ค. องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เปิดเผยในวันนี้ (18 มิ.ย.) ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเยือนญี่ปุ่นในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 3.7 ล้านคน ทำสถิติสูงสุดเมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.ปีอื่น ๆ  JNTO ระบุว่า ชาวเกาหลีใต้เดินทางเยือนญี่ปุ่นมากที่สุดด้วยจำนวน 825,800 คน เพิ่มขึ้น 11.8% ตามมาด้วยจีน 789,900 คน พุ่งขึ้น 44.8%  ทั้งนี้ ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 18.1 ล้านคนในช่วงเดือนม.ค.-พ.ค. เพิ่มขึ้น 23.9% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 ความต้องการเดินทางยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดปิดภาคเรียนในบางประเทศ โดยมีแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวจากจีน ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น (อินโฟเควสท์)
ผลสำรวจเผย บ.ญี่ปุ่นส่วนใหญ่หวั่นภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ทำธุรกิจเดือดร้อน ผลสำรวจของบริษัท โตเกียว โชโก รีเสิร์ช (Tokyo Shoko Research หรือ TSR) เผยให้เห็นในวันนี้ (18 มิ.ย.) ว่า บริษัทในญี่ปุ่นกว่าครึ่งเชื่อว่า ภาษีศุลกากรสหรัฐฯ จะส่งผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจของตน จากผลสำรวจความคิดเห็นจากบริษัทมากกว่า 7,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น มี 11% ที่ระบุว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐฯ จะส่งผลเสียอย่างมีนัยสำคัญ และ 45% ระบุว่า จะส่งผลเสียเล็กน้อย โดยมีเพียง 38% ที่ระบุว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บรรดาผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งรวมถึง ผู้ผลิตยางรถยนต์ และอุตสาหกรรมเหล็กกล้า เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนี้ ผลสำรวจยังเผยให้เห็นอีกว่า 30% ของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจคาดว่า มาตรการภาษีต่าง ๆ จะส่งผลกระทบต่อการปรับขึ้นค่าจ้างในปีงบการเงินหน้าด้วย TSR ระบุว่า แม้แต่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการค้าโดยตรงกับสหรัฐฯ ยังสัมผัสได้ถึงผลกระทบจากลักษณะที่กว้างขวางของภาคยานยนต์และเหล็กกล้า ทั้งนี้ TSR เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรอาจกระทบกับแนวโน้มการปรับขึ้นค่าจ้างของญี่ปุ่น พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่รัฐบาลต้องประเมินผลกระทบและดำเนินมาตรการสนับสนุน (อินโฟเควสท์)
อิชิบะย้ำไม่รีบเคาะข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แม้ภาษีทรัมป์กระทบบริษัทญี่ปุ่นแล้ว ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งแล้ว รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ แต่เขายังคงยืนยันว่าจะไม่รีบเร่งบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่แลกมาด้วยการทำลายผลประโยชน์ของชาติ อิชิบะกล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร (17 มิ.ย.) หลังกลับจากการเยือนแคนาดาเพื่อร่วมประชุมสุดยอด G7 ว่า มาตรการภาษีศุลกากรที่มุ่งเป้าไปที่ภาคส่วนต่าง ๆ อาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลกทั้งทางตรงและทางอ้อม สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ถ้อยแถลงของนายกฯ ญี่ปุ่นมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่เขาและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ เมื่อการเจรจายุติลงโดยไม่มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม ขณะที่อิชิบะเผยด้วยว่ายังคงมีอุปสรรคอยู่ การเจรจาทวิภาคีจัดขึ้นหลายครั้งในระดับรัฐมนตรี ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการค้า มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร และการขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สำหรับการพบปะหารือระดับผู้นำครั้งต่อไป หลังจากการประชุมสุดยอดเมื่อวันจันทร์ อิชิบะเผยว่า เขามีแผนจะเดินทางเยือนเนเธอร์แลนด์ระหว่างวันที่ 24-26 มิ.ย. เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต (NATO) ทั้งนี้ ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้ครอบงำการประชุมสุดยอด G7 ที่จัดขึ้นเป็นเวลาสองวัน เนื่องจากความกังวลว่าผลกระทบจะลุกลามบานปลายไปทั่วตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ให้กับญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 348.41 จุด ขานรับเยนอ่อน-หุ้นนินเทนโด ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกเป็นวันทำการที่ 3 ติดต่อกันในวันนี้ (18 มิ.ย.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน โดยมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มส่งออกหลังจากเงินเยนอ่อนค่าลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประกอบกับการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มเกมอย่างนินเทนโด (Nintendo) สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 38,885.15 จุด เพิ่มขึ้น 348.41 จุด หรือ +0.90% (อินโฟเควสท์)
จีน
คาดยอดขายรถยนต์ใหม่ในจีนสะดุด หลังหลายเมืองหยุดแจกเงินอุดหนุนชั่วคราว รัฐบาลท้องถิ่นอย่างน้อย 6 เมืองและเทศบาลนครของจีน รวมถึงเจิ้งโจว ลั่วหยาง เฉิ่นหยาง ฉงชิ่ง และเขตปกครองตนเองซินเจียง ได้ระงับโครงการเงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ที่นำรถเก่ามาแลกในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ยอดขายรถยนต์ใหม่ชะลอตัวลงในจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 31 พ.ค. มีการยื่นคำขอรับเงินอุดหนุนในโครงการซื้อรถยนต์ใหม่แล้วมากกว่า 4 ล้านคำขอ แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้บริโภค เมืองเจิ้งโจวและลั่วหยางให้เหตุผลว่า ระงับโครงการชั่วคราวเป็นเพราะเงินทุนที่ได้รับจากรัฐบาลกลางในรอบแรกหมดลงแล้ว ขณะที่อีกหลายเมือง เช่น เฉิ่นหยางและฉงชิ่งชี้แจงว่า มีความจำเป็นต้องทบทวนแนวทางการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรงบประมาณ นอกจากนี้ ตัวเลขยอดค้าปลีกประจำเดือนพ.ค.ที่เปิดเผยในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า มีการเติบโตเกินความคาดหมายที่ 6.4% โดยนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า แรงหนุนมาจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคด้วยเงินอุดหนุนของรัฐบาล ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่พยายามฟื้นฟูความเชื่อมั่นผู้บริโภค ท่ามกลางการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนความกังวลเรื่องรายได้ครัวเรือนและอัตราการว่างงาน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวกเล็กน้อย จับตาจีนประกาศดอกเบี้ย LPR ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ (18 มิ.ย.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมคณะกรรมการกรมการเมือง (โปลิตบูโร) ของจีนในเดือนก.ค. เพื่อหาสัญญาณว่าที่ประชุมจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,388.81 จุด เพิ่มขึ้น 1.40 จุด หรือ +0.04% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 269 จุด กังวลตะวันออกกลางตึงเครียด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (18 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านจะทวีความรุนแรง หลังจากมีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กำลังพิจารณาใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีอิหร่าน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 23,710.69 จุด ลดลง 269.61 จุด หรือ -1.12% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
แบงก์ชาติอินโดฯ คงดอกเบี้ยที่ 5.5% แต่เปิดช่องผ่อนคลายนโยบายเพิ่ม ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.50% ในวันนี้ (18 มิ.ย.) ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่ายังคงเปิดกว้างสำหรับมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน เพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการ BI แถลงว่า คณะกรรมการพร้อมพิจารณาปรับลดต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มเติม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในกรอบเป้าหมายทั้งในปีนี้และปีหน้า ขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการลงทุนยังคงต้องการแรงกระตุ้น อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า "ช่วงเวลาของการลดดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์" ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค.อยู่ที่เพียง 1.6% ซึ่งใกล้เคียงกรอบล่างของเป้าหมายที่ 1.5% - 3.5% สะท้อนถึงอุปสงค์ในประเทศที่ยังซบเซา ขณะเดียวกัน การเติบโตของสินเชื่อในเดือนเดียวกันก็ชะลอตัวลงสู่ระดับ 8.43% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2566 ด้วยเหตุนี้ ผู้ว่าการ BI จึงเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงให้สอดคล้องกับทิศทางนโยบายของธนาคารกลาง โดยระบุว่า BI ได้อัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมให้แก่ระบบธนาคารไปแล้วกว่า 372 ล้านล้านรูเปียห์ (2.283 หมื่นล้านดอลลาร์) ผ่านการผ่อนคลายเกณฑ์เงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirements) มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่สอดคล้องกันว่า BI มีแนวโน้มจะกลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยอาจปรับลดได้ถึง 0.50% เนื่องจากเศรษฐกิจอินโดนีเซียยังคงเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (อินโฟเควสท์)
ผู้นำ G7 เห็นพ้องเดินหน้าร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญ รับมือความเสี่ยงซัพพลายเชน บรรดาผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 เปิดเผยแผนปฏิบัติการเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจกระทบความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานด้านแร่ธาตุสำคัญ (critical minerals) ท่ามกลางการครอบงำของจีนในตลาดแร่หายากที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ แถลงการณ์ร่วมภายหลังการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ซึ่งจัดขึ้นที่แคนาดาระบุว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ยกระดับความร่วมมือทั้งภายในกลุ่มและกับประเทศพันธมิตร เพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ ความร่วมมือจะครอบคลุมหลายด้าน เช่น การเฝ้าระวังภาวะขาดแคลนแร่ธาตุ การประสานรับมือกับความพยายามบิดเบือนกลไกตลาดโดยเจตนา การกระจายฐานการผลิต รวมถึงการย้ายกระบวนการผลิต เช่น การทำเหมือง แปรรูป ผลิต และรีไซเคิล กลับมายังประเทศต้นทางให้มากขึ้น ผู้นำ G7 ระบุว่าจะเพิ่มความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงการแร่ธาตุสำคัญมากขึ้น พร้อมทั้งรับรองเอกสารความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีควอนตัม และการปราบปรามการกดขี่ข้ามพรมแดน   นอกจากนี้ ในการประชุมเมื่อวันอังคาร (17 มิ.ย.) ผู้นำ 6 ชาติจากกลุ่ม G7 แสดงจุดยืนสนับสนุนยูเครน พร้อมอภิปรายร่วมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน และมาร์ค รุตเตอร์ เลขาธิการนาโต โดยไร้เงาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
"ฮุนเซน" ลั่น! พร้อมปล่อยคลิปเสียงเต็ม โต้กลับนายกฯ ไทย หลังโดนจวก "ไม่เป็นมืออาชีพ" สื่อกัมพูชา Khmer Times รายงานวันนี้ (18 มิ.ย.) ว่า สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ออกมายืนยันว่าเขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เป็นเวลา 17 นาทีจริง ซึ่งบทสนทนาดังกล่าวถูกบุคคลนิรนามปล่อยออกมาเพียงบางส่วน และเขาก็พร้อมที่จะเปิดเผยไฟล์เสียงฉบับเต็มให้กับฝ่ายไทย สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้เปิดเผยเรื่องนี้ผ่านโซเชียลมีเดียในวันนี้ โดยระบุดังนี้: เขลียง ฮวด (Khleang Huot) ทำหน้าที่เป็นล่าม  ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดหรือการบิดเบือนเนื้อหาในเรื่องที่เป็นทางการ จึงจำเป็นต้องบันทึกการสนทนาไว้เพื่อความโปร่งใส และเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับหน่วยงานภายในของกัมพูชา หลังจากนั้น ผมได้ส่งต่อไฟล์บันทึกเสียงการสนทนาระหว่างผมกับนายกรัฐมนตรีไทยให้กับบุคคลประมาณ 80 คน ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการถาวรของพรรค คณะทำงานของวุฒิสภา ทีมงานของสภาแห่งชาติ คณะทำงานด้านการต่างประเทศ หน่วยงานด้านการศึกษาและการเข้าถึงประชาชน กลุ่มงานกิจการชายแดน และเจ้าหน้าที่ในกองทัพ ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ เป็นไปได้ว่าอาจมีใครบางคนไม่พอใจนายกรัฐมนตรีไทย (อินโฟเควสท์)
บริษัทเดินเรือเริ่มหลีกเลี่ยงช่องแคบฮอร์มุซ กังวลศึกอิสราเอล-อิหร่านยืดเยื้อ สภาการเดินเรือทะเลบอลติกและระหว่างประเทศ (BIMCO) ซึ่งเป็นสมาคมการเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า บริษัทเดินเรือบางแห่งกำลังเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการเดินเรือมีความกังวลมากขึ้นต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ทวีความรุนแรงในขณะนี้ จาคอป ลาร์เซน หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ BIMCO กล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดความกังวลในหมู่บริษัทเดินเรือ และส่งผลให้จำนวนเรือที่แล่นผ่านช่องแคบฮอร์มุซลดน้อยลง ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอล มาร์เก็ต อินเทลลิเจนซ์ (S&P Global Market Intelligence) ระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่ากลุ่มบริษัทเดินเรือกำลังเริ่มหลีกเลี่ยงการเดินเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยไม่ได้ระบุชื่อบริษัทใดอย่างเจาะจง อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 มิ.ย.) และอิหร่านได้ตอบโต้ด้วยการโจมตีอิสราเอล ส่งผลให้การสู้รบของทั้งสองประเทศยืดเยื้อเข้าสู่วันที่หกแล้ว โดยความขัดแย้งดังกล่าวทำให้บริษัทเดือนเรือต่างเพิ่มความระมัดระวังทั้งในทะเลแดง และช่องแคบฮอร์มุซ ทั้งนี้ ช่องแคบฮอร์มุซถือเป็นประตูสำคัญสู่อุตสาหกรรมน้ำมันโลก และเป็นจุดขาเข้าที่สำคัญสำหรับเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่มุ่งหน้าสู่ท่าเรือเจเบลอาลี (Jebel Ali Port) ซึ่งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ของดูไบ นอกจากนี้ ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเชื่อมอ่าวเปอร์เซียกับทะเลอาหรับ ยังถูกมองว่าเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดสำหรับการขนส่งน้ำมันของโลก สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ ระบุว่า ในปี 2566 ปริมาณการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของการใช้น้ำมันทั่วโลก การที่เรือเดินสินค้าไม่สามารถขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น เพิ่มต้นทุนการขนส่ง และทำให้การจัดหาสินค้าเกิดความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เผยอิหร่านติดต่อขอเจรจาที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า อิหร่านได้ติดต่อมาหาเขา และเสนอความคิดที่จะส่งคณะผู้แทนมายังทำเนียบขาวเพื่อทำการเจรจา "พวกเขาต้องการเจรจา และเสนอที่จะมายังทำเนียบขาว นั่นถือเป็นความกล้าหาญมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขา" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่า เขากำลังพิจารณาใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน แม้ว่าเขายังไม่ได้ทำการตัดสินใจในขั้นสุดท้าย "ผมอาจจะทำ หรือผมอาจจะไม่ทำ ไม่มีใครรู้ว่าผมจะทำอะไร" ปธน.ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่ายังไม่สายเกินไปที่จะบรรลุข้อตกลง "ไม่มีอะไรที่สายเกินไป"   ท่าทีของปธน.ทรัมป์ในวันนี้แตกต่างจากคำขู่ที่เขามีต่ออิหร่านเมื่อวานนี้ ซึ่งเขาเรียกร้องให้อิหร่านยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข และข่มขู่อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านว่า เขาตกเป็นเป้าการโจมตีได้ง่าย ขณะที่ความอดทนของสหรัฐกำลังจะหมดลง (อินโฟเควสท์)
อิหร่านเตือนสหรัฐฯ อย่าคิดแทรกแซง เสี่ยงเกิด "สงครามเต็มรูปแบบ" สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อเครื่องบินรบอิสราเอลระดมโจมตีกรุงเตหะรานอย่างต่อเนื่องข้ามคืนจนถึงวันนี้ (18 มิ.ย.) ขณะที่อิหร่านยิงขีปนาวุธตอบโต้ไปเป็นระลอกเล็ก ๆ โดยยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บล้มตาย ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่านได้ออกมาเตือนอย่างแข็งกร้าวว่า การแทรกแซงใด ๆ จากสหรัฐฯ จะนำไปสู่ "สงครามเต็มรูปแบบ" คำเตือนดังกล่าวมาจากอิสมาอิล บาคาอี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ซึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลจาซีราภาคภาษาอังกฤษว่า "การแทรกแซงใด ๆ จากอเมริกาจะถือเป็นชนวนที่นำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค" แม้จะไม่ได้ขยายความ แต่คำขู่ดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่กองทัพสหรัฐฯ มีทหารประจำการอยู่หลายพันนายในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งล้วนอยู่ในพิสัยทำการของอาวุธอิหร่าน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ได้ประกาศกร้าวว่าจะตอบโต้ขนานใหญ่หากถูกโจมตี ทั้งนี้ การสู้รบทางอากาศระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้ล่วงเข้าสู่วันที่ 6 และยังไม่มีแนวโน้มสิ้นสุดลง ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กำลังพิจารณาใช้ปฏิบัติการโจมตีผู้นำอิหร่าน พร้อมกับเรียกร้องให้อิหร่านยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์รุนแรงในตะวันออกกลางอาจลุกลามเป็นวงกว้าง   สำหรับปฏิบัติการโจมตีระลอกล่าสุด กองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่า มีเป้าหมายที่โรงงานผลิตเครื่องหมุนเหวี่ยงสำหรับเสริมสมรรถนะยูเรเนียม และโรงงานผลิตชิ้นส่วนขีปนาวุธ พร้อมระบุว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศสามารถสกัดกั้นขีปนาวุธของอิหร่านได้ 10 ลูกในคืนที่ผ่านมา โดยการโจมตีตอบโต้ของอิหร่านเริ่มลดระดับความรุนแรงลง (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 100 จุดจากแรงขายช่วงท้ายตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 100 จุด โดยได้รับผลกระทบจากแรงขายในช่วงท้ายตลาด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,444.66 ลบ 138.64 จุด หรือ 0.17% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ทะยานต่อเนื่อง! ส่งออก พ.ค.พุ่ง 18.4% รมว.พาณิชย์ หวังทั้งปีโตทะลุ 10% นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนพ.ค.68 มีมูลค่า 31,044 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวได้ 18.4% การส่งออกของไทยขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 โดยอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 38 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม 2565 และมูลค่าการส่งออกรายเดือนที่ระดับ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออกไทยมีมูลค่ารวม 138,202 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึง 14.9% ซึ่งทำให้มั่นใจว่าการส่งออกปีนี้จะไม่ติดลบอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยมองว่ายังมีโอกาสจะเติบโตได้ในระดับ 2 หลัก พร้อมเชื่อว่า ภาคการส่งออก จะยังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย  ส่วนการนำเข้าในเดือนพ.ค.68 มีมูลค่า 29,928 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 18% ส่งผลให้ 5 เดือนแรก การนำเข้ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 139,325 ล้านดอลลาร์ โดยในเดือนพ.ค. ไทยเกินดุลการค้า 1,116 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อรวม 5 เดือนแรก ไทยขาดดุลการค้า 1,123 ล้านดอลลาร์ รมว.พาณิชย์ ยังกล่าวด้วยว่า ขณะที่ประเทศไทยได้เริ่มเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากยังอยู่ในกระบวนการ โดยเชื่อว่าสุดท้ายแล้วผลเจรจาจะออกมาในทิศทางที่ดี ทำให้การส่งออกไม่ประสบปัญหา และเศรษฐกิจไทยไม่แย่อย่างที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ (อินโฟเควสท์)
บอร์ดกระตุ้นศก. เคาะงบล็อตแรก 1.1 แสนลบ. คาดดัน GDP โตเพิ่มอีก 0.4% นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ที่มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก รวมวงเงินประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ที่จะใช้จากงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท และจะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้าพิจารณาอนุมัติต่อไป ทั้งนี้ โครงการจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ผ่านการพิจารณาในรอบนี้ รวมวงเงินประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ถึง 70% เป็นโครงการที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำ และการคมนาคม รองลงมา 10% เป็นโครงการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ส่วนที่เหลือเป็นโครงการอื่น ๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือดูแลผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และโครงการที่เกี่ยวกับการศึกษา รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า การใช้งบประมาณในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การใช้งบกลาง และต้องจัดทำงบประมาณผูกพันภายใน 30 ก.ย.68 โดยใช้ไม่เกินระยะเวลา 1 ปี พร้อมคาดว่า ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว จะช่วยดัน GDP ให้เพิ่มขึ้นได้อีก 0.4% แต่หากมีการใช้งบประมาณทั้งก้อนที่ 1.57 แสนล้านบาท ก็คาดว่าจะช่วยดัน GDP ให้เพิ่มขึ้นได้อีก 0.5-0.6% นายพิชัย กล่าวว่า การประชุมวันนี้ สืบเนื่องสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบ รัฐบาลจึงมีแผนที่จะใช้โครงการเหล่านี้ เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเสริมศักยภาพขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศทั้งระยะสั้น ระยะยาว โดยโครงการต่าง ๆ ที่อนุมัติมีการกระจายการลงทุนไปทั่วประเทศ ครอบคลุมเกือบทุกอำเภอ และกระจายเงินลงทุนอย่างสมดุล คาดว่าก่อให้เกิดการจ้างงาน ประมาณ 6-7 ล้านคน คิดเป็นค่าจ้างงานประมาณ 3 หมื่นล้านบาท (อินโฟเควสท์)
พาณิชย์ เปิด 5 ข้อเสนอเจรจาสหรัฐฯ ด้านไทยเตรียมยื่นรายละเอียด 20 มิ.ย. รอนัดหมาย นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะทีมเจรจาฝ่ายไทย เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (07.00 น.) ตนและทีมประเทศไทย ได้เจรจาผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ กับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ต่อกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้า โดยสหรัฐฯ ได้ยื่น 5 ข้อเสนอหลักมาให้ไทยพิจารณา เพื่อสร้างสมดุลทางการค้าระหว่าง 2 ฝ่าย ประกอบด้วย 1. มาตรการทางภาษี และโควตา 2. มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) 3. การค้าดิจิทัล 4. แหล่งกำเนิดสินค้า และ 5. ความมั่นคงภายในประเทศและเศรษฐกิจสหรัฐฯ สำหรับการหารือกันครั้งนี้ เป็นการหารือครั้งแรกอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่สหรัฐฯ ตอบรับที่จะเจรจากับไทย โดยไทยเพิ่งได้รับข้อเสนอทั้ง 5 ข้อจากสหรัฐฯเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.68 และกระทรวงพาณิชย์ ได้นำข้อเสนอดังกล่าวมาจัดทำข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อใช้เจรจากับ USTR ในเช้าวันนี้ ส่วนข้อเสนอของฝ่ายไทย ที่จะยื่นให้สหรัฐฯ วันที่ 20 มิ.ย.นี้ มีความยาวประมาณ 3-4 หน้ากระดาษ A4 เป็นการขยายความ และเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ จากกรอบการเจรจาที่ไทยได้เคยยื่นให้สหรัฐฯ ไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยจะมีทั้งการลดภาษีนำเข้าในสินค้าบางรายการ, การซื้อเครื่องบินโบอิ้ง อาวุธยุทโธปกรณ์ จากสหรัฐ และการลดมาตรการ NTB เป็นต้น สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกระทรวงแรงงาน เป็นต้น (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดร่วง 19 จุด หลุด 1,100 แย่กว่าภูมิภาค เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนกดดันหนัก SET ปิดวันนี้ที่ 1,094.58 จุด ลดลง 19.00 จุด (-1.71%) มูลค่าซื้อขาย 36,048.37 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีปรับตัวลงแรงช่วงบ่าย แย่กว่าภูมิภาคที่ปรับตัวลงจากแรงขายลดเสี่ยงผลประชุมเฟด โดยตลาดบ้านเราถูกดดันอย่างหนักจากปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองเกิดความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดมีโอกาสซึมลงต่อ ให้กรอบแนวรับ 1,085 จุด และแนวต้าน 1,115 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,094.58 จุด ลดลง 19.00 จุด (-1.71%) มูลค่าการซื้อขาย 36,048.37 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีร่วงแรงภาคบ่าย โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,094.58 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,120.33 จุด  ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 81 หลักทรัพย์ ลดลง 412 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 162 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 86,143 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 86,143 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 5,614 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 3,662 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 829 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.52% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-4 bps. ในตราสารระยะยาว ในทิศทางเดียวกับ US-Treasury หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานยอดค้าปลีกประจำเดือนพ.ค. ลดลง 0.9%(MoM) มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.6%  จากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้านผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลในวันนี้ รุ่น LB353A อายุ 10 ปี วงเงิน 15,000 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของผลประมูลอยู่ที่ 1.7007% เท่ากับ Yield ตลาดของวันก่อนหน้า โดยมีผู้สนใจยื่นประมูลสูงถึง 2.59 เท่าของวงเงิน และรุ่น LB456A อายุ 20 ปี วงเงิน 18,000 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของผลประมูลอยู่ที่ 2.3109% ต่ำกว่า Yield ตลาดของวันก่อนหน้า 2 bps. โดยมีผู้สนใจยื่นประมูลสูงถึง 2.81 เท่าของวงเงิน สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 829 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 829 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ทั้งนี้ตลาดติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในคืนนี้   (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.60 เกาะติดสถานการณ์ตอ.กลาง-ประชุมเฟด-เสถียรภาพการเมืองในประเทศ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.60 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับเปิดตลาดเมื่อเช้า ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.54 - 32.63 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งมีปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดเป็นเรื่องสถานการณ์สู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)  ขณะที่มีปัจจัยเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทั้งกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่พรรคภูมิใจไทยอาจตัดสินใจถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และกรณีคลิปหลุดที่เป็นการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุนเซนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลในอนาคต "บาทเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าตามภูมิภาค นอกจากปัจจัยเรื่องตะวันออกกลางและเฟดแล้ว ยังมีเรื่องการเมืองภายในประเทศด้วย แต่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากกว่า" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.50 - 32.75 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
 
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ สหรัฐฯ                     

 

แชร์เรื่องนี้

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

News Demo
09
กันยายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
08
กันยายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ
News Demo
05
กันยายน
2568
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
อ่านต่อ

Shortcut Menu

  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ KTAM
  • กองทุนรวม
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กองทุนส่วนบุคคล
  • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
    โครงสร้างพื้นฐาน
  • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • กองทุน FIF/ETF
  • กองทุนผลงานดี
  • ตารางจ่ายเงินปันผล
  • ข่าว/บทวิเคราะห์
  • กลยุทธ์การลงทุน
  • กำหนดการและแบบฟอร์ม
  • โปรโมชั่น
  • ปฏิทินกองทุน
  • ภาพกิจกรรม
  • ประกาศราคากลาง
  • AIMC Category
    Performance Report
  • ถาม-ตอบ
  • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
  • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
  • การตั้งค่าคุกกี้
  • สมัครรับข่าวสาร
  • ติดต่อเรา
  • ร่วมงานกับเรา
  • ประกาศความเป็นส่วนตัว
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

อีเมล: callcenter@ktam.co.th

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

  • พันธมิตรธุรกิจ
  • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • แผนผังเว็บไซต์

การใช้และการจัดการคุกกี้

เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

 การใช้และการจัดการคุกกี้

เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


การกำหนดลักษณะความยินยอม

คุกกี้ที่จำเป็น

คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

คุกกี้วิเคราะห์

เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง