สหรัฐฯ
ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐต่ำสุดรอบ 3 เดือนในก.ย. เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.6 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 54.6 ในเดือนส.ค. ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการจ้างงานและคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ แต่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.0 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 53.0 ในเดือนส.ค. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัวของภาคการผลิต ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.9 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 54.5 ในเดือนส.ค. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการอยู่ในภาวะขยายตัว (อินโฟเควสท์)
พาวเวล" หนุนเฟดลดดอกเบี้ยสัปดาห์ที่แล้ว เหตุตลาดแรงงานชะลอตัว นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันนี้ว่า ความอ่อนแอในตลาดแรงงานกำลังมีน้ำหนักมากกว่าความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ส่งผลให้เขาสนับสนุนการตัดสินใจของเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "ในช่วงเวลาเช่นนี้ หน้าที่ของเฟดคือการ 'สร้างความสมดุลให้กับพันธกรณีทั้งสองด้านของเฟด' คือ การรักษาเสถียรภาพด้านราคา และการทำให้การจ้างงานเต็มศักยภาพ" "ความเสี่ยงระยะสั้นของเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนความเสี่ยงของการจ้างงานมีแนวโน้มไปทางขาลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยความเสี่ยงที่มาจากทั้งสองด้าน หมายความว่าไม่มีเส้นทางใดที่ปราศจากความเสี่ยง" นายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้นำภาคธุรกิจที่ Greater Providence Chamber of Commerce (GPCC) ในวันนี้ สถานการณ์ที่นายพาวเวลอธิบายสอดคล้องกับภาวะ stagflation ซึ่งหมายถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่รุนแรงเท่ากับที่สหรัฐเคยเผชิญในช่วงทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 แต่ก็ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการกำหนดนโยบายของเฟด อย่างไรก็ดี นายพาวเวลกล่าวว่า เขาไม่มีความกังวลต่อแนวทางนโยบายปัจจุบันของเฟด แม้เขาส่งสัญญาณต่อความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เห็นความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น "ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการจ้างงานที่ปรับตัวลงได้เปลี่ยนสมดุลของความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายของเรา โดยจุดยืนด้านนโยบายที่ยังคงเป็นการคุมเข้มเล็กน้อยนี้ ทำให้เราพร้อมตอบสนองต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น" นายพาวเวลกล่าว นายพาวเวลชี้ว่า ตลาดแรงงานมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน ทั้งนี้ ข้อมูลบ่งชี้ว่า อัตราการจ้างงานใหม่ได้ชะลอตัวลงอย่างมาก โดยเฉลี่ยต่ำกว่า 30,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วงฤดูร้อน ขณะที่การทบทวนข้อมูลย้อนหลังบ่งชี้ว่า มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่เคยรายงานเกือบหนึ่งล้านตำแหน่งในรอบ 12 เดือนจนถึงเดือนมีนาคม 2568 ส่วนในด้านเงินเฟ้อ แม้ปรับตัวลงอย่างมากนับตั้งแต่แตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 40 ปีในปี 2565 แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด นายพาวเวลกล่าวว่า ข้อมูลที่กระทรวงพาณิชย์จะเผยแพร่ในวันศุกร์นี้ คาดว่าจะบ่งชี้ว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี และ 2.9% หากไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน นอกจากนี้ มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นชั่วคราว และทำให้มีความไม่แน่นอนในระดับสูง "ทิศทางเงินเฟ้อยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เราจะประเมินและจัดการความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่สูงและยืดเยื้ออย่างรอบคอบ เราจะทำให้มั่นใจได้ว่าการเพิ่มขึ้นของราคาเพียงครั้งเดียวนี้จะไม่กลายเป็นปัญหาเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง" นายพาวเวลกล่าว (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เมินคุยแกนนำเดโมแครตในคองเกรส แม้เหลือไม่กี่วันก่อนสหรัฐถูกชัตดาวน์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ โพสต์ข้อความบน Truth Social ในวันนี้ โดยระบุว่า เขาจะยกเลิกการประชุมกับแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรส เพียงไม่กี่วันก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ เนื่องจากปธน.ทรัมป์มองว่าการประชุมดังกล่าวจะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วุฒิสภาสหรัฐได้ปฏิเสธข้อเสนอทั้งของพรรครีพับลิกันและเดโมแครตในการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้รัฐบาลกลางสามารถดำเนินการต่อไปได้ชั่วคราว โดยนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พบกับพรรคเดโมแครตเพื่อบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ขณะที่สภาคองเกรสเผชิญเส้นตายในวันที่ 30 ก.ย.ในการอนุมัติงบประมาณเพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินการต่อไป "หลังจากที่ได้ทบทวนรายละเอียดของข้อเรียกร้องที่ไม่จริงจังและไร้สาระจากพรรคเดโมแครตฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงเสียงข้างน้อยในสภา ที่ต้องการแลกกับคะแนนเสียงเพื่อให้ประเทศอันรุ่งเรืองของเรายังคงเปิดดำเนินการต่อไป ผมจึงตัดสินใจว่าไม่มีทางที่การประชุมกับบรรดาผู้นำในสภาคองเกรสของพวกเขาจะก่อให้เกิดประโยชน์ได้เลย" "พวกเขากำลังขู่ที่จะปิดรัฐบาลสหรัฐ เว้นแต่จะได้งบใช้จ่ายใหม่กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ต่อไป เช่น การให้บริการสาธารณสุขฟรีแก่ผู้อพยพผิดกฎหมาย (ค่าใช้จ่ายมหาศาล!), บังคับให้ผู้เสียภาษีต้องออกเงินสนับสนุนการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับผู้เยาว์, ให้มีรายชื่อผู้เสียชีวิตอยู่ในบัญชีรายชื่อ Medicaid, อนุญาตให้ผู้อพยพผิดกฎหมายที่เป็นอาชญากรขโมยสิทธิประโยชน์ของผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์, พยายามบังคับให้ประเทศเรากลับมาเปิดพรมแดนให้อาชญากรและคนจากทั่วโลกเข้ามา, อนุญาตให้ผู้ชายลงแข่งในกีฬาสำหรับผู้หญิง และให้มีการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับทุกคน" "ทัศนคติและนโยบายฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงเหล่านี้ ทำให้ผมชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมทั้งใน 7 รัฐสมรภูมิ และยังชนะคะแนน Popular Vote จากประชาชน ด้วยชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์อย่างถล่มทลาย" "ผมตั้งตารอที่จะได้พบกับพวกเขา หากพวกเขามีความจริงจังเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเรา เราต้องทำให้รัฐบาลเปิดดำเนินการต่อไป และออกกฎหมายเหมือนกับผู้รักชาติที่แท้จริง ไม่ใช่จับพลเมืองอเมริกันเป็นตัวประกัน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาต้องการให้ประเทศที่รุ่งเรืองของเราถูกปิดตัวลง" "ผมยินดีที่จะพบพวกเขา หากพวกเขายอมรับหลักการที่ระบุไว้ในจดหมายฉบับนี้ พวกเขาต้องทำหน้าที่ของตนเอง!" "ถึงผู้นำพรรคเดโมแครต ตอนนี้ลูกบอลอยู่ในสนามของคุณแล้ว ผมตั้งตารอที่จะได้พบกับคุณ เมื่อคุณมีมุมมองสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ประเทศของเรายืนหยัดอยู่ จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง!" ปธน.ทรัมป์ระบุ (อินโฟเควสท์)
ซิตี้แบงก์คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หนุนหุ้นฮ่องกง-จีน, ดันราคาทองคำพุ่ง ซิตี้แบงก์ (Citibank) คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมสูงสุด 1.5% ภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก และจะกระตุ้นการลงทุนในหุ้นฮ่องกงและจีน พร้อมผลักดันราคาทองคำให้สูงยิ่งกว่าระดับปัจจุบัน นักวิเคราะห์ของซิตี้แบงก์กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของฮ่องกงและจีน จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปีต่อ ๆ ไป แคลวิน ฮา นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโสภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของซิตี้แบงก์ โกลบอล เวลธ์ (Citi Global Wealth) กล่าวว่า ตัวเลขว่างงานและข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ทำให้มีแนวโน้มที่เฟดจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึงปีหน้า พร้อมเสริมว่า การลดดอกเบี้ยจะยิ่งทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และดึงดูดนักลงทุนให้โยกเงินไปยังตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ขณะเดียวกัน แคลวินมองว่า ทองคำยังคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย แม้ว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นมากในปีนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสสูงขึ้นได้อีก เขาระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เฟดปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีลง 0.25% และคาดว่าจะลดเพิ่มอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายเดือนต.ค. และธ.ค. รวมแล้วคาดว่าดอกเบี้ยจะลดลง 1-1.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.75-3% จากเดิม 4.25-4.5% ส่วนราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น 44% ในรอบปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มทะยานแตะ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระยะใกล้ หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 3,752 ดอลลาร์ในวันนี้ (23 ก.ย.) นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์คาดว่า ดัชนีฮั่งเส็งจะแตะที่ระดับ 26,800 จุดในสิ้นปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้น 34% จากต้นปี และมีแนวโน้มขึ้นต่อไปถึง 27,500 จุดภายในกลางปีหน้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 88.76 จุด นลท.ประเมินถ้อยแถลงพาวเวล ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งระบุว่า ในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้านั้น เฟดจำเป็นต้องพิจารณาทั้งในเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,292.78 จุด ลดลง 88.76 จุด หรือ -0.19%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,656.92 จุด ลดลง 36.83 จุด หรือ -0.55% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,573.47 จุด ลดลง 215.50 จุด หรือ -0.95% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.13 หลังแผนส่งออกน้ำมันจากเคอร์ดิสถานชะงัก สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่าแผนการส่งออกน้ำมันจากภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรักหยุดชะงักลง ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันโลกล้นตลาด ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.81% ปิดที่ 63.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.59% ปิดที่ 67.63 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่าเล็กน้อย หลังนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงพาวเวล สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งระบุว่า ในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้านั้น เฟดจำเป็นต้องพิจารณาทั้งในเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.08% แตะที่ 97.264 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $40.6 ทำนิวไฮ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย-เก็งเฟดหั่นดบ. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันอังคาร (23 ก.ย.) โดยราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 40.6 ดอลลาร์ หรือ 1.08% ปิดที่ 3,815.7 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง นลท.จับตาถ้อยแถลง "พาวเวล", เงินเฟ้อสหรัฐ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในสัปดาห์นี้ ณ เวลา 20.05 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.135% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.759% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ดัชนี PMI ยูโรโซนขั้นต้นก.ย.โตสุดในรอบ 16 เดือน แต่ยอดสั่งซื้อใหม่นิ่งสนิท S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซนจาก HCOB ขยับขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 51.2 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 51.0 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย และนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ภาคบริการเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นพุ่งขึ้นสู่ระดับ 51.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน สวนทางกับภาคการผลิตที่กลับเข้าสู่ภาวะหดตัว โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 49.5 ในเดือนก.ย. หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ให้ความเห็นว่า "ยูโรโซนยังคงเติบโต แต่ยังห่างไกลจากคำว่ามีโมเมนตัมที่แท้จริง" ซึ่งสะท้อนจากดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงมาอยู่ที่ 50.0 อันเป็นจุดที่ไม่มีการขยายตัว ข้อมูลยังสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในสองประเทศยักษ์ใหญ่ของกลุ่ม โดยเยอรมนีมีการเติบโตที่แข็งแกร่งและรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566 ขณะที่ฝรั่งเศสเผชิญภาวะธุรกิจหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และยังหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ภาวะซบเซาของคำสั่งซื้อใหม่เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน การจ้างงานโดยรวมหยุดนิ่งในเดือนก.ย. หลังจากขยายตัวต่อเนื่องมา 6 เดือน โดยภาคการผลิตยังคงลดคนงาน ส่วนภาคบริการชะลอการจ้างงานลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน อย่างไรก็ดี มีสัญญาณบวกจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง โดยทั้งต้นทุนวัตถุดิบและราคาขายสินค้าต่างปรับตัวขึ้นในอัตราที่ช้าลง (อินโฟเควสท์)
ดัชนี PMI เยอรมนีขั้นต้นโตเร็วสุดในรอบ 16 เดือน สวนทางภาคการผลิตที่เริ่มแผ่ว S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของเยอรมนีจาก HCOB ขยับขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 52.4 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 50.5 ในเดือนส.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.6 ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตในเดือนนี้มาจากภาคบริการ โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นพุ่งขึ้นสู่ระดับ 52.5 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 8 เดือน อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตกลับส่งสัญญาณน่าเป็นห่วง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นหดตัวลงสู่ระดับ 48.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน แม้ภาพรวมจะดูดี แต่ผลสำรวจพบสัญญาณเตือนสำคัญ เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ลดลงทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ สะท้อนให้เห็นว่าอุปสงค์โดยรวมยังคงเปราะบาง ไซรัส เดอ ลา รูเบีย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ให้ความเห็นว่า "ปัญหาดูเหมือนจะเริ่มก่อตัวขึ้นในภาคการผลิต หากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศยังคงลดลง อีกไม่นานบริษัทต่าง ๆ ก็จำเป็นต้องชะลอการผลิตลงด้วย" นอกจากนี้ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มกลับมาสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการที่ต้นทุนและราคาผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบหลายเดือน เดอ ลา รูเบีย เตือนว่ายังไม่ควรชะล่าใจ เพราะยอดคำสั่งซื้อกำลังถูกกดดันอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงอีกครั้งในไม่ช้า เขายังชี้ว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อแนวโน้มหนึ่งปีข้างหน้าก็ลดลงเช่นกัน เนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจซบเซาและต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง (อินโฟเควสท์)
PMI ฝรั่งเศสขั้นต้นเดือนก.ย. ทรุดตัวหนักสุดในรอบ 5 เดือน เซ่นพิษดีมานด์ซบเซา S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของฝรั่งเศสจาก HCOB ดิ่งลงมาอยู่ที่ 48.4 ในเดือนก.ย. จากระดับ 49.8 ในเดือนส.ค. ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการต่างอยู่ในภาวะหดตัว โดยเฉพาะสถานการณ์ในภาคการผลิตที่น่าเป็นห่วง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นร่วงลงมาอยู่ที่ 48.1 จาก 50.4 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคการผลิตดิ่งลงแตะ 45.9 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ด้านดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นของฝรั่งเศสลดลงมาอยู่ที่ 48.9 จาก 49.8 ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ปัจจัยหลักที่ฉุดเศรษฐกิจคืออุปสงค์ของผู้บริโภคที่ซบเซาอย่างหนัก สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่โดยรวมที่ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกันแล้ว ผู้ประกอบการในฝรั่งเศสต้องยอมปรับลดราคาสินค้าและบริการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. แม้ว่าต้นทุนยังคงสูงขึ้นก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงผลจากการแข่งขันที่รุนแรงและอุปสงค์ที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณบวกอยู่บ้าง โดยภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน แต่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจโดยรวมยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งมีปัจจัยจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นตัวฉุดความคาดหวัง (อินโฟเควสท์)
ดัชนี PMI ขั้นต้น UK เดือนก.ย.แผ่ว ภาคธุรกิจหวั่นรัฐบาลขึ้นภาษีรอบใหม่ S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของสหราชอาณาจักร (UK) ลดลงมาอยู่ที่ 51.0 ในเดือนก.ย. จาก 53.5 ในเดือนส.ค. ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 53.0 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในอีก 12 เดือนข้างหน้า ก็ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธุรกิจจาก S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า "ไม่น่าแปลกใจที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจจะแย่ลงอีก ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการขึ้นภาษีในงบประมาณปลายปีนี้ หากความเชื่อมั่นไม่ฟื้นตัว เศรษฐกิจก็ยากที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร" สถานการณ์นี้สร้างความท้าทายให้แก่ ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลัง UK ที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างการขึ้นภาษีกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในแผนงบประมาณวันที่ 26 พ.ย. ผลสำรวจยังพบว่าบริษัทต่าง ๆ เริ่มลดการจ้างงานอีกครั้ง โดยระงับการจ้างพนักงานใหม่และไม่หาคนมาทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง เพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นและปริมาณงานที่ลดลง เมื่อแยกตามภาคส่วน ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นลดลงสู่ 51.9 ในเดือนก.ย. ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นหดตัวลงไปอยู่ที่ 46.2 ในเดือนก.ย. ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ผู้ประกอบการภาคบริการระบุว่าจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า เพราะต้องแบกรับภาระค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากการขึ้นภาษีในแผนงบประมาณฉบับก่อนหน้า นักเศรษฐศาสตร์มองว่า สัญญาณชะลอตัวนี้อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เร่งตัดสินใจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หลังจากที่เพิ่งคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4% ในการประชุมครั้งล่าสุด เพื่อรอดูสัญญาณว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างชัดเจน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 3.36 จุด นักลงทุนประเมินผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเล็กน้อยในวันอังคาร (23 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ และข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของกิจกรรมทางธุรกิจในอังกฤษ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,223.32 จุด ลดลง 3.36 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มสินค้าหรูหราหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งสัปดาห์ในวันอังคาร (23 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหรา หลังจากการใช้จ่ายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และจากการที่หุ้นพลังงานลมที่ปรับตัวขึ้น หลังศาลมีคำตัดสินให้บริษัท Orsted ของเดนมาร์กกลับมาดำเนินโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งในสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.95 จุด เพิ่มขึ้น 1.55 จุด หรือ +0.28% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,872.02 จุด เพิ่มขึ้น 41.91 จุด หรือ +0.54%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,611.33 จุด เพิ่มขึ้น 84.28 จุด หรือ +0.36% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,223.32 จุด ลดลง 3.36 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิเปิดลบ 9.25 จุด ตามทิศทางดาวโจนส์ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดลบในวันนี้ (24 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ หลังจากเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า ยังไม่มีความแน่นอนเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะสั้น ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 45,484.41 จุด ลดลง 9.25 จุด หรือ -0.02% (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 6.74 จุด เหตุนักลงทุนขายทำกำไร ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (23 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Growth Stock) ที่ราคาปรับขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,821.83 จุด ลดลง 6.74 จุด หรือ -0.18% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 185.02 จุด จับตาซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันนี้ (23 ก.ย.) แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบสองสัปดาห์ ขณะที่ฮ่องกงเตรียมพร้อมรับมือซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา (Ragasa) หนึ่งในพายุรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ประกอบกับนักลงทุนยังคงรอคอยรัฐบาลจีนออกมาตรการใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 26,159.12 จุด ลดลง 185.02 จุด หรือ -0.70% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
OECD เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้ คาดมีการเร่งผลิตก่อนโดนกำแพงภาษี องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ขึ้น 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ 3.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนมิ.ย. โดยเหตุผลหลักมาจากการที่หลายประเทศเร่งการผลิตและส่งออกสินค้าก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะขึ้นภาษีนำเข้า สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สำหรับญี่ปุ่นนั้น OECD ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ขึ้น 0.4 จุด เป็น 1.1% เพราะภาคธุรกิจมีกำไรดีและมีการลงทุนอย่างแข็งแกร่ง ก่อนที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 0.5% ในปี 2569 หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นทำข้อตกลงเรื่องภาษีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สำเร็จ ส่วนในภูมิภาคเอเชีย จีนซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกและไม่ได้เป็นสมาชิก OECD คาดว่าจะเติบโต 4.9% ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.2 จุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลที่ช่วยลดผลกระทบจากอุปสรรคทางการค้า อย่างไรก็ตาม OECD ได้เตือนถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญ โดยระบุว่า "การเร่งการผลิตนั้นได้หมดไป ขณะที่อัตราภาษีที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางนโยบายจะยังคงส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการค้า" สำหรับปี 2569 OECD ยังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกไว้ที่ 2.9% เท่าเดิม ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะขยายตัว 1.8% ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.2 จุด จากการคาดการณ์ครั้งก่อน แต่ลดลงจาก 2.8% ในปี 2567 เพราะแม้จะมีการลงทุนในภาคเทคโนโลยี แต่ก็ถูกบดบังด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้นและการย้ายถิ่นฐานที่ลดลง ส่วนในปี 2569 นั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะโต 1.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
ดัชนี PMI ขั้นต้นของอินเดียเดือนก.ย.โตแผ่วลงจากเดือนก่อน แต่ยังแกร่ง S&P Global เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในวันนี้ (23 ก.ย.) บ่งชี้ว่า การเติบโตของภาคเอกชนอินเดียในเดือนก.ย. ยังคงแข็งแกร่ง แต่ชะลอตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบหลายปีของเดือนส.ค. โดยปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลให้ยอดสั่งซื้อใหม่แผ่วลง และไม่สามารถกระตุ้นการจ้างงานให้เพิ่มขึ้นได้ ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของอินเดียจาก HSBC ปรับตัวลงสู่ระดับ 61.9 ในเดือนก.ย. จาก 63.2 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 62.9 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงถือเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วเป็นอันดับสองในรอบกว่าสองปี การชะลอตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงสู่ 58.5 จาก 59.3 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 61.6 จาก 62.9 ยอดธุรกิจใหม่โดยรวมยังขยายตัวได้ดี แต่ในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนส.ค. โดยบริษัทบางแห่งระบุว่าแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงทำให้รับคำสั่งซื้อได้น้อยลง ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศก็อ่อนแอลงเช่นกัน ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อเพื่อการส่งออกใหม่ขยายตัวในอัตราต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวในภาคบริการ ด้านการจ้างงานขยายตัวในระดับปานกลางและชะลอลงจากเดือนส.ค. โดยมีผู้ผลิตเพียงประมาณ 3% และผู้ให้บริการ 5% ที่รายงานการจ้างงานเพิ่มขึ้น ข้อมูลนี้ชี้ว่าแม้เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทต่าง ๆ ยังไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายทีมงาน ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับผู้กำหนดนโยบายที่ต้องรับมือกับแรงงานใหม่เข้าสู่ระบบหลายล้านคนในแต่ละปี สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีทิศทางที่แตกต่างกัน แม้ต้นทุนการผลิตโดยรวมจะลดลง แต่ภาคการผลิตกลับปรับขึ้นราคาขายในอัตราที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 13 ปี โดยอ้างถึงต้นทุนวัตถุดิบอย่างฝ้ายและเหล็กกล้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี การขึ้นราคานี้ถูกชดเชยด้วยราคาในภาคบริการที่ปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ที่เริ่มมีผลเมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.) คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาล แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะยังคงเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก็ตาม โดยผู้ส่งออกระบุว่าผลกระทบเต็มรูปแบบจากภาษีที่สูงขึ้นจะเริ่มปรากฏชัดในเดือนนี้ ซึ่งอาจทำให้กิจกรรมภาคเอกชนชะลอตัวลงไปอีก (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดแดนลบ กังวลค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวในแดนลบ โดยบรรยากาศการซื้อขายยังคงได้รับผลกระทบจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมสำหรับการยื่นขอวีซ่า H-1B สู่ระดับ 100,000 ดอลลาร์ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,102.10 ลบ 57.87 จุด หรือ 0.07% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ธปท.ปรับข้อมูลบัญชีดุลชำระเงินปี 67 ส่งผลค่าความคลาดเคลื่อนวูบกว่าครึ่ง ยันไม่ได้สะท้อนธุรกิจ"สีเทา" ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน ปี 2567 ส่งผลให้ค่าความคลาดเคลื่อน (NEO) ปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศเมื่อเดือนมี.ค. 68 นายเดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธปท.เปิดเผยว่า ธปท. ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือน ก.ย.68 ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions: NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือน มี.ค.68 ที่ 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมฯ ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้น และทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 2. ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3. ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับข้อมูล BOP รายปีนั้น ธปท. จะเผยแพร่ตัวเลขเบื้องต้นในเดือน มี.ค.ของปีถัดไป จากนั้นจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในทุกเดือน ก.ย. ตัวอย่างเช่น การจัดทำข้อมูล BOP ของปี 2567 จะเผยแพร่ครั้งแรกในเดือน มี.ค.68 และจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในเดือน ก.ย.68 และเดือน ก.ย.69 ค่าความคลาดเคลื่อนในดุลการชำระเงินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ แต่อยู่ในระดับที่มากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นกับปริมาณการค้าระหว่างประเทศของประเทศนั้น ๆ ซึ่งหากเป็นประเทศที่เปิดมาก หรือมีการค้าขายกับต่างประเทศในระดับสูง ก็จะมีโอกาสทำให้ NEO สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในกรณีของประเทศไทย ข้อมูลเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง เมื่อเทียบสัดส่วน NEO กับการค้าระหว่างประเทศแล้ว จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 1.3% และล่าสุดปี 67 อยู่ที่ 1.0% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศทั่วโลก (อินโฟเควสท์)
ยอดสะสมต่างชาติเที่ยวไทย 23.4 ล้านคน "มาเลเซีย" ยังครองแชมป์ น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ย. 68 รวมทั้งสิ้น 23,450,122 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,082,938 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 3,380,339 คน จีน 3,301,185 คน อินเดีย 1,711,381 คน รัสเซีย 1,244,626 คน และเกาหลีใต้ 1,105,186 คน สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-21 ก.ย.) นักท่องเที่ยวชะลอตัวด้านการเดินทางในทุกกลุ่มตลาด ก่อนการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในเดือนต.ค. ส่งผลให้ภาพรวม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 496,986 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 68,333 คน หรือ 12.09% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เฉลี่ยวันละ 70,998 คน โดย 5 อันดับแรก ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย 101,376 คน จีน 70,678 คน อินเดีย 44,813 คน เกาหลีใต้ 23,590 คน และญี่ปุ่น 23,271 คน ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวในสัปดาห์นี้ (22-28 ก.ย.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การออกเดินทางท่องเที่ยวก่อนมีวันหยุดในต้นเดือนต.ค.ในประเทศจีน การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาลที่ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น (อินโฟเควสท์)
ตลาดรถ ส.ค. สันดาปลดฮวบสวนทาง EV ส.อ.ท.เสนอรัฐตั้งกองทุนค้ำประกันสินเชื่อกระบะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2568 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน ส.ค.68 อยู่ที่ 71,179 คัน ลดลงจากเดือน ส.ค.ปีก่อน 17.30% เนื่องจากการส่งออกรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ลดลง จากความเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบางประเทศ โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 67,917.28 ลดลง 18.07% ทั้งนี้ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-ส.ค.) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปรวม 602,975 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.44% โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 581,307.35 ลดลง 10.58% จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน ส.ค.68 มีทั้งสิ้น 112,366 คัน เพิ่มขึ้น 1.58% จากเดือน ก.ค.68 แต่ลดลง 6.11% จากเดือน ส.ค.67 จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลง 10.67% จากเดือน ส.ค.67 เพราะผลิตรถยนต์นั่งลดลง 21.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า รวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลง 6.36% จากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 4.11% จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายในปี 2565-2566 ส่งผลให้รถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลง 5.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือน ส.ค.68 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลง 3.01% จากเดือน ก.ค.68 แต่เพิ่มขึ้น 5.38% จากเดือน ส.ค.67 จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้น 26.62% จากปีที่แล้ว ขณะที่รถกระบะขายได้ 10,960 คัน ลดลง 10.92% รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่าสองปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มียอดขาย 399,619 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 แค่ 8 คันจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 9.34 จุด ขายหุ้นใหญ่กดดัน มองตลาดปรับฐานรอฟื้น-จับตารัฐแถลงนโยบายหนุนแรงเก็งกำไร SET ปิดวันนี้ที่ 1,273.20 จุด ลดลง 9.34 จุด (-0.73%) มูลค่าซื้อขาย 40,147.95 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ย่อตัวลงรับแรงขายทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่ แม้ช่วงเช้าดัชนียังมีแรงซื้อ DELTA ช่วยพยุงได้บ้าง มองโมเมนตัม SET ปรับฐานลงมาที่ 1,270 จุดก่อนฟื้นตัว แนวโน้มพรุ่งนี้คาดยังปรับฐานต่อ แนะติดตามการแถลงนโยบายรัฐบาลสัปดาห์หน้า เก็งหนุนแรงเก็งกำไรกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มเกี่ยวข้องมาตรการรัฐ ให้กรอบแนวรับ 1,270 จุด ถัดไป 1,260 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,273.20 จุด ลดลง 9.34 จุด (-0.73%) มูลค่าซื้อขาย 40,147.95 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงและเคลื่อนไหวแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับต่ำสุด 1,272.68 จุด และสูงสุด 1,290.84 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 101 หลักทรัพย์ ลดลง 403 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 149 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.80 แกว่งแคบ ไร้ปัจจัยใหม่ ตลาดรอข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 31.80 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 31.78 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.76-31.88 บาท/ดอลลาร์ วันนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะส่งผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินบาทได้มากนัก ขณะที่สกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสม มีทั้งอ่อนค่า และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ "วันนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ บาทยังแกว่งแคบ ๆ ที่ 31.76-31.88 บาท/ดอลลาร์ ส่วนภูมิภาคเป็นแบบผสม มีทั้งอ่อนค่าและแข็งค่า ส่วนบาทวันนี้ ยังอยู่กลาง ๆ" นักบริหารเงิน ระบุ คืนนี้ ตลาดรอดูข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้น และภาคบริการขั้นต้น เดือนก.ย. รวมทั้งติดตามถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อดูแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.70 31.90 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 141,140 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 141,140 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 63,435 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,927 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,612 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.17% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-3 bps. ในตราสารระยะยาว สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 1,612 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 1,612 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ S&P Global รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51.2 ในเดือนก.ย. จาก 51.0 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เล็กน้อย ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการขั้นต้น สหรัฐฯ เดือนก.ย. ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จาก S&P Global ญี่ปุ่น
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จาก S&P Global ญี่ปุ่น
ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค. สหรัฐฯ
สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ
ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐต่ำสุดรอบ 3 เดือนในก.ย. เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.6 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 54.6 ในเดือนส.ค. ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการจ้างงานและคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ แต่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.0 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 53.0 ในเดือนส.ค. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัวของภาคการผลิต ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.9 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 54.5 ในเดือนส.ค. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการอยู่ในภาวะขยายตัว (อินโฟเควสท์)
พาวเวล" หนุนเฟดลดดอกเบี้ยสัปดาห์ที่แล้ว เหตุตลาดแรงงานชะลอตัว นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันนี้ว่า ความอ่อนแอในตลาดแรงงานกำลังมีน้ำหนักมากกว่าความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ส่งผลให้เขาสนับสนุนการตัดสินใจของเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "ในช่วงเวลาเช่นนี้ หน้าที่ของเฟดคือการ 'สร้างความสมดุลให้กับพันธกรณีทั้งสองด้านของเฟด' คือ การรักษาเสถียรภาพด้านราคา และการทำให้การจ้างงานเต็มศักยภาพ" "ความเสี่ยงระยะสั้นของเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนความเสี่ยงของการจ้างงานมีแนวโน้มไปทางขาลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยความเสี่ยงที่มาจากทั้งสองด้าน หมายความว่าไม่มีเส้นทางใดที่ปราศจากความเสี่ยง" นายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้นำภาคธุรกิจที่ Greater Providence Chamber of Commerce (GPCC) ในวันนี้ สถานการณ์ที่นายพาวเวลอธิบายสอดคล้องกับภาวะ stagflation ซึ่งหมายถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่รุนแรงเท่ากับที่สหรัฐเคยเผชิญในช่วงทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 แต่ก็ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการกำหนดนโยบายของเฟด อย่างไรก็ดี นายพาวเวลกล่าวว่า เขาไม่มีความกังวลต่อแนวทางนโยบายปัจจุบันของเฟด แม้เขาส่งสัญญาณต่อความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เห็นความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น "ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการจ้างงานที่ปรับตัวลงได้เปลี่ยนสมดุลของความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายของเรา โดยจุดยืนด้านนโยบายที่ยังคงเป็นการคุมเข้มเล็กน้อยนี้ ทำให้เราพร้อมตอบสนองต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น" นายพาวเวลกล่าว นายพาวเวลชี้ว่า ตลาดแรงงานมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน ทั้งนี้ ข้อมูลบ่งชี้ว่า อัตราการจ้างงานใหม่ได้ชะลอตัวลงอย่างมาก โดยเฉลี่ยต่ำกว่า 30,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วงฤดูร้อน ขณะที่การทบทวนข้อมูลย้อนหลังบ่งชี้ว่า มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่เคยรายงานเกือบหนึ่งล้านตำแหน่งในรอบ 12 เดือนจนถึงเดือนมีนาคม 2568 ส่วนในด้านเงินเฟ้อ แม้ปรับตัวลงอย่างมากนับตั้งแต่แตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 40 ปีในปี 2565 แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด นายพาวเวลกล่าวว่า ข้อมูลที่กระทรวงพาณิชย์จะเผยแพร่ในวันศุกร์นี้ คาดว่าจะบ่งชี้ว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี และ 2.9% หากไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน นอกจากนี้ มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นชั่วคราว และทำให้มีความไม่แน่นอนในระดับสูง "ทิศทางเงินเฟ้อยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เราจะประเมินและจัดการความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่สูงและยืดเยื้ออย่างรอบคอบ เราจะทำให้มั่นใจได้ว่าการเพิ่มขึ้นของราคาเพียงครั้งเดียวนี้จะไม่กลายเป็นปัญหาเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง" นายพาวเวลกล่าว (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" เมินคุยแกนนำเดโมแครตในคองเกรส แม้เหลือไม่กี่วันก่อนสหรัฐถูกชัตดาวน์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ โพสต์ข้อความบน Truth Social ในวันนี้ โดยระบุว่า เขาจะยกเลิกการประชุมกับแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรส เพียงไม่กี่วันก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ เนื่องจากปธน.ทรัมป์มองว่าการประชุมดังกล่าวจะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วุฒิสภาสหรัฐได้ปฏิเสธข้อเสนอทั้งของพรรครีพับลิกันและเดโมแครตในการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้รัฐบาลกลางสามารถดำเนินการต่อไปได้ชั่วคราว โดยนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พบกับพรรคเดโมแครตเพื่อบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ขณะที่สภาคองเกรสเผชิญเส้นตายในวันที่ 30 ก.ย.ในการอนุมัติงบประมาณเพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินการต่อไป "หลังจากที่ได้ทบทวนรายละเอียดของข้อเรียกร้องที่ไม่จริงจังและไร้สาระจากพรรคเดโมแครตฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงเสียงข้างน้อยในสภา ที่ต้องการแลกกับคะแนนเสียงเพื่อให้ประเทศอันรุ่งเรืองของเรายังคงเปิดดำเนินการต่อไป ผมจึงตัดสินใจว่าไม่มีทางที่การประชุมกับบรรดาผู้นำในสภาคองเกรสของพวกเขาจะก่อให้เกิดประโยชน์ได้เลย" "พวกเขากำลังขู่ที่จะปิดรัฐบาลสหรัฐ เว้นแต่จะได้งบใช้จ่ายใหม่กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ต่อไป เช่น การให้บริการสาธารณสุขฟรีแก่ผู้อพยพผิดกฎหมาย (ค่าใช้จ่ายมหาศาล!), บังคับให้ผู้เสียภาษีต้องออกเงินสนับสนุนการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับผู้เยาว์, ให้มีรายชื่อผู้เสียชีวิตอยู่ในบัญชีรายชื่อ Medicaid, อนุญาตให้ผู้อพยพผิดกฎหมายที่เป็นอาชญากรขโมยสิทธิประโยชน์ของผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์, พยายามบังคับให้ประเทศเรากลับมาเปิดพรมแดนให้อาชญากรและคนจากทั่วโลกเข้ามา, อนุญาตให้ผู้ชายลงแข่งในกีฬาสำหรับผู้หญิง และให้มีการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับทุกคน" "ทัศนคติและนโยบายฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงเหล่านี้ ทำให้ผมชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมทั้งใน 7 รัฐสมรภูมิ และยังชนะคะแนน Popular Vote จากประชาชน ด้วยชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์อย่างถล่มทลาย" "ผมตั้งตารอที่จะได้พบกับพวกเขา หากพวกเขามีความจริงจังเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเรา เราต้องทำให้รัฐบาลเปิดดำเนินการต่อไป และออกกฎหมายเหมือนกับผู้รักชาติที่แท้จริง ไม่ใช่จับพลเมืองอเมริกันเป็นตัวประกัน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาต้องการให้ประเทศที่รุ่งเรืองของเราถูกปิดตัวลง" "ผมยินดีที่จะพบพวกเขา หากพวกเขายอมรับหลักการที่ระบุไว้ในจดหมายฉบับนี้ พวกเขาต้องทำหน้าที่ของตนเอง!" "ถึงผู้นำพรรคเดโมแครต ตอนนี้ลูกบอลอยู่ในสนามของคุณแล้ว ผมตั้งตารอที่จะได้พบกับคุณ เมื่อคุณมีมุมมองสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ประเทศของเรายืนหยัดอยู่ จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง!" ปธน.ทรัมป์ระบุ (อินโฟเควสท์)
ซิตี้แบงก์คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หนุนหุ้นฮ่องกง-จีน, ดันราคาทองคำพุ่ง ซิตี้แบงก์ (Citibank) คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมสูงสุด 1.5% ภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก และจะกระตุ้นการลงทุนในหุ้นฮ่องกงและจีน พร้อมผลักดันราคาทองคำให้สูงยิ่งกว่าระดับปัจจุบัน นักวิเคราะห์ของซิตี้แบงก์กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของฮ่องกงและจีน จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปีต่อ ๆ ไป แคลวิน ฮา นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโสภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของซิตี้แบงก์ โกลบอล เวลธ์ (Citi Global Wealth) กล่าวว่า ตัวเลขว่างงานและข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ทำให้มีแนวโน้มที่เฟดจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึงปีหน้า พร้อมเสริมว่า การลดดอกเบี้ยจะยิ่งทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และดึงดูดนักลงทุนให้โยกเงินไปยังตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ขณะเดียวกัน แคลวินมองว่า ทองคำยังคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย แม้ว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นมากในปีนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสสูงขึ้นได้อีก เขาระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เฟดปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีลง 0.25% และคาดว่าจะลดเพิ่มอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายเดือนต.ค. และธ.ค. รวมแล้วคาดว่าดอกเบี้ยจะลดลง 1-1.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.75-3% จากเดิม 4.25-4.5% ส่วนราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น 44% ในรอบปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มทะยานแตะ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระยะใกล้ หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 3,752 ดอลลาร์ในวันนี้ (23 ก.ย.) นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์คาดว่า ดัชนีฮั่งเส็งจะแตะที่ระดับ 26,800 จุดในสิ้นปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้น 34% จากต้นปี และมีแนวโน้มขึ้นต่อไปถึง 27,500 จุดภายในกลางปีหน้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 88.76 จุด นลท.ประเมินถ้อยแถลงพาวเวล ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งระบุว่า ในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้านั้น เฟดจำเป็นต้องพิจารณาทั้งในเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,292.78 จุด ลดลง 88.76 จุด หรือ -0.19%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,656.92 จุด ลดลง 36.83 จุด หรือ -0.55% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,573.47 จุด ลดลง 215.50 จุด หรือ -0.95% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.13 หลังแผนส่งออกน้ำมันจากเคอร์ดิสถานชะงัก สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่าแผนการส่งออกน้ำมันจากภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรักหยุดชะงักลง ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันโลกล้นตลาด ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.81% ปิดที่ 63.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.59% ปิดที่ 67.63 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่าเล็กน้อย หลังนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงพาวเวล สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งระบุว่า ในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้านั้น เฟดจำเป็นต้องพิจารณาทั้งในเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.08% แตะที่ 97.264 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $40.6 ทำนิวไฮ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย-เก็งเฟดหั่นดบ. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันอังคาร (23 ก.ย.) โดยราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 40.6 ดอลลาร์ หรือ 1.08% ปิดที่ 3,815.7 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง นลท.จับตาถ้อยแถลง "พาวเวล", เงินเฟ้อสหรัฐ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในสัปดาห์นี้ ณ เวลา 20.05 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.135% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.759% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ดัชนี PMI ยูโรโซนขั้นต้นก.ย.โตสุดในรอบ 16 เดือน แต่ยอดสั่งซื้อใหม่นิ่งสนิท S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซนจาก HCOB ขยับขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 51.2 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 51.0 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย และนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ภาคบริการเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นพุ่งขึ้นสู่ระดับ 51.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน สวนทางกับภาคการผลิตที่กลับเข้าสู่ภาวะหดตัว โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 49.5 ในเดือนก.ย. หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ให้ความเห็นว่า "ยูโรโซนยังคงเติบโต แต่ยังห่างไกลจากคำว่ามีโมเมนตัมที่แท้จริง" ซึ่งสะท้อนจากดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงมาอยู่ที่ 50.0 อันเป็นจุดที่ไม่มีการขยายตัว ข้อมูลยังสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในสองประเทศยักษ์ใหญ่ของกลุ่ม โดยเยอรมนีมีการเติบโตที่แข็งแกร่งและรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566 ขณะที่ฝรั่งเศสเผชิญภาวะธุรกิจหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และยังหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ภาวะซบเซาของคำสั่งซื้อใหม่เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน การจ้างงานโดยรวมหยุดนิ่งในเดือนก.ย. หลังจากขยายตัวต่อเนื่องมา 6 เดือน โดยภาคการผลิตยังคงลดคนงาน ส่วนภาคบริการชะลอการจ้างงานลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน อย่างไรก็ดี มีสัญญาณบวกจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง โดยทั้งต้นทุนวัตถุดิบและราคาขายสินค้าต่างปรับตัวขึ้นในอัตราที่ช้าลง (อินโฟเควสท์)
ดัชนี PMI เยอรมนีขั้นต้นโตเร็วสุดในรอบ 16 เดือน สวนทางภาคการผลิตที่เริ่มแผ่ว S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของเยอรมนีจาก HCOB ขยับขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 52.4 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 50.5 ในเดือนส.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.6 ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตในเดือนนี้มาจากภาคบริการ โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นพุ่งขึ้นสู่ระดับ 52.5 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 8 เดือน อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตกลับส่งสัญญาณน่าเป็นห่วง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นหดตัวลงสู่ระดับ 48.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน แม้ภาพรวมจะดูดี แต่ผลสำรวจพบสัญญาณเตือนสำคัญ เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ลดลงทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ สะท้อนให้เห็นว่าอุปสงค์โดยรวมยังคงเปราะบาง ไซรัส เดอ ลา รูเบีย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ให้ความเห็นว่า "ปัญหาดูเหมือนจะเริ่มก่อตัวขึ้นในภาคการผลิต หากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศยังคงลดลง อีกไม่นานบริษัทต่าง ๆ ก็จำเป็นต้องชะลอการผลิตลงด้วย" นอกจากนี้ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มกลับมาสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการที่ต้นทุนและราคาผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบหลายเดือน เดอ ลา รูเบีย เตือนว่ายังไม่ควรชะล่าใจ เพราะยอดคำสั่งซื้อกำลังถูกกดดันอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงอีกครั้งในไม่ช้า เขายังชี้ว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อแนวโน้มหนึ่งปีข้างหน้าก็ลดลงเช่นกัน เนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจซบเซาและต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง (อินโฟเควสท์)
PMI ฝรั่งเศสขั้นต้นเดือนก.ย. ทรุดตัวหนักสุดในรอบ 5 เดือน เซ่นพิษดีมานด์ซบเซา S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของฝรั่งเศสจาก HCOB ดิ่งลงมาอยู่ที่ 48.4 ในเดือนก.ย. จากระดับ 49.8 ในเดือนส.ค. ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการต่างอยู่ในภาวะหดตัว โดยเฉพาะสถานการณ์ในภาคการผลิตที่น่าเป็นห่วง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นร่วงลงมาอยู่ที่ 48.1 จาก 50.4 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคการผลิตดิ่งลงแตะ 45.9 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ด้านดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นของฝรั่งเศสลดลงมาอยู่ที่ 48.9 จาก 49.8 ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ปัจจัยหลักที่ฉุดเศรษฐกิจคืออุปสงค์ของผู้บริโภคที่ซบเซาอย่างหนัก สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่โดยรวมที่ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกันแล้ว ผู้ประกอบการในฝรั่งเศสต้องยอมปรับลดราคาสินค้าและบริการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. แม้ว่าต้นทุนยังคงสูงขึ้นก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงผลจากการแข่งขันที่รุนแรงและอุปสงค์ที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณบวกอยู่บ้าง โดยภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน แต่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจโดยรวมยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งมีปัจจัยจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นตัวฉุดความคาดหวัง (อินโฟเควสท์)
ดัชนี PMI ขั้นต้น UK เดือนก.ย.แผ่ว ภาคธุรกิจหวั่นรัฐบาลขึ้นภาษีรอบใหม่ S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของสหราชอาณาจักร (UK) ลดลงมาอยู่ที่ 51.0 ในเดือนก.ย. จาก 53.5 ในเดือนส.ค. ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 53.0 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในอีก 12 เดือนข้างหน้า ก็ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธุรกิจจาก S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า "ไม่น่าแปลกใจที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจจะแย่ลงอีก ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการขึ้นภาษีในงบประมาณปลายปีนี้ หากความเชื่อมั่นไม่ฟื้นตัว เศรษฐกิจก็ยากที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร" สถานการณ์นี้สร้างความท้าทายให้แก่ ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลัง UK ที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างการขึ้นภาษีกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในแผนงบประมาณวันที่ 26 พ.ย. ผลสำรวจยังพบว่าบริษัทต่าง ๆ เริ่มลดการจ้างงานอีกครั้ง โดยระงับการจ้างพนักงานใหม่และไม่หาคนมาทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง เพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นและปริมาณงานที่ลดลง เมื่อแยกตามภาคส่วน ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นลดลงสู่ 51.9 ในเดือนก.ย. ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นหดตัวลงไปอยู่ที่ 46.2 ในเดือนก.ย. ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ผู้ประกอบการภาคบริการระบุว่าจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า เพราะต้องแบกรับภาระค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากการขึ้นภาษีในแผนงบประมาณฉบับก่อนหน้า นักเศรษฐศาสตร์มองว่า สัญญาณชะลอตัวนี้อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เร่งตัดสินใจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หลังจากที่เพิ่งคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4% ในการประชุมครั้งล่าสุด เพื่อรอดูสัญญาณว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างชัดเจน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 3.36 จุด นักลงทุนประเมินผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเล็กน้อยในวันอังคาร (23 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ และข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของกิจกรรมทางธุรกิจในอังกฤษ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,223.32 จุด ลดลง 3.36 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มสินค้าหรูหราหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งสัปดาห์ในวันอังคาร (23 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหรา หลังจากการใช้จ่ายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และจากการที่หุ้นพลังงานลมที่ปรับตัวขึ้น หลังศาลมีคำตัดสินให้บริษัท Orsted ของเดนมาร์กกลับมาดำเนินโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งในสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.95 จุด เพิ่มขึ้น 1.55 จุด หรือ +0.28% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,872.02 จุด เพิ่มขึ้น 41.91 จุด หรือ +0.54%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,611.33 จุด เพิ่มขึ้น 84.28 จุด หรือ +0.36% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,223.32 จุด ลดลง 3.36 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิเปิดลบ 9.25 จุด ตามทิศทางดาวโจนส์ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดลบในวันนี้ (24 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ หลังจากเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า ยังไม่มีความแน่นอนเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะสั้น ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 45,484.41 จุด ลดลง 9.25 จุด หรือ -0.02% (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 6.74 จุด เหตุนักลงทุนขายทำกำไร ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (23 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Growth Stock) ที่ราคาปรับขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,821.83 จุด ลดลง 6.74 จุด หรือ -0.18% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 185.02 จุด จับตาซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันนี้ (23 ก.ย.) แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบสองสัปดาห์ ขณะที่ฮ่องกงเตรียมพร้อมรับมือซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา (Ragasa) หนึ่งในพายุรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ประกอบกับนักลงทุนยังคงรอคอยรัฐบาลจีนออกมาตรการใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 26,159.12 จุด ลดลง 185.02 จุด หรือ -0.70% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
OECD เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้ คาดมีการเร่งผลิตก่อนโดนกำแพงภาษี องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ขึ้น 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ 3.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนมิ.ย. โดยเหตุผลหลักมาจากการที่หลายประเทศเร่งการผลิตและส่งออกสินค้าก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะขึ้นภาษีนำเข้า สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สำหรับญี่ปุ่นนั้น OECD ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ขึ้น 0.4 จุด เป็น 1.1% เพราะภาคธุรกิจมีกำไรดีและมีการลงทุนอย่างแข็งแกร่ง ก่อนที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 0.5% ในปี 2569 หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นทำข้อตกลงเรื่องภาษีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สำเร็จ ส่วนในภูมิภาคเอเชีย จีนซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกและไม่ได้เป็นสมาชิก OECD คาดว่าจะเติบโต 4.9% ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.2 จุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลที่ช่วยลดผลกระทบจากอุปสรรคทางการค้า อย่างไรก็ตาม OECD ได้เตือนถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญ โดยระบุว่า "การเร่งการผลิตนั้นได้หมดไป ขณะที่อัตราภาษีที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางนโยบายจะยังคงส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการค้า" สำหรับปี 2569 OECD ยังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกไว้ที่ 2.9% เท่าเดิม ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะขยายตัว 1.8% ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.2 จุด จากการคาดการณ์ครั้งก่อน แต่ลดลงจาก 2.8% ในปี 2567 เพราะแม้จะมีการลงทุนในภาคเทคโนโลยี แต่ก็ถูกบดบังด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้นและการย้ายถิ่นฐานที่ลดลง ส่วนในปี 2569 นั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะโต 1.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
ดัชนี PMI ขั้นต้นของอินเดียเดือนก.ย.โตแผ่วลงจากเดือนก่อน แต่ยังแกร่ง S&P Global เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในวันนี้ (23 ก.ย.) บ่งชี้ว่า การเติบโตของภาคเอกชนอินเดียในเดือนก.ย. ยังคงแข็งแกร่ง แต่ชะลอตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบหลายปีของเดือนส.ค. โดยปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลให้ยอดสั่งซื้อใหม่แผ่วลง และไม่สามารถกระตุ้นการจ้างงานให้เพิ่มขึ้นได้ ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของอินเดียจาก HSBC ปรับตัวลงสู่ระดับ 61.9 ในเดือนก.ย. จาก 63.2 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 62.9 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงถือเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วเป็นอันดับสองในรอบกว่าสองปี การชะลอตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงสู่ 58.5 จาก 59.3 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 61.6 จาก 62.9 ยอดธุรกิจใหม่โดยรวมยังขยายตัวได้ดี แต่ในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนส.ค. โดยบริษัทบางแห่งระบุว่าแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงทำให้รับคำสั่งซื้อได้น้อยลง ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศก็อ่อนแอลงเช่นกัน ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อเพื่อการส่งออกใหม่ขยายตัวในอัตราต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวในภาคบริการ ด้านการจ้างงานขยายตัวในระดับปานกลางและชะลอลงจากเดือนส.ค. โดยมีผู้ผลิตเพียงประมาณ 3% และผู้ให้บริการ 5% ที่รายงานการจ้างงานเพิ่มขึ้น ข้อมูลนี้ชี้ว่าแม้เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทต่าง ๆ ยังไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายทีมงาน ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับผู้กำหนดนโยบายที่ต้องรับมือกับแรงงานใหม่เข้าสู่ระบบหลายล้านคนในแต่ละปี สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีทิศทางที่แตกต่างกัน แม้ต้นทุนการผลิตโดยรวมจะลดลง แต่ภาคการผลิตกลับปรับขึ้นราคาขายในอัตราที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 13 ปี โดยอ้างถึงต้นทุนวัตถุดิบอย่างฝ้ายและเหล็กกล้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี การขึ้นราคานี้ถูกชดเชยด้วยราคาในภาคบริการที่ปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ที่เริ่มมีผลเมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.) คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาล แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะยังคงเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก็ตาม โดยผู้ส่งออกระบุว่าผลกระทบเต็มรูปแบบจากภาษีที่สูงขึ้นจะเริ่มปรากฏชัดในเดือนนี้ ซึ่งอาจทำให้กิจกรรมภาคเอกชนชะลอตัวลงไปอีก (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดแดนลบ กังวลค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวในแดนลบ โดยบรรยากาศการซื้อขายยังคงได้รับผลกระทบจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมสำหรับการยื่นขอวีซ่า H-1B สู่ระดับ 100,000 ดอลลาร์ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,102.10 ลบ 57.87 จุด หรือ 0.07% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ธปท.ปรับข้อมูลบัญชีดุลชำระเงินปี 67 ส่งผลค่าความคลาดเคลื่อนวูบกว่าครึ่ง ยันไม่ได้สะท้อนธุรกิจ"สีเทา" ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน ปี 2567 ส่งผลให้ค่าความคลาดเคลื่อน (NEO) ปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศเมื่อเดือนมี.ค. 68 นายเดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธปท.เปิดเผยว่า ธปท. ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือน ก.ย.68 ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions: NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือน มี.ค.68 ที่ 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมฯ ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้น และทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 2. ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3. ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับข้อมูล BOP รายปีนั้น ธปท. จะเผยแพร่ตัวเลขเบื้องต้นในเดือน มี.ค.ของปีถัดไป จากนั้นจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในทุกเดือน ก.ย. ตัวอย่างเช่น การจัดทำข้อมูล BOP ของปี 2567 จะเผยแพร่ครั้งแรกในเดือน มี.ค.68 และจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในเดือน ก.ย.68 และเดือน ก.ย.69 ค่าความคลาดเคลื่อนในดุลการชำระเงินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ แต่อยู่ในระดับที่มากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นกับปริมาณการค้าระหว่างประเทศของประเทศนั้น ๆ ซึ่งหากเป็นประเทศที่เปิดมาก หรือมีการค้าขายกับต่างประเทศในระดับสูง ก็จะมีโอกาสทำให้ NEO สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในกรณีของประเทศไทย ข้อมูลเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง เมื่อเทียบสัดส่วน NEO กับการค้าระหว่างประเทศแล้ว จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 1.3% และล่าสุดปี 67 อยู่ที่ 1.0% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศทั่วโลก (อินโฟเควสท์)
ยอดสะสมต่างชาติเที่ยวไทย 23.4 ล้านคน "มาเลเซีย" ยังครองแชมป์ น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ย. 68 รวมทั้งสิ้น 23,450,122 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,082,938 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 3,380,339 คน จีน 3,301,185 คน อินเดีย 1,711,381 คน รัสเซีย 1,244,626 คน และเกาหลีใต้ 1,105,186 คน สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-21 ก.ย.) นักท่องเที่ยวชะลอตัวด้านการเดินทางในทุกกลุ่มตลาด ก่อนการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในเดือนต.ค. ส่งผลให้ภาพรวม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 496,986 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 68,333 คน หรือ 12.09% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เฉลี่ยวันละ 70,998 คน โดย 5 อันดับแรก ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย 101,376 คน จีน 70,678 คน อินเดีย 44,813 คน เกาหลีใต้ 23,590 คน และญี่ปุ่น 23,271 คน ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวในสัปดาห์นี้ (22-28 ก.ย.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การออกเดินทางท่องเที่ยวก่อนมีวันหยุดในต้นเดือนต.ค.ในประเทศจีน การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาลที่ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น (อินโฟเควสท์)
ตลาดรถ ส.ค. สันดาปลดฮวบสวนทาง EV ส.อ.ท.เสนอรัฐตั้งกองทุนค้ำประกันสินเชื่อกระบะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2568 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน ส.ค.68 อยู่ที่ 71,179 คัน ลดลงจากเดือน ส.ค.ปีก่อน 17.30% เนื่องจากการส่งออกรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ลดลง จากความเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบางประเทศ โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 67,917.28 ลดลง 18.07% ทั้งนี้ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-ส.ค.) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปรวม 602,975 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.44% โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 581,307.35 ลดลง 10.58% จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน ส.ค.68 มีทั้งสิ้น 112,366 คัน เพิ่มขึ้น 1.58% จากเดือน ก.ค.68 แต่ลดลง 6.11% จากเดือน ส.ค.67 จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลง 10.67% จากเดือน ส.ค.67 เพราะผลิตรถยนต์นั่งลดลง 21.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า รวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลง 6.36% จากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 4.11% จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายในปี 2565-2566 ส่งผลให้รถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลง 5.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือน ส.ค.68 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลง 3.01% จากเดือน ก.ค.68 แต่เพิ่มขึ้น 5.38% จากเดือน ส.ค.67 จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้น 26.62% จากปีที่แล้ว ขณะที่รถกระบะขายได้ 10,960 คัน ลดลง 10.92% รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่าสองปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มียอดขาย 399,619 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 แค่ 8 คันจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 9.34 จุด ขายหุ้นใหญ่กดดัน มองตลาดปรับฐานรอฟื้น-จับตารัฐแถลงนโยบายหนุนแรงเก็งกำไร SET ปิดวันนี้ที่ 1,273.20 จุด ลดลง 9.34 จุด (-0.73%) มูลค่าซื้อขาย 40,147.95 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ย่อตัวลงรับแรงขายทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่ แม้ช่วงเช้าดัชนียังมีแรงซื้อ DELTA ช่วยพยุงได้บ้าง มองโมเมนตัม SET ปรับฐานลงมาที่ 1,270 จุดก่อนฟื้นตัว แนวโน้มพรุ่งนี้คาดยังปรับฐานต่อ แนะติดตามการแถลงนโยบายรัฐบาลสัปดาห์หน้า เก็งหนุนแรงเก็งกำไรกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มเกี่ยวข้องมาตรการรัฐ ให้กรอบแนวรับ 1,270 จุด ถัดไป 1,260 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,273.20 จุด ลดลง 9.34 จุด (-0.73%) มูลค่าซื้อขาย 40,147.95 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงและเคลื่อนไหวแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับต่ำสุด 1,272.68 จุด และสูงสุด 1,290.84 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 101 หลักทรัพย์ ลดลง 403 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 149 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.80 แกว่งแคบ ไร้ปัจจัยใหม่ ตลาดรอข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 31.80 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 31.78 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.76-31.88 บาท/ดอลลาร์ วันนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะส่งผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินบาทได้มากนัก ขณะที่สกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสม มีทั้งอ่อนค่า และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ "วันนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ บาทยังแกว่งแคบ ๆ ที่ 31.76-31.88 บาท/ดอลลาร์ ส่วนภูมิภาคเป็นแบบผสม มีทั้งอ่อนค่าและแข็งค่า ส่วนบาทวันนี้ ยังอยู่กลาง ๆ" นักบริหารเงิน ระบุ คืนนี้ ตลาดรอดูข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้น และภาคบริการขั้นต้น เดือนก.ย. รวมทั้งติดตามถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อดูแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.70 31.90 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 141,140 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 141,140 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 63,435 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,927 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,612 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.17% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-3 bps. ในตราสารระยะยาว สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 1,612 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 1,612 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ S&P Global รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51.2 ในเดือนก.ย. จาก 51.0 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เล็กน้อย ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการขั้นต้น สหรัฐฯ เดือนก.ย. ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จาก S&P Global ญี่ปุ่น
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จาก S&P Global ญี่ปุ่น
ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค. สหรัฐฯ
สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ