สหรัฐฯ
เฟดเผยผลสำรวจชี้ชาวอเมริกันกังวลมากขึ้นต่อตลาดแรงงาน ผลการสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ประจำเดือนส.ค.พบว่า ชาวอเมริกันมีความกังวลต่อตลาดแรงงาน ท่ามกลางความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานใหม่ นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่าผู้บริโภคมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสถานะทางการเงินในปัจจุบัน ขณะที่คาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตยังคงทรงตัว ทั้งนี้ ผลการสำรวจบ่งชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากเชื่อว่าการหางานใหม่จะยากขึ้นหากพวกเขาประสบภาวะตกงาน โดยความน่าจะเป็นที่คาดว่าจะหางานใหม่ได้ในกรณีดังกล่าวอยู่ที่ 44.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556 และลดลงจาก 50.7% ในเดือนก.ค. นอกจากนี้ ผู้บริโภคเพิ่มความวิตกเกี่ยวกับการว่างงานในอนาคต เช่นเดียวกับความกังวลต่อความเสี่ยงที่จะตกงาน โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 14.5% ระบุว่ามีโอกาสตกงาน สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 14% แนวโน้มที่ย่ำแย่ในการจ้างงานดังกล่าว ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่สะท้อนถึงปัญหาในตลาดแรงงาน ขณะที่ข้อมูลของรัฐบาลที่เผยแพร่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนของอัตราการขยายตัวของการจ้างงาน พร้อมกับการปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนก่อน ๆ ลงอย่างมาก (อินโฟเควสท์)
"สแตนชาร์ด" คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยแรง 0.5% เดือนนี้ หลังตัวเลขจ้างงานอ่อนแอ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (Standard Chartered) คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาถึง 0.5% ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะปรับลดลงเพียง 0.25% โดยสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปรับเพิ่มน้ำหนักต่อการคาดการณ์หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอในเดือนส.ค. สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดระบุว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนส.ค.ที่อ่อนแอเกินคาดจะเปิดทางให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 0.50% ในการประชุมเดือนนี้ อย่างไรก็ดี สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด คาดว่าเฟดอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมเดือนก.ย. เมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง (อินโฟเควสท์)
ขุนคลังสหรัฐฯ เตือนรัฐบาลอาจต้องคืนเงินมหาศาล หากศาลฎีกาคว่ำภาษีทรัมป์ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับการรับรองจากศาลฎีกาสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่า หากศาลมีคำตัดสินให้เป็นโมฆะ กระทรวงการคลังอาจต้องคืนเงินจำนวนมหาศาลประเทศผู้นำเข้าที่จ่ายภาษีให้กับสหรัฐฯ แล้ว เบสเซนต์ให้สัมภาษณ์ในรายการ "Meet the Press" ของสำนักข่าว NBC เมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ว่า หากคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมาไม่เป็นผลตามที่คาด รัฐบาลอาจต้องคืนเงินราวครึ่งหนึ่งของภาษีที่เรียกเก็บมาแล้ว ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลังอย่างหนัก แต่ก็ย้ำว่า หากศาลมีคำสั่งก็ต้องปฏิบัติตาม เบสเซนต์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากการพิจารณาคดีล่าช้า ยอดภาษีที่เก็บแล้วอาจสูงถึง 7.5 แสนล้านถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แฃะการคืนเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้อาจสร้างส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้ โดยคณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 4 เสียง ตัดสินว่า ผู้นำสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ค.ศ. 1977 โดยศาลได้อนุญาตให้มาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์ยังคงบังคับใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ 14 ต.ค. เพื่อให้รัฐบาลทรัมป์มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ต่อมาในวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ศาลฎีกาเร่งรับคำร้องและกลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่เขาประกาศใช้กับประเทศทั่วโลกนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยปธน.ทรัมป์ได้ยื่นเอกสารต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลพิจารณาการอุทธรณ์ของเขาในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ และขอให้ศาลประกาศคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรในเวลาไม่นานหลังจากนั้น "การชะลอคำตัดสินไปจนถึงเดือนมิ.ย. 2569 อาจมีผลต่อภาษีศุลกากรที่ได้มีการจัดเก็บไปแล้วมูลค่า 7.50 แสนล้านดอลลาร์ - 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการยกเลิกมาตรการเหล่านี้ในภายหลังอาจทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมาก" ปธน.ทรัมป์ระบุในเอกสารดังกล่าว ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ใช้ข้อกฎหมาย IEEPA ในการกำหนดมาตรการภาษีนำเข้าในอัตราสูงต่อประเทศคู่ค้า โดยประกาศให้การขาดดุลของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ เป็นวาระฉุกเฉินของชาติ (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ร้องบ.ต่างชาติจ้างและฝึกแรงงานอเมริกัน หลังบุกจับแรงงานในโรงงานฮุนได ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทต่างชาติที่ลงทุนในสหรัฐฯ จ้างและฝึกแรงงานชาวอเมริกัน พร้อมเคารพกฎหมายด้านคนเข้าเมือง หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บุกจับแรงงานในโรงงานฮุนได มอเตอร์ (Hyundai Motor) ในรัฐจอร์เจีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่า "หลังจากปฏิบัติการตรวจค้นแรงงานต่างชาติที่โรงงานแบตเตอรีฮุนไดในจอร์เจีย ผมขอเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติทุกแห่งที่ลงทุนในสหรัฐฯ เคารพกฎหมายด้านคนเข้าเมืองของเรา" พร้อมเสริมว่า "เรายินดีต้อนรับการลงทุนและเราสนับสนุนให้คุณนำคนเก่งที่มีความสามารถมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกอย่างถูกกฎหมาย … เราขอเพียงให้คุณจ้างและฝึกแรงงานอเมริกัน" ก่อนหน้านี้ ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวว่า จะตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ยืนยันว่าไม่ได้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ นอกจากนี้ เขายังเสนอแนวคิดว่าอาจอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตจากต่างชาติเข้ามาช่วยฝึกแรงงานอเมริกัน รายงานระบุว่า รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังประสานเพื่อนำแรงงานเกาหลีราว 300 คนกลับประเทศ หลังจากที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ควบคุมตัวคนงานราว 475 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีใต้ เมื่อวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) โดยถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (DHS) นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ยังแสดงความเสียใจต่อการจับกุมแรงงาน และการเผยแพร่ภาพและวิดีโอการจับกุมแรงงานเกาหลีหลายร้อยคนที่โรงงาน ที่แสดงภาพแรงงานที่ถูกใส่โซ่ตรวนที่ข้อมือ เอว และข้อเท้า ขณะถูกนำตัวออกไป กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีระบุในแถลงการณ์เมื่อช่วงดึกของวันเสาร์ที่ผ่านมา (6 ก.ย.) ว่า พาร์ค ยุน-จู รองรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับอัลลิสัน ฮุกเกอร์ รองรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายการเมือง โดยกล่าวว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สองประเทศพยายามผลักดันความไว้วางใจและความร่วมมือระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ พาร์ค ยุน-จู ยังได้ขอให้ฮุกเกอร์รับรองว่าจะมีการแก้ไขปัญหานี้อย่างยุติธรรมและรวดเร็ว พร้อมย้ำว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของบริษัทของเราที่ลงทุนในสหรัฐฯ และสิทธิผลประโยชน์ของพลเมืองของเรา ไม่ควรถูกละเมิดอย่างไม่เป็นธรรมในระหว่างการบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 114.09 จุด รับความหวังเฟดหั่นดอกเบี้ยกระตุ้นศก. ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบรอดคอม (Broadcom) ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,514.95 จุด เพิ่มขึ้น 114.09 จุด หรือ +0.25%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,495.15 จุด เพิ่มขึ้น 13.65 จุด หรือ +0.21% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,798.70 จุด เพิ่มขึ้น 98.31 จุด หรือ +0.45% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 39 เซนต์ หลังโอเปกพลัสเพิ่มผลิตเล็กน้อย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียงเล็กน้อยในเดือนต.ค. นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบของรัสเซียเพิ่มเติม ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ หรือ 0.63% ปิดที่ 62.26 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.79% ปิดที่ 66.02 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยหลังจ้างงานซบเซา สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (8 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.32% แตะที่ระดับ 97.454 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $24.10 ทำนิวไฮ เก็งเฟดหั่นดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เนื่องจากข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 24.10 ดอลลาร์ หรือ 0.66% ปิดที่ 3,677.40 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง หลังเผยจ้างงานอ่อนแอ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ณ เวลา 20.14 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.061% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.732% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ส่งออกเยอรมนีเดือนก.ค.หดตัวสวนทางคาดการณ์ แต่ภาคอุตสาหกรรมยังโตแกร่ง สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยในวันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ยอดส่งออกหดตัวลง 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.1% อย่างไรก็ดี ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับขยายตัว 1.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.0% ส่วนยอดนำเข้าลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้เยอรมนีมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 1.47 หมื่นล้านยูโร (1.723 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนก.ค. ซึ่งลดลงจากระดับ 1.54 หมื่นล้านยูโรในเดือนมิ.ย. และ 1.77 หมื่นล้านยูโรในเดือนก.ค.ปีที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
วิกฤตการเมืองฝรั่งเศสร้อนระอุ หลังนายกฯ "ฟรองซัวส์ บายรู" จ่อเผชิญมติไม่ไว้วางใจ สื่อต่างประเทศรายงานว่า รัฐสภาฝรั่งเศสคาดการณ์ว่าจะลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรู ออกจากตำแหน่งในวันจันทร์นี้ (8 ก.ย.) หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 9 เดือน ซึ่งจะผลักดันให้ฝรั่งเศสชาติสมาชิกคนสำคัญของสหภาพยุโรปเข้าสู่ภาวะสุญญากาศทางการเมืองครั้งใหม่ และสร้างความหนักใจอย่างยิ่งให้แก่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นายกฯ บายรูตัดสินใจเสนอญัตติขอความไว้วางใจในรัฐบาลของตนเอง ซึ่งทำเอาแม้แต่พันธมิตรของเขาเองก็ไม่ทันตั้งตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อยุติภาวะชะงักงันที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนเกี่ยวกับแผนงบประมาณรัดเข็มขัด ที่ตั้งเป้าจะลดรายจ่ายเกือบ 4.4 หมื่นล้านยูโร (5.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อลดภาระหนี้สินของประเทศ พรรคฝ่ายค้านทุกพรรคต่างแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะลงมติคัดค้านรัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายกฯ บายรู ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรวบรวมเสียงสนับสนุนได้เพียงพอ เนื่องจากต้องการเสียงข้างมากจากสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 577 คน ตลอดการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นายกฯ บายรูไม่ได้แสดงท่าทีว่าเขาคาดหวังจะรอดพ้นจากมติครั้งนี้ไปได้ ตรงกันข้าม เขากลับตั้งคำถามว่า "ประเทศของเราเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่แล้วหรือยัง" หากการลงมติเป็นไปตามคาด บายรูจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสคนที่สองติดต่อกันที่ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยมติไม่ไว้วางใจ ต่อจากมิเชล บาร์เนียร์ ที่ถูกถอดถอนไปเมื่อเดือนธ.ค. ปีก่อนหลังอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน โดยบายรูถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ภายใต้การบริหารของปธน.มาครงนับตั้งแต่ปี 2560 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ตลาดปรับตัวรับการลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ ฝรั่งเศส ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) ขณะที่ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนปรับตัวรับการลงมติไม่ไว้วางใจซึ่งนำไปสู่การปลดนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของฝรั่งเศสในรอบ 3 ปี ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 552.04 จุด เพิ่มขึ้น 2.83 จุด หรือ +0.52% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,734.84 จุด เพิ่มขึ้น 60.06 จุด หรือ +0.78%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,807.13 จุด เพิ่มขึ้น 210.15 จุด หรือ +0.89% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,221.44 จุด เพิ่มขึ้น 13.23 จุด หรือ +0.14% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 13.23 จุด กลุ่มอุตสาหกรรม-แบงก์หนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มธนาคาร ขณะที่การปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มสินค้าบริโภคพื้นฐานและเฮลท์แคร์ถ่วงตลาด ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,221.44 จุด เพิ่มขึ้น 13.23 จุด หรือ +0.14% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นปรับเพิ่มประมาณการ GDP Q2/68 เป็น 2.2% หลังการบริโภคภาคเอกชนแกร่ง สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (เดือนเม.ย.-มิ.ย.) ขยายตัว 2.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าขยายตัวเพียง 1% โดยได้แรงหนุนจากการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนที่แข็งแกร่งเกินคาด สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การเปิดเผย GDP ล่าสุดบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการขยายตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 แม้ว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ตาม ข้อมูลจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่า การอุปโภคบริโภคในภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลข GDP นั้น ปรับตัวขึ้น 0.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งดีกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น 0.2% โดยได้ปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายในการรับประทานอาหารนอกบ้าน และการซื้อซอฟต์แวร์เกม ส่วนการใช้จ่ายทางธุรกิจปรับตัวขึ้น 0.6% ลดลงจากการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น 1.3% ขณะที่การส่งออกสุทธิปรับตัวขึ้น 2% ไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการเบื้องต้น (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นเผยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.68 ล้านล้านเยนในเดือนก.ค. หดตัว 19.1% จากปีก่อน กระทรวงการคลังญี่ปุ่นแถลงวันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดประจำเดือนก.ค. ยังคงเกินดุลถึง 2.68 ล้านล้านเยน (1.81 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) แม้ตัวเลขดังกล่าวจะหดตัวลง 19.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อันเป็นผลพวงจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นจนบั่นทอนผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างแดน ประกอบกับภาคการส่งออกที่แผ่วลง สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด พบว่าดุลการค้าสินค้ายังคงขาดดุลที่ 1.894 แสนล้านเยน โดยมูลค่าการส่งออกซบเซาลง 4.9% เหลือ 9.01 ล้านล้านเยน โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และเหล็กกล้าที่ชะลอตัว ขณะที่ฝั่งนำเข้าก็ลดลง 7.4% อยู่ที่ 9.20 ล้านล้านเยน อานิสงส์จากราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง สำหรับดุลรายได้ขั้นปฐมภูมิ ซึ่งสะท้อนกำไรที่ญี่ปุ่นทำได้จากการลงทุนในต่างประเทศนั้น เกินดุลถึง 4.07 ล้านล้านเยน แต่ก็ลดลง 11.6% จากพิษเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นในเดือนดังกล่าว ส่วนดุลบริการยังคงเป็นตัวฉุด โดยขาดดุลเพิ่มจาก 5.81 แสนล้านเยน เป็น 6.95 แสนล้านเยน หลังค่าใช้จ่ายด้านทรัพย์สินทางปัญญาสูงขึ้น ขณะที่ดุลการท่องเที่ยวเกินดุลลดลงเล็กน้อยเหลือ 5.29 แสนล้านเยน สะท้อนว่าเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงมากกว่าที่คนญี่ปุ่นขนไปใช้จ่ายในต่างประเทศ เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังยอมรับว่า "เป็นการยาก" ที่จะประเมินผลกระทบจากกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แต่ชี้ว่า ภาษีของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิได้กัดเซาะมูลค่าการส่งออกยานยนต์และเหล็กกล้าของญี่ปุ่นไปอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ในเดือนก.ค. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าญี่ปุ่นราว 3.44 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.4% ขณะที่ชาวญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศ 1.21 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน (อินโฟเควสท์)
"โทชิมิตสึ โมเตกิ" อดีตรมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น เตรียมลงชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค LDP โทชิมิตสึ โมเตกิ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น มีแผนลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) หลังนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 ก.ย.) อิชิบะตัดสินใจลาออกท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้เขาแสดงความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งวุฒิสภาเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาล สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า พรรครัฐบาลพ่ายแพ้อย่างยับเยินในสภาสูงเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่สูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งในปี 2567 ส่งผลให้พรรครัฐบาลกลายเป็นเสียงข้างน้อยในทั้งสองสภา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่การก่อตั้งพรรคในปี 2498 การประกาศลาออกของอิชิบะนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาหารือกับอดีตนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ชินจิโร โคอิซูมิ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนใกล้ชิด โดยคาดว่าทั้งคู่แนะนำให้เขาหลีกเลี่ยงความแตกแยกภายในพรรค ในการแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ อิชิบะระบุว่า เขาขอรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของพรรค LDP ในการเลือกตั้งวุฒิสภา พร้อมยืนยันว่าการลาออกครั้งนี้เป็นไปเพื่อหลีกเลี่ยงความแตกแยกภายในพรรคเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคล่วงหน้า ทั้งนี้ อิชิบะกล่าวว่า เขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของประชาชนได้ ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่ากลยุทธ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเน้นการเพิ่มค่าแรง ได้ออกดอกออกผลแล้ว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่ง 625.06 จุด ขานรับ "อิชิบะ" ลาออก ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สามในวันนี้ (8 ก.ย.) หลังจากนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งจุดประกายความหวังในหมู่นักลงทุนว่าจะมีการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามาพลิกฟื้นประเทศ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 43,643.81 จุด เพิ่มขึ้น 625.06 จุด หรือ +1.45% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนส่งออกเดือนส.ค.โตต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เหตุดีมานด์ต่างประเทศชะลอตัว สำนักงานศุลกากรจีนรายงานในวันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ยอดส่งออกปรับตัวขึ้น 4.4% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.5% เนื่องจากอุปสงค์ในต่างประเทศอ่อนแอลง นอกจากนี้ ราคาที่ปรับตัวลงได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินค้าส่งออก ส่วนยอดนำเข้าเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 1.3% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้า 1.02 แสนล้านดอลลาร์ ยอดนำเข้าของจีนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 หลังจากที่การนำเข้ากลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในเดือนมิ.ย. แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ซบเซา เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา จีนและสหรัฐฯ ได้ตกลงขยายเวลาพักรบด้านการค้าออกไปอีก 90 วัน ซึ่งทำให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าจีนยังคงอยู่ที่ประมาณ 55% และอัตราภาษีนำเข้าที่จีนเรียกเก็บจากสินค้าสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ 30% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 14.33 จุด รับ PBOC เล็งอัดฉีดเงินเข้าระบบ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันนี้ (8 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ให้คำมั่นว่าจะอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านหยวนเข้าสู่ระบบธนาคาร ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,826.84 จุด เพิ่มขึ้น 14.33 จุด หรือ +0.38% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 215.93 จุด รับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (8 ก.ย.) หลังข้อมูลบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ อยู่ในภาวะอ่อนแอ ส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,633.91 จุด เพิ่มขึ้น 215.93 จุด หรือ +0.85% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
S&P Global คาดราคาน้ำมันเบรนท์ร่วงแตะ 55 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ หากอุปทานล้นตลาด เดฟ เอิร์นสเบอร์เกอร์ ประธานร่วมของบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอล คอมโมดิตี อินไซต์ส (S&P Global Commodity Insights) คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันเบรนท์จะลดลงสู่ระดับประมาณ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล ภายในสิ้นปีนี้ เดฟแสดงความเห็นดังกล่าวในการประชุมปิโตรเลียม เอเชีย แปซิฟิก (Asia Pacific Petroleum Conference) ในวันนี้ (8 ก.ย.) โดยกล่าวว่า "หากเกิดภาวะอุปทานล้นตลาดในปริมาณมาก หากน้ำมันของรัสเซียยังคงไหลเข้าสู่ตลาด หากการเพิ่มน้ำมันในสต็อกหยุดลงและส่วนหนึ่งของน้ำมันเหล่านี้กลายเป็นสต็อกน้ำมันเชิงพาณิชย์ และหากเกิดภาวะ Contango เราก็อาจเห็นราคาน้ำมันร่วงลงต่ำกว่านั้น" ทั้งนี้ ภาวะ Contango หมายถึงราคาน้ำมันในตลาดส่งมอบล่วงหน้าพุ่งสูงกว่าราคาในตลาดสปอต ซึ่งบ่งชี้ถึงปริมาณน้ำมันจำนวนมากในตลาด สัญญาน้ำมันเบรนท์ปรับตัวขึ้น 0.5% ในวันนี้ สู่ระดับ 65.84 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนต.ค. ในการประชุมเมื่อวานนี้ (7 ก.ย.) ซึ่งน้อยกว่าในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากคาดว่าความต้องการทั่วโลกจะอ่อนแอลง ทั้งนี้ โอเปกพลัสได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิต 547,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ย., เพิ่มกำลังการผลิต 548,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค. และปรับเพิ่มกำลังการผลิต 411,000 บาร์เรล/วันทั้งในเดือนพ.ค., เดือนมิ.ย. และเดือนก.ค. ก่อนหน้านี้ โอเปกพลัสได้ปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีเพื่อพยุงราคาน้ำมันในตลาด แต่ในปีนี้ โอเปกพลัสได้เริ่มเปลี่ยนแปลงท่าทีเพื่อกลับมาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดอีกครั้ง โดยได้เริ่มปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนเม.ย. ภายใต้แรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ได้เรียกร้องให้โอเปกปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันในตลาด (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ส่งสัญญาณเตรียมคว่ำบาตรรัสเซียชุดใหม่ หลังเจรจายูเครนไม่คืบ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวในวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ว่า ทำเนียบขาวพร้อมที่จะดำเนินการคว่ำบาตรรัสเซียระยะที่ 2 ท่ามกลางการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติวิกฤตยูเครนที่ยังคงชะงักงัน ทรัมป์ยืนยันกับนักข่าวว่า เขาพร้อมที่จะเดินหน้ามาตรการคว่ำบาตรรอบที่สองกับรัสเซียแล้ว แต่ไม่ได้ขยายความเพิ่มเติมแต่อย่างใด สื่อต่างชาติรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงว่า ทรัมป์เริ่มมองว่าการเป็นคนกลางยุติความขัดแย้งในเร็ว ๆ นี้ หรือการที่ผู้นำรัสเซียและยูเครนจะได้เจอกันตัวต่อตัวนั้นเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังรัสเซียเปิดฉากโจมตีทางอากาศระลอกใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เปิดฉากสงคราม ถล่มยูเครนอย่างหนักหน่วงตลอดคืน ส่งผลให้เปลวเพลิงลุกไหม้เผาอาคารที่ทำการรัฐบาลใจกลางกรุงเคียฟ โดยทางการยูเครนเปิดเผยเมื่อวานนี้ (7 ก.ย.) ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 4 ราย ในจำนวนนี้มีทารกรวมอยู่ด้วย สร้างความเสียหายยับเยินทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ด้านยูเลีย สวืยรืยเดนโค นายกรัฐมนตรียูเครน ยืนยันว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทำเนียบรัฐบาลถูกโจมตี ถือเป็นการโจมตีเชิงสัญลักษณ์ที่ท้าทายใจกลางอำนาจซึ่งมีการป้องกันอย่างแน่นหนาที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง การโจมตีครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำภาพความสิ้นหวังทั้งในยูเครนและหมู่พันธมิตรว่าสงครามยังไม่มีทีท่าจะยุติลงโดยง่าย ในขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยังคงเมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องให้หยุดยิง และยิ่งได้ใจจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับจีน (อินโฟเควสท์)
เวเนซุเอลายกระดับความปลอดภัยรัฐชายฝั่ง หลังสหรัฐฯ ส่งกองเรือประชิดทะเลแคริบเบียน เวเนซุเอลาเตรียมยกระดับความปลอดภัยให้กับรัฐชายฝั่ง 4 แห่ง และเกาะอีก 1 แห่ง ท่ามกลางความตึงเครียดที่ร้อนระอุขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ส่งกองกำลังมาประจำการในทะเลแคริบเบียน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของกองกำลังเวเนซุเอลาเกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดระหว่างเวเนซุเอลาและสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ โดยสหรัฐฯ ได้ส่งเรือรบอย่างน้อย 3 ลำและทหาร 4,000 นายไปทะเลแคริบเบียนตอนใต้ในเดือนส.ค. เพื่อปราบปรามแก๊งค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนี้ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังได้โจมตีเรือที่อ้างว่ากำลังขนส่งยาเสพติดจากเวเนซุเอลา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 รายในช่วงต้นเดือนก.ย. วลาดิเมียร์ ปาดริโน โลเปซ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเวเนซุเอลาระบุในวิดีโอที่โพสต์มาจากบังเกอร์แห่งหนึ่งผ่านบัญชีอินสตาแกรมของเขาว่า ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ของเวนาซุเอลาสั่งระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่พร้อมปฏิบัติการไปยังรัฐซูเลีย, ฟัลกอน, นิววา เอสปาร์ตา, ซูเกร และเดลตา อามาคูโร เวเนซุเอลาได้ส่งเครื่องบินเจ็ตอย่างน้อยสองลำไปยังน่านน้ำสากล ซึ่งอยู่ในระยะของเรือรบสหรัฐฯ อย่างน้อยหนึ่งลำ โดยแม้ว่าเวเนซุเอลาจะยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการถึงการเคลื่อนตัวผ่านน่านฟ้าดังกล่าว แต่ปาดริโนกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ว่า กองทัพอากาศเวเนซุเอลากำลังปกป้องน่านฟ้าเวเนซุเอลาและลาดตระเวนในพื้นที่ดังกล่าว และเสริมว่า กองทัพเรือเวเนซุเอลายังคงประจำการตามแนวชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแอตแลนติกต่อไป ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า หากเครื่องบินของเวเนซุเอลาเป็นอันตรายต่อเรือของสหรัฐฯ เครื่องบินเหล่านั้นจะถูกยิงตก (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex บวกเพียง 76 จุด แรงขายช่วงท้ายถ่วงตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นเพียง 76 จุด โดยได้รับผลกระทบจากแรงขายในช่วงท้ายตลาด หลังดัชนีดีดตัวขึ้นในช่วงแรก ขานรับคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,787.30 บวก 76.54 จุด หรือ 0.09% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ธปท.ชี้บาทแข็งนำสกุลภูมิภาค เล็งหาช่องลดผลกระทบจากราคาทองต่อค่าเงิน น.ส.พิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% อยู่ในกลุ่มนำเงินสกุลเงินภูมิภาค โดยการเคลื่อนไหวแข็งค่าของสกุลเงินภูมิภาค และค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ จากการที่ผู้ร่วมตลาดคาดการณ์ว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่เงินบาทได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ผู้ช่วยผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า ในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง โดย ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ ธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการในการลดผลกระทบจากราคาทองคำต่อค่าเงินบาท ทั้งนี้ ภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน (อินโฟเควสท์)
"คนละครึ่ง" มาแน่! ปลัดคลัง ขานรับพร้อมเริ่มโครงการได้เร็วสุด ต.ค.นี้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย เตรียมปัดฝุ่นนำโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนว่า หากรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนลงมา ก็พร้อมที่จะเดินหน้าโครงการได้เร็วสุดตั้งแต่เดือนต.ค.68 เนื่องจากระบบมีความพร้อมอยู่แล้ว โดยดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาด้านเทคนิคแต่อย่างใด ขณะที่ในเรื่องของงบประมาณก็เชื่อว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน โดยหากเริ่มโครงการในวันที่ 1 ต.ค.68 ก็จะใช้งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ได้ทันที ขณะเดียวกัน ยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่อีกราว 2.5 หมื่นล้านบาท ที่ก่อนหน้านี้โยกมาไว้ในงบกลาง ก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ และถือว่าตรงตามวัตถุประสงค์ด้วย สำหรับรายละเอียดการดำเนินโครงการคงยังไม่สามารถชี้แจงไปก่อนได้ เพราะต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาล แต่ในเชิงเทคนิค และงบประมาณ ยืนยันได้ว่ามีความพร้อมที่จะดำเนินการอย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดว่าจะเป็นการใช้จ่ายแบบ 50:50 หรือ 60:40 หรือ 70:30 นั้น ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล แต่ในแง่ของแพลตฟอร์มได้มีการสร้างไว้ให้รองรับการใช้จ่ายในรูปแบบ Co-Pay ที่จะเป็นสัดส่วนเท่าไรก็ได้ เพียงแต่ขณะนี้อาจจะเร็วไปที่จะตอบ เนื่องจากยังสามารถปรับรายละเอียดได้อีก เช่น ร้านค้า และประเภทสินค้า ที่จะเข้าร่วมโครงการได้ และจะเข้าร่วมในสัดส่วนเท่าไร รัฐบาลต้องการจะให้ใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไร ขณะที่ผลต่อระบบเศรษฐกิจนั้น นายลวรณ มองว่า ยังเร็วไปที่จะประเมินในตอนนี้ เพราะยังต้องพิจารณาจากรายละเอียดของโครงการก่อน เช่น ขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการด้วยว่ารัฐบาลจะใส่เม็ดเงินเข้าไปเท่าไร และให้ใช้จ่ายต่อวันเท่าไร (อินโฟเควสท์)
มติ สว. เอกฉันท์รับหลักการ "ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ" หนุนเดินหน้ารถไฟฟ้า 20 บาท ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติเอกฉันท์ 155 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ... จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งต้องมีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่ที่ร่าง พ.ร.บ.มาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ สำหรับการอภิปรายของ สว. มีทิศทางสนับสนุนการออกกฎหมายดังกล่าว พร้อมเสนอแนะให้นำการดำเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ มาพิจารณากำหนดเป็นกฎหมาย เพื่อให้การปฏิบัติเกิดประโยชน์กับประชาชน และมีประสิทธิภาพต่อการบริการ และยังเสนอแนะให้เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในการใช้บริการ เช่น การจ่ายเงินผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เป็นต้น ด้าน นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว. อภิปรายสนับสนุนและเสนอแนะว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสายที่รัฐบาลชุดที่แล้วประกาศว่าจะทำให้ได้ภายในเดือนพ.ย.นั้น ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง แต่เมื่อพิจารณาแล้วอาจทำไม่ทัน และภายใน 4 เดือนของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตนกังวลว่าจะทำทันหรือไม่ หากทำไม่ทันต้องยืดเป็นการเลือกตั้งสมัยหน้า เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาประสิทธิภาพของการทำกฎหมาย รวมถึงไม่ทำให้กฎหมายที่ต้องใช้ร่วมกันกับระบบตั๋วร่วม 3 ฉบับ จึงควรเป็น กมธ.ชุดเดียวกัน เพื่อให้ไม่มีปัญหาต่อการปฏิบัติ และทำนโยบาย 20 บาทตลอดสายทำได้จริง (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 1.31 จุด เก็งกำไรกลุ่มค้าปลีกรับ"คนละครึ่ง"สลับขาย Big Cap จากแรงกดดันบาทแข็งค่า SET ปิดวันนี้ที่ 1,266.11 จุด เพิ่มขึ้น 1.31 จุด (+0.10%) มูลค่าซื้อขาย 54,546.06 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวขึ้นดีก่อนย่อตัว เม็ดเงินไหลเข้ากลุ่มค้าปลีกรับความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ "คนละครึ่ง" สลับแรงขายหุ้นใหญ่กดดันตลาด โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และส่งออกรับผลกระทบบาทแข็งค่า แนวโน้มพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งในกรอบ เกาะติดเงินเฟ้อสหรัฐและโฉมหน้า ครม. ให้กรอบแนวรับ 1,255 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,266.11 จุด เพิ่มขึ้น 1.31 จุด (+0.10%) มูลค่าซื้อขาย 54,546.06 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ดัชนีปรับขึ้นก่อนย่อตัว โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,264.79 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,276.15 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 278 หลักทรัพย์ ลดลง 195 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 182 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 77,480 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 77,480 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 14,410 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ ซื้อสุทธิ 4,024 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 4,145 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.11% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 4,143 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 4,145 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 2 ล้านบาท ด้านปัจจัยต่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 75,000 ตำแหน่ง ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 87.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ วันที่ 16-17 ก.ย. นี้ ด้านรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของญี่ปุ่น (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.2% (YoY) ดีกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าขยายตัวเพียง 1% จากการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนที่แข็งแกร่งเกินคาด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิดหลุด 32.00 มาที่ 31.89 แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปีนำภูมิภาค นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 31.89 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่องจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.11 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80 - 32.12 บาท/ดอลลาร์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าเนื่องจากตลาดคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ขณะที่ราคาทองในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีเงินทุนระหว่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรกว่า 4 พันล้านบาท "บาทปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่องจากหลายปัจจัยหนุน ส่งผลให้ทำนิวโลว์ในรอบ 4 ปี และแข็งค่าสุดในภูมิภาค" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 31.75 - 32.00 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนส.ค.จากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) สหรัฐฯ