สหรัฐฯ
ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐขยายตัวในเดือนส.ค. เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 53.0 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2565 จากระดับ 49.8 ในเดือนก.ค. ดัชนี PMI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นมากขึ้น (อินโฟเควสท์)
ISM เผยดัชนีภาคการผลิตสหรัฐหดตัวเดือนที่ 6 ในส.ค. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 48.7 ในเดือนส.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 49.0 จากระดับ 48.0 ในเดือนก.ค. ดัชนียังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐ โดยเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของการจ้างงาน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าคำสั่งซื้อใหม่ปรับตัวขึ้น (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนมิ.ย. การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง เมื่อเทียบรายปี การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 2.8% ในเดือนก.ค. การใช้จ่ายในโครงการของภาคเอกชนลดลง 0.2% ส่วนการใช้จ่ายในโครงการภาคสาธารณะเพิ่มขึ้น 0.3% ทั้งนี้ การใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น 3.2% ส่วนการใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลในมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มขึ้น 0.1% (อินโฟเควสท์)
จับตา "ทรัมป์" ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านที่อยู่อาศัย แก้ปัญหาราคาบ้านแพง นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะประกาศภาวะฉุกเฉินด้านที่อยู่อาศัยระดับชาติ เพื่อแก้ปัญหาราคาที่อยู่อาศัยในระดับสูง และปริมาณบ้านที่มีอยู่อย่างจำกัดในตลาด "เราอาจประกาศภาวะฉุกเฉินด้านที่อยู่อาศัยระดับชาติในช่วงฤดูใบไม้ร่วง" นายเบสเซนต์กล่าวต่อนิตยสาร Washington Examiner นายเบสเซนต์กล่าวย้ำว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะช่วยให้ราคาที่อยู่อาศัยลดลงได้ แต่รัฐบาลอาจดำเนินมาตรการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มปริมาณที่อยู่อาศัย และลดต้นทุนการผลิตบ้าน "เรากำลังพิจารณาว่าจะทำอะไรได้บ้าง และเราไม่ต้องการก้าวก่ายในเรื่องของรัฐบาลระดับมลรัฐ เคาน์ตี และท้องถิ่น ผมคิดว่าทุกทางเลือกได้วางอยู่บนโต๊ะ" นายเบสเซนต์กล่าว อย่างไรก็ดี นายเบสเซนต์ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับคำสั่งฝ่ายบริหารที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะบังคับใช้ หากทำเนียบขาวประกาศภาวะฉุกเฉินด้านที่อยู่อาศัย แต่เขาบอกกับ Examiner ว่า เจ้าหน้าที่กำลังพิจารณาตั้งมาตรฐานเกี่ยวกับการก่อสร้างและการแบ่งโซนในระดับท้องถิ่น รวมทั้งการลดต้นทุนของการปิดการขาย นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์อาจพิจารณายกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับวัสดุก่อสร้างบางประเภทเพื่อลดต้นทุนในการก่อสร้าง โดยเฉพาะราคาไม้แปรรูปที่สหรัฐต้องนำเข้าจากแคนาดาเป็นจำนวนมาก (อินโฟเควสท์)
สหรัฐป่วน! กูรูเตือนรัฐบาลอาจต้องคืนเงินภาษีทรัมป์ตามคำสั่งศาล คำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐมีคำวินิจฉัยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ "มิชอบด้วยกฎหมาย" ทั้งนี้ ศาลตัดสินว่า มีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่มีอำนาจในการกำหนดการจัดเก็บภาษีในวงกว้าง โดยระบุว่า "อำนาจหลักของสภาคองเกรสในการจัดเก็บภาษี เช่น ภาษีศุลกากรนั้น เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงฝ่ายเดียว" ด้านปธน.ทรัมป์ระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวมีสาเหตุทางการเมือง และเขาจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาสหรัฐ การตัดสินของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ นายเอ็ด มิลส์ จากบริษัท Raymond James ระบุในรายงานว่า "หากคำตัดสินนี้มีผลบังคับใช้จริง จะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เก็บไปแล้ว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น" ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์แสดงความยินดีที่เงินจากการเก็บภาษีศุลกากรกำลังหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
กองทุนเฮดจ์ชะลอซื้อหุ้นสหรัฐฯ รับมือแรงขาย-หลายปัจจัยเสี่ยงในตลาด กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนก.ย. ซึ่งมักเป็นเดือนที่ตลาดไม่สดใส แม้มีความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กองทุนเหล่านี้ขายสุทธิหุ้นในเดือนส.ค. และข้อมูลของ Lipper ยังระบุว่า นักลงทุนทั่วไปก็ขายหุ้นมากกว่าที่ซื้อเช่นกัน แม้ดัชนีหุ้นโลกของ MSCI และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ตลาดยังมีความเปราะบางต่อแรงขายอย่างรุนแรง ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าร่วมในการปรับตัวขึ้นล่าสุดของตลาด เนื่องจากยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุน ข้อมูลของ Goldman Sachs ระบุว่า การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ลดลงอีกครั้งในช่วงปลายเดือนส.ค. หลังจากลดลงอย่างมากก่อนหน้านี้ แม้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ในเดือนส.ค. และดัชนีหุ้นโลก MSCI ใกล้ระดับสูงสุด แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงขายหุ้นต่อไป Morgan Stanley ระบุว่าการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นลดลง 1% ในสหรัฐฯ และยุโรปในสัปดาห์ก่อน แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงชะลอตัว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนก.ย. ประมาณครึ่งหนึ่งของช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายไม่สามารถซื้อหุ้นคืนในเดือนนี้ นักวิเคราะห์จาก Erlen Capital Management ชี้ว่าขีดจำกัดความเสี่ยงของกองทุนเฮดจ์ฟันด์เชิงระบบอัตโนมัติอาจทำให้พวกเขาไม่สามารถซื้อหุ้นในช่วงราคาลดลงได้ตามปกติ โดยฤดูใบไม้ร่วงมักทำให้ความผันผวนเพิ่มขึ้นและกลยุทธ์เชิงระบบอัตโนมัติอยู่ในระดับสูง ตลาดจึงมีความสามารถในการดูดซับแรงขายน้อยกว่าปกติ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 249.07 จุด กังวลมาตรการภาษีทรัมป์ไม่แน่นอน ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (2 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,295.81 จุด ลดลง 249.07 จุด หรือ -0.55%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,415.54 จุด ลดลง 44.72 จุด หรือ -0.69% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,279.63 จุด ลดลง 175.92 จุด หรือ -0.82% คำวินิจฉัยที่ไม่เป็นเอกฉันท์ของศาลอุทธรณ์ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุน โดยดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 6.5% ปิดที่ระดับ 17.17 หลังจากที่พุ่งขึ้นกว่า 25% แตะระดับ 19.26 ในระหว่างวัน หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 1.74% โดยถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ค. ขณะที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง 1.06% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก $1.58 รับข่าวสหรัฐฯ คว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันอังคาร (2 ก.ย.) หลังจากสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรที่มุ่งเป้าไปที่รายได้จากน้ำมันของอิหร่าน ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันอาทิตย์นี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 2.47% ปิดที่ 65.59 ดอลลาร์ /บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 99 เซนต์ หรือ 1.45% ปิดที่ 69.14 ดอลลาร์/บาร์เรล กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรเครือข่ายบริษัทขนส่งและเรือที่นำโดยนักธุรกิจเชื้อสายอิรัก ซึ่งเครือข่ายบริษัทดังกล่าวได้ลักลอบค้าน้ำมันอิหร่านโดยสวมรอยว่าเป็นน้ำมันอิรัก โดยมาตรการดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงสร้างแรงกดดันต่ออิหร่านหลังจากการเจรจาด้านนิวเคลียร์หยุดชะงักลง (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่าตามทิศทางบอนด์ยีลด์ จับตาจ้างงานสหรัฐฯ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (2 ก.ย.) โดยปรับตัวตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.69% แตะที่ระดับ 98.382 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 148.28 เยน จากระดับ 147.22 เยนในวันศุกร์ (29 ส.ค.) ขณะเดียวกันก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8038 ฟรังก์ จากระดับ 0.8010 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3780 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3752 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1645 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1708 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3386 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3544 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $76.10 ทำนิวไฮ รับคาดการณ์เฟดหั่นดบ.เดือนนี้ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันอังคาร (2 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำอย่างคึกคัก ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 76.10 ดอลลาร์ หรือ 2.16% ปิดที่ 3,592.20 ดอลลาร์/ออนซ์ นักวิเคราะห์ด้านโลหะมีค่าจาก Standard Chartered Bank กล่าวว่า ตลาดทองคำกำลังเข้าสู่ช่วงที่ความต้องการซื้อสูงตามฤดูกาล และเมื่อพิจารณาถึงการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อไป (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ 30 ปีจ่อพุ่งทะลุ 5% ผวาสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีทรัมป์หลายพันล้านดอลลาร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นจ่อทะลุระดับ 5% ท่ามกลางความกังวลที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ ณ เวลา 18.44 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.287% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.977% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
เยอรมนีจี้ EU ควบคุมการส่งออกเศษทองแดงไปจีน หวั่นกระทบอุตสาหกรรมภูมิภาค คาเทอรินา ไรเชอ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี เรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) เร่งออกมาตรการควบคุมการไหลออกของเศษทองแดงไปยังจีน หลังโรงถลุงโลหะรายใหญ่ใน EU ประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ไรเชอเผยระหว่างการประชุมที่กรุงเบอร์ลินเมื่อวันจันทร์ (1 ก.ย.) ว่า จีนกว้านซื้อเศษทองแดงจากตลาดในปริมาณมาก ทำให้โรงถลุงเยอรมนีแทบไม่มีวัตถุดิบเหลืออยู่เลย พร้อมเรียกร้องให้มีนโยบายระดับภูมิภาคป้องกันไม่ให้จีนประมูลแย่งเศษโลหะ และเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจยุโรป ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ จีนนำเข้าเศษทองแดงจากชาติสมาชิก EU ราว 204,000 ตัน เพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบรายปี แม้คิดเป็นเพียง 15% ของการนำเข้ารวมทั้งหมด แต่ข้อมูลพบว่า ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จีนเพิ่มการซื้อเศษทองแดงต่อเนื่อง เนื่องจากโรงถลุงภายในประเทศขยายกำลังการผลิตและต้นทุนแร่ทองแดงสูงขึ้น และปีนี้จีนเริ่มหาซัพพลายจากหลายประเทศมากขึ้น หลังการส่งออกจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งทองแดงใหญ่ที่สุด ลดลงอย่างมาก ขณะเดียวกัน ไรเชอยังเสนอให้ EU ผลักดันการลงทุนขุดแร่ลิเทียมและแร่หายากในภูมิภาค ทั้งนี้ กระแสความกังวลเกี่ยวกับการส่งออกวัตถุดิบไปจีน สะท้อนถึงการเมืองที่เข้ามาแทรกในห่วงโซ่อุปทานสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า ขณะที่หาก EU เดินหน้าจำกัดการส่งเศษทองแดง ก็อาจยิ่งเพิ่มความตึงเครียดทางการค้ากับจีน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ หลังบอนด์ยีลด์พุ่งกดดันตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (2 ก.ย.) โดยอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน หลังเผชิญแรงขายจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแรงกดดันด้านการคลังของประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 543.17 จุด ลดลง 8.26 จุด หรือ -1.50% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,654.25 จุด ลดลง 53.65 จุด หรือ -0.70%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,487.33 จุด ลดลง 550.00 จุด หรือ -2.29% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,116.69 จุด ลดลง 79.65 จุด หรือ -0.87% หุ้นเกือบทุกกลุ่มในดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลง ยกเว้นเพียงกลุ่มสินค้าหรูหรา โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราปรับตัวขึ้น 0.5% หลังจากธนาคาร HSBC ได้ปรับคำแนะนำหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านแฟชั่นอย่าง Kering และ LVMH จากระดับ "ถือ" เป็น "ซื้อ" ส่งผลให้หุ้น Kering พุ่งขึ้น 3.8% และหุ้น LVMH บวก 1.8% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 79.65 จุด กลุ่มแบงก์-อุตสาหกรรมฉุดตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันอังคาร (2 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย, กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสาธารณูปโภค ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนเกี่ยวกับฐานะการคลังของประเทศ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ 9,116.69 จุด ลดลง 79.65 จุด หรือ -0.87% ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีของอังกฤษพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 27 ปี ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงกว่า 1.5% ท่ามกลางความวิตกของนักลงทุนต่อความสามารถของรัฐบาลอังกฤษในการควบคุมด้านการคลัง หุ้นธนาคารรายใหญ่ร่วงลงอีกครั้ง โดยหุ้น NatWest, Barclays และ Lloyds ร่วงลงราว 2% หลังจากสถาบันวิจัยเสนอแนวคิดให้เก็บภาษีจากภาคธนาคารเพื่อเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลอังกฤษ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง โดยหุ้น Segro ดิ่งลง 3.9% ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลงด้วย โดยหุ้น SSE ร่วง 3.7% หุ้นบริษัทประกัน อาทิ Legal & General และ Phoenix ร่วงลงมากกว่า 4% หุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น Tesco, M&S และ British American Tobacco ก็ปรับตัวลงเช่นกัน หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการร่วงลง โดยหุ้น IAG เจ้าของ British Airways ร่วง 3.3% และหุ้น Whitbread ร่วง 4.5%(อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ราคาข้าวญี่ปุ่นลดลงครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ หลังรัฐระบายข้าวจากคลังสำรองมากขึ้น กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ราคาข้าวเฉลี่ยที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศอยู่ที่ 3,776 เยน ต่อ 5 กิโลกรัม ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 ส.ค. ลดลง 28 เยนจากสัปดาห์ก่อนหน้า และลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงฯ ระบุว่า ราคาข้าวลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลจำหน่ายข้าวจากคลังสำรองเพิ่มมากขึ้น ผ่านการทำสัญญาจำหน่ายโดยตรงกับผู้ค้าปลีกในราคาต่ำกว่า ข้อมูลราคาข้าวจากซูเปอร์มาร์เก็ตประมาณ 1,000 แห่งทั่วประเทศชี้ให้เห็นว่า ข้าวบรรจุถุงที่มาจากแหล่งเดียวและมีตราสินค้า มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4,272 เยน ต่อ 5 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 4 เยนจากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนข้าวผสมหลายชนิด รวมถึงข้าวจากคลังสำรองของรัฐบาล มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 3,159 เยน ลดลง 10 เยนจากสัปดาห์ก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
รองผู้ว่า BOJ หนุนขึ้นดอกเบี้ยช่วงศก.ฟื้นตัว แม้กังวลผลกระทบภาษีทรัมป์ เรียวโซ ฮิมิโนะ รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวในการประชุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคุชิโระ จังหวัดฮอกไกโด ในวันนี้ (2 ก.ย.) ว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวถือเป็นเรื่องที่ "เหมาะสม" แต่ก็เตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ คุชิโระกล่าวว่า แม้ BOJ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว แต่ "อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูง" เขากล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ BOJ กำหนดไว้ที่ 2% อย่างมาก เนื่องจากราคาข้าวและสินค้าอื่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงเมื่อปัจจัยชั่วคราวเหล่านี้หมดไป และจะกลับมาทรงตัวในระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายได้ในที่สุด "สำหรับผู้กำหนดนโยบายแล้ว ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจะไม่มีวันหายไปจากภูมิทัศน์ เราจึงต้องประเมินความสมดุลของความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านบวกและด้านลบ และตอบสนองอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม" ฮิมิโนะกล่าว นักลงทุนในตลาดต่างจับตาว่า BOJ จะกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อใด หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ประมาณ 0.5% ติดต่อกันเป็นครั้งที่สี่ในการประชุมเมื่อเดือนก.ค. โดยระบุถึงความจำเป็นในการประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของประธานาธิบดีกโดนัลด์ ทรัมป์ (อินโฟเควสท์)
เลขาฯ LDP เผย พร้อมลาออกเซ่นพิษแพ้เลือกตั้งสว. ชี้ ให้นายกฯ อิชิบะตัดสินใจ ฮิโรชิ โมริยามะ เลขาธิการพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ได้แสดงความจำนงพร้อมจะลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของพรรคในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การประกาศท่าทีดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการประชุมร่วมของสมาชิกรัฐสภาของพรรค LDP โดยโมริยามะ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอันดับสองของพรรคระบุว่า การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ท่าทีของโมริยามะ ซึ่งถือเป็นคนสนิทของนายกฯ อิชิบะ ได้สร้างความสั่นคลอนต่อเสถียรภาพทางการเมืองของตัวนายกฯ เอง แม้ผลสำรวจคะแนนนิยมของคณะรัฐมนตรีจากสื่อหลายสำนักในช่วงหลังจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์การเมืองให้ทัศนะว่า หากโมริยามะต้องก้าวลงจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคจริง นายกฯ อิชิบะในฐานะหัวหน้าพรรคอาจต้องเผชิญกับความยากลำบากในการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า นายกฯ มีพันธมิตรหรือคนใกล้ชิดในพรรครัฐบาลจำนวนไม่มากนัก (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 121.7 จุด เยนอ่อนหนุนหุ้นส่งออก ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (2 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากเงินเยนที่อ่อนค่า ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกอย่างยานยนต์ ประกอบกับมีแรงช้อนซื้อของนักลงทุน หลังจากดัชนีปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวันก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ในระหว่างวัน ดัชนีได้ปรับตัวลงสู่แดนลบช่วงสั้น ๆ จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 42,310.49 จุด เพิ่มขึ้น 121.70 จุด หรือ +0.29% หุ้นบวกนำตลาดได้แก่ กลุ่มค้าส่ง กลุ่มขนส่งทางทะเล และกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 17.40 จุดจากแรงขายทำกำไร จับตาประชุม SCO ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (2 ก.ย.) เนื่องจากแรงขายทำกำไร ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจินของจีน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,858.13 จุด ลดลง 17.40 จุด หรือ -0.45% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 120.87 จุด จับตาข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (2 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร หลังตลาดปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันจันทร์ (1 ก.ย.) ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ ที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,496.55 จุด ลดลง 120.87 จุด หรือ -0.47% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงนำตลาด เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งก่อนหน้านี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวลงตามทิศทางหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นจีน หลังจากปรับตัวขึ้นติดต่อกันสามวัน (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
แบงก์ชาติอินโดฯ ลั่นพยุงรูเปียห์กลับสู่ระดับ 16,300 ต่อดอลล์ หลังอ่อนค่าจากเหตุประท้วง เพอร์รี วาร์จีโย ผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซียเปิดเผยในวันนี้ (2 ก.ย.) ว่า ธนาคารกลางกำลังเข้าดูแลค่าเงินรูเปียห์ให้กลับมาแข็งค่า โดยตั้งเป้าหมายให้อยู่ที่ระดับประมาณ 16,300 รูเปียห์ต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ค่าเงินอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบทั่วประเทศ วาร์จีโยกล่าวต่อที่ประชุมสภาที่ปรึกษาภูมิภาคของรัฐสภาในวันนี้ว่า "ค่าเงินรูเปียห์ที่เมื่อวานตอนเช้าอ่อนค่าไปถึง 16,560 วันนี้เราได้ดูแลให้มีเสถียรภาพที่ระดับ 16,400 แล้ว" "เราจะพยายามทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นไปอีกที่ระดับ 16,300 หรือแข็งค่ากว่านั้น" วาร์จีโยกล่าว พร้อมยืนยันเจตนารมณ์ของธนาคารกลางที่จะเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราทั้งในและต่างประเทศ สถานการณ์ค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนตัวลงมีสาเหตุจากเหตุประท้วงที่ลุกลามไปในหลายเมืองทั่วประเทศ ซึ่งถูกจุดชนวนจากกรณีที่รถตำรวจพุ่งชนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างเสียชีวิตเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (28 ส.ค.) ส่งผลให้ค่าเงินรูเปียห์ร่วงลงถึง 0.9% ในวันศุกร์ (29 ส.ค.) การประท้วงยังคงดำเนินมาจนถึงสัปดาห์นี้ โดยมีรายงานว่าเมื่อเย็นวันจันทร์ (1 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ได้ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมใกล้กับมหาวิทยาลัยสองแห่งในเมืองบันดุง ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงจาการ์ตาไปทางตะวันตกกว่า 140 กิโลเมตร ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า ในระหว่างการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ เงินรูเปียห์ได้อ่อนค่าลงไปแตะระดับ 16,500 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในเวลาต่อมา ด้านตลาดหุ้น ดัชนีหลักปรับตัวสูงขึ้น 1.17% ในวันนี้ หลังจากที่ลดลงไปถึง 2.7% ในช่วงสองวันทำการก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้ยังไม่สรุปเพิ่มงบฯกลาโหม แจงหารือสหรัฐฯอยู่ อี ทู-ฮี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ เปิดเผยในวันนี้ (2 ก.ย.) ว่า เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับรายละเอียดการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ รมช.กลาโหมกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวในระหว่างการประชุมรัฐสภา หลังมีรายงานข่าวว่า เกาหลีใต้ได้ปรึกษาหารือและตกลงกับสหรัฐฯ ว่าจะปรับเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็น 3.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) "เนื่องจากการเจรจายังไม่สิ้นสุด จึงยังไม่เหมาะสมที่จะให้ความคิดเห็นที่เฉพาะเจาะจง" เขากล่าว พร้อมทั้งเพิ่มเติมว่า ขณะนี้รัฐบาลมีแผนปรับเพิ่มงบประมาณกลาโหมอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังยากที่จะกำหนดตัวเลขเป้าหมายที่ชัดเจน ขณะที่ยืนยันด้วยว่า งบประมาณที่เพิ่มขึ้นนี้จะถูกนำไปใช้เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ เกาหลีใต้กำลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้เพิ่มสัดส่วนงบประมาณกลาโหมเป็น 5% ของ GDP เพื่อให้เกาหลีใต้มีบทบาทมากขึ้นในด้านความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลี สำหรับปี 2568 งบประมาณด้านการป้องกันประเทศของเกาหลีใต้คิดเป็น 2.32% ของ GDP โดยกระทรวงฯ มีแผนขอปรับเพิ่มงบประมาณเป็น 8.2% ในปีหน้า แตะ 66.3 ล้านล้านวอน หรือประมาณ 47.6 พันล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง เคยประกาศเพิ่มงบกลาโหมระหว่างเยือนสหรัฐฯ เพื่อให้เกาหลีใต้มีบทบาทเป็นผู้นำมากขึ้นในการเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ (อินโฟเควสท์)
ผู้นำ BRICS นัดหารือออนไลน์เรื่องมาตรการภาษีของทรัมป์ ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล เตรียมจัดการประชุมออนไลน์กับบรรดาผู้นำกลุ่ม BRICS ในวันจันทร์หน้า (8 ก.ย.) เพื่อหารือถึงนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แหล่งข่าวรัฐบาลบราซิลระบุว่า ลูลาไม่เพียงต้องการหารือถึงมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่ยังตั้งเป้าที่จะรวมพลังผู้นำตลาดเกิดใหม่ในการปกป้องระบบพหุภาคีด้วย อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ทำให้การหาฉันทามติในการออกแถลงการณ์ร่วมเป็นไปได้ยาก อีกทั้งลูลาเองก็ไม่ต้องการให้เวทีนี้กลายเป็นการประชุมต่อต้านสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างโมดีกับทรัมป์เคยถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการสร้างท่าทีแข็งกร้าวของกลุ่ม BRICS ต่อมาตรการภาษี แต่เมื่อความสัมพันธ์ของผู้นำสองชาติแตกหักลง ก็อาจเปิดทางให้ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS มีมติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เมื่อคดีไต่สวนของฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิล จะเริ่มขึ้นวันอังคารนี้ (2 ก.ย.) โดยรัฐบาลบราซิลคาดว่าทรัมป์อาจเพิ่มแรงกดดันอีก หลังจากที่สหรัฐฯ เพิกถอนวีซ่าของผู้พิพากษาศาลสูงสุด และออกมาตรการคว่ำบาตรต่อผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ในคดีดังกล่าวแล้ว เมื่อเดือนก.ค. ทรัมป์เคยขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากบราซิล หากศาลสูงสุดไม่ยุติการพิจารณาคดีโบลโซนารูในข้อหาพยายามก่อรัฐประหาร ปัจจุบัน สินค้านำเข้าจากบราซิลเผชิญภาษีสูงถึง 50% แม้สหรัฐฯ จะยกเว้นสินค้าบางรายการ เช่น เครื่องบินและน้ำส้มเข้มข้นก็ตาม นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขู่จะใช้มาตรการภาษีเพิ่มต่อชาติสมาชิกกลุ่ม BRICS ที่พยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ด้วยการหันไปใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างกันมากขึ้น (อินโฟเควสท์)
อินเดียเจรจาสหรัฐฯ หวังทำข้อตกลงการค้า หลังถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มสองเท่า ไพยุช โกยัล รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของอินเดีย เปิดเผยในวันนี้ (2 ก.ย.) ว่า อินเดียกำลังเจรจากับสหรัฐฯ เรื่องข้อตกลงการค้าทวิภาคี หลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่มอัตราภาษีสินค้าจากอินเดียเป็นสองเท่าเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อเป็นมาตรการลงโทษที่อินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง "เรากำลังพูดคุยกับสหรัฐฯ เพื่อทำข้อตกลงการค้าทวิภาคี" โกยัลกล่าวในงานแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ อินเดียและสหรัฐฯ เจรจาข้อตกลงดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนมี.ค. และได้มีการหารือกันไปแล้ว 5 รอบ แต่หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้าอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 50% ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. ทำให้ทีมเจรจาของสหรัฐฯ เลื่อนกำหนดการเดินทางเยือนอินเดีย จากเดิมในวันที่ 25 ส.ค. ออกไปก่อน โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันใหม่สำหรับการเจรจารอบที่ 6 ด้านฮาร์ดีป ซิงห์ พูรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันของอินเดีย เปิดเผยว่า อินเดียไม่ได้หากำไรจากการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย พร้อมระบุว่า การซื้อน้ำมันดังกล่าวช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดโลก และป้องกันไม่ให้ราคาทะยานขึ้นแตะ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัจจุบัน อินเดียกลายเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรัสเซียทางทะเลรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยอาศัยส่วนลดที่รัสเซียเสนอ หลังจากยุโรปและสหรัฐฯ เลิกซื้อน้ำมันรัสเซียและออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การบุกยูเครนเมื่อปี 2565 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 200 จุด ซื้อขายผันผวน ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 200 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังดัชนีดีดตัวขึ้นในช่วงแรก แต่ถูกกดดันจากแรงขายในช่วงท้ายตลาด ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,157.88 ลบ 206.61 จุด หรือ 0.26% หุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลงนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)
ไทย
8 เดือนแรกปีนี้ ต่างชาติเที่ยวไทย 21.8 ล้านคน โกยรายได้ทะลุ 1 ล้านลบ. นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภาพรวมการท่องเที่ยว พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ส.ค. 68 ทั้งสิ้น 21,879,476 คน (-7.16%YoY) สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,014,303 ล้านบาท (-5.40%YoY) โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 3,096,017 คน มาเลเซีย 3,049,961 คน อินเดีย 1,563,806 คน รัสเซีย 1,195,430 คน และเกาหลีใต้ 1,036,361 คน สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (25-31 ส.ค. 68) นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกว่า 1 แสนคน จากการมีวันหยุดต่อเนื่องภายในประเทศ (วันประกาศอิสรภาพ) อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาสะสมแล้วกว่า 3 ล้านคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดอื่น ๆ ชะลอตัวด้านการเดินทาง จากการสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (Summer holiday) ซึ่งเป็นแนวโน้มปกติของการเดินทาง ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งสิ้น 506,115 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 56,755 คน หรือ 10.08% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เฉลี่ยวันละ 72,302 คน โดย 5 อันดับแรก ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย 100,600 คน จีน 70,847 คน รัสเซีย 37,402 คน อินเดีย 24,749 คน และญี่ปุ่น 20,027 คน (อินโฟเควสท์)
งบฯ ปี 69 ไม่สะดุด หลังสว. ผ่านฉลุย 151 เสียง ที่ประชุมวุฒิสภา เห็นชอบกับร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ด้วยมติ 151 เสียง ต่อไม่เห็นด้วย 1 เสียง และงดออกเสียง 27 เสียง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะผู้แทนรัฐบาล กล่าวขอบคุณ สว. ที่พิจารณาเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 69 เครื่องมือสำคัญขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาต่าง ๆ ขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจยั่งยืน สำหรับข้อคิดเห็น ข้อเสนอและความห่วงใยที่เสนอแนะรัฐบาลรับไว้ด้วยความขอบคุณ ประกอบกับจะนำการพิจารณาไปปรับปรุงหน่วยรับงบประมาณเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด "ขอให้ความมั่นใจว่านโยบายและงบประมาณที่ผ่านพิจารณา ใช้ตามแผนงานและวัตถุประสงค์ รัฐบาลใช้งบประมาณโปร่งใส ตรวจสอบได้ บรรลุผลสัมฤทธิ์ เพื่อขับเคลื่อนประเทศ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว" นายพิชัย กล่าว (อินโฟเควสท์)
สภาฯ นัดประชุมวิป 2 ฝ่ายพรุ่งนี้ เคาะวันโหวตนายกฯ คนใหม่ ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (3 ก.ย.) เวลา 10.00 น. นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ได้เชิญคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร (วิป) 2 ฝ่ายประชุม โดยมีวาระการพิจารณาเรื่องการกำหนดวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (อินโฟเควสท์)
สส.เพื่อไทย เข้าชื่อด่วนชงศาล รธน.วินิจฉัยอำนาจตุลาการหมดวาระวินิจฉัยคดี "อุ๊งอิ๊งค์" กลุ่ม สส.เพื่อไทย 20 คน นำโดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นประธานวิปรัฐบาล ได้ทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาวินิจฉัยกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6 ต่อ 3 เสียงให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่อาจส่งผลต่อความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวคือได้มีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.68 เป็นต้นไป แทนนายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง ดังนั้น แม้ตามมาตรา 27 วรรคสอง แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 จะบัญญัติให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ก็ตาม แต่เนื่องจากเรื่องพิจารณาที่ 17/2568 เป็นคดีที่มีความสำคัญ เมื่อได้รับทราบประกาศพระบรมราชโองการแล้วแต่งตั้ง นายสราวุธแล้ว จึงไม่ควรที่จะให้นายปัญญาพ้นจากตำแหน่งตามวาระเข้าพิจารณาคดีที่มีความสำคัญดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
ไร้ข้อสรุป!! ปชน.ขอเปิดรับความเห็นสมาชิกพรรคต่อก่อนชง กก.บห. ตัดสินพรุ่งนี้ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ยืนยันว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรควันนี้ ยังไม่ได้มีมติการตัดสินใจไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งว่าจะสนับสนุนพรรคใดจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคจะยังคงเปิดให้สมาชิกพรรคและเครือข่าย ได้แสดงความคิดเห็นอย่างต่ออีก 1 วัน ก่อนที่จะนำไปสู่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในวันพรุ่งนี้ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาพยายามเปิดรับฟังความเห็นจากทุกองคาพยพ และที่ประชุมมีความเห็นตรงกันที่จะให้เปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกตอบกลับมาแล้วราว 2 หมื่น จากสมาชิกทั่วประเทศ 1.05 แสนคน ซึ่งอยากให้สมาชิกที่เหลืออีก 8 หมื่นคนได้แสดงความคิดเห็น นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค ปชน. กล่าวว่า จุดยืนของพรรคคือการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ หากผู้มีอำนาจไม่ตัดสินใจกระบวนการต่าง ๆ นาฬิกาก็จะเดินหน้าต่อไป พร้อมยืนยันว่า พรรคประชาชนไม่ไว้วางใจทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ไม่เคยลืมข้อกังวลในอดีต เราจึงต้องหากลไกที่จะควบคุมรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยยึดเงื่อนไข 3 ข้อเช่นเดิมที่มีความขัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากมีมติว่าจะสนับสนุนใครแล้วก็จะมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีการเซ็นสัญญาในวันพรุ่งนี้หรือไม่ โฆษกพรรค ปชน. กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่ร่วมรัฐบาลว่า ต้องการรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชนว่าขอทำหน้าที่ฝ่ายค้าน จึงไม่ต้องการทำผิดคำพูด และหากเข้าร่วมรัฐบาลจะไม่สามารถควบคุมได้ และเชื่อว่ารัฐบาลที่ดีจะมาหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า (อินโฟเควสท์)
"เพื่อไทย" ง้างรอยุบสภา! รอพรรคส้มเคาะเลือกโหวตหนุนนายกฯ นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมเดินหน้าขั้นตอนยุบสภา ภายหลังมีกระแสข่าวสะพัดในช่วงเย็นวันนี้ว่าพรรคประชาชน (ปชน.) มีมติโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 แต่ขอให้รอมติอย่างเป็นทางการจากพรรคประชาชนก่อน กระบวนการได้ดำเนินการไปแล้ว แต่รอดูว่าจะเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังทำอยู่ คือ พยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้ประเทศ แต่ทั้งหมดเป็นอำนาจของนายภูมิธรรม เวชยชัย ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดต้องใช้เวลา แต่ไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนใด ซึ่งเรื่องนี้นายภูมิธรรม ได้วางแผนและดำเนินการอยู่ "เราดำเนินการอยู่แล้ว ไม่ใช่การออกมาขู่ ทางออกที่ดีที่สุดของประเทศ คือ การคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เราต้องทำอย่างรอบคอบ และระมัดระวังที่สุด"นายสรวงศ์ กล่าว "อย่างที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ได้บอกไว้ว่าหากยุบได้เลย ก็ยุบ พวกเราอยากให้เป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ได้อยากให้รู้ว่าใครจะชิงอะไรก่อนทั้งสิ้น ทั้งหมด เรามองว่าประเทศอยู่ในจุดที่จะต้องตัดสินใจ เพราะฉะนั้น ขอดูว่าเป็นมติของพรรคประชาชนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงมติของคณะกรรมการบริหารพรรค" เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว และระบุว่า ขณะนี้ทุกพรรคมีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง และพร้อมที่จะทำงานต่อด้วย ไม่ว่าสถานการณ์ใดพร้อมหมด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 4.30 จุด แรงซื้อหุ้นกลุ่มปิโตรฯหนุน คาดหวังการเมืองชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์ SET ปิดวันนี้ที่ 1,248.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด (+0.35%) มูลค่าซื้อขาย 34,424.58 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยแกว่งออกข้างอิงแดนบวก คาดหวังการเมืองผ่อนคลายหรือมีทิศทางดีขึ้นเก็งทิศทางชัดภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ระยะสั้นหากยังไม่ชัดเจนอาจทำให้อัพไซด์จำกัด วันนี้ตลาดได้แรงหนุนจากกลุ่มปิโตรเคมีหลังญี่ปุ่นลดกำลังผลิตตามเกาหลีใต้ แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งออกข้าง เกาะติด Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐและตัวเลข PMI สหรัฐ ให้กรอบแนวรับ 1,244 - 1240 จุด และแนวต้าน 1,250 จุด ถัดไป 1,260 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวแดนบวก โดยทำจุดต่ำสุด 1,243.48 จุด และทำจุดสูงสุด 1,253.60 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 271 หลักทรัพย์ ลดลง 174 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 204 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.38 อ่อนค่าหลังทองย่อตัว จับตาดัชนี ISM สหรัฐ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.25-32.45 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.38 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.30 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทอ่อนค่า ตามสถานการณ์ราคาทองคำที่ย่อตัวลง โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.26 - 32.38 บาท/ดอลลาร์ ส่วนผลการลงมติของพรรคพลังประชาชน ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นแคนดิเดตของพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคเพื่อไทยก็ตามนั้น มีผลจำกัดต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท แต่เชื่อว่าจะมีผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยมากกว่า ขณะที่คืนนี้ ตลาดรอการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) เดือนส.ค. นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.45 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 116,679 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 116,679 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 43,343 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 556 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,403 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.13% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐขยายตัวในเดือนส.ค. เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 53.0 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2565 จากระดับ 49.8 ในเดือนก.ค. ดัชนี PMI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นมากขึ้น (อินโฟเควสท์)
ISM เผยดัชนีภาคการผลิตสหรัฐหดตัวเดือนที่ 6 ในส.ค. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 48.7 ในเดือนส.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 49.0 จากระดับ 48.0 ในเดือนก.ค. ดัชนียังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐ โดยเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของการจ้างงาน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าคำสั่งซื้อใหม่ปรับตัวขึ้น (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนมิ.ย. การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง เมื่อเทียบรายปี การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 2.8% ในเดือนก.ค. การใช้จ่ายในโครงการของภาคเอกชนลดลง 0.2% ส่วนการใช้จ่ายในโครงการภาคสาธารณะเพิ่มขึ้น 0.3% ทั้งนี้ การใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น 3.2% ส่วนการใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลในมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มขึ้น 0.1% (อินโฟเควสท์)
จับตา "ทรัมป์" ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านที่อยู่อาศัย แก้ปัญหาราคาบ้านแพง นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะประกาศภาวะฉุกเฉินด้านที่อยู่อาศัยระดับชาติ เพื่อแก้ปัญหาราคาที่อยู่อาศัยในระดับสูง และปริมาณบ้านที่มีอยู่อย่างจำกัดในตลาด "เราอาจประกาศภาวะฉุกเฉินด้านที่อยู่อาศัยระดับชาติในช่วงฤดูใบไม้ร่วง" นายเบสเซนต์กล่าวต่อนิตยสาร Washington Examiner นายเบสเซนต์กล่าวย้ำว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะช่วยให้ราคาที่อยู่อาศัยลดลงได้ แต่รัฐบาลอาจดำเนินมาตรการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มปริมาณที่อยู่อาศัย และลดต้นทุนการผลิตบ้าน "เรากำลังพิจารณาว่าจะทำอะไรได้บ้าง และเราไม่ต้องการก้าวก่ายในเรื่องของรัฐบาลระดับมลรัฐ เคาน์ตี และท้องถิ่น ผมคิดว่าทุกทางเลือกได้วางอยู่บนโต๊ะ" นายเบสเซนต์กล่าว อย่างไรก็ดี นายเบสเซนต์ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับคำสั่งฝ่ายบริหารที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะบังคับใช้ หากทำเนียบขาวประกาศภาวะฉุกเฉินด้านที่อยู่อาศัย แต่เขาบอกกับ Examiner ว่า เจ้าหน้าที่กำลังพิจารณาตั้งมาตรฐานเกี่ยวกับการก่อสร้างและการแบ่งโซนในระดับท้องถิ่น รวมทั้งการลดต้นทุนของการปิดการขาย นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์อาจพิจารณายกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับวัสดุก่อสร้างบางประเภทเพื่อลดต้นทุนในการก่อสร้าง โดยเฉพาะราคาไม้แปรรูปที่สหรัฐต้องนำเข้าจากแคนาดาเป็นจำนวนมาก (อินโฟเควสท์)
สหรัฐป่วน! กูรูเตือนรัฐบาลอาจต้องคืนเงินภาษีทรัมป์ตามคำสั่งศาล คำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐมีคำวินิจฉัยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ "มิชอบด้วยกฎหมาย" ทั้งนี้ ศาลตัดสินว่า มีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่มีอำนาจในการกำหนดการจัดเก็บภาษีในวงกว้าง โดยระบุว่า "อำนาจหลักของสภาคองเกรสในการจัดเก็บภาษี เช่น ภาษีศุลกากรนั้น เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงฝ่ายเดียว" ด้านปธน.ทรัมป์ระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวมีสาเหตุทางการเมือง และเขาจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาสหรัฐ การตัดสินของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ นายเอ็ด มิลส์ จากบริษัท Raymond James ระบุในรายงานว่า "หากคำตัดสินนี้มีผลบังคับใช้จริง จะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เก็บไปแล้ว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น" ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์แสดงความยินดีที่เงินจากการเก็บภาษีศุลกากรกำลังหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
กองทุนเฮดจ์ชะลอซื้อหุ้นสหรัฐฯ รับมือแรงขาย-หลายปัจจัยเสี่ยงในตลาด กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนก.ย. ซึ่งมักเป็นเดือนที่ตลาดไม่สดใส แม้มีความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กองทุนเหล่านี้ขายสุทธิหุ้นในเดือนส.ค. และข้อมูลของ Lipper ยังระบุว่า นักลงทุนทั่วไปก็ขายหุ้นมากกว่าที่ซื้อเช่นกัน แม้ดัชนีหุ้นโลกของ MSCI และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ตลาดยังมีความเปราะบางต่อแรงขายอย่างรุนแรง ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าร่วมในการปรับตัวขึ้นล่าสุดของตลาด เนื่องจากยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุน ข้อมูลของ Goldman Sachs ระบุว่า การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ลดลงอีกครั้งในช่วงปลายเดือนส.ค. หลังจากลดลงอย่างมากก่อนหน้านี้ แม้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ในเดือนส.ค. และดัชนีหุ้นโลก MSCI ใกล้ระดับสูงสุด แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงขายหุ้นต่อไป Morgan Stanley ระบุว่าการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นลดลง 1% ในสหรัฐฯ และยุโรปในสัปดาห์ก่อน แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงชะลอตัว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนก.ย. ประมาณครึ่งหนึ่งของช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายไม่สามารถซื้อหุ้นคืนในเดือนนี้ นักวิเคราะห์จาก Erlen Capital Management ชี้ว่าขีดจำกัดความเสี่ยงของกองทุนเฮดจ์ฟันด์เชิงระบบอัตโนมัติอาจทำให้พวกเขาไม่สามารถซื้อหุ้นในช่วงราคาลดลงได้ตามปกติ โดยฤดูใบไม้ร่วงมักทำให้ความผันผวนเพิ่มขึ้นและกลยุทธ์เชิงระบบอัตโนมัติอยู่ในระดับสูง ตลาดจึงมีความสามารถในการดูดซับแรงขายน้อยกว่าปกติ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 249.07 จุด กังวลมาตรการภาษีทรัมป์ไม่แน่นอน ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (2 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,295.81 จุด ลดลง 249.07 จุด หรือ -0.55%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,415.54 จุด ลดลง 44.72 จุด หรือ -0.69% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,279.63 จุด ลดลง 175.92 จุด หรือ -0.82% คำวินิจฉัยที่ไม่เป็นเอกฉันท์ของศาลอุทธรณ์ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุน โดยดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 6.5% ปิดที่ระดับ 17.17 หลังจากที่พุ่งขึ้นกว่า 25% แตะระดับ 19.26 ในระหว่างวัน หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 1.74% โดยถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ค. ขณะที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง 1.06% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก $1.58 รับข่าวสหรัฐฯ คว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันอังคาร (2 ก.ย.) หลังจากสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรที่มุ่งเป้าไปที่รายได้จากน้ำมันของอิหร่าน ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันอาทิตย์นี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 2.47% ปิดที่ 65.59 ดอลลาร์ /บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 99 เซนต์ หรือ 1.45% ปิดที่ 69.14 ดอลลาร์/บาร์เรล กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรเครือข่ายบริษัทขนส่งและเรือที่นำโดยนักธุรกิจเชื้อสายอิรัก ซึ่งเครือข่ายบริษัทดังกล่าวได้ลักลอบค้าน้ำมันอิหร่านโดยสวมรอยว่าเป็นน้ำมันอิรัก โดยมาตรการดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงสร้างแรงกดดันต่ออิหร่านหลังจากการเจรจาด้านนิวเคลียร์หยุดชะงักลง (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่าตามทิศทางบอนด์ยีลด์ จับตาจ้างงานสหรัฐฯ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (2 ก.ย.) โดยปรับตัวตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.69% แตะที่ระดับ 98.382 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 148.28 เยน จากระดับ 147.22 เยนในวันศุกร์ (29 ส.ค.) ขณะเดียวกันก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8038 ฟรังก์ จากระดับ 0.8010 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3780 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3752 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1645 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1708 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3386 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3544 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $76.10 ทำนิวไฮ รับคาดการณ์เฟดหั่นดบ.เดือนนี้ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันอังคาร (2 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำอย่างคึกคัก ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 76.10 ดอลลาร์ หรือ 2.16% ปิดที่ 3,592.20 ดอลลาร์/ออนซ์ นักวิเคราะห์ด้านโลหะมีค่าจาก Standard Chartered Bank กล่าวว่า ตลาดทองคำกำลังเข้าสู่ช่วงที่ความต้องการซื้อสูงตามฤดูกาล และเมื่อพิจารณาถึงการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อไป (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ 30 ปีจ่อพุ่งทะลุ 5% ผวาสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีทรัมป์หลายพันล้านดอลลาร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นจ่อทะลุระดับ 5% ท่ามกลางความกังวลที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ ณ เวลา 18.44 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.287% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.977% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
เยอรมนีจี้ EU ควบคุมการส่งออกเศษทองแดงไปจีน หวั่นกระทบอุตสาหกรรมภูมิภาค คาเทอรินา ไรเชอ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี เรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) เร่งออกมาตรการควบคุมการไหลออกของเศษทองแดงไปยังจีน หลังโรงถลุงโลหะรายใหญ่ใน EU ประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ไรเชอเผยระหว่างการประชุมที่กรุงเบอร์ลินเมื่อวันจันทร์ (1 ก.ย.) ว่า จีนกว้านซื้อเศษทองแดงจากตลาดในปริมาณมาก ทำให้โรงถลุงเยอรมนีแทบไม่มีวัตถุดิบเหลืออยู่เลย พร้อมเรียกร้องให้มีนโยบายระดับภูมิภาคป้องกันไม่ให้จีนประมูลแย่งเศษโลหะ และเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจยุโรป ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ จีนนำเข้าเศษทองแดงจากชาติสมาชิก EU ราว 204,000 ตัน เพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบรายปี แม้คิดเป็นเพียง 15% ของการนำเข้ารวมทั้งหมด แต่ข้อมูลพบว่า ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จีนเพิ่มการซื้อเศษทองแดงต่อเนื่อง เนื่องจากโรงถลุงภายในประเทศขยายกำลังการผลิตและต้นทุนแร่ทองแดงสูงขึ้น และปีนี้จีนเริ่มหาซัพพลายจากหลายประเทศมากขึ้น หลังการส่งออกจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งทองแดงใหญ่ที่สุด ลดลงอย่างมาก ขณะเดียวกัน ไรเชอยังเสนอให้ EU ผลักดันการลงทุนขุดแร่ลิเทียมและแร่หายากในภูมิภาค ทั้งนี้ กระแสความกังวลเกี่ยวกับการส่งออกวัตถุดิบไปจีน สะท้อนถึงการเมืองที่เข้ามาแทรกในห่วงโซ่อุปทานสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า ขณะที่หาก EU เดินหน้าจำกัดการส่งเศษทองแดง ก็อาจยิ่งเพิ่มความตึงเครียดทางการค้ากับจีน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ หลังบอนด์ยีลด์พุ่งกดดันตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (2 ก.ย.) โดยอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน หลังเผชิญแรงขายจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแรงกดดันด้านการคลังของประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 543.17 จุด ลดลง 8.26 จุด หรือ -1.50% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,654.25 จุด ลดลง 53.65 จุด หรือ -0.70%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,487.33 จุด ลดลง 550.00 จุด หรือ -2.29% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,116.69 จุด ลดลง 79.65 จุด หรือ -0.87% หุ้นเกือบทุกกลุ่มในดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลง ยกเว้นเพียงกลุ่มสินค้าหรูหรา โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราปรับตัวขึ้น 0.5% หลังจากธนาคาร HSBC ได้ปรับคำแนะนำหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านแฟชั่นอย่าง Kering และ LVMH จากระดับ "ถือ" เป็น "ซื้อ" ส่งผลให้หุ้น Kering พุ่งขึ้น 3.8% และหุ้น LVMH บวก 1.8% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 79.65 จุด กลุ่มแบงก์-อุตสาหกรรมฉุดตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันอังคาร (2 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย, กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสาธารณูปโภค ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนเกี่ยวกับฐานะการคลังของประเทศ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ 9,116.69 จุด ลดลง 79.65 จุด หรือ -0.87% ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีของอังกฤษพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 27 ปี ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงกว่า 1.5% ท่ามกลางความวิตกของนักลงทุนต่อความสามารถของรัฐบาลอังกฤษในการควบคุมด้านการคลัง หุ้นธนาคารรายใหญ่ร่วงลงอีกครั้ง โดยหุ้น NatWest, Barclays และ Lloyds ร่วงลงราว 2% หลังจากสถาบันวิจัยเสนอแนวคิดให้เก็บภาษีจากภาคธนาคารเพื่อเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลอังกฤษ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง โดยหุ้น Segro ดิ่งลง 3.9% ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลงด้วย โดยหุ้น SSE ร่วง 3.7% หุ้นบริษัทประกัน อาทิ Legal & General และ Phoenix ร่วงลงมากกว่า 4% หุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น Tesco, M&S และ British American Tobacco ก็ปรับตัวลงเช่นกัน หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการร่วงลง โดยหุ้น IAG เจ้าของ British Airways ร่วง 3.3% และหุ้น Whitbread ร่วง 4.5%(อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ราคาข้าวญี่ปุ่นลดลงครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ หลังรัฐระบายข้าวจากคลังสำรองมากขึ้น กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ราคาข้าวเฉลี่ยที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศอยู่ที่ 3,776 เยน ต่อ 5 กิโลกรัม ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 ส.ค. ลดลง 28 เยนจากสัปดาห์ก่อนหน้า และลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงฯ ระบุว่า ราคาข้าวลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลจำหน่ายข้าวจากคลังสำรองเพิ่มมากขึ้น ผ่านการทำสัญญาจำหน่ายโดยตรงกับผู้ค้าปลีกในราคาต่ำกว่า ข้อมูลราคาข้าวจากซูเปอร์มาร์เก็ตประมาณ 1,000 แห่งทั่วประเทศชี้ให้เห็นว่า ข้าวบรรจุถุงที่มาจากแหล่งเดียวและมีตราสินค้า มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4,272 เยน ต่อ 5 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 4 เยนจากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนข้าวผสมหลายชนิด รวมถึงข้าวจากคลังสำรองของรัฐบาล มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 3,159 เยน ลดลง 10 เยนจากสัปดาห์ก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
รองผู้ว่า BOJ หนุนขึ้นดอกเบี้ยช่วงศก.ฟื้นตัว แม้กังวลผลกระทบภาษีทรัมป์ เรียวโซ ฮิมิโนะ รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวในการประชุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคุชิโระ จังหวัดฮอกไกโด ในวันนี้ (2 ก.ย.) ว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวถือเป็นเรื่องที่ "เหมาะสม" แต่ก็เตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ คุชิโระกล่าวว่า แม้ BOJ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว แต่ "อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูง" เขากล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ BOJ กำหนดไว้ที่ 2% อย่างมาก เนื่องจากราคาข้าวและสินค้าอื่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงเมื่อปัจจัยชั่วคราวเหล่านี้หมดไป และจะกลับมาทรงตัวในระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายได้ในที่สุด "สำหรับผู้กำหนดนโยบายแล้ว ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจะไม่มีวันหายไปจากภูมิทัศน์ เราจึงต้องประเมินความสมดุลของความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านบวกและด้านลบ และตอบสนองอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม" ฮิมิโนะกล่าว นักลงทุนในตลาดต่างจับตาว่า BOJ จะกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อใด หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ประมาณ 0.5% ติดต่อกันเป็นครั้งที่สี่ในการประชุมเมื่อเดือนก.ค. โดยระบุถึงความจำเป็นในการประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของประธานาธิบดีกโดนัลด์ ทรัมป์ (อินโฟเควสท์)
เลขาฯ LDP เผย พร้อมลาออกเซ่นพิษแพ้เลือกตั้งสว. ชี้ ให้นายกฯ อิชิบะตัดสินใจ ฮิโรชิ โมริยามะ เลขาธิการพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ได้แสดงความจำนงพร้อมจะลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของพรรคในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การประกาศท่าทีดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการประชุมร่วมของสมาชิกรัฐสภาของพรรค LDP โดยโมริยามะ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอันดับสองของพรรคระบุว่า การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ท่าทีของโมริยามะ ซึ่งถือเป็นคนสนิทของนายกฯ อิชิบะ ได้สร้างความสั่นคลอนต่อเสถียรภาพทางการเมืองของตัวนายกฯ เอง แม้ผลสำรวจคะแนนนิยมของคณะรัฐมนตรีจากสื่อหลายสำนักในช่วงหลังจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์การเมืองให้ทัศนะว่า หากโมริยามะต้องก้าวลงจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคจริง นายกฯ อิชิบะในฐานะหัวหน้าพรรคอาจต้องเผชิญกับความยากลำบากในการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า นายกฯ มีพันธมิตรหรือคนใกล้ชิดในพรรครัฐบาลจำนวนไม่มากนัก (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 121.7 จุด เยนอ่อนหนุนหุ้นส่งออก ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (2 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากเงินเยนที่อ่อนค่า ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกอย่างยานยนต์ ประกอบกับมีแรงช้อนซื้อของนักลงทุน หลังจากดัชนีปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวันก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ในระหว่างวัน ดัชนีได้ปรับตัวลงสู่แดนลบช่วงสั้น ๆ จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 42,310.49 จุด เพิ่มขึ้น 121.70 จุด หรือ +0.29% หุ้นบวกนำตลาดได้แก่ กลุ่มค้าส่ง กลุ่มขนส่งทางทะเล และกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 17.40 จุดจากแรงขายทำกำไร จับตาประชุม SCO ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (2 ก.ย.) เนื่องจากแรงขายทำกำไร ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจินของจีน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,858.13 จุด ลดลง 17.40 จุด หรือ -0.45% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 120.87 จุด จับตาข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (2 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร หลังตลาดปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันจันทร์ (1 ก.ย.) ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ ที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,496.55 จุด ลดลง 120.87 จุด หรือ -0.47% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงนำตลาด เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งก่อนหน้านี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวลงตามทิศทางหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นจีน หลังจากปรับตัวขึ้นติดต่อกันสามวัน (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
แบงก์ชาติอินโดฯ ลั่นพยุงรูเปียห์กลับสู่ระดับ 16,300 ต่อดอลล์ หลังอ่อนค่าจากเหตุประท้วง เพอร์รี วาร์จีโย ผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซียเปิดเผยในวันนี้ (2 ก.ย.) ว่า ธนาคารกลางกำลังเข้าดูแลค่าเงินรูเปียห์ให้กลับมาแข็งค่า โดยตั้งเป้าหมายให้อยู่ที่ระดับประมาณ 16,300 รูเปียห์ต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ค่าเงินอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบทั่วประเทศ วาร์จีโยกล่าวต่อที่ประชุมสภาที่ปรึกษาภูมิภาคของรัฐสภาในวันนี้ว่า "ค่าเงินรูเปียห์ที่เมื่อวานตอนเช้าอ่อนค่าไปถึง 16,560 วันนี้เราได้ดูแลให้มีเสถียรภาพที่ระดับ 16,400 แล้ว" "เราจะพยายามทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นไปอีกที่ระดับ 16,300 หรือแข็งค่ากว่านั้น" วาร์จีโยกล่าว พร้อมยืนยันเจตนารมณ์ของธนาคารกลางที่จะเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราทั้งในและต่างประเทศ สถานการณ์ค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนตัวลงมีสาเหตุจากเหตุประท้วงที่ลุกลามไปในหลายเมืองทั่วประเทศ ซึ่งถูกจุดชนวนจากกรณีที่รถตำรวจพุ่งชนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างเสียชีวิตเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (28 ส.ค.) ส่งผลให้ค่าเงินรูเปียห์ร่วงลงถึง 0.9% ในวันศุกร์ (29 ส.ค.) การประท้วงยังคงดำเนินมาจนถึงสัปดาห์นี้ โดยมีรายงานว่าเมื่อเย็นวันจันทร์ (1 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ได้ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมใกล้กับมหาวิทยาลัยสองแห่งในเมืองบันดุง ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงจาการ์ตาไปทางตะวันตกกว่า 140 กิโลเมตร ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า ในระหว่างการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ เงินรูเปียห์ได้อ่อนค่าลงไปแตะระดับ 16,500 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในเวลาต่อมา ด้านตลาดหุ้น ดัชนีหลักปรับตัวสูงขึ้น 1.17% ในวันนี้ หลังจากที่ลดลงไปถึง 2.7% ในช่วงสองวันทำการก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้ยังไม่สรุปเพิ่มงบฯกลาโหม แจงหารือสหรัฐฯอยู่ อี ทู-ฮี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ เปิดเผยในวันนี้ (2 ก.ย.) ว่า เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับรายละเอียดการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ รมช.กลาโหมกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวในระหว่างการประชุมรัฐสภา หลังมีรายงานข่าวว่า เกาหลีใต้ได้ปรึกษาหารือและตกลงกับสหรัฐฯ ว่าจะปรับเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็น 3.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) "เนื่องจากการเจรจายังไม่สิ้นสุด จึงยังไม่เหมาะสมที่จะให้ความคิดเห็นที่เฉพาะเจาะจง" เขากล่าว พร้อมทั้งเพิ่มเติมว่า ขณะนี้รัฐบาลมีแผนปรับเพิ่มงบประมาณกลาโหมอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังยากที่จะกำหนดตัวเลขเป้าหมายที่ชัดเจน ขณะที่ยืนยันด้วยว่า งบประมาณที่เพิ่มขึ้นนี้จะถูกนำไปใช้เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ เกาหลีใต้กำลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้เพิ่มสัดส่วนงบประมาณกลาโหมเป็น 5% ของ GDP เพื่อให้เกาหลีใต้มีบทบาทมากขึ้นในด้านความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลี สำหรับปี 2568 งบประมาณด้านการป้องกันประเทศของเกาหลีใต้คิดเป็น 2.32% ของ GDP โดยกระทรวงฯ มีแผนขอปรับเพิ่มงบประมาณเป็น 8.2% ในปีหน้า แตะ 66.3 ล้านล้านวอน หรือประมาณ 47.6 พันล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง เคยประกาศเพิ่มงบกลาโหมระหว่างเยือนสหรัฐฯ เพื่อให้เกาหลีใต้มีบทบาทเป็นผู้นำมากขึ้นในการเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ (อินโฟเควสท์)
ผู้นำ BRICS นัดหารือออนไลน์เรื่องมาตรการภาษีของทรัมป์ ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล เตรียมจัดการประชุมออนไลน์กับบรรดาผู้นำกลุ่ม BRICS ในวันจันทร์หน้า (8 ก.ย.) เพื่อหารือถึงนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แหล่งข่าวรัฐบาลบราซิลระบุว่า ลูลาไม่เพียงต้องการหารือถึงมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่ยังตั้งเป้าที่จะรวมพลังผู้นำตลาดเกิดใหม่ในการปกป้องระบบพหุภาคีด้วย อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ทำให้การหาฉันทามติในการออกแถลงการณ์ร่วมเป็นไปได้ยาก อีกทั้งลูลาเองก็ไม่ต้องการให้เวทีนี้กลายเป็นการประชุมต่อต้านสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างโมดีกับทรัมป์เคยถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการสร้างท่าทีแข็งกร้าวของกลุ่ม BRICS ต่อมาตรการภาษี แต่เมื่อความสัมพันธ์ของผู้นำสองชาติแตกหักลง ก็อาจเปิดทางให้ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS มีมติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เมื่อคดีไต่สวนของฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิล จะเริ่มขึ้นวันอังคารนี้ (2 ก.ย.) โดยรัฐบาลบราซิลคาดว่าทรัมป์อาจเพิ่มแรงกดดันอีก หลังจากที่สหรัฐฯ เพิกถอนวีซ่าของผู้พิพากษาศาลสูงสุด และออกมาตรการคว่ำบาตรต่อผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ในคดีดังกล่าวแล้ว เมื่อเดือนก.ค. ทรัมป์เคยขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากบราซิล หากศาลสูงสุดไม่ยุติการพิจารณาคดีโบลโซนารูในข้อหาพยายามก่อรัฐประหาร ปัจจุบัน สินค้านำเข้าจากบราซิลเผชิญภาษีสูงถึง 50% แม้สหรัฐฯ จะยกเว้นสินค้าบางรายการ เช่น เครื่องบินและน้ำส้มเข้มข้นก็ตาม นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขู่จะใช้มาตรการภาษีเพิ่มต่อชาติสมาชิกกลุ่ม BRICS ที่พยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ด้วยการหันไปใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างกันมากขึ้น (อินโฟเควสท์)
อินเดียเจรจาสหรัฐฯ หวังทำข้อตกลงการค้า หลังถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มสองเท่า ไพยุช โกยัล รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของอินเดีย เปิดเผยในวันนี้ (2 ก.ย.) ว่า อินเดียกำลังเจรจากับสหรัฐฯ เรื่องข้อตกลงการค้าทวิภาคี หลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่มอัตราภาษีสินค้าจากอินเดียเป็นสองเท่าเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อเป็นมาตรการลงโทษที่อินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง "เรากำลังพูดคุยกับสหรัฐฯ เพื่อทำข้อตกลงการค้าทวิภาคี" โกยัลกล่าวในงานแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ อินเดียและสหรัฐฯ เจรจาข้อตกลงดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนมี.ค. และได้มีการหารือกันไปแล้ว 5 รอบ แต่หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้าอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 50% ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. ทำให้ทีมเจรจาของสหรัฐฯ เลื่อนกำหนดการเดินทางเยือนอินเดีย จากเดิมในวันที่ 25 ส.ค. ออกไปก่อน โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันใหม่สำหรับการเจรจารอบที่ 6 ด้านฮาร์ดีป ซิงห์ พูรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันของอินเดีย เปิดเผยว่า อินเดียไม่ได้หากำไรจากการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย พร้อมระบุว่า การซื้อน้ำมันดังกล่าวช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดโลก และป้องกันไม่ให้ราคาทะยานขึ้นแตะ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัจจุบัน อินเดียกลายเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรัสเซียทางทะเลรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยอาศัยส่วนลดที่รัสเซียเสนอ หลังจากยุโรปและสหรัฐฯ เลิกซื้อน้ำมันรัสเซียและออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การบุกยูเครนเมื่อปี 2565 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 200 จุด ซื้อขายผันผวน ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 200 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังดัชนีดีดตัวขึ้นในช่วงแรก แต่ถูกกดดันจากแรงขายในช่วงท้ายตลาด ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,157.88 ลบ 206.61 จุด หรือ 0.26% หุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลงนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)
ไทย
8 เดือนแรกปีนี้ ต่างชาติเที่ยวไทย 21.8 ล้านคน โกยรายได้ทะลุ 1 ล้านลบ. นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภาพรวมการท่องเที่ยว พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ส.ค. 68 ทั้งสิ้น 21,879,476 คน (-7.16%YoY) สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,014,303 ล้านบาท (-5.40%YoY) โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 3,096,017 คน มาเลเซีย 3,049,961 คน อินเดีย 1,563,806 คน รัสเซีย 1,195,430 คน และเกาหลีใต้ 1,036,361 คน สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (25-31 ส.ค. 68) นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกว่า 1 แสนคน จากการมีวันหยุดต่อเนื่องภายในประเทศ (วันประกาศอิสรภาพ) อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาสะสมแล้วกว่า 3 ล้านคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดอื่น ๆ ชะลอตัวด้านการเดินทาง จากการสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (Summer holiday) ซึ่งเป็นแนวโน้มปกติของการเดินทาง ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งสิ้น 506,115 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 56,755 คน หรือ 10.08% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เฉลี่ยวันละ 72,302 คน โดย 5 อันดับแรก ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย 100,600 คน จีน 70,847 คน รัสเซีย 37,402 คน อินเดีย 24,749 คน และญี่ปุ่น 20,027 คน (อินโฟเควสท์)
งบฯ ปี 69 ไม่สะดุด หลังสว. ผ่านฉลุย 151 เสียง ที่ประชุมวุฒิสภา เห็นชอบกับร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ด้วยมติ 151 เสียง ต่อไม่เห็นด้วย 1 เสียง และงดออกเสียง 27 เสียง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะผู้แทนรัฐบาล กล่าวขอบคุณ สว. ที่พิจารณาเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 69 เครื่องมือสำคัญขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาต่าง ๆ ขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจยั่งยืน สำหรับข้อคิดเห็น ข้อเสนอและความห่วงใยที่เสนอแนะรัฐบาลรับไว้ด้วยความขอบคุณ ประกอบกับจะนำการพิจารณาไปปรับปรุงหน่วยรับงบประมาณเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด "ขอให้ความมั่นใจว่านโยบายและงบประมาณที่ผ่านพิจารณา ใช้ตามแผนงานและวัตถุประสงค์ รัฐบาลใช้งบประมาณโปร่งใส ตรวจสอบได้ บรรลุผลสัมฤทธิ์ เพื่อขับเคลื่อนประเทศ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว" นายพิชัย กล่าว (อินโฟเควสท์)
สภาฯ นัดประชุมวิป 2 ฝ่ายพรุ่งนี้ เคาะวันโหวตนายกฯ คนใหม่ ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (3 ก.ย.) เวลา 10.00 น. นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ได้เชิญคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร (วิป) 2 ฝ่ายประชุม โดยมีวาระการพิจารณาเรื่องการกำหนดวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (อินโฟเควสท์)
สส.เพื่อไทย เข้าชื่อด่วนชงศาล รธน.วินิจฉัยอำนาจตุลาการหมดวาระวินิจฉัยคดี "อุ๊งอิ๊งค์" กลุ่ม สส.เพื่อไทย 20 คน นำโดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นประธานวิปรัฐบาล ได้ทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาวินิจฉัยกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6 ต่อ 3 เสียงให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่อาจส่งผลต่อความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวคือได้มีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.68 เป็นต้นไป แทนนายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง ดังนั้น แม้ตามมาตรา 27 วรรคสอง แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 จะบัญญัติให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ก็ตาม แต่เนื่องจากเรื่องพิจารณาที่ 17/2568 เป็นคดีที่มีความสำคัญ เมื่อได้รับทราบประกาศพระบรมราชโองการแล้วแต่งตั้ง นายสราวุธแล้ว จึงไม่ควรที่จะให้นายปัญญาพ้นจากตำแหน่งตามวาระเข้าพิจารณาคดีที่มีความสำคัญดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
ไร้ข้อสรุป!! ปชน.ขอเปิดรับความเห็นสมาชิกพรรคต่อก่อนชง กก.บห. ตัดสินพรุ่งนี้ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ยืนยันว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรควันนี้ ยังไม่ได้มีมติการตัดสินใจไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งว่าจะสนับสนุนพรรคใดจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคจะยังคงเปิดให้สมาชิกพรรคและเครือข่าย ได้แสดงความคิดเห็นอย่างต่ออีก 1 วัน ก่อนที่จะนำไปสู่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในวันพรุ่งนี้ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาพยายามเปิดรับฟังความเห็นจากทุกองคาพยพ และที่ประชุมมีความเห็นตรงกันที่จะให้เปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกตอบกลับมาแล้วราว 2 หมื่น จากสมาชิกทั่วประเทศ 1.05 แสนคน ซึ่งอยากให้สมาชิกที่เหลืออีก 8 หมื่นคนได้แสดงความคิดเห็น นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค ปชน. กล่าวว่า จุดยืนของพรรคคือการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ หากผู้มีอำนาจไม่ตัดสินใจกระบวนการต่าง ๆ นาฬิกาก็จะเดินหน้าต่อไป พร้อมยืนยันว่า พรรคประชาชนไม่ไว้วางใจทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ไม่เคยลืมข้อกังวลในอดีต เราจึงต้องหากลไกที่จะควบคุมรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยยึดเงื่อนไข 3 ข้อเช่นเดิมที่มีความขัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากมีมติว่าจะสนับสนุนใครแล้วก็จะมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีการเซ็นสัญญาในวันพรุ่งนี้หรือไม่ โฆษกพรรค ปชน. กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่ร่วมรัฐบาลว่า ต้องการรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชนว่าขอทำหน้าที่ฝ่ายค้าน จึงไม่ต้องการทำผิดคำพูด และหากเข้าร่วมรัฐบาลจะไม่สามารถควบคุมได้ และเชื่อว่ารัฐบาลที่ดีจะมาหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า (อินโฟเควสท์)
"เพื่อไทย" ง้างรอยุบสภา! รอพรรคส้มเคาะเลือกโหวตหนุนนายกฯ นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมเดินหน้าขั้นตอนยุบสภา ภายหลังมีกระแสข่าวสะพัดในช่วงเย็นวันนี้ว่าพรรคประชาชน (ปชน.) มีมติโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 แต่ขอให้รอมติอย่างเป็นทางการจากพรรคประชาชนก่อน กระบวนการได้ดำเนินการไปแล้ว แต่รอดูว่าจะเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังทำอยู่ คือ พยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้ประเทศ แต่ทั้งหมดเป็นอำนาจของนายภูมิธรรม เวชยชัย ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดต้องใช้เวลา แต่ไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนใด ซึ่งเรื่องนี้นายภูมิธรรม ได้วางแผนและดำเนินการอยู่ "เราดำเนินการอยู่แล้ว ไม่ใช่การออกมาขู่ ทางออกที่ดีที่สุดของประเทศ คือ การคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เราต้องทำอย่างรอบคอบ และระมัดระวังที่สุด"นายสรวงศ์ กล่าว "อย่างที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ได้บอกไว้ว่าหากยุบได้เลย ก็ยุบ พวกเราอยากให้เป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ได้อยากให้รู้ว่าใครจะชิงอะไรก่อนทั้งสิ้น ทั้งหมด เรามองว่าประเทศอยู่ในจุดที่จะต้องตัดสินใจ เพราะฉะนั้น ขอดูว่าเป็นมติของพรรคประชาชนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงมติของคณะกรรมการบริหารพรรค" เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว และระบุว่า ขณะนี้ทุกพรรคมีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง และพร้อมที่จะทำงานต่อด้วย ไม่ว่าสถานการณ์ใดพร้อมหมด (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 4.30 จุด แรงซื้อหุ้นกลุ่มปิโตรฯหนุน คาดหวังการเมืองชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์ SET ปิดวันนี้ที่ 1,248.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด (+0.35%) มูลค่าซื้อขาย 34,424.58 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยแกว่งออกข้างอิงแดนบวก คาดหวังการเมืองผ่อนคลายหรือมีทิศทางดีขึ้นเก็งทิศทางชัดภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ระยะสั้นหากยังไม่ชัดเจนอาจทำให้อัพไซด์จำกัด วันนี้ตลาดได้แรงหนุนจากกลุ่มปิโตรเคมีหลังญี่ปุ่นลดกำลังผลิตตามเกาหลีใต้ แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งออกข้าง เกาะติด Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐและตัวเลข PMI สหรัฐ ให้กรอบแนวรับ 1,244 - 1240 จุด และแนวต้าน 1,250 จุด ถัดไป 1,260 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวแดนบวก โดยทำจุดต่ำสุด 1,243.48 จุด และทำจุดสูงสุด 1,253.60 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 271 หลักทรัพย์ ลดลง 174 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 204 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.38 อ่อนค่าหลังทองย่อตัว จับตาดัชนี ISM สหรัฐ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.25-32.45 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.38 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.30 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทอ่อนค่า ตามสถานการณ์ราคาทองคำที่ย่อตัวลง โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.26 - 32.38 บาท/ดอลลาร์ ส่วนผลการลงมติของพรรคพลังประชาชน ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นแคนดิเดตของพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคเพื่อไทยก็ตามนั้น มีผลจำกัดต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท แต่เชื่อว่าจะมีผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยมากกว่า ขณะที่คืนนี้ ตลาดรอการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) เดือนส.ค. นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.45 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 116,679 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 116,679 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 43,343 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 556 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,403 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.13% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จาก S&P Global ญี่ปุ่น
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนส.ค.จากไฉซิน จีน
- ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จาก HSBC
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จาก HCOB ฝรั่งเศส
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จาก HCOB เยอรมนี
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จาก HCOB ยุโรป
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จาก S&P Global อังกฤษ
- ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนก.ค. สหรัฐฯ
- ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ค. สหรัฐฯ
- รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สหรัฐฯ