สหรัฐฯ
สหรัฐเผยยอดค้าปลีก +0.5% เดือนก.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือนมิ.ย. หากไม่รวมยอดขายน้ำมันและรถยนต์ ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
ม.มิชิแกนเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำกว่าคาดในเดือนส.ค. ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 58.6 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 61.9 จากระดับ 61.7 ในเดือนก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.9% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ค.ที่ระดับ 4.5% นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.9% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ค.ที่ระดับ 3.4% (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.4% เดือนก.ค. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าลดลง 0.2% ในเดือนก.ค. หลังจากลดลง 0.2% เช่นกันในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนมิ.ย. สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.1% ยอดขายในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนพ.ค. นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.38 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก ลดลงจากระดับ 1.39 เดือนในเดือนพ.ค. ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ค. ทั้งนี้ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค การผลิตในภาคเหมืองแร่ลดลง 0.4% ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคลดลง 0.2% ส่วนการผลิตของภาคโรงงานทรงตัวในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี การผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ค. (อินโฟเควสท์)
เฟดนิวยอร์คเผยดัชนีภาคการผลิตสูงกว่าคาดในเดือนส.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) พุ่งขึ้นสู่ระดับ +11.9 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2567 จากระดับ +5.5 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -1.2 ดัชนีดีดตัวสูงกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก (อินโฟเควสท์)
ปธ.เฟดซานฟรานฯ หนุนลดดอกเบี้ย 2 ครั้งปีนี้ หลังตลาดแรงงาน-ศก.สหรัฐฯ ชะลอตัว แมรี ดาลี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโกให้สัมภาษณ์หลังการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่แสดงถึงยอดค้าปลีกที่สูงกว่าคาด และราคาค้าส่งที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดในเดือนที่ผ่านมาว่า เธอยังคงสนับสนุนการเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินตั้งแต่เดือนหน้า ดาลีระบุว่า ตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแอและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สนับสนุนให้เฟดพิจารณาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งในปีนี้ ดาลีกล่าวกับมาเรีย บาร์ติโรมอ จาก Fox Business ในการให้สัมภาษณ์ที่ออกอากาศในวันศุกร์ (15 ส.ค.) ว่า เฟดจะรอดูตัวเลขเศรษฐกิจก่อน ซึ่งบางทีการลดดอกเบี้ยอาจมากหรือน้อยกว่านี้ แต่โดยรวมแล้วจำนวนสองครั้งยังถือว่าเป็นการคาดการณ์ที่เหมาะสม ดาลียังอธิบายด้วยว่า สิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดคือ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่จะกลับมา หรืออยู่สูงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เฟดต้องรอความชัดเจน และไม่ดำเนินการเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน เธอสรุปว่าต้องการให้เฟดมุ่งสนับสนุนตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ แทนที่จะรอให้แน่ใจเรื่องเงินเฟ้อก่อนแล้วจึงค่อยตัดสินใจ (อินโฟเควสท์)
นักลงทุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งปีนี้ หลังดัชนี PPI พุ่งเกินคาด นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนก.ย.และต.ค. จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้ หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค. (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เผยยังไม่รีบเก็บภาษีจีนปมซื้อน้ำมันรัสเซีย แต่อาจพิจารณาเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน กำลังหารือกันเพื่อจัดทำข้อตกลงทางการค้าที่อาจช่วยบรรเทาความตึงเครียดและลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์ใช้มาตรการลงโทษอย่างเต็มรูปแบบ จีนอาจกลายเป็นเป้าหมายสำคัญรองจากรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนที่กำลังเผชิญภาวะชะลอตัว เมื่อถูกผู้สื่อข่าวจาก Fox News ถามว่า เขากำลังพิจารณามาตรการภาษีแบบเดียวกันกับจีนหรือไม่ หลังจากที่การเจรจากับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติหรือชะลอความรุนแรงในยูเครน ทรัมป์ตอบว่า การหารือกับปูตินทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเร่งตัดสินใจทันที และอาจกลับมาพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งภายในสองถึงสามสัปดาห์ โดยมองว่าการพบปะกันครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งนี้ ทรัมป์ระบุว่า เขาไม่ได้มีแผนจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ต่อประเทศต่าง ๆ เช่น จีนในทันที จากกรณีการซื้อน้ำมันของรัสเซีย แต่ก็ไม่ปิดโอกาสที่จะพิจารณาดำเนินการในระยะเวลาอันใกล้ (อินโฟเควสท์)
ต่างชาติแห่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่าพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิ.ย. ที่ 9.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 9.05 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 10% โดยมูลค่ารวมเกินกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ญี่ปุ่นยังครองตำแหน่งผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าระดับสูงสุดทำสถิติใหม่ที่ 1.147 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์จากเดือนพ.ค. ขณะที่สหราชอาณาจักรในฐานะผู้ถือครองรายใหญ่อันดับ 2 เพิ่มการถือครองขึ้นแตะ 8.581 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.6% จาก 8.094 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. โดยสหราชอาณาจักรแซงหน้าจีนขึ้นมาอยู่ในอันดับนี้ตั้งแต่เดือนมี.ค. และมักถูกใช้เป็นศูนย์กลางเก็บรักษาหลักทรัพย์ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เช่นเดียวกับหมู่เกาะเคย์แมนและบาฮามาส จีนซึ่งปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 3 ได้เพิ่มการถือครองเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.564 แสนล้านดอลลาร์ จาก 7.563 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2552 โดยสต๊อกพันธบัตรลดลงแตะ 7.442 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งที่เคยถือครองสูงกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2555-2559 ซึ่งการลดการถือครองดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อหนุนค่าเงินหยวน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาหลังโควิด และข้อจำกัดด้านการค้า ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออก ข้อมูลยังชี้ว่า นักลงทุนต่างชาติรายอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ฮ่องกงและอินเดีย ปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เหลือ 2.426 แสนล้านดอลลาร์ และ 2.274 แสนล้านดอลลาร์ตามลำดับ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 34.86 จุด หุ้น UnitedHealth พุ่งหนุนตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (15 ส.ค.) หลังจากทำสถิติสูงสุดระหว่างวัน โดยได้แรงหนุนจากการที่หุ้น UnitedHealth พุ่งขึ้น หลังบริษัท Berkshire Hathaway เพิ่มการถือครอง ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ลดลง เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ผสมผสานกันทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,946.12 จุด เพิ่มขึ้น 34.86 จุด หรือ +0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,449.80 จุด ลดลง 18.74 จุด หรือ -0.29% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,622.98 จุด ลดลง 87.69 จุด หรือ -0.40% แต่ทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวขึ้นได้เป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน จากความคาดหวังว่า เฟดอาจกลับมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนก.ย. ความอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงหลัง และสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อจากภาษียังไม่สะท้อนในดัชนีราคาผู้บริโภคหลัก ทำให้นักลงทุนมั่นใจในโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า ขานรับแนวโน้มเฟดลดดอกเบี้ย, จับตาทรัมป์เจรจาปูติน สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (15 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า หลังการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ผสมผสานจากสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.41% แตะที่ระดับ 97.853 และอ่อนค่าลง 0.4% ในรอบสัปดาห์นี้ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าแตะ 147.21 เยนในวันศุกร์ (15 ส.ค.) จาก 147.88 เยนในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.), อ่อนค่าลงแตะ 0.8062 ฟรังก์สวิส จาก 0.8085 ฟรังก์สวิส และอ่อนค่าลงแตะ 1.3813 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.3814 ดอลลาร์แคนาดา ส่วนยูโรแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.1703 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1642 ดอลลาร์สหรัฐ และปอนด์แข็งค่าแตะ 1.3554 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.3533 ดอลลาร์สหรัฐ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองคำนิวยอร์กปิดลบ 60 เซนต์ ตลาดจับตาผลเจรจาทรัมป์-ปูติน สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันศุกร์ (15 ส.ค.) หลังข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดได้ลดความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนหันไปจับตาการเจรจาระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 60 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 3,382.60 ดอลลาร์/ออนซ์
บอนด์ยีลด์บวก ก่อนเผยตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในวันนี้ ณ เวลา 19.25 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.295% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.892% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ลอนดอนสูญงานเกือบ 4.5 หมื่นตำแหน่ง เหตุภาษีแพง-ค่าจ้างพุ่ง มหานครลอนดอนกลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการชะลอตัวของตลาดแรงงานในอังกฤษ หลังการปรับขึ้นภาษี การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ซบเซา ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องปรับลดจำนวนพนักงานมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ ข้อมูลจากกรมสรรพากรระบุว่า นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2567 กรุงลอนดอนสูญเสียตำแหน่งงานประจำเกือบ 45,000 ตำแหน่ง ภายหลังรัฐบาลพรรคแรงงานประกาศขึ้นภาษีสมทบประกันสังคมของนายจ้าง (payroll tax) มูลค่า 2.6 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์) โดย 1 ใน 4 ของการสูญเสียงานทั้งหมดในอังกฤษเกิดขึ้นในกรุงลอนดอน และหากรวมกับภูมิภาคเซาท์อีสต์ ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มเป็นเกือบ 40% ของตำแหน่งงานทั้งหมด ธุรกิจค้าปลีกและบริการเป็นภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) ที่เผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์นี้ และตำแหน่งงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในลอนดอน ขณะที่องค์กรยูเคฮอสพิทอลลิตี้ (UKHospitality) ระบุว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของแรงงานในภาคนี้อยู่ในเมืองหลวง เคต นิโคลส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ UKHospitality กล่าวว่า การรักษาธุรกิจผับและร้านอาหารให้ดำเนินต่อไปเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ โดยลอนดอนเป็นเมืองที่มีการแข่งขันต่ำที่สุดในยุโรปในแง่ของภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และลอนดอนสูญเสียงานในภาคบริการอาหารและเครื่องดื่มไปประมาณ 3 หมื่นตำแหน่งในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์หางานอินดีด (Indeed) ยังชี้ว่า จำนวนการประกาศรับสมัครงานในลอนดอนลดลงเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศนับตั้งแต่เดือนต.ค. โดยเฉพาะในภาคค้าปลีกและบริการที่ลดลงเกือบ 40% ในลอนดอน เมื่อเทียบกับการลดลงเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 26% และ 9% ตามลำดับ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนโฟกัสการเจรจาทรัมป์-ปูติน ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (15 ส.ค.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงินขนาดใหญ่ปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 553.56 จุด ลดลง 0.31 จุด หรือ -0.06% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,923.45 จุด เพิ่มขึ้น 53.11 จุด หรือ +0.67%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,359.30 จุด ลดลง 18.20 จุด หรือ -0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,138.90 จุด ลดลง 38.34 จุด หรือ -0.42% ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะไม่เจรจาแทนยูเครน และจะให้กรุงเคียฟเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนดินแดนกับรัสเซียหรือไม่ นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า หากมีความคืบหน้าในการลดความตึงเครียด ก็จะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มวัสดุ และหุ้นเติบโต ซึ่งถูกลงทุนค่อนข้างน้อยในยุโรป หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอวกาศและการป้องกันประเทศลดลง 0.8% ก่อนการประชุมสุดยอด หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 0.6% และฉุดดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลง หุ้น ASML บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก ลดลง 1% หลัง Applied Materials บริษัทคู่แข่งในสหรัฐฯ ปรับลดคาดการณ์กำไรไตรมาส 4 เนื่องจากความต้องการในจีนอ่อนแอและผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านภาษี โดยบริษัทดัตช์รายนี้เคยเตือนลักษณะเดียวกันในกลางเดือนก.ค. ว่าอาจไม่บรรลุเป้าหมายการเติบโตปี 2569 หุ้นชิป อาทิ BE Semiconductor และ ASMI ร่วงลง 3.3% และ 2.8% ตามลำดับ แต่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด 0.8% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 38.34 จุด หุ้นกลุ่มการเงินร่วงฉุดตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (15 ส.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มการเงิน หลังสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการสอบสวนธนาคาร Standard Chartered เรื่องการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,138.90 จุด ลดลง 38.34 จุด หรือ -0.42% แต่ยังคงปิดบวก 0.5% ในรอบสัปดาห์นี้ อีลิส สเตฟานิก ตัวแทนพรรครีพับลิกันจากนิวยอร์ก เรียกร้องให้มีการสอบสวน Standard Chartered ส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารปิดตลาดร่วงลง 7.2% ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง 1.9% แต่บวก 0.4% ในรอบสัปดาห์นี้ และเพิ่มขึ้น 31.5% ตลอดปีนี้ หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอวกาศและการป้องกันประเทศลดลง 1.7% ก่อนการประชุมครั้งสำคัญระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียที่รัฐอะแลสกา โดยนักลงทุนจับตาสัญญาณความคืบหน้าของข้อตกลงสันติภาพใด ๆ ซึ่งอาจกำหนดทิศทางตลาดในสัปดาห์หน้า แม้ลดลงในวันศุกร์ แต่หุ้นกลุ่มป้องกันประเทศปรับตัวขึ้น 71% แล้วในปีนี้ จากการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศของรัฐบาล และปิดสัปดาห์นี้บวก 0.7% หุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้น 0.8% ขณะที่นักลงทุนคาดว่า หากมีการหยุดยิงเกิดขึ้นในยูเครน มาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออกน้ำมันรัสเซียอาจ คลายตัว ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันรัสเซียเข้าสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น หุ้นเหมืองโลหะอุตสาหกรรมช่วยหนุนตลาด โดยเพิ่มขึ้น 1.4% หลังข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอจากจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ ทำให้เกิดความหวังว่ารัฐบาลจีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเผย GDP โตเกินคาด 1% ใน Q2/68 แม้เศรษฐกิจถูกกระทบจากภาษีทรัมป์ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (15 ส.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 1.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายติดต่อกัน 5 ไตรมาส และแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 0.4% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของการลงทุนด้านทุน (capital investment) แม้การชะลอตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคจะยังคงฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจก็ตาม เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส GDP ขยายตัว 0.3% ในไตรมาส 2 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 0.1% และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 0.1% ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า GDP ของญี่ปุ่นยังสามารถขยายตัวได้ดีในไตรมาส 2 แม้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ต้องพึ่งพาการส่งออก นอกจากนี้ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การลงทุนด้านทุนปรับตัวขึ้น 1.3% ในไตรมาส 2 ซึ่งปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 ไตรมาส ขณะที่การส่งออกดีดตัวขึ้น 2% และการนำเข้าขยับขึ้น 0.6% สำหรับองค์ประกอบด้านอื่น ๆ ที่ใช้ในการคำนวณตัวเลข GDP นั้น การอุปโภคบริโภคในภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของราคาอาหารและของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดทำนิวไฮ ขานรับ GDP แกร่งเกินคาด ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในวันนี้ (15 ส.ค.) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2568 ที่ขยายตัวดีเกินคาด ซึ่งช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 43,378.31 จุด เพิ่มขึ้น 729.05 จุด หรือ +1.71% หุ้นที่ปรับตัวขึ้นนำโดยกลุ่มธนาคาร กลุ่มโลหะที่ไม่มีส่วนผสมของกลุ่มเหล็ก และกลุ่มประกันภัย (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนเผยยอดค้าปลีก-การผลิตอุตสาหกรรมเดือนก.ค.โตต่ำกว่าคาด บ่งชี้ศก.อ่อนแอ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (15 ส.ค.) ว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 3.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราต่ำสุดในปีนี้ และชะลอตัวลงอย่างมากจากเดือนมิ.ย.ที่เพิ่มขึ้น 4.8% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ปรับตัวขึ้น 5.7% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว อีกทั้งอ่อนแอกว่าในเดือนมิ.ย.ที่พุ่งขึ้น 6.8% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 6% ด้านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นเพียง 1.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7% และชะลอตัวลงจากในช่วง 6 เดือนแรกที่มีการขยายตัว 2.8% ส่วนอัตราว่างงานในพื้นที่เขตเมืองอยู่ที่ระดับ 5.2% ในเดือนก.ค. ซึ่งปรับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากเคลื่อนไหวที่ะระดับ 5% ทั้งในเดือนพ.ค.และมิ.ย. ขณะที่อัตราว่างงานในกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 14% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ข้อมูลที่มีการเปิดเผยล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนเริ่มอ่อนแอลงในขณะนี้ หลังจากที่ฟื้นตัวในช่วงต้นปี ซึ่งอาจเปิดทางให้รัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (อินโฟเควสท์)
จีนเผยราคาบ้าน-การลงทุนอสังหาฯ ลดฮวบเดือนก.ค. หลังมาตรการกระตุ้นคว้าน้ำเหลว สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (15 ส.ค.) ว่า ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองของจีน ซึ่งไม่รวมที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ปรับตัวลง 0.31% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 9 เดือน และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมานั้น ยังไม่สามารถพลิกฟื้นตลาดที่อยู่อาศัย รายงานยังระบุด้วยว่า การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนลดลง 12% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ปรับตัวลง 11.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในแง่ของพื้นที่ใช้สอย ลดลง 4.0% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ หลังจากที่ลดลง 3.5% ในช่วง 6 เดือนแรก ขณะที่ตัวเลขการเริ่มก่อสร้างใหม่ในแง่ของพื้นที่ใช้สอย ปรับตัวลง 19.4% ในช่วง 7 เดือนแรก หลังจากที่ร่วงลง 20% ในช่วง 6 เดือนแรก ส่วนเงินทุนที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีนระดมได้ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 7.5% หลังจากที่ลดลง 6.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี (อินโฟเควสท์)
จีนเตรียมออกวีซ่าประเภทใหม่ มุ่งเน้นเยาวชนเก่งวิทย์-เทคโนโลยี จีนเตรียมออกวีซ่าประเภทใหม่สำหรับเยาวชนผู้มีความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลังจากหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้ลงนามคำสั่งคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศมติแก้ไขระเบียบการบริหารจัดการการเดินทางเข้าและออกประเทศของชาวต่างชาติ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนจะเพิ่มวีซ่าประเภทเค (K) ในวีซ่าธรรมดาสำหรับเยาวชนผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ โดยผู้ประสงค์ขอวีซ่านี้ต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามข้อกำหนดของทางการจีนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงยื่นเอกสารประกอบตามที่กำหนด ทั้งนี้ กฎระเบียบใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. 2568 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 30.33 จุด รับความหวังจีนกระตุ้นศก. ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (15 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเกินคาดหลายรายการในวันนี้ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,696.77 จุด เพิ่มขึ้น 30.33 จุด หรือ +0.83 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 249.25 จุด หลังข้อมูลศก.จีนซบเซา ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (15 ส.ค.) หลังจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการที่บ่งชี้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนเริ่มอ่อนแอลง หลังจากที่ฟื้นตัวในช่วงต้นปี ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,270.07 จุด ลดลง 249.25 จุด หรือ -0.98% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
S&P ปรับเพิ่มอันดับเครดิตอินเดียเป็น "BBB" ชมเศรษฐกิจยืดหยุ่น-การคลังแกร่ง เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ประกาศเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของอินเดียสู่ระดับ "BBB" จากระดับ "BBB-" โดยระบุว่าเศรษฐกิจอินเดียมีความยืดหยุ่น และสถานะการคลังยังคงแข็งแกร่ง เอสแอนด์พีระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) ว่า การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมด้านนโยบายการเงินที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อ และเมื่อพิจารณาถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างสถานะการคลังให้แข็งแกร่ง ตลอดจนความพยายามในการปรับปรุงคุณภาพการใช้จ่ายแล้ว เอสแอนด์พีเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นแรงหนุนอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดีย นอกจากนี้ เอสแอนด์พีระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียอาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีก หากการขาดดุลการคลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้หนี้สินรวมของรัฐบาลลดลงต่ำกว่า 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หลังจากการประกาศดังกล่าว สกุลเงินรูปีของอินเดียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 87.58 รูปีต่อดอลลาร์ จากระดับ 87.66 รูปีต่อดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลง 0.07% สู่ระดับ 6.38% ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เอสแอนด์พีได้ปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียจาก "มีเสถียรภาพ" เป็น "เชิงบวก" เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและคุณภาพการใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวดีขึ้น (อินโฟเควสท์)
“โมดี" หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร ขณะขัดแย้งสหรัฐฯ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียเรียกร้องให้อินเดียเพิ่มการพึ่งพาตนเองมากขึ้นด้วยการผลิตทุกอย่าง ตั้งแต่ปุ๋ยไปจนถึงเครื่องยนต์เจ็ตและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมให้คำมั่นว่าจะปกป้องเกษตรกรท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งนี้ โมดีกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันประกาศอิสรภาพหรือวันชาติของอินเดียในวันนี้ (15 ส.ค.) ขณะที่อินเดียเผชิญปัญหาภาษีศุลกากรสูงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าของอินเดีย และความล้มเหลวในการเจรจาการค้าซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความแตกต่างเรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ โมดีกล่าวว่า เกษตรกร ชาวประมง และผู้เลี้ยงสัตว์ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุดของประเทศ และยืนยันว่าเขาจะเป็นเหมือนกำแพงปกป้องนโยบายใด ๆ ที่คุกคามผลประโยชน์ของพวกเขา โดยอินเดียจะไม่ประนีประนอมเมื่อเกี่ยวข้องกับการปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกร อย่างไรก็ตาม ในการแถลงสุนทรพจน์ซึ่งยาวเกือบสองชั่วโมง โมดีไม่ได้กล่าวถึงภาษีหรือสหรัฐฯ โดยตรง (อินโฟเควสท์)
อินโดนีเซียชงลดค่าไฟกระตุ้นการบริโภค ซูซิวิโจโน โมเอเกียร์โซ ปลัดกระทรวงประสานงานกิจการเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาเปิดตัวนโยบายลดค่าไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการบริโภค นโยบายดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยมาตรการลักษณะนี้จะเป็นกุญแจสำคัญไปสู่การส่งเสริมการบริโภค รักษาอำนาจซื้อ และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เขาเน้นย้ำว่า มาตรการกระตุ้นดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน อย่างไรก็ตาม เขายังคงเตือนว่า มาตรการนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น เนื่องจากต้องใช้เงินทุนของรัฐ "หลายด้านยังจำเป็นต้องประเมินให้ดี เพราะค่าไฟได้รับเงินอุดหนุนและเงินชดเชยด้านพลังงานอยู่แล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาในเชิงลึก เนื่องจากมีการอุดหนุนค่าชดเชยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงยังคงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ" ซูซิวิโจโนกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ทางการอินโดนีเซียเคยใช้การลดค่าไฟเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้วตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.พ. ปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ผู้นำเกาหลีใต้หนุนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ หวังส่งเสริมการบริโภค ประธานาธิบดีอี แจมยอง ผู้นำเกาหลีใต้ แสดงท่าทีสนับสนุนความจำเป็นในการออกมาตรการกระตุ้นชุดใหม่เพื่อส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศเมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) โดยระบุว่า การฟื้นตัวของการบริโภคเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคง อีเปิดเผยถ้อยแถลงดังกล่าวในการประชุมกับบรรดาผู้ช่วยระดับสูงเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้นจากนโยบายแจกเงินสดเมื่อเร็ว ๆ นี้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้หาหนทางในการเพิ่มการผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศในปี 2578 ซึ่งต้องรายงานต่อสหประชาชาติ (UN) ในปีนี้ อีกล่าวว่า "ผลบวกจากคูปองบริโภคเริ่มแสดงให้เห็นแล้ว และเราต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้" และชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 4 ปีในเดือนก.ค. และ 55.8% ของเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กระบุว่า มียอดขายเพิ่มขึ้น เมื่อเดือนที่แล้ว ทางการเกาหลีใต้เริ่มแจกเงินสดมูลค่า 150,000 วอน (108 ดอลลาร์) พร้อมความช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับบุคคลผู้มีรายได้ต่ำ และครอบครัวของพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว อี คยู-ยุน เลขานุการอาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์และการสื่อสารกล่าวกับนักข่าวว่า "ปธน.เน้นย้ำว่า ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ และเรียกร้องให้พลิกวิกฤตด้านสภาพอากาศสู่โอกาสในการเติบโต" นอกจากนี้ อียังชี้อีกว่า การบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจนำไปสู่ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบและขอการสนับสนุนจากพวกเขา (อินโฟเควสท์)
บริษัทเกาหลีใต้ผลิตแบตเตอรี่ลดลงต่อเนื่อง หลังตลาด EV ซบเซาทั่วโลก ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ในเกาหลีใต้ต่างรายงานว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก อันเนื่องมาจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ลดลงทั่วโลก บริษัท แอลจี เอเนอร์จี โซลูชัน จำกัด (LG Energy Solution Ltd. หรือ LGES) ผู้นำในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของเกาหลีใต้ ระบุในรายงานครึ่งปีว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 51.3% ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 73.6% ในปี 2565, 69.3% ในปี 2566 และ 57.8% ในปี 2567 ขณะเดียวกัน บริษัท ซัมซุง เอสดีไอ (Samsung SDI Co.) ระบุในรายงานครึ่งปีว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานแบตเตอรี่ขนาดเล็กลดลงเหลือ 44% ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. เทียบกับ 58% ในปีที่แล้ว แม้ว่ารายงานไม่ได้เปิดเผยอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานแบตเตอรี่ขนาดกลางและขนาดใหญ่ แต่คาดว่าน่าจะลดลงเช่นกัน ด้านบริษัท เอสเค ออน (SK On Co.) เปิดเผยว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานฟื้นตัวสู่ระดับ 52.2% ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. เทียบกับ 43.6% ในปีที่แล้ว แต่ก็ยังลดลงอย่างมากจากระดับ 87.7% ในปี 2566 ก่อนหน้านี้ คิม ดง-มยอง ซีอีโอของบริษัท LGES กล่าวว่า ความต้องการแบตเตอรี่ทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะลดลงสู่จุดต่ำสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ก่อนที่ตลาดจะกลับมาฟื้นตัว โดยอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในปี 2569 (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ยกหูหารือเซเลนสกี พร้อมผู้นำยุโรป-นาโต หลังเจรจาปูตินไร้ข้อตกลง การประชุมสุดยอดระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในรัฐอะแลสกา จบลงโดยไม่มีข้อตกลงใด ๆ เพื่อยุติหรือชะลอสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้ทั้งสองฝ่ายระบุว่าการหารือเป็นไปอย่างได้ผลดีก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ หลังจากการพูดคุยนานเกือบ 3 ชั่วโมง ทั้งคู่ได้ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า มีความคืบหน้าในบางประเด็น แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมและไม่ได้ตอบคำถามจากสื่อ ในระหว่างเดินทางกลับถึงกรุงวอชิงตันเช้าวันนี้ (16 ส.ค.) ทรัมป์ได้โทรศัพท์หารือกับบรรดาผู้นำประเทศพันธมิตร เพื่อรายงานความคืบหน้าจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้ โดย อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนทนา ขณะที่เจ้าหน้าที่นาโตเผยว่า มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการนาโต และทำเนียบเอลีเซ่ยืนยันว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสก็เข้าร่วมการสนทนาด้วย ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการยุโรประบุเพิ่มเติมว่าผู้นำจากเยอรมนี ฟินแลนด์ โปแลนด์ อิตาลี และสหราชอาณาจักร ก็มีส่วนร่วมในการพูดคุยด้วย นอกจากนี้ รายงานของสื่อออนไลน์ Axios ชี้ว่า ทรัมป์ได้สนทนากับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน และผู้นำยุโรปคนอื่น ๆ รวมเวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง และต่อมาเซเลนสกีประกาศว่า เขาจะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในวันจันทร์ (18 ส.ค.) (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ตลาดหุ้นอินเดียปิดทำการวันนี้ (15 ส.ค.) เนื่องในวันชาติ (Independence Day) (อินโฟเควสท์)
ไทย
ขุนคลังขอบคุณสภาไฟเขียวร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านลบ. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีการตั้งวงเงินงบประมาณ จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งที่ประชุมสภาฯ ใช้เวลาอภิปรายตลอด 3 วัน ระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม ก่อนลงมติเมื่อคืนวานนี้ (15 ส.ค.) ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติวาระ 3 ด้วยคะแนน เห็นด้วย 257 เสียง ไม่เห็นด้วย 229 เสียง งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนนเสียง 0 จากจำนวนผู้ลงมติ 487 คน ผลการลงมติในครั้งนี้ถือว่าสภาฯ ผ่าน ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระที่ 2-3 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,780,600 ล้านบาท (อินโฟเควสท์)
คดีฮั้วเลือก สว. DSI จ่อออกหมายเรียกผู้สมัคร สว.เพิ่มอีกกว่า 1,200 คน สอบเชื่อมโยงเส้นเงิน ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้รับทราบรายงานความคืบหน้าคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐานอั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นความคืบหน้าของการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.68 ถึงปัจจุบัน โดยได้มีการสอบพยานที่เกี่ยวข้องไปทั้งสิ้น 90 ปาก มีการจัดทำเหตุการณ์จำลอง ทั้งสถานที่ใช้ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาและกระบวนการคัดเลือก พร้อมขอรับภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่เกี่ยวข้องในวันเกิดเหตุจากหลายหน่วยงาน มีการตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน ทั้งนี้เพื่อพิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ของกลุ่มขบวนการได้มีการตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์จากข้อมูลการสืบสวนพบว่ามีผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด การดำเนินการในลำดับต่อไปทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ เตรียมออกหมายเรียกผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาอีก 1,200 คน เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากทางคดีมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มอบหน่วยงานภายในสังกัด รวม 10 กองคดีที่เป็นคณะพนักงานสอบสวนเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ (อินโฟเควสท์)
ผู้เลี้ยงหมูอีสาน จี้รัฐหยุดดีลนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ หวั่นกระทบห่วงโซ่การผลิตทั้งระบบ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกร้องรัฐบาลไทยขอให้ทบทวนและถอดเนื้อหมูออกจากบัญชีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ภายใต้กรอบการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ หวั่นหากยังเดินหน้าตามข้อเสนอเดิม อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเกษตรไทยมากกว่า 120,000 ล้านบาท และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตทั้งระบบ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่อาจต้องสูญเสียอาชีพอย่างถาวร นายชยุต รุ่ง-พัฒนาชัยกุล นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ แม้เพียง 1% ของการบริโภคในประเทศ หรือประมาณ 10,000 ตัน เท่ากับ 10 ล้านกิโลกรัม จะกลายเป็นตัวเร่งให้ราคาหมูในประเทศตกต่ำทันที และกระทบต่อผู้เลี้ยงรายย่อยกว่า 145,000 รายทั่วประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯ มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นผู้ผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก และยังได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทำให้สามารถ "ดั๊มพ์" ราคาหมูส่งออกได้ต่ำกว่าต้นทุนจริงโดยเฉพาะชิ้นส่วนที่คนอเมริกันไม่กิน หากไทยยอมให้สหรัฐฯ และสหรัฐได้สิทธิพิเศษทางภาษีที่ 0% เท่ากับเปิดทางให้หมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทำลายอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยตรง นอกจากนี้ ประเทศไทยมีจุดยืนชัดเจนในการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine) เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน ขณะที่สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวในอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู การเปิดทางให้นำเข้าหมูจากสหรัฐฯ จึงเท่ากับ ย้อนแย้งกับนโยบายสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในระยะยาว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 7.25 จุด บาทอ่อนกดดัน Fund Flow ไหลออก-ความหวังเฟดหั่นดอกเบี้ยลดลง จับตา GDP ไทย SET ปิดวันนี้ที่ 1,259.42 จุด ลดลง 7.25 จุด (-0.57%) มูลค่าซื้อขาย 48,320.80 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงเริ่มมีแรงกดดันให้ Fund Flow ไหลออกหลังเงินบาทกลับมาอ่อนค่า และดัชนี PPI สหรัฐสูงกว่าคาดกระทบการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ขณะที่ valuation หุ้นไทยแพงและขาดปัจจัยหนุนใหม่ ๆ หลังรับรู้ข่าวดีไปหมดแล้ว แนวโน้มสัปดาห์หน้าแนะติดตาม GDP ไทย และประชุมเฟดรอบ Jackson Hole ให้กรอบแนวรับ 1,230 จุด แนวต้าน 1,280 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลง โดยทำระดับสูงสุด 1,270.89 จุด และต่ำสุด 1,253.51 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 232 หลักทรัพย์ ลดลง 258 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 158 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.43 แกว่งแคบเกาะกลุ่มภูมิภาค รอปัจจัยใหม่หนุนทิศทาง คาดกรอบสัปดาห์หน้า 32.30-32.50 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.43 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.46 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปกับค่าเงินภูมิภาค ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.41 - 32.46 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตร 2.2 พันล้านบาท "บาทขยับแข็งค่าจากช่วงเช้าเล็กน้อยแต่ยังเกาะกลุ่มไปกับค่าเงินภูมิภาค วันนี้บาทแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ รอปัจจัยชี้นำใหม่เข้ามา" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันจันทร์ไว้ที่ 32.30 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 72,316 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 72,316 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 7,876 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ขายสุทธิ 110 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 2,262 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.18% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
สหรัฐเผยยอดค้าปลีก +0.5% เดือนก.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือนมิ.ย. หากไม่รวมยอดขายน้ำมันและรถยนต์ ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
ม.มิชิแกนเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำกว่าคาดในเดือนส.ค. ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 58.6 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 61.9 จากระดับ 61.7 ในเดือนก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.9% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ค.ที่ระดับ 4.5% นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.9% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ค.ที่ระดับ 3.4% (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.4% เดือนก.ค. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าลดลง 0.2% ในเดือนก.ค. หลังจากลดลง 0.2% เช่นกันในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนมิ.ย. สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.1% ยอดขายในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนพ.ค. นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.38 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก ลดลงจากระดับ 1.39 เดือนในเดือนพ.ค. ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ค. ทั้งนี้ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค การผลิตในภาคเหมืองแร่ลดลง 0.4% ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคลดลง 0.2% ส่วนการผลิตของภาคโรงงานทรงตัวในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี การผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ค. (อินโฟเควสท์)
เฟดนิวยอร์คเผยดัชนีภาคการผลิตสูงกว่าคาดในเดือนส.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) พุ่งขึ้นสู่ระดับ +11.9 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2567 จากระดับ +5.5 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -1.2 ดัชนีดีดตัวสูงกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก (อินโฟเควสท์)
ปธ.เฟดซานฟรานฯ หนุนลดดอกเบี้ย 2 ครั้งปีนี้ หลังตลาดแรงงาน-ศก.สหรัฐฯ ชะลอตัว แมรี ดาลี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโกให้สัมภาษณ์หลังการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่แสดงถึงยอดค้าปลีกที่สูงกว่าคาด และราคาค้าส่งที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดในเดือนที่ผ่านมาว่า เธอยังคงสนับสนุนการเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินตั้งแต่เดือนหน้า ดาลีระบุว่า ตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแอและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สนับสนุนให้เฟดพิจารณาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสองครั้งในปีนี้ ดาลีกล่าวกับมาเรีย บาร์ติโรมอ จาก Fox Business ในการให้สัมภาษณ์ที่ออกอากาศในวันศุกร์ (15 ส.ค.) ว่า เฟดจะรอดูตัวเลขเศรษฐกิจก่อน ซึ่งบางทีการลดดอกเบี้ยอาจมากหรือน้อยกว่านี้ แต่โดยรวมแล้วจำนวนสองครั้งยังถือว่าเป็นการคาดการณ์ที่เหมาะสม ดาลียังอธิบายด้วยว่า สิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดคือ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่จะกลับมา หรืออยู่สูงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เฟดต้องรอความชัดเจน และไม่ดำเนินการเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน เธอสรุปว่าต้องการให้เฟดมุ่งสนับสนุนตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ แทนที่จะรอให้แน่ใจเรื่องเงินเฟ้อก่อนแล้วจึงค่อยตัดสินใจ (อินโฟเควสท์)
นักลงทุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งปีนี้ หลังดัชนี PPI พุ่งเกินคาด นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนก.ย.และต.ค. จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้ หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค. (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เผยยังไม่รีบเก็บภาษีจีนปมซื้อน้ำมันรัสเซีย แต่อาจพิจารณาเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน กำลังหารือกันเพื่อจัดทำข้อตกลงทางการค้าที่อาจช่วยบรรเทาความตึงเครียดและลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์ใช้มาตรการลงโทษอย่างเต็มรูปแบบ จีนอาจกลายเป็นเป้าหมายสำคัญรองจากรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนที่กำลังเผชิญภาวะชะลอตัว เมื่อถูกผู้สื่อข่าวจาก Fox News ถามว่า เขากำลังพิจารณามาตรการภาษีแบบเดียวกันกับจีนหรือไม่ หลังจากที่การเจรจากับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติหรือชะลอความรุนแรงในยูเครน ทรัมป์ตอบว่า การหารือกับปูตินทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเร่งตัดสินใจทันที และอาจกลับมาพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งภายในสองถึงสามสัปดาห์ โดยมองว่าการพบปะกันครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งนี้ ทรัมป์ระบุว่า เขาไม่ได้มีแผนจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ต่อประเทศต่าง ๆ เช่น จีนในทันที จากกรณีการซื้อน้ำมันของรัสเซีย แต่ก็ไม่ปิดโอกาสที่จะพิจารณาดำเนินการในระยะเวลาอันใกล้ (อินโฟเควสท์)
ต่างชาติแห่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่าพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิ.ย. ที่ 9.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 9.05 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 10% โดยมูลค่ารวมเกินกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ญี่ปุ่นยังครองตำแหน่งผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าระดับสูงสุดทำสถิติใหม่ที่ 1.147 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์จากเดือนพ.ค. ขณะที่สหราชอาณาจักรในฐานะผู้ถือครองรายใหญ่อันดับ 2 เพิ่มการถือครองขึ้นแตะ 8.581 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.6% จาก 8.094 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. โดยสหราชอาณาจักรแซงหน้าจีนขึ้นมาอยู่ในอันดับนี้ตั้งแต่เดือนมี.ค. และมักถูกใช้เป็นศูนย์กลางเก็บรักษาหลักทรัพย์ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เช่นเดียวกับหมู่เกาะเคย์แมนและบาฮามาส จีนซึ่งปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 3 ได้เพิ่มการถือครองเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.564 แสนล้านดอลลาร์ จาก 7.563 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2552 โดยสต๊อกพันธบัตรลดลงแตะ 7.442 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งที่เคยถือครองสูงกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2555-2559 ซึ่งการลดการถือครองดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อหนุนค่าเงินหยวน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาหลังโควิด และข้อจำกัดด้านการค้า ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออก ข้อมูลยังชี้ว่า นักลงทุนต่างชาติรายอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ฮ่องกงและอินเดีย ปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เหลือ 2.426 แสนล้านดอลลาร์ และ 2.274 แสนล้านดอลลาร์ตามลำดับ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 34.86 จุด หุ้น UnitedHealth พุ่งหนุนตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (15 ส.ค.) หลังจากทำสถิติสูงสุดระหว่างวัน โดยได้แรงหนุนจากการที่หุ้น UnitedHealth พุ่งขึ้น หลังบริษัท Berkshire Hathaway เพิ่มการถือครอง ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ลดลง เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ผสมผสานกันทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,946.12 จุด เพิ่มขึ้น 34.86 จุด หรือ +0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,449.80 จุด ลดลง 18.74 จุด หรือ -0.29% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,622.98 จุด ลดลง 87.69 จุด หรือ -0.40% แต่ทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวขึ้นได้เป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน จากความคาดหวังว่า เฟดอาจกลับมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนก.ย. ความอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงหลัง และสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อจากภาษียังไม่สะท้อนในดัชนีราคาผู้บริโภคหลัก ทำให้นักลงทุนมั่นใจในโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า ขานรับแนวโน้มเฟดลดดอกเบี้ย, จับตาทรัมป์เจรจาปูติน สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (15 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า หลังการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ผสมผสานจากสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.41% แตะที่ระดับ 97.853 และอ่อนค่าลง 0.4% ในรอบสัปดาห์นี้ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าแตะ 147.21 เยนในวันศุกร์ (15 ส.ค.) จาก 147.88 เยนในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.), อ่อนค่าลงแตะ 0.8062 ฟรังก์สวิส จาก 0.8085 ฟรังก์สวิส และอ่อนค่าลงแตะ 1.3813 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.3814 ดอลลาร์แคนาดา ส่วนยูโรแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.1703 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1642 ดอลลาร์สหรัฐ และปอนด์แข็งค่าแตะ 1.3554 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.3533 ดอลลาร์สหรัฐ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองคำนิวยอร์กปิดลบ 60 เซนต์ ตลาดจับตาผลเจรจาทรัมป์-ปูติน สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันศุกร์ (15 ส.ค.) หลังข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดได้ลดความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนหันไปจับตาการเจรจาระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 60 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 3,382.60 ดอลลาร์/ออนซ์
บอนด์ยีลด์บวก ก่อนเผยตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในวันนี้ ณ เวลา 19.25 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.295% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.892% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ลอนดอนสูญงานเกือบ 4.5 หมื่นตำแหน่ง เหตุภาษีแพง-ค่าจ้างพุ่ง มหานครลอนดอนกลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการชะลอตัวของตลาดแรงงานในอังกฤษ หลังการปรับขึ้นภาษี การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ซบเซา ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องปรับลดจำนวนพนักงานมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ ข้อมูลจากกรมสรรพากรระบุว่า นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2567 กรุงลอนดอนสูญเสียตำแหน่งงานประจำเกือบ 45,000 ตำแหน่ง ภายหลังรัฐบาลพรรคแรงงานประกาศขึ้นภาษีสมทบประกันสังคมของนายจ้าง (payroll tax) มูลค่า 2.6 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์) โดย 1 ใน 4 ของการสูญเสียงานทั้งหมดในอังกฤษเกิดขึ้นในกรุงลอนดอน และหากรวมกับภูมิภาคเซาท์อีสต์ ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มเป็นเกือบ 40% ของตำแหน่งงานทั้งหมด ธุรกิจค้าปลีกและบริการเป็นภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) ที่เผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์นี้ และตำแหน่งงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในลอนดอน ขณะที่องค์กรยูเคฮอสพิทอลลิตี้ (UKHospitality) ระบุว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของแรงงานในภาคนี้อยู่ในเมืองหลวง เคต นิโคลส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ UKHospitality กล่าวว่า การรักษาธุรกิจผับและร้านอาหารให้ดำเนินต่อไปเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ โดยลอนดอนเป็นเมืองที่มีการแข่งขันต่ำที่สุดในยุโรปในแง่ของภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และลอนดอนสูญเสียงานในภาคบริการอาหารและเครื่องดื่มไปประมาณ 3 หมื่นตำแหน่งในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์หางานอินดีด (Indeed) ยังชี้ว่า จำนวนการประกาศรับสมัครงานในลอนดอนลดลงเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศนับตั้งแต่เดือนต.ค. โดยเฉพาะในภาคค้าปลีกและบริการที่ลดลงเกือบ 40% ในลอนดอน เมื่อเทียบกับการลดลงเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 26% และ 9% ตามลำดับ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนโฟกัสการเจรจาทรัมป์-ปูติน ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (15 ส.ค.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงินขนาดใหญ่ปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 553.56 จุด ลดลง 0.31 จุด หรือ -0.06% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,923.45 จุด เพิ่มขึ้น 53.11 จุด หรือ +0.67%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,359.30 จุด ลดลง 18.20 จุด หรือ -0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,138.90 จุด ลดลง 38.34 จุด หรือ -0.42% ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะไม่เจรจาแทนยูเครน และจะให้กรุงเคียฟเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนดินแดนกับรัสเซียหรือไม่ นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า หากมีความคืบหน้าในการลดความตึงเครียด ก็จะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มวัสดุ และหุ้นเติบโต ซึ่งถูกลงทุนค่อนข้างน้อยในยุโรป หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอวกาศและการป้องกันประเทศลดลง 0.8% ก่อนการประชุมสุดยอด หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 0.6% และฉุดดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลง หุ้น ASML บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก ลดลง 1% หลัง Applied Materials บริษัทคู่แข่งในสหรัฐฯ ปรับลดคาดการณ์กำไรไตรมาส 4 เนื่องจากความต้องการในจีนอ่อนแอและผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านภาษี โดยบริษัทดัตช์รายนี้เคยเตือนลักษณะเดียวกันในกลางเดือนก.ค. ว่าอาจไม่บรรลุเป้าหมายการเติบโตปี 2569 หุ้นชิป อาทิ BE Semiconductor และ ASMI ร่วงลง 3.3% และ 2.8% ตามลำดับ แต่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด 0.8% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 38.34 จุด หุ้นกลุ่มการเงินร่วงฉุดตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (15 ส.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มการเงิน หลังสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการสอบสวนธนาคาร Standard Chartered เรื่องการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,138.90 จุด ลดลง 38.34 จุด หรือ -0.42% แต่ยังคงปิดบวก 0.5% ในรอบสัปดาห์นี้ อีลิส สเตฟานิก ตัวแทนพรรครีพับลิกันจากนิวยอร์ก เรียกร้องให้มีการสอบสวน Standard Chartered ส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารปิดตลาดร่วงลง 7.2% ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง 1.9% แต่บวก 0.4% ในรอบสัปดาห์นี้ และเพิ่มขึ้น 31.5% ตลอดปีนี้ หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอวกาศและการป้องกันประเทศลดลง 1.7% ก่อนการประชุมครั้งสำคัญระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียที่รัฐอะแลสกา โดยนักลงทุนจับตาสัญญาณความคืบหน้าของข้อตกลงสันติภาพใด ๆ ซึ่งอาจกำหนดทิศทางตลาดในสัปดาห์หน้า แม้ลดลงในวันศุกร์ แต่หุ้นกลุ่มป้องกันประเทศปรับตัวขึ้น 71% แล้วในปีนี้ จากการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศของรัฐบาล และปิดสัปดาห์นี้บวก 0.7% หุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้น 0.8% ขณะที่นักลงทุนคาดว่า หากมีการหยุดยิงเกิดขึ้นในยูเครน มาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออกน้ำมันรัสเซียอาจ คลายตัว ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันรัสเซียเข้าสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น หุ้นเหมืองโลหะอุตสาหกรรมช่วยหนุนตลาด โดยเพิ่มขึ้น 1.4% หลังข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอจากจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ ทำให้เกิดความหวังว่ารัฐบาลจีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเผย GDP โตเกินคาด 1% ใน Q2/68 แม้เศรษฐกิจถูกกระทบจากภาษีทรัมป์ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (15 ส.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 1.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายติดต่อกัน 5 ไตรมาส และแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 0.4% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของการลงทุนด้านทุน (capital investment) แม้การชะลอตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคจะยังคงฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจก็ตาม เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส GDP ขยายตัว 0.3% ในไตรมาส 2 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 0.1% และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 0.1% ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า GDP ของญี่ปุ่นยังสามารถขยายตัวได้ดีในไตรมาส 2 แม้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ต้องพึ่งพาการส่งออก นอกจากนี้ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การลงทุนด้านทุนปรับตัวขึ้น 1.3% ในไตรมาส 2 ซึ่งปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 ไตรมาส ขณะที่การส่งออกดีดตัวขึ้น 2% และการนำเข้าขยับขึ้น 0.6% สำหรับองค์ประกอบด้านอื่น ๆ ที่ใช้ในการคำนวณตัวเลข GDP นั้น การอุปโภคบริโภคในภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของราคาอาหารและของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดทำนิวไฮ ขานรับ GDP แกร่งเกินคาด ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในวันนี้ (15 ส.ค.) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2568 ที่ขยายตัวดีเกินคาด ซึ่งช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 43,378.31 จุด เพิ่มขึ้น 729.05 จุด หรือ +1.71% หุ้นที่ปรับตัวขึ้นนำโดยกลุ่มธนาคาร กลุ่มโลหะที่ไม่มีส่วนผสมของกลุ่มเหล็ก และกลุ่มประกันภัย (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนเผยยอดค้าปลีก-การผลิตอุตสาหกรรมเดือนก.ค.โตต่ำกว่าคาด บ่งชี้ศก.อ่อนแอ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (15 ส.ค.) ว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 3.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราต่ำสุดในปีนี้ และชะลอตัวลงอย่างมากจากเดือนมิ.ย.ที่เพิ่มขึ้น 4.8% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ปรับตัวขึ้น 5.7% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว อีกทั้งอ่อนแอกว่าในเดือนมิ.ย.ที่พุ่งขึ้น 6.8% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 6% ด้านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นเพียง 1.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7% และชะลอตัวลงจากในช่วง 6 เดือนแรกที่มีการขยายตัว 2.8% ส่วนอัตราว่างงานในพื้นที่เขตเมืองอยู่ที่ระดับ 5.2% ในเดือนก.ค. ซึ่งปรับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากเคลื่อนไหวที่ะระดับ 5% ทั้งในเดือนพ.ค.และมิ.ย. ขณะที่อัตราว่างงานในกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 14% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ข้อมูลที่มีการเปิดเผยล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนเริ่มอ่อนแอลงในขณะนี้ หลังจากที่ฟื้นตัวในช่วงต้นปี ซึ่งอาจเปิดทางให้รัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (อินโฟเควสท์)
จีนเผยราคาบ้าน-การลงทุนอสังหาฯ ลดฮวบเดือนก.ค. หลังมาตรการกระตุ้นคว้าน้ำเหลว สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (15 ส.ค.) ว่า ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองของจีน ซึ่งไม่รวมที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ปรับตัวลง 0.31% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 9 เดือน และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมานั้น ยังไม่สามารถพลิกฟื้นตลาดที่อยู่อาศัย รายงานยังระบุด้วยว่า การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนลดลง 12% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ปรับตัวลง 11.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในแง่ของพื้นที่ใช้สอย ลดลง 4.0% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ หลังจากที่ลดลง 3.5% ในช่วง 6 เดือนแรก ขณะที่ตัวเลขการเริ่มก่อสร้างใหม่ในแง่ของพื้นที่ใช้สอย ปรับตัวลง 19.4% ในช่วง 7 เดือนแรก หลังจากที่ร่วงลง 20% ในช่วง 6 เดือนแรก ส่วนเงินทุนที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีนระดมได้ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 7.5% หลังจากที่ลดลง 6.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี (อินโฟเควสท์)
จีนเตรียมออกวีซ่าประเภทใหม่ มุ่งเน้นเยาวชนเก่งวิทย์-เทคโนโลยี จีนเตรียมออกวีซ่าประเภทใหม่สำหรับเยาวชนผู้มีความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลังจากหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้ลงนามคำสั่งคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศมติแก้ไขระเบียบการบริหารจัดการการเดินทางเข้าและออกประเทศของชาวต่างชาติ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนจะเพิ่มวีซ่าประเภทเค (K) ในวีซ่าธรรมดาสำหรับเยาวชนผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ โดยผู้ประสงค์ขอวีซ่านี้ต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามข้อกำหนดของทางการจีนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงยื่นเอกสารประกอบตามที่กำหนด ทั้งนี้ กฎระเบียบใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. 2568 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 30.33 จุด รับความหวังจีนกระตุ้นศก. ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (15 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเกินคาดหลายรายการในวันนี้ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,696.77 จุด เพิ่มขึ้น 30.33 จุด หรือ +0.83 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 249.25 จุด หลังข้อมูลศก.จีนซบเซา ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (15 ส.ค.) หลังจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการที่บ่งชี้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนเริ่มอ่อนแอลง หลังจากที่ฟื้นตัวในช่วงต้นปี ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,270.07 จุด ลดลง 249.25 จุด หรือ -0.98% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
S&P ปรับเพิ่มอันดับเครดิตอินเดียเป็น "BBB" ชมเศรษฐกิจยืดหยุ่น-การคลังแกร่ง เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ประกาศเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของอินเดียสู่ระดับ "BBB" จากระดับ "BBB-" โดยระบุว่าเศรษฐกิจอินเดียมีความยืดหยุ่น และสถานะการคลังยังคงแข็งแกร่ง เอสแอนด์พีระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) ว่า การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมด้านนโยบายการเงินที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อ และเมื่อพิจารณาถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างสถานะการคลังให้แข็งแกร่ง ตลอดจนความพยายามในการปรับปรุงคุณภาพการใช้จ่ายแล้ว เอสแอนด์พีเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นแรงหนุนอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดีย นอกจากนี้ เอสแอนด์พีระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียอาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีก หากการขาดดุลการคลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้หนี้สินรวมของรัฐบาลลดลงต่ำกว่า 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หลังจากการประกาศดังกล่าว สกุลเงินรูปีของอินเดียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 87.58 รูปีต่อดอลลาร์ จากระดับ 87.66 รูปีต่อดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลง 0.07% สู่ระดับ 6.38% ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เอสแอนด์พีได้ปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียจาก "มีเสถียรภาพ" เป็น "เชิงบวก" เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและคุณภาพการใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวดีขึ้น (อินโฟเควสท์)
“โมดี" หนุนอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น-ปกป้องเกษตรกร ขณะขัดแย้งสหรัฐฯ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียเรียกร้องให้อินเดียเพิ่มการพึ่งพาตนเองมากขึ้นด้วยการผลิตทุกอย่าง ตั้งแต่ปุ๋ยไปจนถึงเครื่องยนต์เจ็ตและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมให้คำมั่นว่าจะปกป้องเกษตรกรท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งนี้ โมดีกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันประกาศอิสรภาพหรือวันชาติของอินเดียในวันนี้ (15 ส.ค.) ขณะที่อินเดียเผชิญปัญหาภาษีศุลกากรสูงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าของอินเดีย และความล้มเหลวในการเจรจาการค้าซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความแตกต่างเรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ โมดีกล่าวว่า เกษตรกร ชาวประมง และผู้เลี้ยงสัตว์ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุดของประเทศ และยืนยันว่าเขาจะเป็นเหมือนกำแพงปกป้องนโยบายใด ๆ ที่คุกคามผลประโยชน์ของพวกเขา โดยอินเดียจะไม่ประนีประนอมเมื่อเกี่ยวข้องกับการปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกร อย่างไรก็ตาม ในการแถลงสุนทรพจน์ซึ่งยาวเกือบสองชั่วโมง โมดีไม่ได้กล่าวถึงภาษีหรือสหรัฐฯ โดยตรง (อินโฟเควสท์)
อินโดนีเซียชงลดค่าไฟกระตุ้นการบริโภค ซูซิวิโจโน โมเอเกียร์โซ ปลัดกระทรวงประสานงานกิจการเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาเปิดตัวนโยบายลดค่าไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการบริโภค นโยบายดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยมาตรการลักษณะนี้จะเป็นกุญแจสำคัญไปสู่การส่งเสริมการบริโภค รักษาอำนาจซื้อ และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เขาเน้นย้ำว่า มาตรการกระตุ้นดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน อย่างไรก็ตาม เขายังคงเตือนว่า มาตรการนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น เนื่องจากต้องใช้เงินทุนของรัฐ "หลายด้านยังจำเป็นต้องประเมินให้ดี เพราะค่าไฟได้รับเงินอุดหนุนและเงินชดเชยด้านพลังงานอยู่แล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาในเชิงลึก เนื่องจากมีการอุดหนุนค่าชดเชยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงยังคงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ" ซูซิวิโจโนกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ทางการอินโดนีเซียเคยใช้การลดค่าไฟเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้วตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.พ. ปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ผู้นำเกาหลีใต้หนุนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ หวังส่งเสริมการบริโภค ประธานาธิบดีอี แจมยอง ผู้นำเกาหลีใต้ แสดงท่าทีสนับสนุนความจำเป็นในการออกมาตรการกระตุ้นชุดใหม่เพื่อส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศเมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) โดยระบุว่า การฟื้นตัวของการบริโภคเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคง อีเปิดเผยถ้อยแถลงดังกล่าวในการประชุมกับบรรดาผู้ช่วยระดับสูงเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้นจากนโยบายแจกเงินสดเมื่อเร็ว ๆ นี้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้หาหนทางในการเพิ่มการผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศในปี 2578 ซึ่งต้องรายงานต่อสหประชาชาติ (UN) ในปีนี้ อีกล่าวว่า "ผลบวกจากคูปองบริโภคเริ่มแสดงให้เห็นแล้ว และเราต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้" และชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในรอบ 4 ปีในเดือนก.ค. และ 55.8% ของเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กระบุว่า มียอดขายเพิ่มขึ้น เมื่อเดือนที่แล้ว ทางการเกาหลีใต้เริ่มแจกเงินสดมูลค่า 150,000 วอน (108 ดอลลาร์) พร้อมความช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับบุคคลผู้มีรายได้ต่ำ และครอบครัวของพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว อี คยู-ยุน เลขานุการอาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์และการสื่อสารกล่าวกับนักข่าวว่า "ปธน.เน้นย้ำว่า ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ และเรียกร้องให้พลิกวิกฤตด้านสภาพอากาศสู่โอกาสในการเติบโต" นอกจากนี้ อียังชี้อีกว่า การบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจนำไปสู่ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบและขอการสนับสนุนจากพวกเขา (อินโฟเควสท์)
บริษัทเกาหลีใต้ผลิตแบตเตอรี่ลดลงต่อเนื่อง หลังตลาด EV ซบเซาทั่วโลก ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ในเกาหลีใต้ต่างรายงานว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก อันเนื่องมาจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ลดลงทั่วโลก บริษัท แอลจี เอเนอร์จี โซลูชัน จำกัด (LG Energy Solution Ltd. หรือ LGES) ผู้นำในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของเกาหลีใต้ ระบุในรายงานครึ่งปีว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 51.3% ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 73.6% ในปี 2565, 69.3% ในปี 2566 และ 57.8% ในปี 2567 ขณะเดียวกัน บริษัท ซัมซุง เอสดีไอ (Samsung SDI Co.) ระบุในรายงานครึ่งปีว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานแบตเตอรี่ขนาดเล็กลดลงเหลือ 44% ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. เทียบกับ 58% ในปีที่แล้ว แม้ว่ารายงานไม่ได้เปิดเผยอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานแบตเตอรี่ขนาดกลางและขนาดใหญ่ แต่คาดว่าน่าจะลดลงเช่นกัน ด้านบริษัท เอสเค ออน (SK On Co.) เปิดเผยว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานฟื้นตัวสู่ระดับ 52.2% ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. เทียบกับ 43.6% ในปีที่แล้ว แต่ก็ยังลดลงอย่างมากจากระดับ 87.7% ในปี 2566 ก่อนหน้านี้ คิม ดง-มยอง ซีอีโอของบริษัท LGES กล่าวว่า ความต้องการแบตเตอรี่ทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะลดลงสู่จุดต่ำสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ก่อนที่ตลาดจะกลับมาฟื้นตัว โดยอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในปี 2569 (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ยกหูหารือเซเลนสกี พร้อมผู้นำยุโรป-นาโต หลังเจรจาปูตินไร้ข้อตกลง การประชุมสุดยอดระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในรัฐอะแลสกา จบลงโดยไม่มีข้อตกลงใด ๆ เพื่อยุติหรือชะลอสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้ทั้งสองฝ่ายระบุว่าการหารือเป็นไปอย่างได้ผลดีก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ หลังจากการพูดคุยนานเกือบ 3 ชั่วโมง ทั้งคู่ได้ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า มีความคืบหน้าในบางประเด็น แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมและไม่ได้ตอบคำถามจากสื่อ ในระหว่างเดินทางกลับถึงกรุงวอชิงตันเช้าวันนี้ (16 ส.ค.) ทรัมป์ได้โทรศัพท์หารือกับบรรดาผู้นำประเทศพันธมิตร เพื่อรายงานความคืบหน้าจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้ โดย อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนทนา ขณะที่เจ้าหน้าที่นาโตเผยว่า มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการนาโต และทำเนียบเอลีเซ่ยืนยันว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสก็เข้าร่วมการสนทนาด้วย ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการยุโรประบุเพิ่มเติมว่าผู้นำจากเยอรมนี ฟินแลนด์ โปแลนด์ อิตาลี และสหราชอาณาจักร ก็มีส่วนร่วมในการพูดคุยด้วย นอกจากนี้ รายงานของสื่อออนไลน์ Axios ชี้ว่า ทรัมป์ได้สนทนากับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน และผู้นำยุโรปคนอื่น ๆ รวมเวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง และต่อมาเซเลนสกีประกาศว่า เขาจะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในวันจันทร์ (18 ส.ค.) (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ตลาดหุ้นอินเดียปิดทำการวันนี้ (15 ส.ค.) เนื่องในวันชาติ (Independence Day) (อินโฟเควสท์)
ไทย
ขุนคลังขอบคุณสภาไฟเขียวร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านลบ. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีการตั้งวงเงินงบประมาณ จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งที่ประชุมสภาฯ ใช้เวลาอภิปรายตลอด 3 วัน ระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม ก่อนลงมติเมื่อคืนวานนี้ (15 ส.ค.) ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติวาระ 3 ด้วยคะแนน เห็นด้วย 257 เสียง ไม่เห็นด้วย 229 เสียง งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนนเสียง 0 จากจำนวนผู้ลงมติ 487 คน ผลการลงมติในครั้งนี้ถือว่าสภาฯ ผ่าน ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระที่ 2-3 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,780,600 ล้านบาท (อินโฟเควสท์)
คดีฮั้วเลือก สว. DSI จ่อออกหมายเรียกผู้สมัคร สว.เพิ่มอีกกว่า 1,200 คน สอบเชื่อมโยงเส้นเงิน ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้รับทราบรายงานความคืบหน้าคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐานอั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นความคืบหน้าของการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.68 ถึงปัจจุบัน โดยได้มีการสอบพยานที่เกี่ยวข้องไปทั้งสิ้น 90 ปาก มีการจัดทำเหตุการณ์จำลอง ทั้งสถานที่ใช้ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาและกระบวนการคัดเลือก พร้อมขอรับภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่เกี่ยวข้องในวันเกิดเหตุจากหลายหน่วยงาน มีการตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน ทั้งนี้เพื่อพิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ของกลุ่มขบวนการได้มีการตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์จากข้อมูลการสืบสวนพบว่ามีผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด การดำเนินการในลำดับต่อไปทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ เตรียมออกหมายเรียกผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาอีก 1,200 คน เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากทางคดีมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มอบหน่วยงานภายในสังกัด รวม 10 กองคดีที่เป็นคณะพนักงานสอบสวนเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ (อินโฟเควสท์)
ผู้เลี้ยงหมูอีสาน จี้รัฐหยุดดีลนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ หวั่นกระทบห่วงโซ่การผลิตทั้งระบบ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกร้องรัฐบาลไทยขอให้ทบทวนและถอดเนื้อหมูออกจากบัญชีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ภายใต้กรอบการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ หวั่นหากยังเดินหน้าตามข้อเสนอเดิม อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเกษตรไทยมากกว่า 120,000 ล้านบาท และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตทั้งระบบ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่อาจต้องสูญเสียอาชีพอย่างถาวร นายชยุต รุ่ง-พัฒนาชัยกุล นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ แม้เพียง 1% ของการบริโภคในประเทศ หรือประมาณ 10,000 ตัน เท่ากับ 10 ล้านกิโลกรัม จะกลายเป็นตัวเร่งให้ราคาหมูในประเทศตกต่ำทันที และกระทบต่อผู้เลี้ยงรายย่อยกว่า 145,000 รายทั่วประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯ มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นผู้ผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก และยังได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทำให้สามารถ "ดั๊มพ์" ราคาหมูส่งออกได้ต่ำกว่าต้นทุนจริงโดยเฉพาะชิ้นส่วนที่คนอเมริกันไม่กิน หากไทยยอมให้สหรัฐฯ และสหรัฐได้สิทธิพิเศษทางภาษีที่ 0% เท่ากับเปิดทางให้หมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทำลายอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยตรง นอกจากนี้ ประเทศไทยมีจุดยืนชัดเจนในการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine) เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน ขณะที่สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวในอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู การเปิดทางให้นำเข้าหมูจากสหรัฐฯ จึงเท่ากับ ย้อนแย้งกับนโยบายสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในระยะยาว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 7.25 จุด บาทอ่อนกดดัน Fund Flow ไหลออก-ความหวังเฟดหั่นดอกเบี้ยลดลง จับตา GDP ไทย SET ปิดวันนี้ที่ 1,259.42 จุด ลดลง 7.25 จุด (-0.57%) มูลค่าซื้อขาย 48,320.80 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงเริ่มมีแรงกดดันให้ Fund Flow ไหลออกหลังเงินบาทกลับมาอ่อนค่า และดัชนี PPI สหรัฐสูงกว่าคาดกระทบการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ขณะที่ valuation หุ้นไทยแพงและขาดปัจจัยหนุนใหม่ ๆ หลังรับรู้ข่าวดีไปหมดแล้ว แนวโน้มสัปดาห์หน้าแนะติดตาม GDP ไทย และประชุมเฟดรอบ Jackson Hole ให้กรอบแนวรับ 1,230 จุด แนวต้าน 1,280 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลง โดยทำระดับสูงสุด 1,270.89 จุด และต่ำสุด 1,253.51 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 232 หลักทรัพย์ ลดลง 258 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 158 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.43 แกว่งแคบเกาะกลุ่มภูมิภาค รอปัจจัยใหม่หนุนทิศทาง คาดกรอบสัปดาห์หน้า 32.30-32.50 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.43 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.46 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปกับค่าเงินภูมิภาค ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.41 - 32.46 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตร 2.2 พันล้านบาท "บาทขยับแข็งค่าจากช่วงเช้าเล็กน้อยแต่ยังเกาะกลุ่มไปกับค่าเงินภูมิภาค วันนี้บาทแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ รอปัจจัยชี้นำใหม่เข้ามา" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันจันทร์ไว้ที่ 32.30 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 72,316 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 72,316 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 7,876 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ขายสุทธิ 110 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 2,262 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.18% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
- ดุลการค้าเดือนมิ.ย. ยุโรป
- ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนส.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) สหรัฐฯ