• X
  • ค้นหา
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu แนะนำ
        • NAV
        • ค้นหากองทุน
        • กองทุนแนะนำ
        • กองทุนผลงานดี
        • ตารางจ่ายเงินปันผล
        • วันหยุดกองทุน
        • ข่าว/บทวิเคราะห์
        • กลยุทธ์การลงทุน
        • กำหนดการและแบบฟอร์ม
        • โปรโมชั่น
        • ข้อมูลกองทุน
        • เปรียบเทียบกองทุน
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
      1. หน้าแรก
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น หลังดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง สมาคมธนาคารเพื่อการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBA) ของสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 10.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวลง ทั้งนี้ จำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์เพิ่มขึ้น 23% ในสัปดาห์ที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 8% แมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อการจำนองแบบคงที่ระยะเวลา 30 ปี สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 806,500 ดอลลาร์ ลดลงสู่ระดับ 6.67% ในสัปดาห์ที่แล้ว จากระดับ 6.77% ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ อ่วม ขาดดุลงบประมาณพุ่ง 2.91 แสนล้านดอลล์เดือนก.ค. แม้รายได้ภาษีทรัมป์ทะลัก กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยในวันอังคาร (12 ส.ค.) ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณเดือนก.ค. พุ่งขึ้นเกือบ 20% แตะที่ 2.91 แสนล้านดอลลาร์ แม้ว่ารัฐบาลจะสามารถเก็บภาษีศุลกากรจากนโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เพิ่มขึ้นมหาศาลก็ตาม โดยสาเหตุหลักมาจากรายจ่ายของรัฐบาลที่ขยายตัวเร็วกว่ารายรับอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ตัวเลขขาดดุลเฉพาะเดือนก.ค. สูงขึ้นจากเดือนก.ค.ปีก่อนถึง 19% (4.7 หมื่นล้านดอลลาร์) โดยรายรับของรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 2% เป็น 3.38 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่รายจ่ายกลับทะยานขึ้นถึง 10% ไปอยู่ที่ 6.3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเดือนก.ค. เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังชี้ว่า รายได้จากภาษีนำเข้าในเดือนก.ค. พุ่งขึ้นเป็น 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่เคยเก็บได้เพียง 7.1 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อน ซึ่งเป็นผลพวงโดยตรงจากนโยบายภาษีของทรัมป์ แม้ทรัมป์จะอ้างอยู่เสมอว่าเงินภาษีหลายพันล้านดอลลาร์กำลังไหลเข้าคลังสหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาระภาษีดังกล่าวตกอยู่กับบริษัทผู้นำเข้า ซึ่งส่วนใหญ่มักผลักภาระต่อไปยังผู้บริโภคผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น เห็นได้จากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคล่าสุด ที่พบว่าราคาสินค้าอย่างเฟอร์นิเจอร์ รองเท้า และชิ้นส่วนยานยนต์แพงขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อมองภาพรวม 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค. 2567 - ก.ค. 2568) พบว่ารัฐบาลเก็บภาษีนำเข้าได้รวมทั้งสิ้น 1.357 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 116% อย่างไรก็ตาม ยอดขาดดุลงบประมาณสะสมก็ยังพุ่งสูงถึง 1.629 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า เป็นที่น่าสังเกตว่า รายได้จากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล (โครงการเมดิแคร์และเมดิเคด) ที่บานปลายเพิ่มขึ้นถึง 1.41 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านบำนาญประกันสังคม ซึ่งเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่สุด ก็เพิ่มขึ้นอีก 1.08 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะของประเทศยังคงพุ่งไม่หยุด โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน อันเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและหนี้สินของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (อินโฟเควสท์)
      ค่าโดยสารเครื่องบินสหรัฐฯ ฟื้นตัวในเดือนก.ค. หนุนหุ้นสายการบินพุ่งแรง สำนักสถิติแรงงาน (BLS) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยในวันอังคาร (12 ส.ค.) ว่า ค่าโดยสารเครื่องบินปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% ในเดือนก.ค. หลังจากที่ลดลง 0.1% ในเดือนมิ.ย. โดยค่าโดยสารเครื่องบินปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าสายการบินต่าง ๆ เริ่มมีอำนาจในการกำหนดราคามากขึ้น หลังจากที่สายการบินได้ปรับลดความจุของเที่ยวบินเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเดินทางที่ซบเซา สัญญาณที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของค่าโดยสารเครื่องบินนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สายการบินต้องเผชิญกับการชะลอตัวของอัตรากำไรเป็นเวลานานหลายเดือนอันเนื่องมาจากการปรับลดค่าโดยสาร โดยความต้องการเดินทางที่อ่อนแอเนื่องจากนักท่องเที่ยวในประเทศต่างต้องการประหยัดเงินนั้น ได้บีบให้สายการบินต้องลดราคาตั๋ว แม้จะเป็นฤดูท่องเที่ยวในช่วงหน้าร้อนก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมานั้น ความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายภาษีศุลกากรและมาตรการลดงบประมาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งผลให้นักท่องเที่ยวพากันจำกัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและทบทวนแผนการเดินทางของตน และนับตั้งแต่นั้น สายการบินต่าง ๆ ได้ลดจำนวนที่นั่งและปรับเปลี่ยนเส้นทางบินเพื่อรักษาอำนาจในการกำหนดราคาและปกป้องอัตรากำไรของบริษัท อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของค่าโดยสารในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าการบริหารความจุของเที่ยวบินอย่างมีวินัยจะช่วยให้สายการบินสามารถสร้างเสถียรภาพด้านราคาและผลกำไรได้ (อินโฟเควสท์)
      EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น สวนทางคาดการณ์ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.0 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 900,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 45,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 792,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 714,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 350,000 บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ขุนคลังสหรัฐหนุนเฟดหั่นดอกเบี้ย 0.50% เดือนก.ย. นายสก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 1.50%   "ผมคิดว่าเราสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้หลายครั้ง โดยเริ่มจากการลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนกันยายน และไม่ว่าจะดูจากโมเดลไหน ล้วนบ่งชี้ว่าเราน่าจะลดอัตราดอกเบี้ยราว 1.50–1.75%" นายเบสเซนท์กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ Bloomberg Surveillance นอกจากนี้ นายเบสเซนท์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เฟดควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในการประชุมเดือนมิ.ย.และก.ค. ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค. และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. (อินโฟเควสท์)
      รัฐบาลทรัมป์เคาะ 11 รายชื่อมีโอกาสนั่งเก้าอี้ประธานเฟด แทน "พาวเวล" สำนักข่าว CNBC รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า ทีมงานของปธน.ทรัมป์กำลังพิจารณารายชื่อบุคคล 11 คนที่อาจได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แทนนายเจอโรม พาวเวล ซึ่งจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนพ.ค.2569   ทั้งนี้ รายชื่อ 11 คนดังกล่าว ได้แก่ นางมิเชลล์ โบว์แมน และนายฟิลิป เจฟเฟอร์สัน ซึ่งต่างก็เป็นรองประธานเฟด, นายเควิน วอร์ช และนายแลร์รี ลินด์ซีย์ ซึ่งต่างก็เป็นอดีตผู้ว่าการเฟด, นายคริส วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเป็นสมาชิกถาวรของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC), นายเจมส์ บูลลาร์ด อดีตประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์, นางลอรี โลแกน ประธานเฟด สาขาดัลลัส, นายมาร์ค ซัมเมอร์ลิน อดีตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจในรัฐบาลของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช, นายเดวิด เซอร์วอส หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายการตลาดของเจฟเฟอรีส์, นายเควิน แฮสเส็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ รวมทั้งนายริก รีเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนด้านตราสารหนี้ทั่วโลกของบริษัทแบล็คร็อค นายสก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ จะทำการสัมภาษณ์บุคคลในรายชื่อดังกล่าว ก่อนที่จะคัดรายชื่อในขั้นสุดท้ายเพื่อส่งให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำการตัดสินใจ ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ เป็นผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานเฟดคนใหม่ รายงานระบุว่า นายวอลเลอร์ได้พบกับคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต่างก็ประทับใจในตัวเขา แม้ว่าเขายังไม่ได้พบกับปธน.ทรัมป์โดยตรง แม้ว่าปธน.ทรัมป์ต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลกลาง แต่เหตุผลของนายวอลเลอร์ในการเรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ยมาจากมุมมองที่ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์จะไม่ทำให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้น และตลาดแรงงานที่กำลังชะลอตัวควรได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 463.66 จุด, S&P500 ทำนิวไฮ รับคาดการเฟดหั่นดบ. ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันพุธ (13 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮติดต่อกันวันที่สอง โดยตลาดยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,922.27 จุด เพิ่มขึ้น 463.66 จุด หรือ +1.04%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,466.58 จุด เพิ่มขึ้น 20.82 จุด หรือ +0.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,713.14 จุด เพิ่มขึ้น 31.24 จุด หรือ +0.14% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 52 เซนต์ กังวลดีมานด์น้ำมันชะลอตัว สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (13 ส.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่สูงเกินคาด นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าอุปทานน้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าคาดทั้งในปีนี้และปีหน้า ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 52 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 62.65 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 49 เซนต์ หรือ 0.74% ปิดที่ 65.63 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่าต่อเนื่อง ตลาดคาดเฟดหั่นดอกเบี้ยเดือนหน้า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (13 ส.ค.) ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.ที่ต่ำกว่าคาด เมื่อเทียบเป็นรายปี ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.26% แตะที่ระดับ 97.839 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $9.3 บอนด์ยีลด์ร่วง-ดอลล์อ่อนหนุนตลาด สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (13 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลง นอกจากนี้ กระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำปิดในแดนบวก ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 9.3 ดอลลาร์ หรือ 0.27% ปิดที่ 3,408.30 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ในวันพุธ (13 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มเทคโนโลยี ท่ามกลางความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า ซึ่งช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 550.85 จุด เพิ่มขึ้น 2.96 จุด หรือ +0.54% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,804.97 จุด เพิ่มขึ้น 51.55 จุด หรือ +0.66%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,185.59 จุด เพิ่มขึ้น 160.81 จุด หรือ +0.67% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,165.23 จุด เพิ่มขึ้น 17.42 จุด หรือ +0.19% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 17.42 จุด เก็งเฟดลดดอกเบี้ยหนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพุธ (13 ส.ค.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,165.23 จุด เพิ่มขึ้น 17.42 จุด หรือ +0.19% (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      เงินเฟ้อค้าส่งญี่ปุ่นชะลอตัวเดือนที่ 4 แต่ราคาอาหารยังพุ่ง ดัชนีราคาผู้ผลิต (CGPI) ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดระดับราคาสินค้าและบริการที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บระหว่างกัน ชะลอตัวลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันในเดือนก.ค. โดยขยับขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี ชะลอลงจากระดับ 2.9% ในเดือนมิ.ย. แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.5% เล็กน้อย ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำมุมมองของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ว่าแรงกดดันด้านราคาจากต้นทุนวัตถุดิบจะค่อย ๆ ลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาค้าส่งในกลุ่มอาหารและสินค้าเกษตรยังคงปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงกดดันด้านราคากำลังขยายวงกว้าง และน่าจะทำให้ตลาดยังคงคาดหวังว่า BOJ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ข้อมูลจาก BOJ ที่เผยแพร่วันนี้ (13 ส.ค.) ชี้ว่า แม้ราคาสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์และเหล็กกล้าจะปรับตัวลดลง แต่ราคาสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มกลับเพิ่มขึ้นถึง 4.2% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับปีก่อน ในอีกด้านหนึ่ง ดัชนีราคาสินค้านำเข้า (คิดเป็นเงินเยน) กลับลดลง 10.4% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องจากเดือนมิ.ย. ที่ลดลง 12.2% ทั้งนี้ BOJ ได้ยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ที่ใช้มานานนับทศวรรษเมื่อปีก่อน และได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.5% เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ด้วยมุมมองที่ว่าญี่ปุ่นใกล้จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ได้อย่างยั่งยืน แม้เงินเฟ้อผู้บริโภคพื้นฐานจะสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ BOJ มานานกว่า 3 ปีแล้วก็ตาม คาซูโอะ อูเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ได้ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง โดยมองว่าการขึ้นราคาในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากปัจจัยชั่วคราว เช่น ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ๒
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่ง 556.50 จุด ทำนิวไฮต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดทะลุระดับ 43,000 จุด ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่สองติดต่อกันในวันนี้ (13 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 43,274.67 จุด เพิ่มขึ้น 556.50 จุด หรือ +1.30% (อินโฟเควสท์)
      จีน
      จีนทุ่มงบ ออกมาตรการ "อุดหนุนดอกเบี้ย" หวังปลุกกำลังซื้อ-กระตุ้นเศรษฐกิจชาติ เลี่ยว หมิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังจีน แถลงในวันนี้ (13 ส.ค.) ว่า รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ด้วยการ "อุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้" ให้แก่ภาคประชาชนและธุรกิจ เพื่อลดภาระต้นทุนและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้เรียกร้องมาโดยตลอดให้รัฐบาลจีนปรับเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการลงทุนที่ก่อหนี้มหาศาลและการส่งออก มาเป็นการขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งแรงกดดันจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่นี้ อนึ่ง เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 ส.ค.) รัฐบาลจีนได้ประกาศว่า จะให้ความช่วยเหลือด้านดอกเบี้ยแก่ธุรกิจใน 8 กลุ่มบริการ ตลอดจนผู้บริโภคทั่วไป โดยธุรกิจและผู้บริโภคที่เข้าเกณฑ์จะได้รับการอุดหนุนค่าดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา 1 จุดเปอร์เซ็นต์ต่อปี ด้านหวัง ปัว เจ้าหน้าที่จากกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวเสริมว่า ภาคบริการของจีนยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมหาศาล และนโยบายนี้จะช่วยขยายอุปสงค์ในประเทศและรักษาเสถียรภาพการจ้างงานไปพร้อมกัน นักวิเคราะห์ชี้ว่านโยบายครั้งนี้นับว่าผิดแผกไปจากมาตรการในอดีต เพราะรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนเองโดยตรง แทนที่จะเป็นการบีบให้ธนาคารต้องลดดอกเบี้ย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนได้เล็งเห็นถึงแรงกดดันต่ออัตรากำไรของธนาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ และคาดการณ์ว่ามาตรการนี้จะจูงใจให้ภาคครัวเรือนอยากกู้ยืมเงินมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ธนาคารสามารถคงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผู้บริโภคไว้ในระดับปัจจุบันที่สูงกว่า 3% ต่อไปได้ (อินโฟเควสท์)
      จีนคว่ำบาตร 2 แบงก์ลิทัวเนีย ตอบโต้ EU แซงก์ชัน จีนประกาศคว่ำบาตรธนาคารยูเอบี เออร์โบ แบงกัส (UAB Urbo Bankas) และมาโน แบงกัส เอบี (Mano Bankas AB) ของลิทัวเนีย เพื่อตอบโต้สหภาพยุโรป (EU) ที่รวมสถาบันการเงิน 2 แห่งของจีนในมาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดต่อรัสเซีย กระทรวงพาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์วันนี้ (13 ส.ค.) ว่า ธนาคารลิทัวเนียทั้งสองแห่งถูกห้ามมิให้ร่วมมือกับบุคคลหรือสถาบันใด ๆ ในประเทศจีน   ความเคลื่อนไหวของทางการจีนมีขึ้นหลังจากเมื่อเดือนที่แล้ว สหภาพยุโรปได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อบุคคลและบริษัทต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนรัสเซียในการสู้รบกับยูเครน โดยมาตรการดังกล่าวซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทจีนหลายแห่ง อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์จีนไม่ได้เปิดเผยว่ามีสถาบันการเงินจีนรายใดบ้างที่ถูกคว่ำบาตร  แถลงการณ์ของกระทรวงระบุว่า "EU เมินเฉยต่อจุดยืนที่จริงจังของจีน และยืนยันเพิ่มสถาบันการเงินจีน 2 แห่งเข้าไปในรายนามบริษัทที่ถูกคว่ำบาตรด้วยข้อกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับรัสเซีย และดำเนินการคว่ำบาตรอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ส.ค." พร้อมชี้ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของบริษัทจีน และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับ EU รวมถึงความร่วมมือทางการเงิน  ทั้งนี้ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต (NATO) เคยเรียกจีนว่า เป็น "ผู้สนับสนุนที่มีอำนาจชี้ขาด" เกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ของจีนจำหน่ายเครื่องมือ อุปกรณ์ และไมโครอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่รัสเซีย (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ-จีน เล็งหารือการค้ารอบใหม่ในอีก 2-3 เดือน สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณาที่จะจัดการเจรจาการค้าระดับสูงกับจีนอีกครั้งภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจากที่เพิ่งมีการขยายระยะเวลาเรียกเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกันออกไปอีก 90 วัน เบสเซนต์กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์ทางช่องฟ็อกซ์ นิวส์ ซึ่งออกอากาศในวันอังคาร (12 ส.ค.) ว่า "จีนเหมือนเกมหมากรุกหลายชั้น" และเสริมว่า สหรัฐฯ กำลังพยายามจัดการกับตัวแปรต่าง ๆ เนื่องจากจีนเป็นทั้ง "คู่แข่งทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด และคู่แข่งทางทหารที่ใหญ่ที่สุด" ของสหรัฐฯ พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำอยู่คือการทำให้การค้ามีความสมดุลมากขึ้น สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (11 ส.ค.) ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งขยายเวลาเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับจีนออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 10 พ.ย. ซึ่งทางการจีนเองก็ได้ประกาศขยายเวลาเช่นเดียวกัน โดยหากไม่มีการขยายเวลาดังกล่าว มาตรการภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร ซึ่งจะทำให้ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ในเดือนพ.ค. สหรัฐฯ และจีนต่างยอมระงับแผนเรียกเก็บภาษีศุลกากรในระดับตัวเลขสามหลักที่ต่างฝ่ายเรียกเก็บจากกันในช่วงที่สงครามการค้าปะทุขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงสงบศึกการค้าดังกล่าวในการเจรจาระดับสูงรอบแรกที่กรุงเจนีวา และได้จัดการเจรจาขึ้นอีกสองรอบ คือที่ลอนดอนในเดือนมิ.ย. และสต็อกโฮล์มในเดือนก.ค. ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เสนอจัดการประชุมแบบตัวต่อตัวกับปธน.สี จิ้นผิง ของจีนภายในสิ้นปีนี้ หากสามารถบรรลุข้อตกลงในประเด็นการค้าได้ (อินโฟเควสท์)
      จีนโวขับไล่เรือพิฆาตสหรัฐฯ พ้นน่านน้ำแนวสันดอนอันเป็นพื้นที่พิพาทกับฟิลิปปินส์ กระทรวงกลาโหมจีน เปิดเผยในวันนี้ (13 ส.ค.) ว่า จีนได้เตือนและขับไล่เรือพิฆาตยูเอสเอส ฮิกกินส์ (USS Higgins) ของสหรัฐฯ ออกจากน่านน้ำ หลังจากที่เรือดังกล่าวได้แล่นเข้าใกล้ชายฝั่งของแนวสันดอนสการ์โบโรห์ (Scarborough Shoal) ในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และเป็นพื้นที่พิพาททางทะเลระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ กระทรวงกลาโหมจีนระบุว่า เรือพิฆาตยูเอสเอส ฮิกกินส์ รุกล้ำเข้าน่านน้ำหมู่เกาะหวงเหยียนของจีนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการจีน โดยหมู่เกาะหวงเหยียนเป็นชื่อที่จีนใช้เรียกแนวสันดอนนี้ จีนกล่าวหากองทัพสหรัฐฯ ว่าละเมิดอำนาจอธิปไตยของจีนอย่าง "ร้ายแรง" พร้อมชี้ว่า การกระทำของสหรัฐฯ เป็นการบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้ และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและบรรทัดฐานพื้นฐานที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซาราห์ เมอร์ริลล์ โฆษกของกองเรือ กล่าวว่า เรือยูเอสเอส ฮิกกินส์ กำลังปฏิบัติภารกิจ "เสรีภาพในการเดินเรือ" ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมโต้ว่า ถ้อยแถลงของจีนเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้ไม่เป็นความจริง สหรัฐฯ กำลังปกป้องสิทธิในการบิน เดินเรือ และปฏิบัติการในทุก ๆ ที่ที่กฎหมายระหว่างประเทศอนุญาต เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ และจีนกำลังเผชิญกับข้อขัดแย้งทางการค้า ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้กันไปมา โดยในเดือนมี.ค. จีนได้ออกมาเตือนว่า จีนเตรียมพร้อมสำหรับสงครามการค้าหรือสงครามรูปแบบใด ๆ ก็ตามกับสหรัฐฯ ก่อนที่ความตึงเครียดจะลดลงในภายหลัง ๒
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 17.55 จุด ขานรับจีน-สหรัฐฯ บรรลุดีลเลื่อนเก็บภาษี ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (13 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงขยายเวลาการเรียกเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกันจนถึงวันที่ 10 พ.ย. ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,683.46 จุด เพิ่มขึ้น 17.55 จุด หรือ +0.48% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดพุ่ง 643.99 จุด คาดเฟดลดดอกเบี้ยเดือนหน้า ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันนี้ (13 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.ที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.  ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,613.67 จุด พุ่งขึ้น 643.99 จุด หรือ +2.58% ๒
      เอเชีย และอื่นๆ
      ยูเครนเผยพร้อมหารือหยุดยิงทางอากาศกับรัสเซีย สำนักข่าว UNIAN รายงานโดยอ้างคำกล่าวของนายมิไคโล โปโดลยัค ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน ระบุว่า ยูเครนพร้อมที่จะหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการหยุดยิงทางอากาศกับรัสเซีย "ยูเครนพร้อมที่จะหารือและพิจารณาฉากทัศน์ดังกล่าว โดยมองว่าเป็นก้าวแรกไปสู่การเจรจาที่เป็นไปได้จริง" นายโปโดลยัคกล่าว นายโปโดลยัคระบุว่า การหยุดยิงใด ๆ โดยเฉพาะการหยุดยิงอย่างครอบคลุม อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาสันติภาพ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่งกว่า 300 จุด เก็งเฟดลดดบ.เดือนหน้า ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นกว่า 300 จุด โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาด ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,539.91 บวก 304.31 จุด หรือ 0.38% (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      เสียงเอกฉันท์!! กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาที่ 1.50% มีผลทันที ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค.68 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง. เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ มีมติเอกฉันท์ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ถือเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับลดดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนก.พ. และเม.ย.68 คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดี มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะ SMEs ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน นายสักกะภพ ระบุว่า กนง. มองว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคการผลิต มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปี จากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ ที่ลดลงตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ SMEs ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ด้านการบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำจากความเชื่อมั่น และแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลง โดยต้องติดตามผลกระทบของการเก็บภาษี transshipment และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการอื่นไม่ได้ลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนในอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำ มีส่วนช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 18.36 จุดตามภูมิภาค-รับกนง.ลดดอกเบี้ยหนุนตลาด เก็งเฟดหั่นดอกเบี้ยในก.ย. SET ปิดวันนี้ที่ 1,277.43 จุด เพิ่มขึ้น 18.36 จุด (+1.46%) มูลค่าซื้อขาย 70,067.54 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ระดับเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค จากคาดการณ์เฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยในรอบการประชุม ก.ย.นี้ เป็นครั้งแรกจากช่วงปลายปีก่อน ขณะเดียวกันวันนี้ กนง.ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% หนุนตลาดอีกแรง แนวโน้มวันพรุ่งนี้ตลาดน่าจะแกว่งตัวในกรอบ ให้แนวรับ 1,260 จุด แนวต้าน 1,285 จุด และแนะติดตามการประชุมประจำปีของเฟด 21-23 ส.ค.และการเมืองในประเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,277.43 จุด เพิ่มขึ้น 18.36 จุด (+1.46%) มูลค่าซื้อขาย 70,067.54 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกตลอดวัน โดยทำระดับสูงสุด 1,280.16 จุด และต่ำสุด 1,263.93 จุด  ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 270 หลักทรัพย์ ลดลง 231 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 160 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 73,024 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 73,024 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 10,946 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 979 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 91 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.22% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.04% ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้า 3-6 bps. หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี อีกทั้งคณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 91 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 91 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) เดือนก.ค. ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนก.ค. (YoY) ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.8% เล็กน้อย และทรงตัวจากระดับ 2.7% ในเดือนมิ.ย. เนื่องจากต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าได้ผลักดันให้เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวแข็งแกร่ง ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานประมาณการเบื้องต้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อังกฤษ ไตรมาส 2/2568 ในวันพรุ่งนี้  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.25 แข็งค่าสอดคล้องภูมิภาค คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.20-32.40 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.25 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.39 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.41 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทแข็งค่าเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาค จากปัจจัยที่ดอลลาร์อ่อนค่าหลังตลาดยังย่อยข่าวตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. นี้ ส่วนผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้ที่ลดอัตราดอกเบี้ยลงมาที่ 1.50% ต่อปี มีผลต่อเงินบาทค่อนข้างจำกัด  นักบริหารเงิน คาดว่า วันพรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.20 - 32.40 บาท/ดอลลาร์  (อินโฟเควสท์)
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      ยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนเดือนก.ค. จีน    
      การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. อียู                          
      ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการครั้งที่ 2) อียู                          
      จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ สหรัฐฯ
      ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. สหรัฐฯ

       

      แชร์เรื่องนี้

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

      News Demo
      24
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      23
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      22
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ

      Shortcut Menu

      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
        โครงสร้างพื้นฐาน
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนผลงานดี
      • ตารางจ่ายเงินปันผล
      • ข่าว/บทวิเคราะห์
      • กลยุทธ์การลงทุน
      • กำหนดการและแบบฟอร์ม
      • โปรโมชั่น
      • ปฏิทินกองทุน
      • ภาพกิจกรรม
      • ประกาศราคากลาง
      • AIMC Category
        Performance Report
      • ถาม-ตอบ
      • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
      • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
      • การตั้งค่าคุกกี้
      • สมัครรับข่าวสาร
      • ติดต่อเรา
      • ร่วมงานกับเรา
      • ประกาศความเป็นส่วนตัว
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

      KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

      อีเมล: [email protected]

      เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

      • พันธมิตรธุรกิจ
      • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
      • แผนผังเว็บไซต์

      การใช้และการจัดการคุกกี้

      เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

       การใช้และการจัดการคุกกี้

      เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

      ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


      การกำหนดลักษณะความยินยอม

      คุกกี้ที่จำเป็น

      คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

      คุกกี้วิเคราะห์

      เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง