• X
  • ค้นหา
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu แนะนำ
        • NAV
        • ค้นหากองทุน
        • กองทุนแนะนำ
        • กองทุนผลงานดี
        • ตารางจ่ายเงินปันผล
        • วันหยุดกองทุน
        • ข่าว/บทวิเคราะห์
        • กลยุทธ์การลงทุน
        • กำหนดการและแบบฟอร์ม
        • โปรโมชั่น
        • ข้อมูลกองทุน
        • เปรียบเทียบกองทุน
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
      1. หน้าแรก
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยขาดดุลการค้าต่ำสุดรอบเกือบ 2 ปีจากอานิสงส์ภาษีทรัมป์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 16.0% สู่ระดับ 6.02 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 6.26 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 7.17 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ตัวเลขขาดดุลการค้าที่ลดลงดังกล่าวเกิดจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้การนำเข้าสินค้าเพื่อผู้บริโภคลดลงอย่างมาก และเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 3.0% ในไตรมาส 2/2568 หลังจากหดตัวลง 0.5% ในไตรมาส 1/2568 ทั้งนี้ การนำเข้าลดลงสู่ระดับ 3.375 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกลดลงสู่ระดับ 2.773 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐที่มีต่อจีนลดลง 33.0% สู่ระดับ 9.50 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 21 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ.2547 (อินโฟเควสท์)
      ISM เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐต่ำกว่าคาดในเดือนก.ค. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 50.1 ในเดือนก.ค. จากระดับ 50.8 ในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 51.5 ดัชนีได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่การจ้างงานประสบภาวะหดตัว อย่างไรก็ดี ดัชนีภาคบริการยังคงปรับตัวสูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของภาคบริการ ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่ (อินโฟเควสท์)
      ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐปรับตัวขึ้นในเดือนก.ค. เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.7 ในเดือนก.ค. ซึงเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน จากระดับ 52.9 ในเดือนมิ.ย. ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวในภาคบริการของสหรัฐ โดยเป็นการขยายตัวเป็นเดือนที่ 30 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน แม้ว่าความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจปรับตัวลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐ (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ลั่น! เตรียมขึ้นภาษีอินเดียภายใน 24 ชั่วโมง เหตุยังคงซื้อน้ำมันรัสเซีย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในวันนี้ว่า เขาจะเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย "เป็นอย่างมาก" จากระดับปัจจุบันที่ 25% ภายในเวลา 24 ชั่วโมงข้างหน้า เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ปธน.ทรัมป์ยังระบุด้วยว่า ข้อเสนอของอินเดียในการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐนั้น ยังคงไม่เพียงพอ พร้อมกับกล่าวหาว่า อินเดียกำลังสนับสนุนสงครามในยูเครน "พวกเขากำลังเติมน้ำมันให้กับเครื่องจักรสงคราม ซึ่งผมไม่พอใจ" ปธน.ทรัมป์กล่าวให้สัมภาษณ์พิเศษต่อสำนักข่าว CNBC ในวันนี้ และเสริมว่า ประเด็นหลักที่เป็นอุปสรรคระหว่างสหรัฐและอินเดียคือ อัตราภาษีของอินเดียที่สูงเกินไป "อินเดียเคยมีภาษีที่สูงที่สุด แต่ตอนนี้พวกเขาจะให้เราส่งสินค้าเข้าไปโดยไม่เก็บภาษีเลย ซึ่งก็ดูดีนะ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่พวกเขาทำกับน้ำมัน มันไม่ใช่เรื่องดีเลย" ทั้งนี้ อินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียมากกว่า 1 ใน 3 ของความต้องการภายในประเทศ (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" เผยเตรียมประกาศรีดภาษีชิป-เซมิคอนดักเตอร์ในสัปดาห์หน้า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหม่ต่อชิปและเซมิคอนดักเตอร์ในเร็ว ๆ นี้ โดยอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์หน้า "เรากำลังจะประกาศเรื่องชิปและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหมวดแยกต่างหาก เพราะเราต้องการให้มันถูกผลิตในสหรัฐ โดยการประกาศนี้จะมีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า" ปธน.ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ Squawk Box ของสำนักข่าว CNBC นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์เปิดเผยว่า เขาได้ลดจำนวนรายชื่อผู้ที่อาจได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ เหลือเพียง 4 คน (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ขู่รีดภาษียานำเข้าสูงสุดถึง 250% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ยาที่มีการนำเข้าสู่สหรัฐ อาจถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงถึง 250% ซึ่งถือเป็นอัตราภาษีสูงสุดที่ปธน.ทรัมป์ขู่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจนถึงขณะนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะเริ่มต้นด้วยการเก็บ "ภาษีศุลกากรเพียงเล็กน้อย" สำหรับยา แต่ภายในระยะเวลา 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง "เป็นอย่างมากที่สุด" เขาจะเพิ่มอัตราภาษีดังกล่าวสู่ระดับ 150% และจากนั้นเป็น 250% "เราต้องการให้ยาถูกผลิตในประเทศของเราเอง" ปธน.ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ Squawk Box ของสำนักข่าว CNBC (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" เผยมี 4 รายชื่อในใจเหมาะเป็นว่าที่ประธานเฟด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ Squawk Box ของทาง CNBC ในวันนี้ (5 ส.ค.) เวลา 08.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเวลา 19.00 น.ตามเวลาไทย ในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ปธน.ทรัมป์เปิดเผยว่า เขาได้ลดจำนวนรายชื่อผู้ที่อาจได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ เหลือเพียง 4 คน แม้ปธน.ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อบุคคลทั้ง 4 ที่อาจเป็นว่าที่ประธานเฟด แต่เขากล่าวว่า นายเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด และนายเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ต่างก็มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับตำแหน่งดังกล่าว นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกมองว่าเป็นตัวเก็งสำหรับตำแหน่งประธานเฟด ได้ขอถอนตัวจากการพิจารณาแล้ว "ผมรักคุณสก็อตต์มาก แต่เขาอยากอยู่ในตำแหน่งเดิมของเขา ผมเพิ่งถามเขาเมื่อคืนนี้เองว่า 'คุณอยากรับตำแหน่งนี้ไหม?' [ซึ่งเขาตอบว่า] 'ไม่ครับ ผมอยากอยู่ตรงนี้ต่อ' เขาพูดจริง ๆ ว่า 'ผมอยากทำงานกับคุณ' มันเป็นเกียรติมากเลยนะ ผมก็บอกเขาไปว่า 'นั่นยอดมาก ผมขอขอบคุณมาก' ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์กล่าวถึงนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดว่า เขาเล่นการเมืองมากเกินไป และล่าช้าเกินไปในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ เปิดโครงการนำร่อง เรียกเก็บเงินประกันผู้ขอวีซ่าสูงสุด 15,000 ดอลลาร์ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมเปิดตัวโครงการนำร่อง ซึ่งอาจกำหนดให้ชาวต่างชาติที่ยื่นขอวีซ่าธุรกิจหรือวีซ่าท่องเที่ยวต้องวางเงินประกันสูงสุดถึง 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 485,000 บาท) เพื่อเข้าประเทศ ตามประกาศล่วงหน้าที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ Federal Register เมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ภายใต้โครงการนำร่องระยะเวลา 12 เดือนที่เรียกว่า "Visa Bond Pilot Program" เจ้าหน้าที่กงสุลสามารถกำหนดให้ผู้ขอวีซ่าบางรายต้องวางเงินประกันในจำนวน 5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 161,000 บาท), 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 323,000 บาท) หรือ 15,000 ดอลลาร์ ตามที่ระบุไว้ในประกาศซึ่งจะเผยแพร่อย่างเป็นทางการในวันอังคารนี้ (5 ส.ค.) โดยโครงการนี้จะมีผลบังคับใช้ภายใน 15 วันหลังจากประกาศอย่างเป็นทางการ การวางเงินประกันอาจถูกกำหนดสำหรับผู้เดินทางจากประเทศที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เห็นว่ามีอัตราการอยู่เกินกำหนดวีซ่าสูง หรือมีระบบคัดกรองและตรวจสอบประวัติไม่เพียงพอ ในประกาศไม่ได้ระบุชื่อประเทศที่จะได้รับผลกระทบ แต่ระบุว่าจะเผยแพร่รายชื่อประเทศเหล่านั้นทางออนไลน์อย่างน้อย 15 วันก่อนที่โครงการจะมีผลบังคับใช้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ข้อเสนอนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเข้มงวดกฎระเบียบด้านวีซ่า โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่งประกาศว่า ผู้ขอต่ออายุวีซ่าหลายประเภทจะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ด้วยตนเองเพิ่มเติม ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีข้อกำหนดดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 61.90 จุด กังวลภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจ ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (5 ส.ค.) ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งซึ่งรวมถึง ยัม แบรนด์ส (Yum! Brands) ระบุว่า ผลประกอบการของบริษัทได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,111.74 จุด ลดลง 61.90 จุด หรือ -0.14%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,299.19 จุด ลดลง 30.75 จุด หรือ -0.49% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,916.55 จุด ลดลง 137.03 จุด หรือ -0.65% หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลง 1.05% ตามด้วยกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง 0.91% ส่วนหุ้นกลุ่มวัสดุและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยดีดตัวขึ้น 0.8% และ 0.3% ตามลำดับ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ $1.13 กังวลดีมานด์ชะลอตัว-โอเปกพลัสเพิ่มผลิต สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (5 ส.ค.) โดยตลาดยังคงถุกกดดันจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิต รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแอลงทั่วโลก ขณะที่นักลงทุนจับตาการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่ออินเดีย หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่าจะปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดีย เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 65.16 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.63% ปิดที่ 67.64 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่าหลังภาคบริการชะลอตัว จับตาทรัมป์แต่งตั้งผู้ว่าการเฟด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (5 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีภาคบริการชะลอตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการแต่งตั้งสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ แทนเอเดรียนา คูเกลอร์ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลงแตะที่ระดับ 98.782 ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8074 ฟรังก์ จากระดับ 0.8082 ฟรังก์ในวันจันทร์ (4 ส.ค.) แต่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 147.61 เยน จากระดับ 146.95 เยน และทรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3784 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1574 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1566 ดอลลาร์ในวันจันทร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3295 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3276 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก 8.3 ดอลลาร์ รับคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สามในวันอังคาร (5 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการแต่งตั้งบุคคลสำคัญ ซึ่งรวมถึงสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ แทนเอเดรียนา คูเกลอร์ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 8.3 ดอลลาร์ หรือ 0.24% ปิดที่ 3,434.70 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)  
      ยุโรป
      ภาคบริการดัน PMI ยูโรโซนฟื้นตัวเล็กน้อย แต่ภาพรวมยังเปราะบางจากดีมานด์ซบเซา ผลสำรวจที่เผยแพร่ในวันนี้ (5 ส.ค.) ชี้ว่า กิจกรรมทางธุรกิจของยูโรโซนในเดือนก.ค. ขยายตัวเล็กน้อย โดยได้แรงหนุนจากภาคบริการ แต่ภาพรวมยังคงเปราะบางจากอุปสงค์ใหม่ที่ซบเซาและภาคการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี S&P Global เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซนโดย HCOB ประจำเดือนก.ค. ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 52.4 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์เบื้องต้นเล็กน้อยที่ 51.0 ภาคบริการเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายยูโรโซนขยับขึ้นสู่ระดับ 51.0 ในเดือนก.ค. จากระดับ 50.5 ในเดือนมิ.ย. โดยกิจกรรมทางธุรกิจในอิตาลีและสเปนเร่งตัวขึ้นชัดเจน ขณะที่เยอรมนีสามารถพลิกกลับมาขยายตัวได้สำเร็จหลังเผชิญความท้าทายมาหลายเดือน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังถูกฉุดรั้งจากหลายปัจจัย โดยยอดสั่งซื้อใหม่โดยรวมยังคงทรงตัว ขณะที่ยอดขายจากการส่งออกหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 41 สเปนและอิตาลีขยายตัวแข็งแกร่ง แต่เยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยูโรโซนเติบโตเพียงเล็กน้อย ส่วนฝรั่งเศสกลับหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย. สวนทางกับการจ้างงานที่ยังคงเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันและแตะระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปี แรงกดดันด้านต้นทุนในภาคบริการผ่อนคลายลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. ปีก่อน (อินโฟเควสท์)
      ดัชนี PMI ภาคบริการฝรั่งเศสหดตัวหนักสุดรอบ 3 เดือน การเมืองป่วน-ดีมานด์วูบ ผลสำรวจของ S&P Global ที่เผยแพร่วันนี้ (5 ส.ค.) ชี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของฝรั่งเศสโดย HCOB ได้ร่วงลงสู่ระดับ 48.5 ในเดือนก.ค. จาก 49.6 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการหดตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. โดยมีปัจจัยกดดันหลักมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซา ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ความเชื่อมั่นทางธุรกิจดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ลดลงอย่างชัดเจน และการคาดการณ์ภาพรวมธุรกิจในอีก 12 เดือนข้างหน้าก็ทรุดตัวลงอย่างหนัก ภาวะชะลอตัวนี้ยังสะท้อนไปยังตลาดแรงงาน โดยการจ้างงานปรับตัวลดลงต่อเนื่องเข้าสู่ไตรมาสที่สาม บริษัทต่าง ๆ ต่อสัญญาจ้างชั่วคราวน้อยลง และเลือกที่จะไม่จัดหาพนักงานใหม่มาทดแทนตำแหน่งที่ว่าง แม้ภาคบริการจะหดตัว แต่เงินเฟ้อด้านต้นทุนยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อย่างไรก็ดี บริษัทต่าง ๆ สามารถปรับขึ้นราคาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่ามกลางแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง ด้านดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของฝรั่งเศส ก็ปรับลดลงสู่ 48.6 ในเดือนก.ค. สะท้อนว่ากิจกรรมทางธุรกิจของภาคเอกชนโดยรวมกำลังหดตัวเร็วขึ้น ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ว่าแรงส่งทางเศรษฐกิจในระยะสั้นมีจำกัด และทำให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืนของทิศทางการเติบโตในปัจจุบัน (อินโฟเควสท์)
      ภาคบริการ UK ซบหนักเดือนก.ค. กดดัน BoE ลดดอกเบี้ย ผลสำรวจที่เปิดเผยในวันนี้ (5 ส.ค.) ชี้ว่า ยอดสั่งซื้อใหม่เดือนก.ค.ในภาคบริการของสหราชอาณาจักร (UK) ดิ่งลงหนักที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี ขณะที่ธุรกิจในภาคบริการลดการจ้างงานมากที่สุดในรอบ 6 เดือน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจยิ่งสร้างแรงกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ต้องตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหราชอาณาจักรโดย S&P Global ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 51.8 ในเดือนก.ค. จาก 52.8 ในเดือนมิ.ย. แต่ดัชนีย่อยที่น่ากังวลคือ ยอดธุรกิจใหม่ ดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 50 มาอยู่ที่ 47.7 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 สะท้อนถึงอุปสงค์ที่ซบเซาอย่างชัดเจน ขณะที่ดัชนีการจ้างงานก็ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ด้านดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหราชอาณาจักร ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 51.5 ในเดือนก.ค. จากเดิม 51.0 ในเดือนมิ.ย. โดยได้อานิสงส์จาก PMI ภาคการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้น (อินโฟเควสท์)
      ดัชนี PMI ภาคบริการเยอรมนีกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ผลสำรวจล่าสุดที่เผยแพร่วันนี้ (5 ส.ค.) ชี้ว่า ภาคบริการของเยอรมนีเริ่มต้นครึ่งปีหลังด้วยสัญญาณบวก โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของเยอรมนีจาก HCOB ประจำเดือนก.ค. ได้ปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน มาอยู่ที่ 50.6 จาก 49.7 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เบื้องต้นที่ 50.1 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตดังกล่าวยังคงไม่สูงนักและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ปัจจัยหนุนสำคัญของการขยายตัวครั้งนี้มาจากกำลังคนที่เพิ่มขึ้น การเปิดตัวบริการใหม่ ๆ และการได้ธุรกิจใหม่เข้ามา โดยเฉพาะยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่กลับมาเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งปี แม้จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ภาพรวมจะดีขึ้น แต่ภาคบริการยังเผชิญความท้าทาย โดยปริมาณแบ็กล็อกลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ขณะที่การจ้างงานขยายตัวในอัตราที่ชะลอที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี ขณะเดียวกัน ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของเยอรมนี ก็ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 50.6 ในเดือนก.ค. จาก 50.4 ในเดือนก่อนหน้า โดยภาคธุรกิจทั้งสองนี้คิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจเยอรมนี (อินโฟเควสท์)
      EU เลื่อนเก็บภาษีตอบโต้สหรัฐฯ 6 เดือน ปูทางเจรจาการค้าเพิ่ม หลังบรรลุดีลเบื้องต้น สหภาพยุโรป (EU) ประกาศเมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ว่า จะระงับแผนการขึ้นภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งเดิมมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาจัดทำแถลงการณ์ร่วมด้านการค้า หลังจากผู้นำทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเมื่อวันที่ 27 ก.ค. โฆษกด้านการค้าของ EU ระบุในแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงนี้ถือเป็นการฟื้นฟูเสถียรภาพและความแน่นอนให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจทั้งสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก พร้อมย้ำว่า EU ยังคงเดินหน้าร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อจัดทำแถลงการณ์ร่วมตามที่ตกลงกันไว้ และในระหว่างนี้ EU จะชะลอการใช้มาตรการตอบโต้ออกไปอีก 6 เดือน รายงานระบุว่า การตัดสินใจเลื่อนมาตรการดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามประนีประนอมจากสหภาพยุโรป หลังการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายดำเนินไปหลายสัปดาห์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับผลประกอบการ-หวังเฟดลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (5 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงความหวังครั้งใหม่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดดอกเบี้ยในเดือนหน้า ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 541.40 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 จุด หรือ +0.15% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,621.04 จุด ลดลง 10.97 จุด หรือ -0.14%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,846.07 จุด เพิ่มขึ้น 88.38 จุด หรือ +0.37% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,142.73 จุด เพิ่มขึ้น 14.43 จุด หรือ +0.16% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 14.43 จุด ขานรับผลประกอบการแกร่ง-จับตาดอกเบี้ย BoE ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันอังคาร (5 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ออกมาแข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนประเมินข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าคาด ก่อนการประชุมกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดกันว่า BoE จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 9,142.73 จุด เพิ่มขึ้น 14.43 จุด หรือ +0.16% (อินโฟเควสท์)   
      ญี่ปุ่น
      ดัชนี PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ค.โตสุดในรอบ 5 เดือน ขานรับดีมานด์ในประเทศฟื้นตัว ผลสำรวจภาคเอกชนที่เผยแพร่ในวันนี้ (5 ส.ค.) ระบุว่า กิจกรรมภาคบริการของญี่ปุ่นในเดือนก.ค. ขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายจาก S&P Global ปรับขึ้นสู่ระดับ 53.6 จาก 51.7 ในเดือนมิ.ย. การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนหลักจากอุปสงค์ในประเทศที่คึกคัก ซึ่งช่วยชดเชยยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ร่วงลงอย่างหนักและตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ลดลง ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว ผลสำรวจยังชี้ว่า ยอดสั่งซื้อธุรกิจบริการใหม่เติบโตในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 3 เดือน โดยมีปัจจัยหนุนจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอดสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศกลับหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. และเป็นการหดตัวในอัตรารุนแรงที่สุดในรอบกว่า 3 ปี โดยมีสาเหตุหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ซึ่งผู้ตอบแบบสำรวจบางรายชี้ว่าเป็นผลมาจากความกังวลต่อกระแสคาดการณ์เรื่องการเกิดแผ่นดินไหว ด้านการจ้างงานในภาคบริการทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการยุติสถิติการเติบโตต่อเนื่องที่ดำเนินมานาน 21 เดือน โดยผู้ตอบแบบสำรวจบางรายชี้ว่า ภาวะขาดแคลนแรงงานและข้อจำกัดด้านงบประมาณถือเป็นความท้าทายในการจ้างงาน ขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านราคายังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเงินเฟ้อด้านต้นทุนการผลิตขยายตัวช้าที่สุดในรอบ 17 เดือน ส่วนราคาผลผลิตปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 9 เดือน ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 51.6 ในเดือนก.ค. จาก 51.5 ในเดือนมิ.ย. สะท้อนการเติบโตของกิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. (อินโฟเควสท์)
      คณะกรรมการญี่ปุ่นมีมติขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 6% พุ่งทำนิวไฮ 1,118 เยนต่อชั่วโมง คณะกรรมการที่ปรึกษากระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นมีมติเมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยทั่วประเทศ 63 เยน หรือ 6% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,118 เยน (7.6 ดอลลาร์) สำหรับปีงบประมาณ 2568 ท่ามกลางค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น แม้อัตราการปรับขึ้นครั้งนี้จะรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลปี 2545 แต่ยังไม่ถึงระดับเฉลี่ยที่รัฐบาลต้องการต่อปีที่ 7.3% ซึ่งเป็นอัตราที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 1,500 เยนภายในสิ้นทศวรรษนี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การตัดสินใจดังกล่าว ซึ่งได้ข้อสรุปหลังการหารือหลายรอบของคณะกรรมการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ถือเป็นการปูทางให้ทุกจังหวัดในญี่ปุ่นทั้ง 47 จังหวัด มีค่าแรงขั้นต่ำเกิน 1,000 เยนภายในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งสิ้นสุดเดือนมี.ค.ปีหน้า การประชุมของคณะกรรมการที่ปรึกษาในปีนี้เป็นไปอย่างยืดเยื้อ เนื่องจากความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างตัวแทนฝ่ายแรงงาน ซึ่งผลักดันให้มีการขึ้นค่าจ้างในอัตราสูงเพื่อชดเชยเงินเฟ้อ กับสมาชิกฝั่งนายจ้างที่กังวลว่าบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมอาจประสบปัญหาในการปรับขึ้นค่าจ้างตามบริษัทขนาดใหญ่ นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านี้เรียกร้องให้ภาคธุรกิจปรับขึ้นค่าจ้าง ได้สนับสนุนมติล่าสุด โดยระบุว่าการเติบโตของค่าจ้างคือ "หัวใจหลัก" ของกลยุทธ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ทั้งนี้ ในญี่ปุ่น รัฐบาลกลางจะกำหนดแนวทางค่าแรงขั้นต่ำรายปีในแต่ละจังหวัด จากนั้นคณะกรรมการระดับจังหวัดจะประชุมพิจารณาอัตราที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ตั้งแต่ต้นเดือนส.ค. ก่อนมีผลบังคับใช้ช่วงฤดูใบไม้ร่วง (อินโฟเควสท์)
      รายงานประชุม BOJ เดือนมิ.ย.ชี้ จนท.หนุนขึ้นดอกเบี้ยหากข้อพิพาทการค้าคลี่คลาย ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ในวันนี้ (5 ส.ค.) โดยระบุว่า กรรมการบางคนมองว่า BOJ ยังคงมีโอกาสที่จะกลับมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อความขัดแย้งด้านการค้าที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เริ่มคลี่คลายลง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการทำข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ได้ช่วยขจัดอุปสรรคสำคัญในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16-17 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการ BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% และตัดสินใจที่จะลดความเร็วในการปรับลดขนาดงบดุลในปีหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่า BOJ ต้องการดำเนินการอย่างระมัดระวังในการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ รายงานการประชุมระบุว่า ในการประชุมครั้งนี้ กรรมการหลายคนเห็นว่า BOJ ยังต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะขาลง แต่ในขณะเดียวกันกรรมการ BOJ มองว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าคาดการณ์ โดยกรรมการบางคนเตือนว่าราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้อาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในอนาคต ในขณะที่กรรมการคนอื่น ๆ กล่าวว่า BOJ อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแน่วแน่แม้ความไม่แน่นอนยังคงสูง เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ การแสดงความเห็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คณะกรรมการ BOJ กำลังให้ความสนใจมากขึ้นต่อความเสี่ยงที่จะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปูทางให้ BOJ ส่งสัญญาณความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แม้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในความไม่แน่นอนก็ตาม (อินโฟเควสท์)
      จนท.ญี่ปุ่นบินด่วนไปสหรัฐฯ หวังเร่งทรัมป์ลงนามลดภาษีนำเข้ารถยนต์เหลือ 15% ตามข้อตกลง เรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าผู้เจรจาภาษีศุลกากรของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (5 ส.ค.) ว่า เขากำลังเตรียมการเดินทางไปยังสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงภาษีทวิภาคีที่เพิ่งบรรลุไปเมื่อไม่นานมานี้ แม้คำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า สินค้าจากญี่ปุ่นจะถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 15% โดยมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้ (7 ส.ค.) แต่ยังไม่ชัดเจนว่า ภาษีรถยนต์ในอัตราที่ลดลงเหลือ 15% จะเริ่มบังคับใช้เมื่อใด อาคาซาวะระบุว่า เขาวางแผนจะเดินทางไปกรุงวอชิงตันตั้งแต่วันนี้ เพื่อผลักดันให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารให้มีผลบังคับใช้อัตราภาษีรถยนต์ที่ตกลงกันไว้ที่ 15% เมื่อเดือนที่แล้ว สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นจากเดิมที่ 27.5% ให้เหลือเพียง 15% ขณะเดียวกัน ภาษีสินค้าญี่ปุ่นรายการอื่น ๆ ที่มีกำหนดจะเริ่มบังคับใช้ในสัปดาห์นี้ ก็ถูกปรับลดจาก 25% เหลือ 15% เช่นกัน อาคาซาวะกล่าวต่อรัฐสภาญี่ปุ่นว่า ญี่ปุ่นจะเร่งผลักดันให้สหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเกี่ยวกับอัตราภาษีที่ตกลงไว้สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์โดยเร็วที่สุด (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นเตรียมประกาศแผนปรับนโยบายข้าวครั้งใหญ่ หวังเพิ่มผลผลิต-แก้ปัญหาขาดแคลน สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่นมีแผนจะประกาศในวันนี้ (5 ส.ค.) ถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายข้าวครั้งใหญ่ โดยจะเปลี่ยนจากการจำกัดการผลิตมาเป็นการส่งเสริมการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นยังคงเผชิญปัญหาขาดแคลนข้าวและราคาที่สูงขึ้น ญี่ปุ่นได้ยกเลิกนโยบายลดการผลิตข้าวอย่างชัดเจนไปแล้ว ซึ่งนโยบายเดิมเคยส่งเสริมให้เกษตรกรไม่เพาะปลูกในบางพื้นที่นา ขณะที่รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่น เพื่อควบคุมผลผลิตข้าวโดยรวมและรักษาเสถียรภาพด้านราคา แหล่งข่าวระบุว่า การเปลี่ยนนโยบายที่อิชิบะเตรียมประกาศในการประชุมรัฐบาลช่วงบ่ายวันนี้ จะมีผลบังคับใช้ในปีงบประมาณ 2570 คณะรัฐมนตรีได้หารือเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาข้าวที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลัง และพยายามหาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนข้อสรุปของคณะกรรมการรัฐบาลที่พบว่า ผลผลิตข้าวไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ทัน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว รัฐบาลคาดว่าจะมีมาตรการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เพาะปลูกที่ถูกทิ้งร้างให้มากขึ้น และช่วยเหลือเกษตรกรในการขยายช่องทางการจำหน่ายข้าว นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีแผนผลักดันการส่งออกข้าวให้มากขึ้น ในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าเกษตรญี่ปุ่นโดยรวม (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 258.84 จุด ขานรับคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย-คลายกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (5 ส.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ หลังข้อมูลล่าสุดชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัว ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเร็วที่สุดอาจเป็นเดือนก.ย. เพื่อพยุงเศรษฐกิจ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,549.54 จุด เพิ่มขึ้น 258.84 จุด หรือ +0.64% หุ้นบวกนำตลาดได้แก่ กลุ่มโลหะที่ไม่มีส่วนผสมของเหล็ก กลุ่มเกษตรและประมง รวมถึงกลุ่มพลังงานไฟฟ้าและก๊าซ (อินโฟเควสท์)  
      จีน
      ไฉซินเผยดัชนี PMI ภาคบริการจีนขยายตัวเกินคาดในเดือนก.ค. ไฉซิน/เอสแอนด์พี โกลบอล (Caixin/S&P Global) เปิดเผยผลสำรวจในวันนี้ (5 ส.ค.) ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนปรับตัวขึ้นแตะระดับ 52.6 ในเดือนก.ค. จากระดับ 50.6 ในเดือนมิ.ย. ขณะที่ตลาดคาดการณ์ตัวเลขเดือนก.ค.ไว้ที่ระดับ 50.2 ทั้งนี้ ดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการของจีนยังคงมีการขยายตัว (อินโฟเควสท์)
      ข้อมูล VAT ชี้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดี ภาคการผลิต-ไฮเทคหนุนเติบโต สำนักงานภาษีแห่งชาติจีนเปิดเผยข้อมูลใบแจ้งหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้จากยอดขายของภาคธุรกิจทั่วประเทศ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ยอดขายของภาคการผลิตขยายตัวเร็วกว่ายอดขายรวมของทั้งประเทศถึง 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. ซึ่งตอกย้ำบทบาทของภาคการผลิตในฐานะกลไกขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ของจีนก็เร่งตัวขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว โดยรายได้จากยอดขายของภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงพุ่งขึ้น 14.3% เมื่อเทียบรายปี สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โครงการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ทั่วประเทศยังช่วยกระตุ้นการลงทุน โดยยอดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 11.1% เมื่อเทียบรายปี สานต่อจากการเติบโตของปี 2567 ขณะที่โครงการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภคหรือเทรดอิน (trade-in) ของจีน ก็ช่วยกระตุ้นความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้อง และส่งผลให้ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุว่า ยอดขายข้ามมณฑลคิดเป็น 40.7% ของรายได้รวมจากการขายทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งสะท้อนถึงความคืบหน้าอย่างมั่นคงในการสร้างตลาดแห่งชาติแบบบูรณาการ (อินโฟเควสท์)
      จีนนำเข้าน้ำมันอิหร่านเดือนก.ค.ลดฮวบ 30% เหตุดีมานด์โรงกลั่นเอกชนแผ่ว จีนนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านลดลงเกือบ 30% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน เหลือเพียงประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากความต้องการที่ลดลงของโรงกลั่นเอกชน หลังจากมีการนำเข้ามากในเดือนมิ.ย. ข้อมูลจากเคปเลอร์ (Kpler) บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลพลังงาน ระบุว่า ความต้องการของโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก (Teapot) ในจีนไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร และหลายรายเผชิญข้อจำกัดจากโควตานำเข้าน้ำมันดิบที่ตึงตัว ขณะเดียวกัน วอร์เทซา (Vortexa) บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานอีกราย ก็เผยข้อมูลที่สอดคล้องกันว่า ปริมาณการนำเข้าน้ำมันในเดือนก.ค. ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ วอร์เทซาระบุว่า ในเดือนมิ.ย. จีนนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านมากกว่า 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากมีการเร่งส่งมอบเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพด้านพลังงาน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันแต่อย่างใด นับตั้งแต่เหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล สหรัฐอเมริกาได้เพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่าน ด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อบริษัทและหน่วยงานในห่วงโซ่อุปทานพลังงาน ทั้งนี้ จีนถือเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านรายใหญ่ แม้ข้อมูลอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีนมักแสดงตัวเลขนำเข้าที่น้อยมากหรือแทบเป็นศูนย์ ขณะที่ปริมาณการส่งออกน้ำมันจากอิหร่านมักสะท้อนแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันโดยรวมของจีน (อินโฟเควสท์)
      ปธน.ไต้หวันยืนยันงบประมาณกลาโหมปีหน้าสูงกว่า 3% ของ GDP หวังรับมือจีนรุกราน ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้กล่าวยืนยันในวันนี้ (5 ส.ค.) ว่า งบประมาณด้านกลาโหมของไต้หวันในปีหน้าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันตนเอง ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนในปีนี้ ไต้หวันได้จัดสรรงบประมาณด้านกลาโหมไว้ประมาณ 2.45% ของ GDP สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมด้านความมั่นคงระดับภูมิภาค (Ketagalan Forum) ที่กรุงไทเป ปธน.ไล่ ชิงเต๋อ เตือนว่า กิจกรรมทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นในช่องแคบไต้หวัน รวมถึงในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้นั้น ได้ก่อให้เกิดความท้าทายต่อระเบียบโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ในขณะที่ลัทธิอำนาจนิยมยังคงขยายตัว บรรดาประเทศฝั่งประชาธิปไตยต้องมีความสามัคคีกันมากขึ้นเพื่อปกป้องคุณค่าของเรา" ปธน.ไล่ ชิงเต๋อ กล่าวในการประชุมดังกล่าว และเสริมว่ารัฐบาลของเขายังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาสถานภาพในปัจจุบัน ตลอดจนสร้างสันติภาพและเสถียรภาพทั่วทั้งช่องแคบไต้หวัน นอกจากนี้ ปธน.ไล่ ชิงเต๋อ ยังให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้เกิดความยืดหยุ่นและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไต้หวันด้วยการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ากับประเทศอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงความร่วมมือในภาคส่วนเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 34.29 จุด ขานรับภาคบริการโตแกร่ง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกติดต่อกันวันที่สองในวันนี้ (5 ส.ค.) ขานรับรายงานที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวในภาคบริการจีน ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยคาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะเห็นพ้องให้ขยายเส้นตายการเรียกเก็บภาษีศุลกากรได้ก่อนวันที่ 12 ส.ค. ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,617.60 จุด เพิ่มขึ้น 34.29 จุด หรือ +0.96% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 169.08 จุด ขานรับภาคบริการจีนแข็งแกร่ง ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (5 ส.ค.) หลังข้อมูลบ่งชี้ว่าภาคบริการจีนเติบโตเร็วที่สุดในรอบ 14 เดือนในเดือนก.ค. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,902.53 จุด เพิ่มขึ้น 169.08 จุด หรือ +0.68% (อินโฟเควสท์)  
      เอเชีย และอื่นๆ
      GDP อินโดนีเซียโต 5.12% ใน Q2/68 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี สำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 5.12% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.80% และนับเป็นสถิติการเติบโตสูงสุดในรอบ 2 ปี โดยเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสแรกที่เติบโต 4.87% ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากการขยายตัวของภาคการผลิต ซึ่งได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์สินค้าส่งออกที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและโลหะพื้นฐาน ประกอบกับความต้องการยาและเวชภัณฑ์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเร่งสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าของผู้ซื้อเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังช่วยหนุนให้มูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวสูงขึ้น ส่วนตัวเลข GDP เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาสและไม่ปรับค่าตามฤดูกาล ขยายตัว 4.04% ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ทั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย ซึ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 4 ครั้งนับตั้งแต่เดือนก.ย. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจตลอดทั้งปี 2568 จะเติบโตในกรอบ 4.6%-5.4% (อินโฟเควสท์)
      ดัชนี PMI ภาคบริการอินเดียโตสูงสุดรอบ 11 เดือน อานิสงส์ส่งออกแกร่ง ผลสำรวจของ S&P Global เปิดเผยวันนี้ (5 ส.ค.) ว่า ภาคบริการของอินเดียในเดือนก.ค. ขยายตัวในอัตราสูงสุดรอบ 11 เดือน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายโดย HSBC ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 60.5 จาก 60.4 ในเดือนมิ.ย. สวนทางกับคาดการณ์เบื้องต้นที่ประเมินว่าจะลดลงเหลือ 59.8 ซึ่งข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ภาคบริการซึ่งเป็นกำลังขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอินเดีย ได้ขยายตัวต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 แล้ว การเติบโตครั้งนี้มีแรงหนุนสำคัญจากอุปสงค์ต่างประเทศ โดยดัชนีย่อยด้านคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน และนับเป็นการขยายตัวสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในรอบปี ขณะที่ยอดธุรกิจใหม่โดยรวมยังคงแข็งแกร่งจากการทำโฆษณาและหาลูกค้ารายใหม่ เมื่อจำแนกตามประเภทบริการ พบว่ากลุ่มการเงินและการประกันภัยมีผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุด ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และบริการทางธุรกิจเติบโตช้าที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้อุปสงค์จะแข็งแกร่ง แต่บริษัทต่าง ๆ กลับชะลอการจ้างงานลงอย่างมาก ขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านราคาก็รุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการต้องเผชิญกับต้นทุนอาหาร ค่าขนส่ง และค่าแรงที่สูงขึ้น และได้ผลักภาระเหล่านี้ต่อไปยังลูกค้า ซึ่งภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ที่จะมีการประชุมในวันที่ 4-6 ส.ค. ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดีย ปรับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 61.1 ในเดือนก.ค. ขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 (อินโฟเควสท์)
      เงินเฟ้อเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนก.ค. ยังสูงกว่าเป้าหมายธนาคารกลาง สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้รายงานในวันนี้ (5 ส.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ทั้งนี้ นับเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้นกว่า 2% ซึ่งส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรมและการบริการที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ติดต่อกันเป็นเดือนที่สี่ สำนักงานสถิติระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในเดือนก.ค.มาจากสกุลเงินวอนที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ราคานำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาการบริการก็ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นด้วย ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน ปรับตัวขึ้น 2% ในเดือนก.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกับเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
      เงินเฟ้อฟิลิปปินส์โตต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี คาดเปิดทางแบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ย สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ รายงานในวันนี้ (5 ส.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้นเพียง 0.9% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี และชะลอตัวลงอย่างมากจากเดือนมิ.ย.ที่ปรับตัวขึ้น 1.4% ดัชนี CPI เดือนก.ค.ของฟิลิปปินส์อยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.1% และยังคงต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์กำหนดไว้ในช่วง 2% - 4% ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากที่ปรับลดลง 0.50% นับตั้งแต่เดือนเม.ย. อีไล เรโมโลนา ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ธนาคารกลางยังคงพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 28 ส.ค. ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งหลังสุดมีขึ้นในการประชุมเดือนมิ.ย. ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี นอกจากนี้ เรโมโลนา และเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจรายอื่น ๆ ของฟิลิปปินส์กล่าวว่า อัตราภาษีศุลกากร 19% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของฟิลิปปินส์นั้น คาดว่าจะส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยอัตราภาษีที่ระดับดังกล่าวสอดคล้องกับที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโฟเควสท์)
      เวียดนามสั่งแบงก์พาณิชย์ลดดอกฝาก หวังหนุนปล่อยกู้-กระตุ้นเศรษฐกิจโต 8% ธนาคารกลางเวียดนามเปิดเผยในวันนี้ (5 ส.ค.) ว่า ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง เพื่อปูทางไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ พร้อมกันนี้ธนาคารกลางยังระบุในแถลงการณ์ว่า ธนาคารต่าง ๆ ยังจำเป็นต้องดำเนินมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นในการลดต้นทุนและปรับขั้นตอนการดำเนินงานให้เรียบง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารกลางเวียดนามยังได้สนับสนุนให้ธนาคารต่าง ๆ พุ่งเป้าการปล่อยกู้ไปยังโครงการในภาคการผลิต เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลในการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างน้อย 8% ในปีนี้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (Standard Chartered) เปิดเผยในช่วงปลายเดือนก.ค.ว่า ข้อมูลยอดขายปลีกของเวียดนามในเดือนมิ.ย.ที่ขยายตัวเพียง 8.3% เมื่อเทียบรายปี เป็นสัญญาณสะท้อนถึงการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ จากแนวโน้มดังกล่าว สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจึงปรับลดคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนามในปีนี้ ลงมาอยู่ที่ 6.1% จากเดิมที่ 6.7% ขณะเดียวกันได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อลงมาอยู่ที่ 3.5% จาก 3.8% นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนามเปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ว่า รัฐบาลตั้งเป้าให้อัตราการเติบโตของ GDP ปีนี้อยู่ที่ 8.3%-8.5% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโต 7.09% ในปีที่แล้ว โดยรัฐบาลมองว่าเป้าหมายดังกล่าวจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการบรรลุอัตราการเติบโตระดับเลขสองหลักในช่วงปี 2569-2573 ทั้งนี้ สภานิติบัญญัติของเวียดนามได้อนุมัติเกณฑ์การเติบโตอย่างน้อย 8% สำหรับปีนี้แล้ว (อินโฟเควสท์)
      นายกฯ เวียดนามกระตุ้นอุตสาหกรรม "เซมิคอนดักเตอร์" สร้างความก้าวหน้าครั้งใหญ่ ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ซึ่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติด้านการกำกับดูแลการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการสร้างความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายเศรษฐกิจเติบโต 8.3%-8.5% ในปี 2568 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้กระตุ้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามเร่งดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์และโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั่วประเทศ พร้อมเน้นย้ำว่าเวียดนามต้องสามารถออกแบบ ผลิต และทดสอบชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่จำเป็นได้ด้วยตนเองภายในปี 2570 อนึ่ง รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศยุทธศาสตร์การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์เมื่อเดือนก.ย. 2567 ซึ่งตั้งเป้าหมายฝึกอบรมวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์อย่างน้อย 50,000 คน และดึงดูดโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภาคธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ จำนวน 170 โครงการ ภายในปี 2573 (อินโฟเควสท์)
      อินเดียโต้กลับกรณีสหรัฐฯ-EU วิจารณ์การนำเข้าน้ำมันรัสเซีย ชี้ไม่เป็นธรรม-ไร้เหตุผล อินเดียออกมาคัดค้านสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ที่วิจารณ์อินเดียเรื่องการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยระบุว่าเป็นการกล่าวหาที่ไม่สมควรและไม่สมเหตุสมผล รันธีร์ ไจสวาล โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินเดียระบุในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ว่า การนำเข้าน้ำมันของอินเดียจากรัสเซียนั้นมีความจำเป็นเพื่อให้ราคาน้ำมันสำหรับผู้บริโภคอินเดียยังคงอยู่ในระดับที่จับต้องได้และมีความแน่นอน โฆษกฯ ระบุว่า ประเทศที่วิจารณ์อินเดียในตอนนี้เองก็กำลังค้าขายกับรัสเซียเช่นกัน ซึ่งในกรณีของประเทศเหล่านั้นไม่ได้มีความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ในระดับชาติเท่ากับของอินเดีย โฆษกฯ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจของอินเดียที่จะซื้อขายน้ำมันรัสเซียที่ได้ราคาลดลงนั้นเกิดขึ้นหลังจากสงครามยูเครนปะทุขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ส่งออกน้ำมันดั้งเดิมหันไปส่งออกไปยังยุโรปแทน พร้อมเสริมว่า ในช่วงเวลานั้น สหรัฐฯ เองก็เคยสนับสนุนให้อินเดียซื้อน้ำมันรัสเซียเพื่อช่วยรักษาความมั่นคงในตลาดพลังงานโลก นอกจากนี้ ไจสวาลยังเน้นย้ำถึงความแตกต่างของการค้าของอินเดียกับรัสเซีย และ EU กับรัสเซีย โดยระบุว่า ในปี 2567 EU มีมูลค่าการค้าสินค้ากับรัสเซียถึง 6.75 หมื่นล้านยูโร และยังมีมูลค่าการค้าบริการที่ประมาณ 1.72 หมื่นล้านยูโรในปี 2566 ซึ่งมากกว่ามูลค่าการค้ารวมของอินเดียกับรัสเซียในปีนั้นและปีต่อมาอย่างมีนัยสำคัญ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 300 จุด ผวา "ทรัมป์" ขู่รีดภาษีอินเดีย ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 300 จุด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ย้ำคำเตือนเป็นวันที่ 2 ในการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,710.25 ลบ 308.47 จุด หรือ 0.38% (อินโฟเควสท์)  
      ไทย
      ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสอง 1.85 หมื่นลบ. ใช้เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ 18,500 ล้านบาทโดยประมาณ โดยส่วนแรกเป็นโครงการในส่วนของกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และส่วนที่ 2 เป็นของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่จะไปเพิ่มในเรื่องผู้กู้รายใหม่และดูแลผู้กู้รายเก่า ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของประเทศเช่นเดียวกัน โดยทั้งสองเรื่องมีการพิจารณาในคณะรัฐมนตรีและได้รับการอนุมัติ โดยไม่มีข้อทักท้วงใด ๆ ส่วนงบประมาณที่ยังเหลืออยู่อีกประมาณ 20,000 ล้านบาทนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังต้องไปรอกระบวนการ ซึ่งในวันที่มีการพิจารณาคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์เจรจาต่อรองเรื่องภาษีแล้ววันนั้นยังไม่ตกผลึก แต่วันนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าเราได้อัตราภาษีที่ 19% และเราก็ไม่ได้เสียทุกอย่าง ขณะเดียวกันก็มีการเปิดสินค้าจำนวนมาก แต่ในสินค้าที่ต้องดูแลเกษตรกรบางกลุ่ม รวมถึงสินค้าที่เราต้องให้ความคุ้มครองก็ยังได้รับการดูแลอยู่นั้น ถือว่าเป็นการได้ข้อตกลงที่ค่อนข้างเป็นประโยชน์กับประเทศไทย รมช.คลัง กล่าวว่า เมื่อมีความชัดเจนมาแล้วเช่นนี้ หลังจากนี้ก็คงต้องมาประชุมกันว่างบประมาณที่เหลือในการกระตุ้นเศรษฐกิจของปี 2568 เราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะยังไม่ได้มีการตัดสินใจ แต่จะนำไปใช้ในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นออกมา (อินโฟเควสท์)
      บอร์ด ธปท.ตั้ง "เชาว์ เก่งชน" เป็น กนง. แทน "รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส" มีผล 2 ก.ย. นายจิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ เลขานุการคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (บอร์ด ธปท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 ก.ค.68 ที่ประชุมได้คัดเลือกและมีมติแต่งตั้ง "นายเชาว์ เก่งชน" เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แทนนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ที่ลาออกก่อนครบวาระ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2568 และมีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของนายรุ่งโรจน์ คือ จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2569 (อินโฟเควสท์)
      คลัง เร่งสำรวจผลกระทบภาษีทรัมป์รายอุตฯ จ่อชงแพ็คเกจเยียวยาเสนอครม. นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากมีความชัดเจนในเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้าไทยในอัตรา 19% แล้วนั้น จากนี้ไปจะต้องมาพิจารณาในรายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบว่ามีกลุ่มไหนบ้าง กระทบอย่างไร โดยจะต้องหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือต่อไป ซึ่งในส่วนนี้ เป็นหน้าที่ของแต่ละกระทรวงที่จะต้องเร่งทำการบ้าน เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อดูให้ครบทุกมิติของกลุ่มอุตสาหกรรม จากนั้นจะต้องสรุปรายละเอียดผลกระทบทั้งหมดที่แต่ละอุตสาหกรรมได้รับ และแนวทางในการบรรเทาผลกระทบ เสนอให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้พิจารณา ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และเสนอต่อไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป โดยในปีงบประมาณ 2568 ยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจเหลืออีกราว 2.4 หมื่นล้านบาท ส่วนในปีงบประมาณ 2569 อีกราว 2.5 หมื่นล้านบาท ที่สามารถใช้ดำเนินการได้ นอกจากนี้ ยังมีการบ้านที่ต้องทำต่อ โดยเฉพาะเรื่องสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ที่หลายประเทศยังไม่นิ่ง และยังมีเรื่องที่ใหม่มาก ๆ เช่น เกณฑ์การคำนวณมูลค่าในประเทศ (Regional Value Content : RVC) ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมาก สำหรับในภาคเกษตรของไทย ภายหลังจากการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แล้ว นายลวรณ มองว่า ควรถือโอกาสนี้ในการปฏิรูปโครงสร้างภาคเกษตรไทย ไม่ใช่เพียงแค่การเยียวยาผลกระทบเท่านั้น เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ในจุดที่แข่งขันได้ (อินโฟเควสท์)
      ประธานสภาฯ เคาะเลือกรองฯ คนที่หนึ่ง 7 ส.ค. ก่อนถกงบ 69 ช่วง 13-15 ส.ค. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพานว่า ในวันที่ 7 ส.ค. ได้บรรจุระเบียบวาระอื่น ๆ ไว้แล้ว แต่ แต่จะต้องให้สภาฯ ขอเลื่อนวาระนี้ขึ้นมาพิจารณาก่อนเพราะมีความจำเป็นเนื่องจากวันที่ 13-15 ส.ค.68 จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระ 2 และ 3 ซึ่งต้องใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืน "การทำหน้าที่ของประธานในที่ประชุม 2 คนอาจไม่ทัน จึงอยากให้มีการเลือกให้เรียบร้อยในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ส่วนจะเลือกใครตามรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะเสนอ โดยผู้ที่ได้รับเสียงข้างมากจะได้ดำรงตำแหน่ง" นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว ส่วนการจัดสรรเวลาในการอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณปี 69 วาระ 2 และ 3 นั้น รัฐบาลยังไม่ได้แจ้งมาอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงแค่การประสานกันภายใน ส่วนจะใช้ระยะเวลากี่วันต้องให้วิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านไปหารือกรอบเวลา เพราะการพิจารณาวาระ 2 ไม่รู้เวลาที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับสมาชิกที่ได้สงวนคำแปรญัตติ แต่ปีที่แล้วใชช้เวลาในการพิจารณา 3 วัน (อินโฟเควสท์)
      เพื่อไทย ส่ง "ไชยา พรหมา" ชิงเก้าอี้รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคเพื่อไทย (พท.) มีมติเลือกนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีต สส.เชียงราย ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง เป็นเวลา 10 ปี ในการเสนอชื่อนพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ ได้เสนอชื่อตัวเองให้ที่ประชุมพิจารณาเช่นกัน ส่งผลให้ที่ประชุมพรรคต้องลงคะแนนโดยทางลับ แต่ผลปรากฏว่า ที่ประชุมลงคะแนนเป็นเอกฉันท์เลือกนายไชยา ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 โดยพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาฯ ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ (อินโฟเควสท์)
      ไทย-กัมพูชา: ประชุม GBC วันที่ 2 ผลักดันข้อตกลงหยุดยิงถาวร เดินหน้าสร้างสันติภาพ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า การประชุมเลขานุการคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ของฝ่ายไทยในวันที่สอง เวลา 09.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นมาเลเซีย เป็นการหารือเชิงเทคนิคและความมั่นคงกับฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างยั่งยืน โดยการหารือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อวางแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนให้เกิดเสถียรภาพในระยะยาว โดยเฉพาะการยุติการกระทำที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ พร้อมยกระดับมาตรการคุ้มครองประชาชนในพื้นที่ให้มีความปลอดภัยสูงสุด ในช่วงเช้าของวันนี้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ VDO Conference เพื่อให้กำลังใจแก่คณะผู้แทนฝ่ายไทย พร้อมทั้งให้แนวทางสำคัญในฐานะผู้นำสูงสุดของกองทัพ โดยเน้นย้ำให้ยึดหลักกฎหมายของประเทศไทย กฎหมายระหว่างประเทศ ผลประโยชน์แห่งชาติ และศักดิ์ศรีของประเทศไทยเป็นหลักในการดำเนินงาน นายจิรายุ กล่าวว่า คณะเจรจาของฝ่ายไทยดำเนินการอย่างรอบคอบรอบด้าน และใช้สติเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ ภายใต้หลักนิติธรรมระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลจะเดินหน้าสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนและถาวร ผ่านเวทีการหารือในทุกระดับ โดยยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์แห่งสันติวิธี แต่จะไม่ยอมให้ใครบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือกระทำการที่ละเมิดต่อความมั่นคงและศักดิ์ศรีของประเทศได้ (อินโฟเควสท์)
      ไทย-กัมพูชา: "ภูมิธรรม" สั่งยกร่างคำฟ้องอาญา-แพ่งระดับโลกกรณีกัมพูชาเปิดฉากยิงพลเรือนไทยตายเจ็บสูญเสียหนัก นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายกรณีที่กัมพูชาใช้กำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์รุกรานอธิปไตยของไทยจนเกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กำลังพล และทางราชการเป็นจำนวนมาก โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้ดำเนินการทางกฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งกฎหมายอื่น ๆ ด้วย โดยมอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหน่วยงานหลัก ดำเนินการประชุมหารือกับหน่วยงานที่ได้รับความเสียหาย เช่น กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และอื่น ๆ พร้อมให้เชิญเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้าร่วมประชุม เพื่อให้คำแนะนำทางกฎหมายในการดำเนินคดีกับผู้สั่งการและผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมายดังกล่าวโดยเร็วที่สุด เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมทั้งเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว รวมทั้งแจ้งให้ประชาชนผู้เสียหายทราบถึงสิทธิในการฟ้องร้องคดีอาญา และฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้สั่งการด้วย (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 17.56 จุดรับแรงเก็งกำไรหุ้น Laggard ลุ้นเฟดหั่นดอกเบี้ย-Fund Flow ไหลเข้าเอเชีย SET ปิดวันนี้ที่ 1,246.96 จุด เพิ่มขึ้น 17.56 จุด (+1.43%) มูลค่าซื้อขาย 53,040.81 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งแดนบวกจากคาดเฟดลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกของปีหลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐต่ำคาด และดอลลาร์อ่อนค่าหนุน fund flow เข้าเอเชีย รวมถึงภาพรวมงบ บจ.ไตรมาส 2/68 ไม่แย่ กลุ่มหุ้นเด่น คือหุ้น laggard กลุ่มโรงพยาบาล-ค้าปลีก รวมทั้งหุ้น infra-tech เช่น GULF TRUE ADVANC แนวโน้มพรุ่งนี้ลุ้นเดินหน้าต่อ กรอบแนวต้าน 1,255 และ 1,260 จุด แนวรับ 1,230 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับขึ้นตลอดวัน โดยทำระดับสูงสุด 1,250.36 จุด และต่ำสุด 1,233.44 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 373 หลักทรัพย์ ลดลง 113 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 175 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.37 แกว่งแคบ รอลุ้นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ-เงินเฟ้อไทย นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.37 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.30 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ 32.31-32.40 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากตลาดรอดูการรายงาน ดัชนีภาคบริการเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ก่อน ซึ่งหากออกมาแย่ก็มีโอกาสที่ดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าต่อ และเงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นได้อีก ส่วนวันพรุ่งนี้ ปัจจัยในประเทศ ต้องรอดูการรายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือน ก.ค.68 จากกระทรวงพาณิชย์ นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้ เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25- 32.50 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 113,147 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 113,147 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 49,947 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 2,244 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 642 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.29% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% (อินโฟเควสท์)   
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      • ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมิ.ย. เยอรมนี                   
      • ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ยุโรป
      • สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ

       

      แชร์เรื่องนี้

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

      News Demo
      24
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      23
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      22
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ

      Shortcut Menu

      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
        โครงสร้างพื้นฐาน
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนผลงานดี
      • ตารางจ่ายเงินปันผล
      • ข่าว/บทวิเคราะห์
      • กลยุทธ์การลงทุน
      • กำหนดการและแบบฟอร์ม
      • โปรโมชั่น
      • ปฏิทินกองทุน
      • ภาพกิจกรรม
      • ประกาศราคากลาง
      • AIMC Category
        Performance Report
      • ถาม-ตอบ
      • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
      • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
      • การตั้งค่าคุกกี้
      • สมัครรับข่าวสาร
      • ติดต่อเรา
      • ร่วมงานกับเรา
      • ประกาศความเป็นส่วนตัว
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

      KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

      อีเมล: [email protected]

      เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

      • พันธมิตรธุรกิจ
      • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
      • แผนผังเว็บไซต์

      การใช้และการจัดการคุกกี้

      เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

       การใช้และการจัดการคุกกี้

      เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

      ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


      การกำหนดลักษณะความยินยอม

      คุกกี้ที่จำเป็น

      คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

      คุกกี้วิเคราะห์

      เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง