• X
  • ค้นหา
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu แนะนำ
        • NAV
        • ค้นหากองทุน
        • กองทุนแนะนำ
        • กองทุนผลงานดี
        • ตารางจ่ายเงินปันผล
        • วันหยุดกองทุน
        • ข่าว/บทวิเคราะห์
        • กลยุทธ์การลงทุน
        • กำหนดการและแบบฟอร์ม
        • โปรโมชั่น
        • ข้อมูลกองทุน
        • เปรียบเทียบกองทุน
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
      1. หน้าแรก
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนลดลง 9.3% ในเดือนมิ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 9.3% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 11.1% หลังจากพุ่งขึ้น 16.5% ในเดือนพ.ค. ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ ลดลง 0.7% ในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
      เฟดดัลลัสเผยดัชนีภาคการผลิตขยายตัวในเดือนก.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัส เปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีชี้วัดกิจกรรมในภาคการผลิตของรัฐเท็กซัสปรับตัวขึ้นสู่ระดับ +0.9 ในเดือนก.ค. จากระดับ -12.7 ในเดือนมิ.ย. ดัชนีมีค่าเป็นบวก บ่งชี้การขยายตัวของภาคการผลิตในรัฐเท็กซัส (อินโฟเควสท์)
      คาดสหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มเพียง 108,000 ตำแหน่งเดือนก.ค. กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 108,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 147,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.2% ในเดือนก.ค. จากระดับ 4.1% ในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
      นักลงทุนยังคงเทน้ำหนักคาดเฟดเมินลดดบ.สัปดาห์หน้า แม้ "ทรัมป์" บุกเฟดกดดัน "พาวเวล" นักลงทุนยังคงให้น้ำหนักเกือบ 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เดินทางเข้าพบนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ที่สำนักงานใหญ่ของเฟดเมื่อวานนี้ เพื่อกดดันให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.4% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 29-30 ก.ค. นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนธ.ค. (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" เดินหน้าจี้ "พาวเวล" หั่นดอกเบี้ยขณะเยือนสำนักงานใหญ่เฟด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สหรัฐฯ ยังคงกดดันให้เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในระหว่างการเยือนสำนักงานใหญ่ของเฟดในกรุงวอชิงตันเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีตามเวลาสหรัฐฯ หรือในช่วงเช้าตรู่วันนี้ตามเวลาไทย "เราต้องทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง... ประเทศของเรามีดอกเบี้ยสูงที่สุดในโลกตอนนี้ ประชาชนแทบจะซื้อบ้านไม่ได้เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไป" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังจากเยี่ยมชมอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟด "เราไม่มีเงินเฟ้อ เรามีเงินสดจำนวนมากที่กำลังเข้ามา... เราควรมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าทุกประเทศ" "เราสามารถพูดแทนทุกคนอย่างตรงไปตรงมาว่า เราต้องการเห็นอัตราดอกเบี้ยลดลง ประเทศของเรากำลังเฟื่องฟู และอัตราดอกเบี้ยเป็นรอยบากเล็ก ๆ รอยสุดท้าย" ปธน.ทรัมป์กล่าว นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า การพูดคุยกับพาวเวลเรื่องอัตราดอกเบี้ย "มีประสิทธิผลอย่างมาก" และกล่าวเสริมว่า "เขาจะสามารถบอกคุณได้ในการประชุมครั้งต่อไป" "ผมเชื่อว่าประธานเฟดจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผมหมายถึงอาจจะสายไปหน่อย แต่ผมเชื่อว่าเขาจะทำสิ่งที่ถูกต้อง" ปธน.ทรัมป์กล่าวเพิ่มเติม สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อสหรัฐฯ ทุกสำนักมองว่าการเยือนสำนักงานเฟดของปธน.ทรัมป์ครั้งนี้เป็นความพยายามที่จะเพิ่มแรงกดดันให้พาวเวลปรับลดอัตราดอกเบี้ย (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ชี้ประเทศที่ไม่ได้ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐเตรียมเจอภาษี 15%-20% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในวันนี้ว่า เขาจะประกาศใช้ภาษีศุลกากรพื้นฐานในอัตรา 15%-20% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดที่เข้ามายังสหรัฐจากประเทศที่ยังไม่ได้ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ "สำหรับทั้งโลก ผมคิดว่าอัตราภาษีน่าจะอยู่ในช่วง 15% ถึง 20% หนึ่งในสองตัวเลขนี้แหละ เรากำลังจะกำหนดภาษีสำหรับแทบทุกประเทศทั่วโลก และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องจ่าย ถ้าอยากทำธุรกิจกับสหรัฐ เพราะเราไม่สามารถมานั่งเจรจาข้อตกลง 200 ฉบับกับทุกประเทศได้" ปธน.ทรัมป์กล่าวที่เมืองเทิร์นเบอร์รี ประเทศสกอตแลนด์ เคียงข้างนายเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ อย่างไรก็ดี อัตราภาษีพื้นฐานที่ระดับ 15%-20% ที่ปธน.ทรัมป์กล่าวในวันนี้ สูงกว่าระดับ 10% ที่เขาเคยประกาศไว้ในเดือนเม.ย. ปธน.ทรัมป์กล่าวถ้อยแถลงดังกล่าว ขณะที่ยังคงมีประเทศจำนวนมากที่ยังไม่ได้เจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.ซึ่งจะมีการบังคับใช้มาตรการภาษีใหม่ (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ระงับมาตรการคุมเข้มส่งออกเทคฯ หนุนเจรจาการค้าจีน ปูทางพบ "สี จิ้นผิง" หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ระงับมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีไปยังจีน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการเจรจาการค้ากับจีน และสนับสนุนความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการจัดการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในปีนี้ รายงานระบุว่า สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคงในสังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งดูแลด้านมาตรการคุมส่งออก ได้รับคำสั่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาให้หลีกเลี่ยงดำเนินมาตรการที่เข้มงวดต่อจีน ทั้งนี้ ทำเนียบขาวและกระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ ต่อรายงานดังกล่าว เมื่อช่วงต้นเดือน อินวิเดีย (Nvidia) บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า จะกลับมาจำหน่ายชิป H20 ให้กับลูกค้าในจีนอีกครั้ง หลังจากทรัมป์สั่งระงับการส่งออกชิป AI ขั้นสูงเมื่อเดือนเม.ย. ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเจรจาเกี่ยวกับแร่หายากและแม่เหล็กระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตามคำให้สัมภาษณ์ของโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ราว 20 คน รวมถึงแมตต์ พอตติงเกอร์ อดีตรองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ เตรียมส่งจดหมายถึงลุตนิกในวันนี้ เพื่อแสดงความกังวลว่าการผ่อนปรนครั้งนี้อาจเป็นความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ ที่บั่นทอนความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและทางทหารของสหรัฐฯ ในด้าน AI (อินโฟเควสท์)
      ค่าจ้างโตไม่ทั่วถึง ฉุดกำลังซื้อครัวเรือนสหรัฐฯ เสี่ยงกระทบเศรษฐกิจ รายงานตลาดแรงงานของอินดีด (Indeed) ซึ่งเป็นเว็บไซต์จัดหางานระบุว่า แรงงานสหรัฐฯ กว่า 40% มีรายได้แท้จริงลดลงในช่วงปีที่ผ่านมา รายงานเปิดเผยให้เห็นว่า ค่าจ้างในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบรายปีในเดือนมิ.ย. 2568 แซงหน้าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เพิ่มขึ้น 2.7% อยู่เพียงเล็กน้อย ส่วนต่างเพียงเล็กน้อยนี้หมายความว่า มีแรงงาน 43% ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นไม่เท่ากับราคาผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อที่แท้จริงของพวกเขาลดลง แม้สัดส่วนแรงงานที่มีรายได้เพิ่มขึ้นแซงหน้าเงินเฟ้อจะฟื้นตัวเล็กน้อยจากระดับต่ำหลังโควิด-19 แต่รายงานชี้ว่าปัญหาค่าจ้างที่ซบเซายังเป็นความท้าทายต่อเนื่อง โดยชาวอเมริกันจำนวนมากยังคงเผชิญภาระค่าใช้จ่ายสูง ทั้งที่อยู่อาศัย อาหาร และการเดินทาง ขณะที่การปรับขึ้นค่าจ้างยังไม่เพียงพอให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจริง รายงานชี้ว่า การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างส่วนใหญ่กระจุกตัวในอาชีพที่มีรายได้สูง เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า บริการด้านกฎหมาย และการตลาด ซึ่งมีการเติบโตของค่าจ้างเกิน 6% ต่อปี ในทางกลับกัน อาชีพที่มีรายได้ต่ำอย่างบริการอาหาร การดูแลเด็ก และการดูแลส่วนบุคคล กลับแทบไม่เห็นการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่แท้จริง หรือบางส่วนยังลดลง (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ แย้ม เตรียมสรุปผลสอบสวนการนำเข้าชิปใน 2 สัปดาห์ โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (27 ก.ค.) ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะประกาศผล การสอบสวนด้านความมั่นคงของชาติสำหรับการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ ภายใน 2 สัปดาห์ แม้จะยังไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ ลุตนิกกล่าวหลังการหารือระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับนางอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ว่า การสอบสวนดังกล่าวเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สหภาพยุโรป (EU) ต้องการเจรจาข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดในคราวเดียว ด้านทรัมป์ระบุว่า ขณะนี้มีหลายบริษัท รวมถึงผู้ผลิตจากไต้หวันและประเทศอื่น ๆ แสดงความสนใจที่จะลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าชิปที่อาจมีการบังคับใช้ในอนาคต ทั้งนี้ การสอบสวนดังกล่าวดำเนินการภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมายการขยายการค้า พ.ศ. 2505 ซึ่งให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการปรับเปลี่ยนการนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ หากพิจารณาแล้วว่าสินค้าดังกล่าวอาจคุกคามความมั่นคงของชาติ (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ให้เวลา "ปูติน" 10-12 วันยุติสงครามยูเครน ก่อนเจอคว่ำบาตร ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวในวันนี้ว่า เขาจะกำหนดเส้นตายครั้งใหม่ต่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับยูเครน โดยจะให้เวลาเพียง 10-12 วัน จากเดิมที่ให้เวลา 50 วัน ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวในวันที่ 14 ก.ค.ว่า สหรัฐจะใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) ที่รุนแรงต่อรัสเซีย หากสงครามที่ดำเนินมากว่า 3 ปีระหว่างรัสเซียและยูเครนไม่ยุติลงภายในเวลา 50 วัน หรือภายในวันที่ 2 ก.ย. ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียจะต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรสูงถึง 100% "ผมรู้สึกผิดหวังในตัวประธานาธิบดีปูติน และผมจะลดระยะเวลา 50 วันให้สั้นลงเหลือเพียง 10-12 วันจากวันนี้ เราไม่มีเหตุผลที่จะรอคอยต่อไป เพราะเราไม่เห็นความคืบหน้าใด ๆ" ปธน.ทรัมป์กล่าวในวันนี้ที่สกอตแลนด์ เคียงข้างนายเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ (อินโฟเควสท์)
      ขุนคลังสหรัฐฯ เตรียมกดดันจีนหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย-อิหร่านในเวทีเจรจาการค้า สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.) ว่า คณะผู้แทนของสหรัฐฯ จะเน้นย้ำกับทางการจีนถึงความสำคัญที่จีนควรหยุดการซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่านในระหว่างการเจรจาการค้าร่วมกับเจ้าหน้าที่จีนที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนในสัปดาห์หน้า เบสเซนต์ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์ บิซิเนส (Fox Business) ว่า สหรัฐฯ สามารถก้าวไปหารือประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจีนได้แล้ว เนื่องจากการค้าในขณะนี้ "อยู่ในจุดที่ดี" เบสเซนต์ระบุว่า หากจีนหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่านเพียง 3 หรือ 6 เดือน ก็อาจทำให้เครื่องจักรสงครามของรัสเซียชะงักลง และช่วยให้การเจรจากับอิหร่านเป็นไปได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ คณะเจรจาของสหรัฐฯ ยังเตรียมหยิบยกประเด็นเรื่องความจำเป็นที่จีนต้องปรับสมดุลเศรษฐกิจ โดยเบสเซนต์ชี้ว่า จีนเป็นประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจไม่สมดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยปัจจุบันจีนคิดเป็น 30% ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก เบสเซนต์กล่าวว่า "สถานการณ์ดังกล่าวไม่ยั่งยืน จีนกำลังเผชิญกับปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา หลายฝ่ายมองว่าเข้าขั้นวิกฤต ภาคการผลิตก็ตกต่ำ และจีนไม่สามารถผลักภาระทางเศรษฐกิจไปให้ประเทศอื่นได้อีก จีนต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง ซึ่งหนึ่งในทางออกคือการสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์เคลม! ไทย-กัมพูชาเห็นพ้องเจรจาหยุดยิงทันที หลังขู่เลิกคุยดีลภาษีหากสงครามไม่จบ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ (26 ก.ค.) ว่า ผู้นำไทยและกัมพูชาได้เห็นพ้องที่จะเปิดการเจรจาหยุดยิงโดยทันที หลังเกิดเหตุปะทะรุนแรงตามแนวชายแดนต่อเนื่องเป็นวันที่สาม ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 30 ราย โดยทรัมป์ได้ใช้เงื่อนไขด้านข้อตกลงการค้าเป็นเครื่องมือในการกดดันให้ทั้งสองฝ่ายยุติความขัดแย้ง นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย ได้ตอบรับท่าทีของทรัมป์ โดยระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า "ในหลักการ ฝ่ายไทยเห็นชอบต่อการหยุดยิง" แต่ "ฝ่ายไทยประสงค์ที่จะเห็นความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาในเรื่องดังกล่าว" พร้อมทั้งได้ร้องขอให้ทรัมป์ช่วยสื่อสารไปยังกัมพูชาว่าไทยต้องการเปิดการเจรจาทวิภาคีโดยเร็วที่สุด การปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 13 ปี มีผู้เสียชีวิตรวมจากทั้งสองฝ่ายแล้วกว่า 30 ราย และผู้พลัดถิ่นกว่า 130,000 คน โดยการสู้รบได้ขยายวงไปยังแนวรบใหม่ในพื้นที่จังหวัดตราดของไทยและจังหวัดโพธิสัตว์ของกัมพูชาเมื่อวันเสาร์ ด้านอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ดังกล่าว และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงและแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาโดยทันที ขณะที่อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ยืนยันว่าจะผลักดันข้อเสนอหยุดยิงต่อไป อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาหยุดยิงดังกล่าว ขณะที่ทำเนียบขาว รวมถึงสถานทูตไทยและกัมพูชาในกรุงวอชิงตัน ยังไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกำหนดการและสถานที่ในการเจรจา (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 64.36 จุด นลท.จับตาผลประกอบการ-ประชุมเฟด (28 ก.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (28 ก.ค.) ส่วนดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ขยับขึ้นเล็กน้อยและยังคงปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนประเมินข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) รวมทั้งจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,837.56 จุด ลดลง 64.36 จุด หรือ -0.14%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,389.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.13 จุด หรือ +0.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,178.58 จุด เพิ่มขึ้น 70.27 จุด หรือ +0.33% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 208.01 จุด รับความหวังดีลการค้าสหรัฐฯ-EU (25 ก.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (25 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปิดทำสถิติสูงสุด โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่า สหรัฐฯ อาจบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ในไม่ช้านี้ ขณะที่หุ้น Deckers Outdoor พุ่งแรงหลังรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่งเนื่องจากความต้องการรองเท้าแบรนด์ UGG และ Hoka เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,901.92 จุด เพิ่มขึ้น 208.01 จุด หรือ +0.47%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,388.64 จุด เพิ่มขึ้น 25.29 จุด หรือ +0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,108.32 จุด เพิ่มขึ้น 50.36 จุด หรือ +0.24% ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 1.3%, ดัชนี S&P500 บวก 1.5% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 1% ดัชนี S&P500 ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดทุกวันในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2564 หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น นำโดยกลุ่มวัสดุเพิ่มขึ้น 1.17% ตามด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมที่บวก 0.98% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.55 หลังทรัมป์ร่นเวลากำหนดเส้นตายคว่ำบาตรรัสเซีย (28 ก.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันจันทร์ (28 ก.ค.) ขานรับข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) รวมทั้งการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศว่าจะร่นเวลาการกำหนดเส้นตายให้กับรัสเซียในการยุติสงครามในยูเครน ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.55 ดอลลาร์ หรือ 2.38% ปิดที่ 66.71 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.6 ดอลลาร์ หรือ 2.34% ปิดที่ 70.04 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 87 เซนต์ จากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน (25 ก.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (25 ก.ค.) และปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อข่าวเศรษฐกิจเชิงลบจากสหรัฐฯ และจีน รวมถึงสัญญาณเกี่ยวกับอุปทานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้แรงหนุนจากความหวังว่าข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมันในอนาคต ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 87 เซนต์ หรือ -1.32% ปิดที่ 65.16 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 74 เซนต์ หรือ -1.07% ปิดที่ 68.44  ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบ WTI และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. และ 4 ก.ค. ตามลำดับ ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลงราว 3% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลงราว 1% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า ขานรับสหรัฐฯ บรรลุดีลการค้า EU (28 ก.ค.) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (28 ก.ค.) ขานรับข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 1.02% แตะที่ระดับ 98.634 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 148.56 เยน จากระดับ 147.56 เยนในวันศุกร์ (25 ก.ค.) ขณะเดียวกันก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8033 จากระดับ 0.7948 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3734 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3710 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1595 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1745 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3354 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3435 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่า คาดเฟดชะลอลดดอกเบี้ยหลังข้อมูลเศรษฐกิจแกร่ง (25 ก.ค.) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (25 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งซึ่งบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจใช้เวลานานขึ้นก่อนกลับมาลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่การเจรจาภาษีศุลกากรมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งช่วยลดความไม่แน่นอนในตลาด ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.27% แตะที่ระดับ 97.642 ดอลลาร์สหรัฐซื้อขายที่ 147.56 เยนญี่ปุ่นในวันศุกร์ (25 ก.ค.) แข็งค่าขึ้นจาก 146.92 เยนในวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.), ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าแตะ 0.7948 ฟรังก์สวิส จาก 0.7944 ฟรังก์สวิส และแข็งค่าแตะ 1.3710 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.3640 ดอลลาร์แคนาดา ส่วนยูโรอ่อนค่าลงแตะ 1.1745 ดอลลาร์สหรัฐในวันศุกร์ จาก 1.1766 ดอลลาร์สหรัฐในวันพฤหัสบดี ขณะที่ปอนด์อังกฤษลดลงสู่ 1.3435 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.3516 ดอลลาร์สหรัฐ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $25.6 เหตุดอลล์แข็งทุบตลาด นลท.จับตาประชุมเฟด (28 ก.ค.) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (28 ก.ค.) เนื่องจากการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าและสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพุธนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 25.6 ดอลลาร์ หรือ 0.77% ปิดที่ 3,310.00 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $24.1 นลท.ขายสินทรัพย์ปลอดภัยหลังการค้าคืบหน้า (25 ก.ค.) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.) โดยราคาทองคำปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่สอง เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย หลังมีสัญญาณว่าสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าทั่วโลกเริ่มคลี่คลายลง ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 24.1 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 3,373.50 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ดีดตัว นักลงทุนจับตาประชุมเฟด,ตัวเลขจ้างงาน (28 ก.ค.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ ณ เวลา 22.05 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.412% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.953% (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ดีดตัว นักลงทุนเกาะติดเจรจาการค้า,ประชุมเฟด (25 ก.ค.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมทั้งการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า ณ เวลา 20.09 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.416% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.965% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      "ทรัมป์" ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับ EU แล้ว ปิดดีลที่ 15% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่า สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) แล้ว โดยจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก EU ในอัตรา 15% ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ขู่ว่าจะเรียกเก็บในอัตรา 30% หลังการเจรจาระดับสูงกับอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เมื่อวันอาทิตย์ (27 ก.ค.) ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับฟอน แดร์ ไลเอิน ว่า "นี่คือข้อตกลงที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา" ขณะที่ผู้นำ EU ระบุว่าเป็น "ข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่และผ่านการเจรจามาอย่างเข้มข้น" ทรัมป์ยังระบุด้วยว่า EU ตกลงจะจัดซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ จากระดับปัจจุบัน รวมถึงมีแผนสั่งซื้อยุทโธปกรณ์มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ แม้ทรัมป์จะไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจน การประกาศครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และ EU เผชิญความไม่แน่นอนมาหลายสัปดาห์ โดย EU ได้เตรียมมาตรการตอบโต้ รวมถึงพิจารณาใช้เครื่องมือป้องกันการบีบบังคับทางการค้า หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทันเส้นตาย ทั้งนี้ ตามข้อมูลของสภายุโรป มูลค่าการค้าสินค้าและบริการระหว่าง EU และสหรัฐฯ กับ EU แตะ 1.97 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 โดย EU เกินดุลการค้าสินค้า แต่ขาดดุลในภาคบริการ ส่งผลให้มียอดเกินดุลประมาณ 5 หมื่นล้านยูโรในปีที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
      ยอดค้าปลีกอังกฤษเดือนมิ.ย. ฟื้นตัว แต่ยังต่ำกว่าคาด สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยวันนี้ (25 ก.ค.) ว่า ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักร (UK) ในเดือนมิ.ย. ขยับขึ้น 0.9% เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้แรงหนุนจากสภาพอากาศร้อนที่ช่วยกระตุ้นยอดขายเครื่องดื่มและเสื้อผ้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการฟื้นตัวดังกล่าวยังต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 1.2% การขยายตัวในเดือนมิ.ย. เกิดขึ้นหลังจากที่ยอดค้าปลีกร่วงลงอย่างหนักถึง 2.8% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2566 ทั้งนี้ การฟื้นตัวที่ต่ำกว่าคาดเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันด้านค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 3.6% ขณะที่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงจากความกังวลเรื่องการปรับขึ้นภาษีในช่วงปลายปี ส่งผลให้ครัวเรือนหันมาเพิ่มการออม นักสถิติอาวุโสของ ONS กล่าวว่า "หากมองในภาพรวม ยอดค้าปลีกในไตรมาสล่าสุดขยายตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19" โดยชี้ว่าสภาพอากาศที่อบอุ่นช่วยหนุนยอดขายในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตและยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจของ UK ที่เริ่มชะลอตัวลง หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงต้นปี 2568 โดยผลผลิตโดยรวมหดตัวลงแล้วในเดือนเม.ย. และพ.ค. สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 7 ส.ค. นี้ เพื่อกระตุ้นตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง (อินโฟเควสท์)
      ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจเยอรมนีก.ค. ขยับขึ้น แต่ยังต่ำกว่าคาด ผลสำรวจล่าสุดที่เปิดเผยวันนี้ (25 ก.ค.) ชี้ว่า ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีในเดือนก.ค. ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้บริษัทต่าง ๆ จะมีความพึงพอใจต่อสภาวะธุรกิจในปัจจุบันมากขึ้นก็ตาม สถาบัน Ifo เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจประจำเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 88.6 จากระดับ 88.4 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 89.0 ส่วนดัชนีภาวะปัจจุบันปรับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 86.5 จาก 86.2 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีการคาดการณ์ทางธุรกิจแทบไม่เปลี่ยนแปลง (อินโฟเควสท์)
      GfK เผยชาวอังกฤษรัดเข็มขัด-เร่งออมเงิน รับมือเศรษฐกิจฝืดเคือง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวสหราชอาณาจักร (UK) ยังคงซบเซาในเดือนก.ค. ท่ามกลางความกังวลเรื่องการขึ้นภาษีและภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ดัชนีการออมพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 18 ปี สะท้อนว่าภาคครัวเรือนกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากในวันข้างหน้า ตามผลสำรวจของ GfK ที่เผยแพร่วันนี้ (25 ก.ค.) ผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ GfK ปรับตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ -19 จาก -18 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ -20 ขณะเดียวกัน ดัชนีการออม (ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีความเชื่อมั่นหลัก) กลับพุ่งขึ้น 7 จุด แตะระดับ +34 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2550 ช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลก นีล เบลลามี ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลเชิงลึกผู้บริโภคของ GfK กล่าวว่า "ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้คนเริ่มสัมผัสได้ถึงเค้าลางของมรสุมเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึง" เขาชี้ว่าปัจจัยหลักมาจากกระแสคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นภาษีในงบประมาณช่วงฤดูใบไม้ร่วง และแรงกดดันด้านราคาที่อาจซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อให้เลวร้ายลง ความกังวลดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ว่า ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลัง จะประกาศขึ้นภาษีเป็นปีที่สองติดต่อกัน หลังจากนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ จำเป็นต้องกลับลำแผนการลดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมหลายพันล้านปอนด์ สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจตัวถัดไปนั้น นักลงทุนกำลังจับตาข้อมูลยอดค้าปลีกอย่างเป็นทางการของเดือนมิ.ย. ซึ่งจะเปิดเผยในเวลา 13.00 น. ตามเวลาประเทศไทยในวันนี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดค้าปลีกจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
      ECB ชี้เศรษฐกิจยูโรโซนยังเปราะบาง รอข้อมูลใหม่ก่อนพิจารณาลดดอกเบี้ย เปียโร ชิโปลโลเน กรรมการบริหารธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจยุโรปกำลังแสดงสัญญาณที่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรอข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ก่อนจะพิจารณาว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปหรือไม่ เขากล่าวกับหนังสือพิมพ์ Delo ของสโลวีเนียว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนแอเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการบริโภค ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังดำเนินอยู่ และผลกระทบจากการเร่งใช้จ่ายล่วงหน้าที่กำลังคลี่คลาย อาจสร้างแรงกดดันต่อการลงทุนของภาคธุรกิจและการส่งออก อย่างไรก็ตาม ชิโปลโลเนชี้ว่า ตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง และแผนการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐาน น่าจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้ ชิโปลโลเนกล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ในเดือนก.ย.และช่วงปลายปี ซึ่งจะถูกนำมาใช้ปรับประมาณการเศรษฐกิจมหภาคใหม่ เขาระบุว่า ต้องจับตาผลกระทบของการหยุดชะงักด้านการค้า รวมถึงปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และการเบี่ยงเบนเส้นทางการค้าที่ทำให้การนำเข้าของยูโรโซนจากจีนเพิ่มขึ้น คำให้สัมภาษณ์นี้มีขึ้นเพียงสองวัน หลังจากที่ผู้กำหนดนโยบาย ECB ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ โดยไม่ให้แนวทางชัดเจนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกหรือไม่ ซึ่งปัจจัยสำคัญในการประชุมครั้งถัดไป คือ ความคืบหน้าของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.นี้ สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเปิดเผยในสัปดาห์หน้าคาดว่า ผลผลิตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนจะทรงตัวในไตรมาส 2 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค. มีแนวโน้มชะลอตัวลงเหลือ 1.9% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนประเมินผลกระทบข้อตกลงการค้า EU-สหรัฐฯ (28 ก.ค.) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อยในวันจันทร์ (28 ก.ค.) โดยลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังนักลงทุนประเมินผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 548.76 จุด ลดลง 1.19 จุด หรือ -0.22% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,800.88 จุด ลดลง 33.70 จุด หรือ -0.43%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,970.36 จุด ลดลง 247.14 จุด หรือ -1.02% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,081.44 จุด ลดลง 38.87 จุด หรือ -0.43% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนประเมินผลประกอบ-ข้อตกลงการค้า EU-สหรัฐฯ (25 ก.ค.) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อยในวันศุกร์ (25 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ที่ออกมาแบบผสมผสาน พร้อมรอติดตามความคืบหน้าของกรอบข้อตกลงการค้าระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับสหรัฐฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าอาจบรรลุได้เร็วสุดภายในสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 549.95 จุด ลดลง 1.60 จุด หรือ -0.29% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,834.58 จุด เพิ่มขึ้น 16.30 จุด หรือ +0.21%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,217.50 จุด ลดลง 78.43 จุด หรือ -0.32% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,120.31 จุด ลดลง 18.06 จุด หรือ -0.20% บรรดานักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวในการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หลังจากสัปดาห์ที่วุ่นวายด้วยการหารือทางการค้าที่สหรัฐฯ ปิดดีลกับญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ได้สำเร็จ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 38.87 จุด หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงกดดันตลาด (28 ก.ค.) ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันจันทร์ (28 ก.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,081.44 จุด ลดลง 38.87 จุด หรือ -0.43% หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงนำตลาดโดยลดลง 1.6% โดยหุ้น RS Group ร่วง 3.1% หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าและโลหะอุตสาหกรรมลดลงเกือบ 1% และ 0.9% ตามลำดับ โดยได้รับแรงกดดันจากราคาทองคำและโลหะที่ปรับตัวลง ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 1.2% ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดย BP ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในดัชนี FTSE 100 ปรับตัวขึ้นมากที่สุดที่ 2.2% (อินโฟเควสท์)   
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 18.06 จุด นลท.ประเมินผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจ (25 ก.ค.) ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (25 ก.ค.) แต่ยังคงปิดบวกต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการที่ออกมาผสมผสาน และข้อมูลเศรษฐกิจ รวมถึงติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,120.31 จุด ลดลง 18.06 จุด หรือ -0.20% ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า ยอดค้าปลีกของอังกฤษเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย. โดยฟื้นตัวขึ้นบางส่วนจากที่ร่วงลง 2.8% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2566 แต่การเพิ่มขึ้นยังต่ำกว่าคาดการณ์เฉลี่ยของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 1.2% ขณะที่ผลสำรวจชี้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงในเดือนก.ค.ก่อนการขึ้นภาษีที่อาจเกิดขึ้นปลายปี และภาคครัวเรือนเพิ่มการออมเงิน กลุ่มธุรกิจที่กดดันตลาดได้แก่ กลุ่มก่อสร้างและวัสดุ ร่วง 1.8% นำโดยหุ้น Marshalls ที่ร่วงลง 20.6% หลังปรับลดคาดการณ์กำไรก่อนหักภาษีตลอดปี หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่า ลดลง 1.3% และกลุ่มเหมืองแร่อุตสาหกรรม ลบ 1% เนื่องจากราคาทองคำและทองแดงที่ลดลง (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      เงินเฟ้อโตเกียวชะลอตัวต่อเดือนที่ 2 แต่ยังสูงกว่าเป้าหมาย BOJ กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (25 ก.ค.) ว่า อัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียวชะลอตัวลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกันในเดือนก.ค. แม้ราคาอาหารยังคงอยู่ในระดับสูง ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสดในกรุงโตเกียว เพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ลดลงจากระดับ 3.1% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่า 3% นับตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ตัวเลขเงินเฟ้อกรุงโตเกียวเดือนก.ค. ชะลอตัวลงมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 3% การชะลอตัวลงดังกล่าวมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่รัฐบาลกรุงโตเกียวลดค่าน้ำประปาเพื่อช่วยภาคครัวเรือนให้สามารถรับมือกับสภาพอากาศร้อนในช่วงฤดูร้อน โดยค่าน้ำลดลง 34.6% เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ประกอบกับราคาพลังงานที่ลดลงหลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากในปีที่แล้ว ส่วนดัชนี Core-core CPI ซึ่งไม่รวมทั้งพลังงานและอาหารสด เพิ่มขึ้น 3.1% ซึ่งเท่ากับเดือนก่อนหน้า และสอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อของโตเกียวถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้การขยายตัวของเงินเฟ้อทั่วประเทศ และดัชนี CPI พื้นฐานเป็นข้อมูลที่ BOJ จับตาอย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลเงินเฟ้อเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ BOJ ใช้ประกอบการพิจารณาในการทบทวนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 30-31 ก.ค. ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจะยังคงสร้างแรงกดดันต่อนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ หลังจากความผิดหวังของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกี่ยวกับราคาอาหารแพงได้ส่งผลให้พรรค LDP ของเขาแพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 ก.ค.) (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นแจงหลักเกณฑ์แบ่งกำไรดีลลงทุนสหรัฐฯ ชี้สัดส่วนมะกันได้ 90% ญี่ปุ่นได้ 10% รัฐบาลญี่ปุ่นออกมาชี้แจงหลักเกณฑ์การแบ่งผลกำไรจากแพ็กเกจลงทุนมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ในวันนี้ (25 ก.ค.) โดยย้ำว่า สัดส่วนจะขึ้นอยู่กับ "ระดับการลงทุนและความเสี่ยงที่แต่ละฝ่ายแบกรับ" ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังจากทำเนียบขาวระบุเมื่อต้นสัปดาห์ว่าสหรัฐฯ จะได้รับส่วนแบ่งถึง 90% จากข้อตกลงดังกล่าว เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นผู้ไม่ประสงค์ออกนามกล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า ผลตอบแทนจะถูกแบ่งในสัดส่วน 10% สำหรับญี่ปุ่น และ 90% สำหรับสหรัฐฯ โดยอิงตามระดับการลงทุนและความเสี่ยงที่แต่ละฝ่ายแบกรับ ซึ่งคำชี้แจงนี้สะท้อนว่า แผนการลงทุนดังกล่าวต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน แม้รายละเอียดเชิงโครงสร้างจะยังไม่ชัดเจน สำหรับแพ็กเกจการลงทุนมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ญี่ปุ่นจะดำเนินการเพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าประเภทรถยนต์และสินค้าส่งออกอื่น ๆ รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า แพ็กเกจการลงทุนนี้จะอาศัยเงินกู้และการค้ำประกันจากรัฐวิสาหกิจอย่างธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) และบริษัทประกันภัยการส่งออกและการลงทุนแห่งญี่ปุ่น (NEXI) เพื่อสนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งในภาคส่วนยุทธศาสตร์ เช่น ยาและเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งนี้ การแก้ไขกฎหมายเมื่อปี 2566 ได้ขยายขอบเขตให้ JBIC สามารถปล่อยสินเชื่อแก่บริษัทต่างชาติที่มีบทบาทสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของญี่ปุ่นได้ (อินโฟเควสท์)
      การเมืองญี่ปุ่นร้อน! LDP เตรียมประชุมใหญ่ หลังอิชิบะยืนยันไม่ลาออก พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของญี่ปุ่นรวบรวมรายชื่อได้เพียงพอที่จะเรียกประชุมใหญ่เพื่อต้องการให้ นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ แสดงความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ตามข้อบังคับของพรรค LDP จะต้องมีการจัดประชุมใหญ่ภายใน 7 วัน หากมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคมากกว่า 1 ใน 3 ร้องขอ ซึ่งจำนวนลายเซ็นที่ต้องใช้ได้ครบแล้ว โดยสำนักข่าวจิจิ เพรสรายงานเมื่อวันศุกร์ (25 ก.ค.) โดยอ้างคำกล่าวของสมาชิก LDP ผู้นำในการรวบรวมลายเซ็น ฮิโรโยชิ ซาซากาวะ สมาชิก LDP กลุ่มเดิมที่เคยนำโดย โทชิมิตสึ โมเตงิ อดีตเลขาธิการพรรคกล่าวว่า เขาจะตัดสินใจยื่นรายชื่อเมื่อใด หลังจากติดตามท่าทีของอิชิบะในที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการของสมาชิกรัฐสภาพรรคในวันจันทร์ซึ่งจะหารือถึงผลการเลือกตั้งสภาสูงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นความล้มเหลวทางการเมืองครั้งสำคัญ เนื่องจากพรรครัฐบาลสูญเสียเสียงข้างมากในสภาสูงซึ่งมี 248 ที่นั่ง อีกทั้งยังแพ้เลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2567 ทำให้พรรครัฐบาลกลายเป็นเสียงข้างน้อยในทั้งสองสภาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการก่อตั้งพรรค LDP ในปี 2498 ขณะเดียวกัน ประชาชนหลายร้อยคนได้ออกมาชุมนุมบริเวณถนนหน้าสำนักงานของอิชิบะเมื่อวันศุกร์ เพื่อเรียกร้องไม่ให้เขาลาออก ซึ่งถือเป็นการแสดงการสนับสนุนที่พบได้ไม่บ่อย ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากภายในพรรคให้เขาลาออกหลังประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ทั้งนี้ นับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว อิชิบะยืนยันว่า เขาไม่มีความตั้งใจที่จะลาออก โดยระบุว่า สถานการณ์ในปัจจุบันถือเป็น "วิกฤติของชาติ" (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 1.1% จากแรงขายทำกำไร หุ้นชิปฉุดตลาด (28 ก.ค.) ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (28 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากการร่วงของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ท่ามกลางความกังวลต่ออุปสงค์ชิปที่อ่อนตัว ขณะที่นักลงทุนยังคงทยอยขายทำกำไร หลังจากดัชนีพุ่งแรงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากแรงหนุนของข้อตกลงการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,998.27 จุด ลดลง 457.96 จุด หรือ -1.1% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 370.11 จุด จากแรงขายทำกำไร หลังพุ่งแรงขานรับดีลการค้า (25 ก.ค.) ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (25 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไร หลังจากดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้นมากกว่า 2,000 จุดในช่วงสองวันที่ผ่านมา อันเป็นผลจากข้อตกลงการค้าระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูประกาศผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ เพิ่มเติม สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 41,456.23 จุด ลดลง 370.11 จุด หรือ -0.88% หุ้นลบนำตลาดได้แก่ กลุ่มเคมีภัณฑ์ กลุ่มเหล็กและเหล็กกล้า รวมถึงกลุ่มอุปกรณ์การขนส่ง (อินโฟเควสท์)  
      จีน
      กำไรภาคอุตสาหกรรมจีนร่วงต่อเนื่องเดือนมิ.ย. สัญญาณดีมานด์ในประเทศยังอ่อนแอ ผลกำไรภาคอุตสาหกรรมของจีนปรับตัวลดลงต่อเนื่องในเดือนมิ.ย. ท่ามกลางภาวะเงินฝืดในฝั่งผู้ผลิตที่ยังคงรุนแรงและอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซา ตอกย้ำถึงแรงกดดันที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 จะแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ที่เปิดเผยวันนี้ (27 ก.ค.) ระบุว่า กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิ.ย. ลดลง 4.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแม้จะเป็นอัตราที่ชะลอลงจากที่ลดลงถึง 9.1% ในเดือนพ.ค. แต่ก็ส่งผลให้กำไรในช่วงครึ่งปีแรกลดลง 1.8% ซึ่งเป็นการหดตัวที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 5 เดือนแรกของปี ภาวะดังกล่าวสะท้อนผลกระทบจากสงครามราคาที่รุนแรง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งผลักดันให้รัฐบาลจีนประกาศจะเข้ามาควบคุมการแข่งขันด้านราคาอย่างเข้มงวด หลู เจ๋อ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากซูโจว ซีเคียวริตี้ส์ (Soochow Securities) คาดการณ์ว่า ผลกำไรภาคอุตสาหกรรมอาจมีแนวโน้มดีขึ้นจากมาตรการของรัฐบาล รวมถึงโครงการ "รถเก่าแลกรถใหม่" ที่จะช่วยควบคุมสงครามราคาและกระตุ้นอุปสงค์ของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การปฏิรูปฝั่งอุปทานในรอบนี้อาจไม่สามารถฉุดจีนให้พ้นจากภาวะเงินฝืดได้รวดเร็วเหมือนในอดีต เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายด้านการจ้างงาน สถานการณ์นี้ยังถูกซ้ำเติมจากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) หรือราคาหน้าโรงงาน ที่ในเดือนที่ผ่านมาลดลงแตะระดับเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี ซึ่งยิ่งทำให้ปัญหาอุปทานล้นตลาดรุนแรงขึ้น (อินโฟเควสท์)
      จีนเดินหน้าตั้งองค์กรความร่วมมือ AI โลก หวังลดการผูกขาดเทคโนโลยี จีนประกาศเดินหน้านำการจัดตั้งองค์กรความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับนานาชาติ โดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ย้ำว่า ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีพลิกโลกตกไปอยู่ในมือของประเทศหรือบริษัทเพียงไม่กี่ราย หลี่เปิดเผยเรื่องนี้ระหว่างกล่าวปาฐกถาเปิดงานประชุม World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่นครเซี่ยงไฮ้ โดยระบุว่า AI ก่อให้เกิดความเสี่ยง ทั้งการสูญเสียงานในวงกว้างและความผันผวนทางเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของนานาชาติ หลี่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบุคลากร โดยรัฐบาลจีนเตรียมสนับสนุนการจัดตั้งองค์กรที่เรียกว่า "องค์กรความร่วมมือ AI โลก" เพื่อเปิดทางให้แต่ละประเทศร่วมแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศใดโดยตรง แต่ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่และผู้บริหารจีนวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของสหรัฐฯ ที่ใช้มาตรการจำกัดภาคเทคโนโลยีของจีน โดยเฉพาะการจำกัดการส่งออกชิปจากอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยี AI หลี่เองยอมรับว่า การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ยังเป็นคอขวดสำคัญ ทว่าเขายืนยันถึงเป้าหมายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มุ่งผลักดันนโยบายเพื่อให้จีนบรรลุเป้าหมายด้านเทคโนโลยี เขากล่าวต่อหน้าผู้แทนหลายร้อยคนที่เข้าร่วมประชุมริมฝั่งแม่น้ำหวงผู่ว่า ทรัพยากรสำคัญและศักยภาพยังคงกระจุกตัวอยู่ในมือของประเทศและบริษัทเพียงไม่กี่ราย และหากยังคงมีการผูกขาด ควบคุม หรือจำกัด เทคโนโลยี AI จะกลายเป็น "เกมเฉพาะของบางประเทศและบางบริษัท" ในเวลาเดียวกัน จีนและสหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อครอบครองเทคโนโลยีที่มีศักยภาพพลิกโฉมเศรษฐกิจและอาจเปลี่ยนดุลอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต ล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่งลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อผ่อนคลายกฎระเบียบและเพิ่มแหล่งพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล โดยหวังรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ ใน (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวกเล็กน้อย จับตาเจรจาการค้ากับจีน-สหรัฐฯ (28 ก.ค.) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ (28 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนชะลอการซื้อขาย เพื่อรอดูความชัดเจนของการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันนี้ ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,597.94 จุด เพิ่มขึ้น 4.28 จุด หรือ +0.12% เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีนจะพบปะกับสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ในวันนี้ เพื่อเจรจาด้านเศรษฐกิจและการค้ารอบใหม่ ขณะเดียวกันทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับการขยายกำหนดเส้นตายการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 12.07 จุด จับตาจีน-สหรัฐฯ เจรจาการค้า (25 ก.ค.) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (25 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐฯ จะเจรจาการค้ารอบใหม่ในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,593.66 จุด ลดลง 12.07 จุด หรือ -0.33% แต่ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวขึ้น 1.67% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 173.78 จุด จับตาเจรจาการค้าสหรัฐฯ คืบหน้า (28 ก.ค.) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (28 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันนี้ ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,562.13 จุด เพิ่มขึ้น 173.78 จุด หรือ +0.68% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 278.83 จุด จากแรงขายทำกำไร (25 ก.ค.) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดปรับตัวลงในวันนี้ (25 ก.ค.) จากแรงขายทำกำไร หลังดัชนีปิดในแดนบวก 5 วันทำการต่อเนื่อง นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และก่อนที่ฤดูรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มต้นขึ้น ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 25,388.35 จุด ลดลง 278.83 จุด หรือ -1.09% (อินโฟเควสท์)  
      เอเชีย และอื่นๆ
      อินโดนีเซียคาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตสูงกว่า 5% ในช่วงครึ่งปีหลัง กระทรวงการคลังอินโดนีเซียเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.) ว่า เศรษฐกิจของอินโดนีเซียมีแนวโน้มจะขยายตัวมากกว่า 5% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ พร้อมตั้งเป้ารายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นในปี 2569 เฟบริโอ นาธาน คาคาริบู หัวหน้าสำนักงานนโยบายการคลังของกระทรวงฯ ระบุว่า การส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้น จะเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเขากล่าวว่า "เราเห็นว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะดีดตัวขึ้นมากกว่า 5% ในช่วงครึ่งปีหลัง" และเสริมว่ารัฐบาลจะเร่งการใช้จ่าย โดยมุ่งเน้นไปที่โครงการสำคัญเป็นพิเศษ ด้านรายได้ภาษีนั้น เฟบริโอกล่าวว่า รัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาเห็นพ้องกันที่จะกำหนดสัดส่วนรายได้ภาษีไว้ที่ 10.08% - 10.54% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สำหรับปีหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายของปีนี้ที่ 10.03% (อินโฟเควสท์)
      เกาหลีใต้-สหรัฐฯ ย้ำจุดยืนเร่งเจรจาการค้าก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. กระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ยืนยันความตั้งใจในการเร่งเดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าก่อนถึงเส้นตายที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ในวันที่ 1 ส.ค. โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ และคิม จอง-กวาน รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ ได้หารือเกี่ยวกับภาษีตอบโต้ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมเมื่อวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.) โดยฝ่ายเกาหลีใต้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลดอุปสรรคทางการค้า และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือในภาคการผลิต พร้อมเดินหน้าเจรจาต่อเนื่อง การพบปะครั้งมีขึ้นหลังจากสหรัฐฯ เลื่อนการเจรจาการค้าแบบ "2+2" ซึ่งเดิมมีกำหนดจัดในวันนี้ (25 ก.ค.) เนื่องจาก สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ติดภารกิจอื่น โดยกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะกำหนดวันหารือกันใหม่ระหว่างเบสเซนต์กับคู ยุน-ชอล รัฐมนตรีคลังเกาหลีใต้ รวมถึงผู้แทนการค้าระดับสูงของทั้งสองประเทศโดยเร็วที่สุด เกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับการประชุมดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยมองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการเร่งเจรจา และหลีกเลี่ยงการถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ไว้ นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังอยู่ระหว่างหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน เพื่อเปิดทางให้เงินทุนจากเกาหลีใต้ไหลเข้าสู่โครงการต่าง ๆ ในสหรัฐฯ โดยสำนักข่าวท้องถิ่นของเกาหลีใต้รายงานว่า รัฐบาลเตรียมเสนอแผนลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ของประเทศ ได้แก่ ซัมซุง กรุ๊ป (Samsung Group), เอสเค กรุ๊ป (SK Group), ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป (Hyundai Motor Group) และแอลจี กรุ๊ป (LG Group) (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ลบกว่า 500 จุด กังวลผลประกอบการซบ (28 ก.ค.) ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 500 จุด ปรับตัวลงเป็นวันทำการที่ 3 ติดต่อกัน แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและอินเดีย ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,891.02 ลบ 572.07 จุด หรือ 0.70% หุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 700 จุด แรงขายต่างชาติฉุดตลาด (25 ก.ค.) ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 700 จุด โดยได้รับผลกระทบจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,463.09 ลบ 721.08 จุด หรือ 0.88% หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      คลัง มั่นใจปิดดีลภาษีสหรัฐฯ ได้ทัน 1 ส.ค. หลังส่งข้อเสนอเรียบร้อย อุบตอบเปิดนำเข้า 0% ทั้งหมด นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าในการเจรจาภาษีนำเข้าสินค้ากับสหรัฐฯ ว่า ขณะนี้ไทยได้ยื่นข้อเสนอให้กับทางสหรัฐฯ ไปแล้ว 99.99% ส่งไปให้ทุกอย่างแล้ว ขณะนี้สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเข้มข้น โดยมั่นใจว่าจะได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 1 ส.ค.68 อย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ขอไม่พูดถึงการปรับปรุงรายละเอียดในกรณีที่สหรัฐฯ เสนอเรื่องการนำเข้าเนื้อหมู เพราะไม่อยากไปสร้างแรงกระเพื่อม หรือทำให้เกิดการแตกตื่นในภาคอุตสาหกรรม เพราะเรื่องที่ทำไปทั้งหมดนี้ สุดท้ายแล้วจะต้องผ่านการพิจารณาจากระบบใหญ่ เช่น สภาฯ ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง แสดงความมั่นใจว่าไทยจะได้ข้อสรุปเรื่องภาษีสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 1 ส.ค.68 แน่นอน โดยขณะนี้ไทยได้มีการยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไปแล้ว และเชื่อว่าข้อเสนอที่ไทยยื่นไปทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ไทยจะให้ได้ แต่ยืนยันว่าไทยไม่ได้ยื่นขอเสนอในการเปิดตลาดนำเข้า 0% ให้กับสหรัฐฯ ทั้งหมด พร้อมมองว่า แม้สหรัฐฯ จะประกาศผลในวันที่ 1 ส.ค.ออกมาแล้ว แต่เชื่อว่าการเจรจายังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อให้ได้อัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำลงไปอีก เพราะนี่เป็นแค่รอบแรกของการเจรจาทางการค้า ที่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นในลักษณะเช่นนี้ ขณะเดียวกันไม่อยากให้ไปเปรียบเทียบกับฟิลิปปินส์ ที่ได้อัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ 19% พร้อมทั้งเปิดตลาดให้ทั้งหมด เพราะความอ่อนไหวของสินค้าแต่ละรายการไม่เหมือนกัน (อินโฟเควสท์)
      ปลัดคลัง คาดศก.ไทย Q2 ยังโตต่อเนื่อง เชื่อผลกระทบชายแดนต่อ GDP ไม่มาก นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก และหวังว่าสถานการณ์จะไม่ยืดเยื้อ "ต้องรอฟังผลการหารือของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (UNSC) ที่ได้เตรียมจัดประชุมฉุกเฉินในประเด็นนี้ คาดว่า หากทุกฝ่ายถอยออกมา สถานการณ์จะคลี่คลายดีขึ้น และจะช่วยลดการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่าย" ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ พร้อมมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/68 จะยังขยายตัวได้ดี โดยยังได้รับแรงส่งจากไตรมาส 1/68 ที่ GDP ขยายตัวได้ถึง 3.1% อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากแนวโน้มการส่งออกที่เติบโตได้ดี จากการเร่งส่งออกก่อนสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ส่วนทิศทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/68 นั้น ปลัดกระทรวงการคัง มองว่า อาจจะได้รับความเสี่ยงจากปัจจัยลบเรื่องความไม่สงบในชายแดนไทย-กัมพูชาบ้าง แต่เชื่อว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนไม่น่าจะยืดเยื้อนาน (อินโฟเควสท์)
      ไทย-กัมพูชา:"อันวาร์"ประสานจัดตั้งทีมผู้สังเกตุการณ์ตรวจสอบหลัง 2 ฝ่ายตกลงหยุดยิงเที่ยงคืนนี้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ภายหลัง การประชุมหารือถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และได้แถลงข่าวร่วมกัน โดยนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน สมเด็จฯ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี โดยสรุปสาระสำคัญดังนี้ นายอันวาร์ กล่าวขอบคุณและพอใจในบรรยากาศของการหารือที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ของทั้งสองฝ่าย ที่ได้แสดงความต้องการหยุดยิงทันที ซึ่งการเข้าร่วมและความร่วมมือของทุกฝ่ายในการประชุมนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างสันติภาพ การเจรจา และเสถียรภาพในภูมิภาคทั้งนี้กัมพูชาและไทย ได้บรรลุความเข้าใจร่วมกันในดังนี้ 1. ตกลงหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. คืนนี้(เวลาท้องถิ่น) ของวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์ และฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคง 2. ให้มีการจัดประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้บัญชาการกองกำลังของ2ประเทศได้แก่ กองทัพภาคที่ 1 และ 2 ของฝ่ายไทย และกองทัพภาคที่ 4 และ 5 ของฝ่ายกัมพูชา โดยให้มีขึ้นในเวลา 07.00 น. ของวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2025(เช้าวันพรุ่งนี้) จากนั้นจะมีการประชุมกับผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร (Defense Attaches) โดยมีประธานอาเซียนเป็นผู้จัด หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน 3. การจัดการประชุมของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคม 2025 โดยประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนในปัจจุบันพร้อมทำหน้าที่ประสานงานจัดตั้งทีมผู้สังเกตการณ์ เพื่อตรวจสอบและรับรองการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
      ไทย-กัมพูชา: ผู้ว่าสุรินทร์ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม ขอปชช.หลีกเลี่ยงเข้าพื้นที่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ. ทก.) เปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่า นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้ลงนามในประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม-แผ่นดินไหว เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชามีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณชายแดนอำเภอบัวเชด สังขะ กาบเชิง และพนมดงรัก และอาจส่งผลกระทบต่อสถานที่สำคัญ อาทิ สถานบริการสาธารณสุข สถานีบริการน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งพื้นที่ชุมชน นายจิรายุกล่าวว่า การประกาศดังกล่าวเป็นการกำหนดให้เหตุการณ์ปะทะให้เป็น "สาธารณภัย" ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถใช้งบประมาณช่วยเหลือประชาชนที่จำเป็นต้องอพยพหรือได้รับผลกระทบได้อย่างทันที กรณีงบประมาณไม่เพียงพอ ผู้บริหารท้องถิ่นสามารถอนุมัติให้ใช้เงินสะสมได้ตามความจำเป็น โดยคำนึงถึงฐานะการเงินการคลังขององค์กร ทั้งนี้ ขอให้ ปชช.ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ คอยรับแจ้งเตือนจากจังหวัด และขอให้ปฏิบัติตามแนวทางที่วางไว้ คือ ไม่ควรอยู่ในพื้นที่รวมกลุ่มคนจำนวนมาก หลีกเลี่ยงพื้นที่ในรัศมี 120 กม. จากชายแดนไทย–กัมพูชา โดยจุดที่ควรหลีกเลี่ยงชั่วคราว ได้แก่ ฐานที่ตั้งหน่วยทหาร โรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และชุมชนหนาแน่น หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง ขอให้ใช้เวลาสั้นที่สุด และรีบเดินทางกลับที่พัก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในอำเภอใกล้ชายแดน (อินโฟเควสท์)
      "มัดรวมมาตรการแบงก์รัฐ" ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาล มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งครอบคลุมทั้งมาตรการพักชำระหนี้ มาตรการลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นจากเหตุปะทะกันระหว่างกำลังความมั่นคง บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ และขยายวงกว้างไปสู่ภาคเศรษฐกิจ และสังคมในระดับชุมชนโดยรอบ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น และให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนในพื้นที่โดยเร่งด่วน โดยได้มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งครอบคลุมทั้งมาตรการพักชำระหนี้ มาตรการลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุม แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน โดยมีมาตรการผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้สั่งการไปยังหน่วยงานทั้งหมดให้เริ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐก็ได้เร่งออกมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนหน้านี้กรมบัญชีกลางได้มีการอนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ความขัดแย้งเพิ่มเติมจังหวัดละ 100 ล้านบาทตามขอของกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมองว่าเรื่องนี้เป็นการให้ความช่วยเหลือที่เร็วและตอบโจทย์มากที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้ (อินโฟเควสท์)
      ไทย-กัมพูชา:ธปท.ขอแบงก์และNon-Bank ช่วยเหลือผู้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ที่รุนแรงขึ้นและขยายวงกว้างจนส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย การดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน ซึ่งอาจทำให้ผู้ได้รับผลกระทบขาดรายได้และมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น รวมถึงอาจมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง ธปท. จึงขอความร่วมมือสถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยที่มิใช่สถาบันการเงิน พิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าวตามความเหมาะสมโดยเร่งด่วน โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ 1. สินเชื่อบัตรเครดิต สามารถพิจารณาปรับลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ให้ต่ำกว่าอัตราที่ ธปท. กำหนดได้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 2. สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล สามารถพิจารณาเงื่อนไขวงเงินชั่วคราวกรณีฉุกเฉินให้เกินกว่าอัตราที่ ธปท. กำหนดได้ โดยให้อนุมัติวงเงินดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายในไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 3. สินเชื่อทุกประเภท สามารถพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนและสภาพคล่องแก่ลูกหนี้เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจต่อได้ รวมถึงการปรับเงื่อนไข เช่น ลดหรือยกเว้นดอกเบี้ยค่าธรรมเนียม ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยให้อนุมัติวงเงินดังกล่าวโดยเร็ว ภายในไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ ระหว่างการให้ความช่วยเหลือ ธปท. จะผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ ให้คงการจัดชั้นเดิมเช่นเดียวกับก่อนประสบสถานการณ์ด้วย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและทันท่วงที ธปท. ขอส่งกำลังใจให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบรวมทั้งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจากเหตุการณ์ครั้งนี้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 4.66 จุดรับแรงหนุน AOT สถานการณ์ไทย-กัมพูชากระทบช่วงสั้น ลุ้นผลเจรจาภารค้าสหรัฐ (25 ก.ค.) SET ปิดวันนี้ที่ 1,217.15 จุด เพิ่มขึ้น 4.66 จุด (+0.38%) มูลค่าซื้อขาย 36,910.98 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์ ปิดแดนบวก ได้หุ้น AOT หนุน หลังมีข่าวเตรียมปรับค่า PSC แต่ภาพรวมตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ โดยสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอาจเป็นเพียงปัจจัยรบกวนระยะสั้น ระหว่างโลกรอบทสรุปการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตาย 1 ส.ค. แนวโน้มสัปดาห์หน้าหลังหยุดยาว 3 วัน แนะจับตาผลการเจรจาการค้าของไทยกับสหรัฐฯ รวมถึงการประชุมเฟด และรายงานตัวเลขจีดีพีของสหรัฐฯ และยุโรป โดยให้แนวต้าน 1,230-1,240 จุด แนวรับ 1,200 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,217.15 จุด เพิ่มขึ้น 4.66 จุด (+0.38%) มูลค่าซื้อขาย 36,910.98 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งกรอบแคบช่วงเช้าก่อนปรับตัวขึ้นในภาคบ่าย โดยทำระดับสูงสุด 1,218.71 จุด และต่ำสุด 1,204.70 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 215 หลักทรัพย์ ลดลง 219 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 206 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.38 อ่อนค่าตามภูมิภาค สัปดาห์หน้าจับตามติประชุมดอกเบี้ย FOMC-BOJ-ตามความคืบหน้าภาษีสหรัฐ (25 ก.ค.) นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเย็นนี้ ปิดตลาดที่ระดับ 32.38 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.26 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.21-32.40 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทอ่อนค่าตามสกุลเงินในภูมิภาค เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับยังมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารของไทย-กัมพูช บริเวณแนวชายแดน สำหรับคืนนี้ยังไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยสัปดาห์หน้า ตลาดรอติดตามผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ว่าจะมีประเทศใดบ้างที่บรรลุข้อตกลง และได้ภาษีในอัตราใด รวมถึงการดีลเจรจาของไทยด้วยเช่นกัน ประกอบกับ สัปดาห์จะมีการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) นักบริหารเงิน คาดว่า สัปดาห์หน้าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.20 - 32.45 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 90,994 ล้านบาท (25 ก.ค.) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 90,994 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 5,319 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 726 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 169 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.32% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.01% (อินโฟเควสท์)  
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม  
      • สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
      • ราคาบ้านเดือนพ.ค.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ สหรัฐฯ
      • ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
      • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จาก Conference Board สหรัฐฯ

       

      แชร์เรื่องนี้

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

      News Demo
      24
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      23
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      22
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ

      Shortcut Menu

      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
        โครงสร้างพื้นฐาน
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนผลงานดี
      • ตารางจ่ายเงินปันผล
      • ข่าว/บทวิเคราะห์
      • กลยุทธ์การลงทุน
      • กำหนดการและแบบฟอร์ม
      • โปรโมชั่น
      • ปฏิทินกองทุน
      • ภาพกิจกรรม
      • ประกาศราคากลาง
      • AIMC Category
        Performance Report
      • ถาม-ตอบ
      • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
      • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
      • การตั้งค่าคุกกี้
      • สมัครรับข่าวสาร
      • ติดต่อเรา
      • ร่วมงานกับเรา
      • ประกาศความเป็นส่วนตัว
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

      KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

      อีเมล: [email protected]

      เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

      • พันธมิตรธุรกิจ
      • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
      • แผนผังเว็บไซต์

      การใช้และการจัดการคุกกี้

      เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

       การใช้และการจัดการคุกกี้

      เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

      ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


      การกำหนดลักษณะความยินยอม

      คุกกี้ที่จำเป็น

      คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

      คุกกี้วิเคราะห์

      เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง