• X
  • ค้นหา
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu แนะนำ
        • NAV
        • ค้นหากองทุน
        • กองทุนแนะนำ
        • กองทุนผลงานดี
        • ตารางจ่ายเงินปันผล
        • วันหยุดกองทุน
        • ข่าว/บทวิเคราะห์
        • กลยุทธ์การลงทุน
        • กำหนดการและแบบฟอร์ม
        • โปรโมชั่น
        • ข้อมูลกองทุน
        • เปรียบเทียบกองทุน
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
      1. หน้าแรก
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผย GDP ขยายตัว 3.0% ใน Q2/68 สูงกว่าคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.0% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.3% และดีกว่ามาก เมื่อเทียบกับการหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1/2568 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 2/2568 ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง และการปรับตัวดีขึ้นของดุลการค้าสหรัฐ ทั้งนี้ ในปี 2567 เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1, 3.0% ในไตรมาส 2, 3.1% ในไตรมาส 3 และ 2.4% ในไตรมาส 4 (อินโฟเควสท์)
      ADP เผยจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐ +104,000 เดือนก.ค. สูงกว่าคาดการณ์ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 104,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 64,000 ตำแหน่ง หลังจากลดลง 23,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.   นอกจากนี้ ADP เปิดเผยว่า ตัวเลขค่าจ้างเพิ่มขึ้น 4.4% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
      EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น สวนทางคาดการณ์ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 690,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 900,000 บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      เฟดเสียงแตก 9-2 คงดอกเบี้ยตามคาด คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันนี้ (30 ก.ค.) ตามการคาดการณ์ของตลาด โดยเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 5 แม้เฟดถูกกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงก็ตาม  อย่างไรก็ดี คณะกรรมการ FOMC มีมติด้วยคะแนนเสียง 9-2 ในการตรึงอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ โดยกรรมการ 9 รายลงมติให้คงอัตราดอกเบี้ย ส่วนอีก 2 รายคือนางมิเชล โบว์แมน และนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งต่างก็เป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด และมีความเห็นสนับสนุนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมองว่าเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม และตลาดแรงงานอาจเริ่มอ่อนแอในไม่ช้า ได้ตัดสินใจงดออกเสียงในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2536 ที่คณะกรรมการ FOMC เสียงแตกโดยมีสมาชิกงดออกเสียงมากกว่า 1 รายในการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน  นอกจากนี้ คณะกรรมการ FOMC ที่เข้าประชุมในวันนี้มีเพียง 11 รายจากทั้งหมด 12 ราย เนื่องจากนางอาเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด ได้ขาดการประชุมในวันนี้ (อินโฟเควสท์)
      คำต่อคำ: แถลงการณ์ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เดือนก.ค. 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 30 ก.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อมูลที่เฟดได้รับเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลาง แม้ว่าความผันผวนของยอดส่งออกสุทธิได้ส่งผลกระทบต่อข้อมูลก็ตาม ขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และภาวะตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง คณะกรรมการ FOMC พยายามหาแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในระยะยาว ส่วนความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง และคณะกรรมการยังคงให้ความสนใจกับความเสี่ยงที่จะมีต่อ Dual Mandate ของเฟด คือการจ้างงานที่ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพและอัตราเงินเฟ้อที่เคลื่อนตัวสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว คณะกรรมการฯ ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ส่วนในการพิจารณาเรื่องขนาดและเวลาของการปรับช่วงเป้าหมายของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มเติมนั้น คณะกรรมการจะใช้ความระมัดระวังในการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า รวมทั้งแนวโน้มของพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และสมดุลของความเสี่ยง คณะกรรมการจะยังคงปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) นอกจากนี้ คณะกรรมการมีความมุ่งมั่นอย่างมากในการสนับสนุนการจ้างงานที่ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพ และทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%   ส่วนในการประเมินแนวทางที่เหมาะสมของนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการฯ จะยังคงจับตาข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯ จะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ของคณะกรรมการฯ โดยคณะกรรมการฯ จะประเมินข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน และสถานการณ์ในต่างประเทศ ส่วนกรรมการที่คัดค้านการดำเนินนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้ได้แก่ มิเชล ดับเบิลยู โบว์แมน และคริสโตเฟอร์ เจ วอลเลอร์ โดยกรรมการทั้งสองท่านสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่เอเดรียนา ดี คุกเลอร์ ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม (อินโฟเควสท์)
      "พาวเวล" ยังไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเดือนก.ย. รอดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้จัดแถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินในวันพุธ (30 ก.ค.) โดยกล่าวว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนก.ย.หรือไม่ และระบุว่านโยบายการเงินของเฟดในปัจจุบันอยู่ในระดับที่คุมเข้มเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ พาวเวลกล่าวว่า เฟดสามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็รอดูว่านโยบายภาษีศุลกากรจะผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้นหรือไม่ พาวเวลกล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจได้ชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แต่อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยพาวเวลระบุว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 1.2% เทียบกับระดับ 2.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งการชะลอตัวนี้ส่วนใหญ่สะท้อนถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลง ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการเฟดมีมติด้วยคะแนนเสียง 9-2 ในการตรึงอัตราดอกเบี้ย 4.25-4.50% โดยกรรมการ 9 รายลงมติให้คงอัตราดอกเบี้ย ส่วนอีก 2 รายคือมิเชล โบว์แมน และคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สนับสนุนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมองว่าเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม และตลาดแรงงานอาจเริ่มอ่อนแอในไม่ช้า พาวเวลได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวในเรื่องนี้ว่า กรรมการทั้ง 2 คนได้อธิบายข้อโต้แย้งของพวกเขาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างชัดเจนแล้ว (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ฟาด "พาวเวล" อีกครั้ง ฉุนไม่ลดดอกเบี้ย แม้ GDP แกร่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social วันนี้ โดยเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2/2568 ทั้งนี้ ในการโพสต์ข้อความใน Truth Social ปธน.ทรัมป์มักเรียกนายพาวเวลว่า "นายสายเกินไป" (Too Late) "ตัวเลข GDP Q2 เพิ่งออกมา: 3% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก! "นายสายเกินไป" จะต้องลดดอกเบี้ยเดี๋ยวนี้ เนื่องจากขณะนี้ไม่มีเงินเฟ้อ! ขอให้ประชาชนได้ซื้อสินค้า และทำการรีไฟแนนซ์บ้านของพวกเขา!" ปธน.ทรัมป์ระบุใน Truth Social (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ยันไม่มีการขยายเส้นตายเก็บภาษีตอบโต้ในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความบน Truth Social ระบุว่า เขาจะไม่ขยายเส้นตายในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค.สำหรับการเริ่มต้นใช้มาตรการภาษีตอบโต้ต่อประเทศคู่ค้า "เส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม ก็คือวันที่ 1 สิงหาคม มันจะไม่เปลี่ยนแปลง และจะไม่มีการขยายเวลา นี่จะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกา!!!" ปธน.ทรัมป์ระบุ ด้านนายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ยืนยันเช่นกันว่า กำหนดเส้นตายในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค.ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับการบังคับใช้ภาษีศุลกากรจำนวนมากต่อประเทศคู่ค้า จะไม่มีการเลื่อนออกไปอีก ต่อคำถามเกี่ยวกับสถานะการเจรจาการค้ากับแต่ละประเทศ นายลุตนิกกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ได้ปฏิเสธข้อตกลงของหลายประเทศ เพื่อแสวงหาเงื่อนไขที่ดีกว่าสำหรับสหรัฐ "สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีหลายประเทศยื่นข้อเสนอที่ 'พอใช้ได้' เพื่อเปิดตลาดของพวกเขาให้เรา เช่น เปิด 50%, 30% แต่ท่านประธานาธิบดีตอบว่า 'ไม่ ๆ ผมต้องการให้เปิดทั้งหมด' " "เพราะฉะนั้น ราคาของการทำข้อตกลงกับสหรัฐตอนนี้มีความชัดเจนมาก คือ 'ตลาดต้องเปิดเต็มที่' โดยท่านประธานาธิบดีต้องการให้มั่นใจว่า สินค้าของคนอเมริกันสามารถขายในต่างประเทศได้" นายลุตนิกกล่าว (อินโฟเควสท์)
      ภาษีทรัมป์บีบอุตสาหกรรมช็อกโกแลตสหรัฐฯ ขณะแคนาดา-เม็กซิโกได้อานิสงส์ อุตสาหกรรมช็อกโกแลตของสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ทว่ามาตรการนี้กลับสร้างภาระต้นทุนให้กับผู้ผลิตช็อกโกแลตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะโกโก้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบนำเข้าและมีราคาสูงอยู่แล้ว ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องเสียภาษีนำเข้าโกโก้ 10–25% และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 35% ในวันที่ 1 ส.ค. โรงงานในแคนาดาและเม็กซิโกกลับสามารถผลิตช็อกโกแลตด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า เนื่องจากภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี USMCA ทั้งสองประเทศสามารถส่งออกช็อกโกแลตไปยังสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ไม่ว่าต้นทางของโกโก้จะมาจากประเทศใดก็ตาม ขณะเดียวกัน แคนาดายังไม่เก็บภาษีนำเข้าโกโก้ดิบและกึ่งแปรรูป ส่วนเม็กซิโกก็สามารถปลูกโกโก้ได้ในประเทศ ข้อมูลศุลกากรที่จัดทำโดย Trade Data Monitor (TDM) เปิดเผยว่า การส่งออกช็อกโกแลตจากแคนาดาไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% ในช่วง 5 เดือนจนถึงสิ้นเดือนพ.ค. สะท้อนว่าโรงงานแคนาดาบางแห่งกำลังใช้ประโยชน์จากภาวะภาษีใหม่นี้ บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ส่วนใหญ่เป็นโรงงานรับจ้างผลิตช็อกโกแลตในแคนาดาและเม็กซิโก หรือบริษัทข้ามชาติเช่น Barry Callebaut ซึ่งมีโรงงานในสองประเทศนี้เกือบครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดในอเมริกาเหนือ โดยโรงงานเหล่านี้รับจ้างผลิตช็อกโกแลตดิบเพื่อส่งต่อให้โรงงานในสหรัฐฯ เติมส่วนผสมแล้วนำไปจำหน่ายภายใต้แบรนด์ช็อกโกแลตอเมริกัน มาตรการภาษีเกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมช็อกโกแลตกำลังเผชิญยอดขายที่ซบเซา เนื่องจากผู้บริโภคต้องแบกรับราคาสินค้าที่สูงขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี โดยเฉพาะราคาช็อกโกแลตที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาของโกโก้ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่แล้ว และยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้ายและโรคระบาดในประเทศผู้ปลูกหลักอย่างโกตดิวัวร์และกานา   โกโก้คิดเป็นต้นทุนประมาณ 30–50% ของราคาช็อกโกแลตหนึ่งแท่ง ด้วยแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น Hershey จึงปรับขึ้นราคาสินค้าในหมวดลูกอม เช่น Reese’s อย่างมากตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา แม้ยืนยันว่าการปรับราคานี้ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้า ตลาดช็อกโกแลตของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าอยู่ที่ 2.5–3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยแคนาดาซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งมีส่วนแบ่งประมาณ 10% ขณะที่เม็กซิโกซึ่งเป็นอันดับสองมีส่วนแบ่งอยู่ที่ราว 2.5% ทาริค ฮัดฮัด ซีอีโอของ Peace by Chocolate ในโนวาสโกเชียกล่าวว่า นโยบายภาษีนี้ทำให้บริษัทในแคนาดาและสหรัฐฯ หันมาเลือกใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศของตนเองมากขึ้น แต่โรงงานรับจ้างผลิตในแคนาดากลับได้รับประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์แจงอาจไม่ร่วมประชุม G20 หลังขัดแย้งนโยบายภายใน-ต่างประเทศของแอฟริกาใต้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (29 ก.ค.) ว่า เขาอาจไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ซึ่งจะจัดขึ้นที่แอฟริกาใต้ในเดือนพ.ย. โดยกำลังพิจารณาที่จะส่งผู้แทนไปเข้าร่วมแทนตนเอง สาเหตุเนื่องมาจากความไม่เห็นด้วยกับนโยบายบางประการของแอฟริกาใต้ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับแอฟริกาใต้ในช่วงรัฐบาลทรัมป์เพิ่มขึ้นจากนโยบาย Black Economic Empowerment (BEE) ซึ่งเป็นมาตรการของแอฟริกาใต้ที่มุ่งแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติในอดีต ด้านประธานาธิบดีซีริล รามาโฟซา ได้เชิญทรัมป์ให้เข้าร่วมการประชุม G20 และยืนยันว่าแอฟริกาใต้จะไม่ใช้นโยบายที่ดินในการยึดที่ดินของคนผิวขาวโดยพลการตามที่ถูกกล่าวหา ทรัมป์ได้เผชิญหน้ากับรามาโฟซาในการพบกันที่ทำเนียบขาวเมื่อเดือนพ.ค. โดยเขากล่าวอ้างถึงข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาว และการยึดที่ดินจากเจ้าของผิวขาวในแอฟริกาใต้ ก่อนหน้านั้นในเดือนก.พ. เขาได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อตัดความช่วยเหลือทางการเงินของสหรัฐฯ ต่อแอฟริกาใต้ ทรัมป์ยังแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายภายในและต่างประเทศของแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะกรณีการที่แอฟริกาใต้ยื่นฟ้องอิสราเอลต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากปฏิบัติการในกาซา ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่สร้างความไม่พอใจให้กับทั้งรัฐบาลของเขาและรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน สถานการณ์ในกาซาหลังการโจมตีของอิสราเอลส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ประชาชนทั้งฉีกพลัดถิ่น เกิดวิกฤตความหิวโหย และนำไปสู่ข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงครามที่ถูกส่งฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) อย่างไรก็ตาม อิสราเอลปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้หลังเหตุการณ์โจมตีของกลุ่มฮามาสในเดือนต.ค. 2566 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1,200 คน และมีผู้ถูกจับเป็นตัวประกันกว่า 250 คน การไม่เห็นด้วยกับจุดยืนของแอฟริกาใต้ยังนำไปสู่การที่มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ปฏิเสธเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ G20 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน G20 ตั้งแต่เดือนธ.ค. 2567 ถึงพ.ย. 2568 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 171.71 จุด ถ้อยแถลงพาวเวลดับฝันหั่นดอกเบี้ยเดือนก.ย. ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (30 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทำให้นักลงทุนมีความหวังน้อยลงเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,461.28 จุด ลดลง 171.71 จุด หรือ -0.38%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,362.90 จุด ลดลง 7.96 จุด หรือ -0.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,129.67 จุด เพิ่มขึ้น 31.38 จุด หรือ +0.15% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 79 เซนต์ นลท.จับตาผลกระทบทรัมป์คว่ำบาตรรัสเซีย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (30 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้กำหนดเส้นตายที่เร็วขึ้นในการกดดันให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครน รวมทั้งการที่ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 79 เซนต์ หรือ 1.14% ปิดที่ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือ 1.01% ปิดที่ 73.24 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า หลังพาวเวลส่งสัญญาณไม่หั่นดอกเบี้ยเดือนก.ย. สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (30 ก.ค.) หลังจากถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.94% แตะที่ระดับ 99.814 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $28.4 นลท.ขายสินทรัพยปลอดภัยหลังข้อมูลศก.แกร่ง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (30 ก.ค.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยตลาดทองคำนิวยอร์กปิดทำการก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 28.4 ดอลลาร์ หรือ 0.84% ปิดที่ 3,352.80 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ดีดตัว หลังสหรัฐเผย GDP พุ่ง 3% ใน Q2/68 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง  ณ เวลา 21.39 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.364% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.900% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      ยูโรโซนเผย GDP Q2/68 โต 0.1% ดีเกินคาด แม้เยอรมนี-อิตาลีแผ่ว  สำนักงานสถิติยุโรป (Eurostat) เปิดเผยในวันนี้ (30 ก.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของยูโรโซนประจำไตรมาส 2 ของปีนี้ ขยายตัว 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง และเมื่อเทียบเป็นรายปีแล้ว GDP ยูโรโซนปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.4% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2% ตัวเลขดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจสเปน ฝรั่งเศส และไอร์แลนด์ ขณะที่ได้แรงกดดันจากเศรษฐกิจเยอรมนีและอิตาลีซึ่งแผ่วลง นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจยูโรโซนเติบโตได้ดีกว่าที่ตลาดกังวล ยังสะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจกำลังปรับตัวเข้ากับความไม่แน่นอนทางการค้าได้ดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่ต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมแล้ว (อินโฟเควสท์)
      เยอรมนีเผย GDP Q2/68 สะดุด หดตัว 0.1% รับแรงกดดันภาษีทรัมป์ สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี (Destatis) เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นในวันนี้ (30 ก.ค.) ว่า เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสที่ 2/2568 หดตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และถือเป็นการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนจากไตรมาสแรกที่เศรษฐกิจขยายตัว 0.3%  มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และผลกระทบที่ตามมา ถือเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจในยุโรป โดยมาตรการที่เรียกว่า "ภาษีตอบโต้" (reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ก่อนที่จะมีการปรับลดลงชั่วคราวในภายหลัง อย่างไรก็ตาม ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมายังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนท่ามกลางการเจรจาข้อตกลงทางการค้า ขณะที่ภาษีสำหรับสินค้าบางกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ เหล็กกล้า และอะลูมิเนียม ยังคงถูกจัดเก็บในอัตราที่สูง ล่าสุดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (EU) ได้บรรลุกรอบข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากกลุ่ม EU ที่อัตรา 15% โดยสินค้าบางรายการจะได้รับการยกเว้น และภาษีนำเข้ารถยนต์ถูกปรับลดลงสู่ระดับพื้นฐาน (อินโฟเควสท์)
      เศรษฐกิจฝรั่งเศส Q2/68 โต 0.3% ดีเกินคาด ทางการฝรั่งเศสเปิดเผยในวันนี้ (30 ก.ค.) ว่า GDP ฝรั่งเศสในไตรมาสที่ 2/2568 ขยายตัว 0.3% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.1% โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ฟื้นตัวขึ้น  นอกจากนี้ GDP ไตรมาสสอง ยังเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ 0.1% ด้วย ปัจจุบัน เศรษฐกิจฝรั่งเศสยังคงเผชิญกับภาวะเติบโตชะลอตัวและแรงกดดันจากปัญหาขาดดุลงบประมาณที่อยู่ในระดับสูง นายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรู ตั้งเป้าที่จะลดการขาดดุลงบประมาณจาก 5.4% ของ GDP ในปีนี้ ให้เหลือ 4.6% ในปี 2569 และมุ่งมั่นที่จะควบคุมตัวเลขขาดดุลให้กลับเข้าสู่กรอบเพดานของสหภาพยุโรป (EU) ที่ 3% ให้ได้ภายในปี 2572 ด้านเอริก ลอมบาร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ RTL ว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ถือเป็น "ข่าวดี" เพราะตัวเลขดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจฝรั่งเศสยังคงไปได้ดี แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากข้อตกลงด้านกำแพงภาษีการค้าระหว่าง EU-สหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
      ยอดค้าปลีกเยอรมนีเดือนมิ.ย.ฟื้นตัวแรงเกินคาด สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยในวันนี้ (30 ก.ค.) ว่า ยอดค้าปลีกของเยอรมนีขยายตัว 1.0% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 0.5% และพลิกกลับมาเป็นบวกหลังจากที่หดตัวลง 0.6% ในเดือนพ.ค. (ตัวเลขปรับทบทวนแล้ว) รายงานระบุว่า ยอดค้าปลีกของเยอรมนีกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมี.ค. โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในหมวดอาหาร (0.3%) และหมวดที่ไม่ใช่อาหาร (1.8%) ขณะที่ยอดขายออนไลน์ก็เติบโตขึ้น 9.0% ส่วนเมื่อเทียบเป็นรายปี ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นถึง 4.9% ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 2.6% ในเดือนพ.ค. และถือเป็นอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2565 โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการเติบโตของทั้งหมวดอาหาร (0.9%) และหมวดที่ไม่ใช่อาหาร (7.4%) ขณะที่ยอดขายออนไลน์ทะยานขึ้นถึง 20.4%  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดทรงตัว นลท.ประเมินผลกระทบภาษีต่อผลประกอบการ ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันพุธ (30 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีต่อผลประกอบการ หลังจากบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึง Adidas, Porsche และ Aston Martin ส่งสัญญาณอาจปรับขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นหลังจากตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการด้วย ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 550.24 จุด ลดลง 0.12 จุด หรือ -0.02%  ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,861.96 จุด เพิ่มขึ้น 4.60 จุด หรือ +0.06%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,262.22 จุด เพิ่มขึ้น 44.85 จุด หรือ +0.19% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,136.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.62 จุด หรือ +0.01% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดแทบไม่ขยับ นักลงทุนประเมินผลประกอบการ-ความคืบหน้าด้านการค้า ตลาดหุ้นลอนดอนปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันพุธ (30 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ที่ออกมาแบบผสมผสาน และรอติดตามความคืบหน้าทางการค้าก่อนถึงเส้นตายการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในวันที่ 1 ส.ค.นี้  ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,136.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.62 จุด หรือ +0.01% (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดแทบไม่ขยับ จับตาผลประชุมเฟด-BOJ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดแทบไม่ขยับในวันนี้ (30 ก.ค.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ไร้ทิศทาง ขณะที่นักลงทุนกำลังจับตารอผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)  สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,654.70 จุด ลดลง 19.85 จุด หรือ -0.05% (อินโฟเควสท์)
      จีน
      จีนเผยครึ่งปีแรก มีกิจการที่ลงทุนโดยต่างชาติจัดตั้งใหม่กว่า 3 หมื่นแห่ง กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยในวันอังคาร (29 ก.ค.) ว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีการจัดตั้งกิจการที่ลงทุนโดยต่างชาติขึ้นใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่รวมทั้งสิ้น 30,014 แห่ง ขยายตัว 11.7% เมื่อเทียบรายปี กระทรวงฯ ระบุว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ใช้จริงในจีนแผ่นดินใหญ่มีมูลค่ารวม 4.2323 แสนล้านหยวน (ราว 5.918 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลง 15.2% เมื่อเทียบรายปี  เมื่อจำแนกรายภาคส่วน พบว่ามูลค่า FDI ที่ใช้จริงในภาคการผลิตอยู่ที่ 1.0906 แสนล้านหยวน และในภาคบริการอยู่ที่ 3.0587 แสนล้านหยวน ขณะเดียวกัน มูลค่า FDI ที่ใช้จริงในภาคเทคโนโลยีขั้นสูงแตะ 1.2787 แสนล้านหยวน โดยการลงทุนในภาคบริการอีคอมเมิร์ซ, ภาคการผลิตเคมีภัณฑ์ยา, ภาคการผลิตอุปกรณ์การบินและอวกาศ และภาคการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ขยายตัวขึ้น 127.1%, 53%, 36.2% และ 17.7% ตามลำดับ ข้อมูลระบุว่า การลงทุนจากกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) เพิ่มขึ้น 8.8% ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่การลงทุนจากสวิตเซอร์แลนด์, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และสาธารณรัฐเกาหลี เติบโตขึ้น 68.6%, 59.1%, 37.6%, 6.3% และ 2.7% ตามลำดับ (อินโฟเควสท์)
      จีนให้สิทธิเยือนประเทศโดยไม่ต้องใช้วีซ่าแก่พลเมืองจาก 75 ประเทศ หวัง จื้อจง ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติ (NIA) แถลงข่าววันนี้ (30 ก.ค.) ว่า จีนได้ประกาศใช้มาตรการยกเว้นวีซ่าฝ่ายเดียวและข้อตกลงยกเว้นวีซ่าร่วมกับ 75 ประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะปรับปรุงกฎระเบียบด้านวีซ่าและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ระหว่างการดำเนินแผนพัฒนาระยะเวลา 5 ปี ฉบับที่ 14 (2564-2568) จำนวนประเทศที่ได้สิทธิ์ยกเว้นวีซ่าเพื่อการเปลี่ยนเครื่อง (transit) ในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 55 ประเทศ และจุดผ่านแดนก็ขยายเป็น 60 แห่ง ครอบคลุม 24 มณฑล เขตปกครองตนเอง และเทศบาลนคร ส่วนระยะเวลาที่อนุญาตให้อยู่ในจีนโดยไม่ต้องขอวีซ่าเพื่อการเปลี่ยนเครื่องได้ขยายเป็น 240 ชั่วโมง โดยมาตรการทั้งหมดนี้ได้อำนวยความสะดวกอย่างมากให้กับชาวต่างชาติที่เดินทางมายังจีน ไม่ว่าจะเพื่อท่องเที่ยว ธุรกิจ หรือวัตถุประสงค์อื่น ๆ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นโยบายยกเว้นวีซ่าที่ได้รับการปรับปรุงเหล่านี้ได้ช่วยเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและผู้คนทั่วโลก ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและมิตรภาพที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผู้อำนวยการ NIA กล่าวทิ้งท้ายว่า "นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากได้ทำความเข้าใจจีนอย่างถ่องแท้และรอบด้านผ่านประสบการณ์ตรงของพวกเขา" (อินโฟเควสท์)
      จีน-สหรัฐฯ เดินหน้าถกประเด็นการค้าต่อ หลังเจรจาสองวันที่สตอกโฮล์มไร้ข้อตกลง สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ และจีนจะเดินหน้าเจรจาเกี่ยวกับประเด็นการขยายระยะเวลาการพักรบด้านการค้า ก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 12 ส.ค. โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการขยายเวลาดังกล่าว เบสเซนต์ ซึ่งเป็นผู้นำคณะเจรจาการค้าของสหรัฐฯ ร่วมกับเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้กล่าวที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนว่า เขาจะรายงานสรุปประเด็นที่เหลือให้ปธน.ทรัมป์ทราบในวันนี้ (30 ก.ค.) พร้อมกับกล่าวว่า การขยายเวลาระงับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้น จะยังไม่มีการทำข้อตกลง จนกว่าปธน.จะลงนามอนุมัติแผนดังกล่าว ทั้งนี้ เบสเซนต์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (29 ก.ค.) หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมสองวันร่วมกับเจ้าหน้าที่จีนซึ่งนำโดยรองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง ว่า "ยังมีรายละเอียดทางเทคนิคอีกเล็กน้อยที่ต้องดำเนินการ"   หลังจากมีรายงานข่าวว่าตัวแทนจากจีนได้ระบุว่ามีการตกลงขยายเวลาการระงับสงครามการค้าระหว่างสองประเทศออกไป 90 วัน เบสเซนต์ได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า เขาคิดว่าคณะเจรจาของจีนอาจจะรีบด่วนสรุปเล็กน้อย และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเขาได้แนะนำให้ปธน.ทรัมป์ขยายเวลาการระงับภาษีหรือไม่ เบสเซนต์กล่าวว่าเขาจะให้ข้อเท็จจริงแก่ปธน.ทรัมป์ แล้วจากนั้นปธน.ทรัมป์จะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้เอง ทางด้านหลี่ เฉิงกัง ผู้เจรจาการค้าของจีนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะยังคงระงับการเรียกเก็บภาษี แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะระงับเป็นเวลานานเท่าใด  ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนได้เสร็จสิ้นการเจรจาการค้าที่กรุงสตอกโฮล์มแล้วในวันอังคาร โดยแม้ว่าจีนและสหรัฐฯ ได้ตกลงที่จะขยายระยะเวลาการระงับขึ้นภาษีศุลกากรระหว่างกันออกไป แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ประกาศความคืบหน้าในการเจรจา หรือกำหนดเวลาที่ชัดเจนของการขยายเวลาการระงับการขึ้นภาษีแต่อย่างใด (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวกเล็กน้อย กังวลการค้าจีน-สหรัฐฯ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ (30 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ปิดฉากลงโดยไม่มีการทำข้อตกลงขยายระยะเวลาการเรียกเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกัน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,615.72 จุด เพิ่มขึ้น 6.01 จุด หรือ +0.17% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดร่วง 347.52 จุด หลังเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนยังไม่ได้ข้อสรุป ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงในวันนี้ (30 ก.ค.) หลังจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้ปิดฉากลงโดยยังไม่ได้ข้อสรุป อย่างไรก็ดี สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ และจีนจะเดินหน้าเจรจาเกี่ยวกับประเด็นการขยายระยะเวลาการพักรบด้านการค้า ก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 12 ส.ค. โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการขยายเวลาดังกล่าว ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,176.93 จุด ร่วงลง 347.52 จุด หรือ -1.36% (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      อินเดียอ่วม! "ทรัมป์" รีดภาษี 25% อ้างทำการค้าไม่เป็นธรรม,ซื้ออาวุธ-น้ำมันรัสเซีย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความบน Truth Social ระบุว่า อินเดียจะต้องจ่ายภาษีศุลกากรในอัตรา 25% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. พร้อมกับ "ค่าปรับ" จากนโยบายการค้าที่ปธน.ทรัมป์มองว่าไม่เป็นธรรม และจากการที่อินเดียซื้ออาวุธและพลังงานจากรัสเซีย อย่างไรก็ดี อัตราภาษี 25% ดังกล่าว ต่ำกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่ปธน.ทรัมป์เคยประกาศไว้ใน "วันแห่งการปลดปล่อย" ในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเขาประกาศอัตราภาษีศุลกากร 26% ต่ออินเดีย "จำไว้ว่า แม้อินเดียจะเป็นมิตรกับเรา แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรากลับทำธุรกิจกับพวกเขาค่อนข้างน้อย เพราะพวกเขาเก็บภาษีศุลกากรสูงเกินไป โดยอยู่ในกลุ่มประเทศที่เรียกเก็บภาษีสูงที่สุดในโลก และอินเดียยังกำหนดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่การเงิน (non-monetary trade barriers) ที่เข้มงวดและน่ารังเกียจมากที่สุดในบรรดาทุกประเทศ" "นอกจากนี้ พวกเขายังซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารส่วนใหญ่จากรัสเซีย และเป็นผู้นำเข้าพลังงานจากรัสเซียรายใหญ่ที่สุดร่วมกับจีน ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกต้องการให้รัสเซียยุติการสังหารประชาชนในยูเครน ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย!" "ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงต้องจ่ายภาษี 25% บวกกับค่าปรับจากเหตุผลข้างต้น เริ่มต้นวันที่ 1 สิงหาคม" ปธน.ทรัมป์ระบุ (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์หั่นเดดไลน์บรรลุดีลหยุดยิงรัสเซีย-ยูเครนเหลือ 10 วัน ก่อนลุยเก็บภาษีชุดใหญ่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยในวันอังคาร (29 ก.ค.) ว่า เส้นตาย 10 วันสำหรับรัสเซียในการยุติความขัดแย้งกับยูเครนมีผลแล้ว ซึ่งลดลงจากรอบเวลา 50 วันที่ทรัมป์เคยประกาศไว้เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เปิดเผยกับนักข่าวว่า รัสเซียมีเวลา 10 วันนับจากนี้ในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง มิเช่นนั้น สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรและดำเนินมาตรการต่าง ๆ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ทรัมป์ได้ขู่รัสเซียว่าจะเผชิญ "ภาษีศุลกากรในอัตราสูงลิ่ว" เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครนภายใน 50 วัน ก่อนที่เขาจะลดเวลาเส้นตายลงมาอยู่ที่ 10-12 วัน ในวันจันทร์ (28 ก.ค.) ระหว่างการประชุมกับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของอังกฤษ โดยอ้างว่าเพราะผิดหวังกับรัสเซีย ในการตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำเนียบเครมลินกล่าวว่า รัสเซียรับทราบถึงถ้อยแถลงของทรัมป์แล้วและปฏิบัติการพิเศษในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลินกล่าวในวันอังคารว่า "ปฏิบัติการพิเศษทางทหารยังดำเนินต่อไป" พร้อมชี้ว่า "เรายังคงทุ่มเทให้กับกระบวนการสันติภาพเพื่อแก้ไขความขัดแย้งเกี่ยวกับยูเครนและเพื่อรับประกันผลประโยชน์ของเราในการดำเนินการยุติความขัดแย้งนี้" (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex บวกเล็กน้อย จับตาเจรจาการค้าสหรัฐ-อินเดีย ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันนี้ โดยนักลงทุนซื้อขายอย่างระมัดระวัง ขณะที่จับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและอินเดีย  ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,481.86 บวก 143.91 จุด หรือ 0.18% (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      คลัง ปรับเพิ่ม GDP ปี 68 โต 2.2% รับแรงหนุนส่งออก-การผลิตภาคอุตสาหกรรม-บริโภคในปท. นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 2568 โดยคาดว่าจะขยายตัว 2.2% (กรอบ 1.7-2.7%) ดีขึ้นเล็กน้อยจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.1% ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ สศค. ยังคาดการณ์ว่า การส่งออกปีนี้ จะขยายตัวได้ 5.5% ดีขึ้นกว่าเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.3% ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 14.6 พันล้านดอลลาร์ และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 0.4% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 0.8% โฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีในครึ่งปีแรก แต่จำเป็นต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่อาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยกระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือและบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนฯ ในการลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก และมาตรการทางการเงิน เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างทันท่วงที และตรงจุด ครอบคลุมการจัดเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระทางการเงินของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ของห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ  อย่างไรก็ดี ในการปรับประมาณการครั้งนี้ สศค. ได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับความชัดเจนการหารือภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ว่า ไทยจะได้รับข้อตกลงในไตรมาส 3/2568 (ส.ค.-ก.ย.) โดยมองว่าไทยจะได้รับอัตราภาษีนำเข้าผ่อนปรนในช่วง 15-36% จากปัจจุบันสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้ากับไทยในอัตรา 36% ซึ่งเป็นการประเมินที่สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่มองว่าแนวโน้มการเจรจาในหลายประเทศที่ได้ข้อยุติแล้ว ส่วนใหญ่อัตราภาษีได้รับการผ่อนปรน ไม่ได้ถูกเรียกเก็บเต็มเพดาน ดังนั้นก็เชื่อว่าไทยจะได้รับการพิจารณาไปในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นด้วย (อินโฟเควสท์)
      คลัง เผยส่งออกหนุนศก.ไทยมิ.ย.โต จับตา "บริโภค-ลงทุนเอกชน" สัญญาณชะลอ นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 อย่างไรก็ดี การบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน ส่งสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศชะลอตัวลง ทั้งนี้ ยังจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศ รวมถึงความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี: สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิ.ย.68 อยู่ที่ -0.25% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.06% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพ.ค.68 อยู่ที่ 65.1% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.68 ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 262.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนภาพรวมภาวะตลาดการเงินไทยล่าสุด เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน: โดยเฉพาะในตลาดทุน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนบุคคลทั่วไปในประเทศ แม้จะเริ่มมีแรงขายสุทธิกลับเข้ามาบ้างในช่วงเดือนกรกฎาคม แต่ยังคงสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของของนักลงทุนในประเทศ ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิทั้งเดือน รวมทั้งสิ้น 4,816 ล้านบาท โดยเป็นการปรับพอร์ตบางส่วน ภายใต้ภาวะการคาดการณ์เสถียรภาพของเศรษฐกิจและตลาดเงินที่ดีขึ้น (อินโฟเควสท์)
      ลุ้นภาษีสหรัฐฯ!! "พิชัย" เผยวันนี้ไทยตอบกลับข้อเสนอครั้งสุดท้าย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ว่า ขณะนี้ทีมไทยแลนด์ได้เร่งทำงานอย่างเต็มที่ และวันนี้ ไทยจะตอบกลับข้อเสนอสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย (final) แล้ว หลังจากเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ไทยเพิ่งตอบข้อเสนอของสหรัฐฯ ไป โดยยังมีการเจรจาเพื่อปรับแก้ไขในรายละเอียดกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน  "ยังเหลือเวลาอีก 1 วัน ผมก็ทำงานเต็มที่ แน่นอนว่า เราต้องทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปได้ แม้ว่าจะยากลำบากบ้าง โดยตอนนี้ได้เร่งทำงานตลอด ส่วนถ้าถามว่าเมื่อถึงวันที่ 1 ส.ค. แล้วทางสหรัฐฯ จะมีการขยายเวลาเพิ่มให้ไทยหรือไม่นั้น ผมก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าวันนี้ เราน่าจะส่งข้อมูลให้ทางสหรัฐฯ final จริง ๆ แล้ว" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ  ส่วนประเด็นความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ระหว่างไทย-กัมพูชานั้น นายพิชัย มองว่า ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ แล้ว เพราะจนถึงขณะนี้สหรัฐฯ ไม่ได้สั่งให้หยุดการเจรจาแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งก็มาจากสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน ที่ขณะนี้ถือว่าเริ่มเบาลงแล้ว (อินโฟเควสท์)
      ศาลรธน. อนุญาต "แพทองธาร" ขยายเวลายื่นคำชี้แจงปมคลิปเสียงถึง 4 ส.ค. เป็นครั้งสุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งอนุญาตให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขยายเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ออกไปอีก 15 วัน จนถึงวันที่ 4 ส.ค.68 ในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาเรื่องปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา  โดยก่อนหน้านี้ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ได้เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภาในเรื่องดังกล่าว เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 1 ก.ค.68 ศาลฯ ได้มีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่ 2 ของ น.ส.แพทองธาร ลงวันที่ 29 ก.ค.68 ซึ่งขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดเดิม เนื่องจากอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อใช้เรียบเรียงทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น ศาลฯ เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงมีมติเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปจนถึงวันที่ 4 ส.ค.68 เป็นครั้งสุดท้าย อนึ่ง กรณีที่ น.ส.แพทองธาร ไม่ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าไม่ติดใจที่จะยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาลรัฐธรรมนูญ จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 10.46 จุดแรงซื้อกลุ่มส่งออกหนุนช่วงบ่ายเก็งข่าวไทยได้ภาษี 18% แนะเกาะติดผลประชุมเฟด SET ปิดวันนี้ที่ 1,244.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.46 จุด (+0.85%) มูลค่าซื้อขาย 54,670.81 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องจากแรงหนุนหลักกลุ่มพลังงานในช่วงเช้า และกลุ่มส่งออกช่วงบ่าย จากกระแสข่าวสะพัดว่าไทยอาจได้ข้อสรุปอัตราภาษีสหรัฐที่ 18% แนวโน้มพรุ่งนี้แนะติดตามการประชุมเฟด และตัวเลข GDP สหรัฐ รวมถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐก่อนถึงเส้นตาย 1 ส.ค. ให้แนวต้าน 1,250-1,260 จุด และแนวรับ 1,230 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,244.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.46 จุด (+0.85%) มูลค่าซื้อขาย 54,670.81 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อเนื่องภาคบ่าย โดยทำระดับสูงสุด 1,245.44 จุด และต่ำสุด 1,234.21 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 349 หลักทรัพย์ ลดลง 123 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 178 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 48,355 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 48,355 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 7,739 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ขายสุทธิ 430 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 67 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.32% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 67 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 67 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.0% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 2.8%  ด้านปัจจัยในประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 2568 ขยายตัว 2.2% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 2.1% จากการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: เย็นนี้ 32.45 แกว่งไร้ทิศทาง จับตาสัญญาณดอกเบี้ยเฟดคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.45 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อเช้าอยู่ที่ระดับ 32.38/39 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.33 - 32.48 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทค่อนข้างแกว่งออกข้าง ในขณะที่สกุลเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสมทั้งแข็งค่าและอ่อนค่า โดยคืนนี้ตลาดรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยไปก่อนในรอบนี้ ในขณะเดียวกัน ตลาดยังรอฟังถ้อยแถลงของประธานเฟดว่าจะส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. นอกจากนี้ คืนนี้ยังมีการรายงานตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค. จาก ADP และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/68 ของสหรัฐฯ นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.35 - 32.55 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
       
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
      ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ญี่ปุ่น
       ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค. ญี่ปุ่น
      ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.จากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) จีน       
      ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ค.จากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) จีน       
      อัตราว่างงานเดือนมิ.ย. อียู                          
      จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ สหรัฐ      
      ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย สหรัฐ    
       
      6
       

      แชร์เรื่องนี้

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

      News Demo
      24
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      23
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      22
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ

      Shortcut Menu

      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
        โครงสร้างพื้นฐาน
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนผลงานดี
      • ตารางจ่ายเงินปันผล
      • ข่าว/บทวิเคราะห์
      • กลยุทธ์การลงทุน
      • กำหนดการและแบบฟอร์ม
      • โปรโมชั่น
      • ปฏิทินกองทุน
      • ภาพกิจกรรม
      • ประกาศราคากลาง
      • AIMC Category
        Performance Report
      • ถาม-ตอบ
      • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
      • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
      • การตั้งค่าคุกกี้
      • สมัครรับข่าวสาร
      • ติดต่อเรา
      • ร่วมงานกับเรา
      • ประกาศความเป็นส่วนตัว
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

      KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

      อีเมล: [email protected]

      เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

      • พันธมิตรธุรกิจ
      • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
      • แผนผังเว็บไซต์

      การใช้และการจัดการคุกกี้

      เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

       การใช้และการจัดการคุกกี้

      เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

      ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


      การกำหนดลักษณะความยินยอม

      คุกกี้ที่จำเป็น

      คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

      คุกกี้วิเคราะห์

      เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง