• X
  • ค้นหา
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu แนะนำ
        • NAV
        • ค้นหากองทุน
        • กองทุนแนะนำ
        • กองทุนผลงานดี
        • ตารางจ่ายเงินปันผล
        • วันหยุดกองทุน
        • ข่าว/บทวิเคราะห์
        • กลยุทธ์การลงทุน
        • กำหนดการและแบบฟอร์ม
        • โปรโมชั่น
        • ข้อมูลกองทุน
        • เปรียบเทียบกองทุน
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
      1. หน้าแรก
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      เฟดออกโรงแจง หลัง "ทรัมป์" หาเหตุโจมตีเฟดถลุงเงินเนรมิตสนง.ใหญ่สุดหรู ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดตัวหน้า "คำถามที่พบบ่อย" (FAQs) บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเฟด เพื่อชี้แจงและปกป้องโครงการปรับปรุงบูรณะอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดในวงเงิน 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 81,075 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงพื้นที่สำนักงานใหญ่ของเฟดให้ทันสมัย โดยการบูรณะอาคาร 3 หลังที่อยู่ติดกับ National Mall และสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เฟดเปิดหน้า FAQs ดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้ต่อคำวิจารณ์ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีต่อโครงการบูรณะสำนักงานใหญ่ของเฟด นายรัสเซล โวจ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและงบประมาณ (OMB) กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด บริหารเฟดอย่างล้มเหลว และวิจารณ์โครงการดังกล่าวว่าเป็นการบูรณะที่หรูหราเกินเหตุ ท่าทีของนายโวจสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลทรัมป์อาจกำลังหาทางปลดนายพาวเวลก่อนครบวาระในปีหน้า ทั้งนี้ ข้อมูลบนหน้า FAQs ของเฟดระบุว่า "โครงการดังกล่าวเป็นการบูรณะและปรับปรุงครั้งใหญ่ เพื่ออนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์ 2 หลัง ซึ่งไม่เคยได้รับการบูรณะใหญ่นับตั้งแต่สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 โดยไม่มีการสร้างห้องรับรอง VIP ใหม่ในโครงการนี้ และอาคาร Eccles มีห้องประชุม ซึ่งกำลังได้รับการปรับปรุงและอนุรักษ์ไว้ โดยห้องเหล่านี้ยังใช้สำหรับการประชุมระหว่างรับประทานอาหาร" นอกจากนี้ เฟดระบุว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างในโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้นเกินงบประมาณราว 700 ล้านดอลลาร์ เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงแบบแปลนอาคาร หลังการหารือกับหน่วยงานกำกับดูแล และปัญหาจากสภาพอาคารที่ไม่คาดคิด เช่น การพบแร่ใยหิน (Asbestos) มากกว่าที่คาดไว้ ขณะเดียวกัน เฟดย้ำว่าเงินภาษีของประชาชนไม่ได้ถูกนำมาใช้ในโครงการนี้ เนื่องจากเฟดใช้เงินทุนที่ได้จากดอกเบี้ยในหลักทรัพย์ที่ถือครองอยู่ และจากค่าธรรมเนียมที่เฟดเรียกเก็บจากธนาคารต่าง ๆ คำชี้แจงของเฟดมีขึ้น หลังนายโวจประกาศว่าจะดำเนินการสอบสวนโครงการบูรณะของเฟด ซึ่งเขากล่าวหาว่ามีแผนการสร้างสวนลอยฟ้า ห้องอาหาร VIP ลิฟต์ส่วนตัว น้ำพุ หินอ่อนเกรดพรีเมียม และสิ่งหรูหราอื่น ๆ (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" แจงเหตุผลต้องเก็บภาษี พร้อมทวงบุญคุณประเทศคู่ค้า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความบน Truth Social ในวันนี้ โดยชี้แจงสาเหตุที่สหรัฐต้องเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้า และประเทศต่าง ๆ ควรขอบคุณสหรัฐสำหรับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับในช่วงที่ผ่านมา "สหรัฐอเมริกาถูกเอาเปรียบในเรื่องการค้า (และการทหาร!) ทั้งจากมิตรประเทศและศัตรู เป็นเวลานานหลายทศวรรษ สิ่งนี้สร้างความเสียหายคิดเป็นเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ โดยสิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป และจริง ๆ แล้ว ก็ไม่ควรเกิดขึ้นแต่แรก!" "ประเทศต่าง ๆ ควรจะยอมรับและพูดว่า 'ขอบคุณสำหรับการให้สิทธิประโยชน์ฟรีมานานหลายปี แต่เรารู้ดีว่าตอนนี้คุณต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่ออเมริกา' " "และเราควรตอบกลับว่า 'ขอบคุณที่เข้าใจสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง!' " ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์เผยญี่ปุ่นเปลี่ยนท่าทีเจรจาภาษีอย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณมั่นใจการค้าคืบหน้า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า ญี่ปุ่นและประเทศคู่ค้าหลักรายอื่น ๆ เปลี่ยนท่าทีในการเจรจาภาษี "อย่างรวดเร็วมาก" ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า ทรัมป์เชื่อว่าการเจรจาอาจมีความคืบหน้าและนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงการค้าในไม่ช้า สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า คำกล่าวอ้างดังกล่าวของทรัมป์เกิดขึ้นระหว่างที่เขาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (13 ก.ค.) เกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของการเจรจาการค้า โดยเน้นไปที่ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป (EU) "สหภาพยุโรปกำลังพูดคุยกับเรา พวกเขาต้องการเปิดประเทศ ญี่ปุ่นก็เช่นกัน แต่ในระดับที่น้อยกว่ามาก ในแง่ของการเปิดประเทศ" ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อเดินทางถึงฐานทัพร่วมแอนดรูวส์ (Joint Base Andrews) ชานกรุงวอชิงตัน "ญี่ปุ่น อย่างที่คุณทราบ เราใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมาก แต่พวกเขาขายรถยนต์ให้เราหลายล้านคันต่อปี แต่เราไม่ได้ขายรถยนต์ให้พวกเขาเลยเพราะพวกเขาไม่ยอมรับรถยนต์ของเรา และไม่ยอมรับสินค้าเกษตรของเรามากนักเช่นกัน" ทรัมป์กล่าว พร้อมกับเสริมว่า "แต่พวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงท่าทีในการเจรจาอย่างรวดเร็วมาก" ในระหว่างการพบปะกับผู้สื่อข่าวที่ฐานทัพแห่งนี้ ทรัมป์โอ้อวดว่าสหรัฐฯ สามารถกวาดรายได้จากภาษีได้กว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อเดือนที่แล้ว โดยกล่าวว่า "ประเทศของเรากำลังทำเงินมหาศาล" โดยการเรียกเก็บภาษีรถยนต์ เหล็กกล้า และอะลูมิเนียมในอัตราใหม่ มีส่วนอย่างมากในการทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (อินโฟเควสท์)
      ทำเนียบขาวลั่น ทรัมป์มีอำนาจปลดพาวเวล อ้างเหตุรีโนเวตตึกเฟดหรูราว "แวร์ซาย" ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อาจใช้อำนาจปลดเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยอ้างเหตุการปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดที่ใช้งบประมาณบานปลายเกินควร เควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของทำเนียบขาว กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (13 ก.ค.) ว่า ปธน.ทรัมป์มีอำนาจในการปลดประธานเฟดหากมีมูลเหตุอันสมควร และระบุว่าเฟด "มีเรื่องที่ต้องชี้แจงอีกมาก" เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายดังกล่าว แฮสเซตต์ให้สัมภาษณ์ในรายการ "This Week" ของสถานีโทรทัศน์ ABC ว่า การตัดสินใจของปธน.ทรัมป์ขึ้นอยู่กับคำชี้แจงของเฟดต่อคำถามของรัสส์ โวท ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณของทำเนียบขาว โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โวทตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการปรับปรุงอาคารเฟดอย่างฟุ่มเฟือย พร้อมโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X เปรียบเทียบโครงการนี้กับพระราชวังแวร์ซายของฝรั่งเศส โดยอ้างว่ามีการสร้างสวนบนระเบียง น้ำพุตกแต่ง และใช้ "หินอ่อนสุดหรู"  อย่างไรก็ตาม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ก.ค.) เฟดได้ออกเอกสารชี้แจงว่า นี่คือการปรับปรุงอาคารครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อสร้างในยุคทศวรรษ 2470 ซึ่งจำเป็นต้องมีการกำจัดสารตะกั่วและแร่ใยหินที่พบมากกว่าการคาดการณ์ในเบื้องต้น พร้อมเผยแพร่ภาพท่อและหลังคาที่รั่วซึมเพื่อยืนยันสภาพอาคารที่ทรุดโทรม นอกจากนี้ เฟดปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการสร้างห้องอาหารหรือลิฟต์สำหรับบุคคลสำคัญ (VIP) และยืนยันว่าโครงการจะมีเพียง "หลังคาเขียว" (Green Roof) เพื่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ไม่มีพื้นที่ระเบียงให้ใช้งาน ทั้งนี้ รายงานจากผู้ตรวจการภายในของเฟดเมื่อเดือนก.พ. ประเมินว่าค่าใช้จ่ายโครงการได้พุ่งขึ้นเป็น 2.4 พันล้านดอลลาร์ จากที่เคยประเมินไว้ที่ 1.9 พันล้านดอลลาร์เมื่อสองปีก่อน เมื่อถูกถามย้ำว่าทรัมป์มีอำนาจปลดพาวเวลหรือไม่ แฮสเซตต์ตอบว่า "เรื่องนั้นกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่แน่นอนว่าหากมีมูลเหตุอันสมควร เขาก็มีอำนาจนั้น" (อินโฟเควสท์)
      "พาวเวล" เชิญผู้ตรวจการเข้าสอบ หลัง "ทรัมป์" โวยถลุงเงินเนรมิตสนง.ใหญ่สุดหรู Axios สื่อออนไลน์ของสหรัฐ รายงานว่า นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ขอให้ผู้ตรวจการภายในเข้ามาตรวจสอบโครงการบูรณะอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟด หลังจากที่ทำเนียบขาวได้วิพากษ์วิจารณ์โครงการดังกล่าวอย่างหนัก ทั้งนี้ ผู้ตรวจการภายใน ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลทั้งเฟดและสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน (CFPB) จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต การสิ้นเปลือง และการใช้งบประมาณโดยมิชอบ นอกจากนี้ เฟดเปิดตัวหน้า "คำถามที่พบบ่อย" (FAQs) บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเฟด เพื่อชี้แจงและปกป้องโครงการปรับปรุงบูรณะอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดในวงเงิน 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 81,075 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงพื้นที่สำนักงานใหญ่ของเฟดให้ทันสมัย โดยการบูรณะอาคาร 3 หลังที่อยู่ติดกับ National Mall และสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยว   นอกจากนี้ เฟดระบุว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างในโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้นเกินงบประมาณราว 700 ล้านดอลลาร์ เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงแบบแปลนอาคาร หลังการหารือกับหน่วยงานกำกับดูแล และปัญหาจากสภาพอาคารที่ไม่คาดคิด เช่น การพบแร่ใยหิน (Asbestos) มากกว่าที่คาดไว้ ขณะเดียวกัน เฟดย้ำว่าเงินภาษีของประชาชนไม่ได้ถูกนำมาใช้ในโครงการนี้ เนื่องจากเฟดใช้เงินทุนที่ได้จากดอกเบี้ยในหลักทรัพย์ที่ถือครองอยู่ และจากค่าธรรมเนียมที่เฟดเรียกเก็บจากธนาคารต่าง ๆ  คำชี้แจงของเฟดมีขึ้น หลังนายโวจประกาศว่าจะดำเนินการสอบสวนโครงการบูรณะของเฟด ซึ่งเขากล่าวหาว่ามีแผนการสร้างสวนลอยฟ้า ห้องอาหาร VIP ลิฟต์ส่วนตัว น้ำพุ หินอ่อนเกรดพรีเมียม และสิ่งหรูหราอื่น ๆ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 88.14 จุด จับตาภาษีทรัมป์-ข้อมูลเศรษฐกิจ ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันจันทร์ (14 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างระมัดระวัง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งล่าสุด ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,459.65 จุด เพิ่มขึ้น 88.14 จุด หรือ +0.20%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,268.56 จุด เพิ่มขึ้น 8.81 จุด หรือ +0.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,640.33 จุด เพิ่มขึ้น 54.80 จุด หรือ +0.27% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดร่วง $1.47 นลท.ประเมินข่าวทรัมป์จ่อคว่ำบาตรรัสเซีย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันจันทร์ (14 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศคว่ำบาตรประเทศที่ซื้อน้ำมันจากจากรัสเซีย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์   ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2.15% ปิดที่ 66.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.63% ปิดที่ 69.21 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่าตามบอนด์ยีลด์ ตลาดจับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (14 ก.ค.) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.23% แตะที่ระดับ 98.080 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $4.9 นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาพุ่ง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (14 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเจรจาการค้า และข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 4.9 ดอลลาร์ หรือ 0.15% ปิดที่ 3,359.10 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยิลด์ไร้ทิศทาง หลัง "ทรัมป์" รีดภาษีสหภาพยุโรป-เม็กซิโก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวไร้ทิศทาง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากร 30% ต่อสหภาพยุโรปและเม็กซิโก โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. ณ เวลา 21.10 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.413% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.961% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      "มาครง" อัดฉีดงบกลาโหมอีก 6.5 พันล้านยูโร ลั่นต้องแตะ 6.4 หมื่นล้านภายในปี 70 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (13 ก.ค.) เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้ประกาศจัดสรรงบประมาณด้านการทหารเพิ่มเติม 6.5 พันล้านยูโร (7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าให้งบประมาณกลาโหมรายปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.4 หมื่นล้านยูโรภายในปี 2570 ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อกองทัพฝรั่งเศส ปธน.มาครงได้ระบุถึงทิศทางและยุทธศาสตร์ของกองทัพ พร้อมกล่าวว่า "งบประมาณด้านการทหารเป็นและจะยังคงเป็นแหล่งความมั่งคั่งสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เศรษฐกิจ และภูมิภาคของเรา"  นอกจากนี้ ปธน.ฝรั่งเศสยังเปิดเผยแผนการศึกษาเพื่อริเริ่มโครงการรับใช้ชาติในรูปแบบใหม่ (อินโฟเควสท์)
      EU เตรียมออกมาตรการตอบโต้ภาษี "ทรัมป์" รัฐมนตรีการค้าของสหภาพยุโรป (EU) มีมติในวันนี้ (14 ก.ค.) ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากร 30% ต่อ EU เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง พร้อมระบุว่า EU กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้สหรัฐต่อการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว   ทั้งนี้ บรรดารัฐมนตรีการค้าของ EU ได้ประชุมกันที่กรุงบรัสเซลส์ หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีดังกล่าวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรัฐบาล ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคของทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นายมาโรช เชฟโชวิช ผู้แทนการค้าของ EU ในการเจรจากับสหรัฐ กล่าวหลังการประชุมว่า "เป็นที่ชัดเจนจากการหารือว่า อัตราภาษี 30% เป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง" นายเชฟโชวิชกล่าวอีกว่า คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังเสนอมาตรการตอบโต้ชุดใหม่ให้กับสมาชิก 27 ชาติของ EU ทำการพิจารณา ซึ่งจะครอบคลุมสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่าราว 72,000 ล้านยูโร (84,000 ล้านดอลลาร์) "ประเทศสมาชิกจะมีโอกาสหารือกันในเรื่องนี้ ซึ่งยังไม่ใช่เครื่องมือสุดท้ายของเรา โดยเรายังคงเปิดทางเลือกทุกทางไว้บนโต๊ะ" นายเชฟโชวิชกล่าว (อินโฟเควสท์)
      ขุนคลังเยอรมันเรียกร้อง EU ตอบโต้ หากเจรจาภาษีสหรัฐฯ ล้มเหลว  หนังสือพิมพ์ Sueddeutsche Zeitung ของเยอรมนีรายงานว่า ลาร์ส คลิงเบล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเยอรมนี เปิดเผยในวันอาทิตย์ (13 ก.ค.) ว่า สหภาพยุโรป (EU) ต้องดำเนินการอย่างจริงจังกับสหรัฐฯ หากการเจรจาภาษีศุลกากรไม่ประสบความสำเร็จในการผ่อนคลายความตึงเครียดของการค้าโลกที่กำลังร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ถ้อยแถลงดังกล่าวของคลิงเบลมีขึ้น เพื่อตอบโต้คำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ (12 ก.ค.) ที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 30% จาก EU ในวันที่ 1 ส.ค. หลังยังบรรลุข้อตกลงไม่ได้จนถึงตอนนี้ คลิงเบลกล่าวว่า "ภาษีของทรัมป์จะทำให้มีแต่ผู้แพ้เท่านั้น ภาษีเหล่านั้นคุกคามเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากพอ ๆ กับที่กระทบธุรกิจต่าง ๆ ในยุโรป" พร้อมเรียกร้องให้ยุติความตึงเครียดทางการค้าที่กำลังร้อนระอุนี้ โดย EU "ไม่ต้องการคำขู่หรือการยั่วยุครั้งใหม่" แต่เป็น "ข้อตกลงที่ยุติธรรม" นอกจากนี้ คลิงเบลยังเตือนอีกว่า เยอรมนีจะไม่อยู่เฉยหากการเจรจาล้มเหลว โดยกล่าวว่า "หากทางออกที่ยุติธรรมไม่สามารถบรรลุได้ เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ขั้นเด็ดขาดเพื่อปกป้องงานและธุรกิจในยุโรป" และเสริมว่า การเตรียมการได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว "เราพร้อมจะให้ความร่วมมือ แต่คงไม่เห็นด้วยกับทุกเรื่อง" สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี โดยในปี 2567 เยอรมนีส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 1.61 แสนล้านยูโร (1.88 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยเกินดุลการค้าเกือบ 7.0 หมื่นล้านยูโร (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ ตลาดยังคงกังวลภาษีทรัมป์ ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงเล็กน้อยในวันจันทร์ (14 ก.ค.) โดยหุ้นกลุ่มยานยนต์ซึ่งอ่อนไหวต่อภาษีร่วงลง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่จะเก็บภาษีในอัตราสูงจากสหภาพยุโรป (EU) แม้หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเฮลท์แคร์ช่วยพยุงตลาดไว้ไม่ให้ร่วงลงมากนัก ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.99 จุด ลดลง 0.35 จุด หรือ -0.06% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,808.17 จุด ลดลง 21.12 จุด หรือ -0.27%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,160.64 จุด ลดลง 94.67 จุด หรือ -0.39% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,998.06 จุด เพิ่มขึ้น 56.94 จุด หรือ +0.64% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 56.94 จุด รับความหวัง BoE ลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับสูงสุดครั้งใหม่ในวันจันทร์ (14 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนหน้า ขณะที่หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) พุ่งขึ้นหลังผลการทดลองยาออกมาในเชิงบวก ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ระดับ 8,998.06 จุด เพิ่มขึ้น 56.94 จุด หรือ +0.64% (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      BOJ ยุติถือหุ้นสถาบันการเงิน หลังทุ่มซื้อตั้งแต่ปี 2545 เพื่อปกป้องระบบธนาคาร ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการในวันนี้ (14 ก.ค.) ว่า BOJ ได้เสร็จสิ้นการขายหุ้นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่ซื้อมาจากสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาตั้งแต่ปี 2545 โดยวัตถุประสงค์ของการเข้าซื้อหุ้นในเวลานั้นคือ เพื่อยับยั้งความตื่นตระหนกในตลาดและเพื่อป้องกันระบบธนาคาร หลังจากญี่ปุ่นเผชิญวิกฤตการเงินภายในประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งผลกระทบจากการล้มละลายของธนาคารเลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) ทั้งนี้ BOJ ใช้มาตรการพิเศษอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยการเข้าซื้อหุ้นจากธนาคารพาณิชย์ในปี 2545 เพื่อปกป้องผลประกอบการของธนาคารเหล่านั้นไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของตลาด เนื่องจากในเวลานั้นสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้เสียหลังเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่สินทรัพย์แตกในช่วงต้นคริสตทศวรรษ 1990 ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงิน BOJ เริ่มขายหุ้นดังกล่าวออกมาในปี 2550 แต่ได้ระงับการขายในปี 2551 เมื่อเกิดวิกฤตการเงินโลก ต่อมา BOJ กลับมาซื้อหุ้นอีกครั้งเป็นเวลาสองปีจนถึงปี 2553 เพื่อพยุงตลาด ก่อนที่จะกลับมาขายหุ้นดังกล่าวอีกครั้งในปี 2559 หลังจากความกังวลทางการเงินเริ่มลดน้อยลง สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า BOJ ต้องการยุติมาตรการที่ระบุว่าเป็น "มาตรการพิเศษ" สำหรับธนาคารกลาง โดย BOJ ได้ดำเนินนโยบายกระตุ้นทางการเงินเป็นเวลานานกว่า 20 ปีเพื่อพยุงเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เผชิญภาวะเงินฝืด ณ วันที่ 30 มิ.ย. BOJ ถือครองหุ้นมูลค่าประมาณ 2.54 พันล้านเยน (17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายใต้การจัดการของทรัสต์แห่งหนึ่ง แต่ข้อมูล ณ วันที่ 10 ก.ค. ระบุว่า BOJ ถือครองหุ้นเป็นศูนย์ และตอนนี้ตลาดหันไปจับตาว่า BOJ จะเริ่มขายหลักทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เมื่อใด (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นเผยคำสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานลดลงเล็กน้อยในเดือนพ.ค. สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (14 ก.ค.) ว่า คำสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของญี่ปุ่นลดลง 0.6% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งลดลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 1.5% และน้อยกว่าเมื่อเดือนเม.ย. ที่ร่วงหนักถึง 9.1%  คำสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานจากภาคเอกชนของญี่ปุ่น ซึ่งไม่รวมเรือและอุปกรณ์ไฟฟ้า ถือเป็นตัววัดการลงทุนและความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่สำคัญ เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว คำสั่งซื้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 4.4% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.4% อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบตามมูลค่าแล้ว ตัวเลขดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน (อินโฟเควสท์)
      ผลสำรวจ BOJ ชี้คนญี่ปุ่น 75.3% รู้สึกข้าวของแพงขึ้นมาก ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เผยแพร่ผลสำรวจในวันนี้ (14 ก.ค.) ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 75.3% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด รู้สึกว่าราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น "อย่างมาก" เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงต่อเนื่องกับสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันอย่างอาหารและของใช้อื่น ๆ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า หากรวมผู้ที่ตอบว่าราคาขึ้น "เล็กน้อย" ด้วยแล้ว สัดส่วนของผู้ที่เชื่อว่าราคาสินค้าปรับขึ้นรวมทั้งหมดอยู่ที่ 96.1% ไม่เปลี่ยนแปลงจากสถิติสูงสุดเดิมที่เคยสำรวจไว้เมื่อเดือนมี.ค. โดยผลสำรวจนี้มาจากการศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชน สำหรับแนวโน้มราคาในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ผู้ตอบแบบสอบถาม 85.1% คาดว่าราคาจะยังคงสูงขึ้น ลดลงเล็กน้อยจาก 86.7% ในเดือนมี.ค. โดยอัตราการเพิ่มขึ้นที่คาดการณ์ไว้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 12.8% เพิ่มขึ้นจาก 12.2% ในผลสำรวจครั้งก่อน ราคาที่สูงขึ้นส่งผลกระทบในแง่ลบต่อการรับรู้สภาพความเป็นอยู่ของครัวเรือนอย่างชัดเจน ผู้ตอบแบบสอบถาม 61.0% เผยว่าสถานการณ์ครัวเรือนของตนแย่ลงในช่วงปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 55.9% ขณะที่มีเพียง 3.8% เท่านั้นที่บอกว่าดีขึ้น ลดลงจาก 3.9% ในกลุ่มผู้ที่บอกว่าแย่ลงนั้น 93.7% ชี้ว่าราคาที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุหลัก ตามมาด้วย 30.3% ที่อ้างถึงรายได้ที่ลดลง ผลสำรวจดังกล่าวดำเนินการทางไปรษณีย์ ระหว่างวันที่ 1 พ.ค. ถึง 3 มิ.ย. โดยส่งแบบสอบถามไปยังผู้ใหญ่ 4,000 คนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และมีผู้ตอบกลับที่ถูกต้อง 50.4% ผู้ตอบแบบสอบถาม 70.5% ระบุว่าสภาพเศรษฐกิจแย่ลงเมื่อเทียบกับปีก่อน มีเพียง 3.5% เท่านั้นที่ระบุว่าสภาพเศรษฐกิจดีขึ้น  เมื่อถามถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกที่มีต่อสภาพเศรษฐกิจ 42.8% ประเมินจากระดับรายได้ของตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว ตามมาด้วย 39.0% ที่ประเมินจากรายงานข่าว (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 110.06 จุด กังวลภาษีทรัมป์-จับตาเลือกตั้งสภาสูง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (14 ก.ค.) โดยปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (11 ก.ค.) ท่ามกลางความวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ดี การร่วงลงยังไม่หนักมากนัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความหวังว่าการเจรจาภาษีระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ จะมีความคืบหน้า  สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,459.62 จุด ลดลง 110.06 จุด หรือ -0.28% (อินโฟเควสท์)
      จีน
      จีนส่งออกเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 5.8% สูงกว่าคาด ขณะนำเข้าเพิ่มครั้งแรกในปีนี้ สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เปิดเผยในวันนี้ (14 ก.ค.) ว่า ยอดส่งออกเดือนมิ.ย.ของจีนปรับตัวขึ้น 5.8% เมื่อพิจารณาในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5% เนื่องจากภาคธุรกิจของจีนยังคงเร่งส่งออกสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีศุลกากรชั่วคราว ก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในเดือนส.ค. ส่วนการนำเข้าในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.1% ซึ่งแม้จะน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3% แต่ก็นับเป็นครั้งแรกในปีนี้ที่ยอดนำเข้าของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสาเหตุที่ทำให้ยอดนำเข้าปรับตัวลงในปีนี้มาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซา ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มาตรการภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกเก็บจากจีนในอัตรา 145% มีผลบังคับใช้ช่วงสั้น ๆ ในขณะที่จีนได้ตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีเช่นกัน อีกทั้งมีการใช้มาตรการอื่น ๆ กับสหรัฐฯ เช่นการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุสำคัญ อย่างไรก็ดี จีนและสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงชั่วคราวเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งนำไปสู่การระงับเรียกเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วัน แม้ข้อตกลงดังกล่าวเกือบจะล้มเหลวเนื่องจากสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนล่าช้าในการดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่จะผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ได้กระตุ้นให้ผู้ส่งออกของจีนเร่งกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่น ๆ โดยจีนส่งออกในเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 8.1% และส่งออกในเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากการพุ่งขึ้นของยอดส่งออกไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสหภาพยุโรปนั้น สามารถชดเชยการชะลอตัวของส่งออกไปยังสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
      จีนปล่อยสินเชื่อใหม่ 12.92 ล้านล้านหยวนในช่วงครึ่งแรกของปี 68 ธนาคารต่าง ๆ ของจีนปล่อยสินเชื่อใหม่เป็นมูลค่า 2.24 ล้านล้านหยวน (3.1247 แสนล้านดอลลาร์) ในเดือนมิ.ย. ซึ่งมากกว่าเมื่อเดือนพ.ค. ถึง 3 เท่าตัว และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านหยวน ปัจจัยหนุนมาจากการที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเพิ่มความต้องการสินเชื่อในช่วงที่สหรัฐฯ และจีนสงบศึกทางการค้า นอกจากนี้ ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่ประกาศออกมาเมื่อวันจันทร์ (14 ก.ค.) ก็สูงกว่ายอด 2.13 ล้านล้านหยวนในเดือนมิ.ย.ปีที่แล้วอีกด้วย   สำหรับยอดรวมสินเชื่อใหม่สกุลเงินหยวนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 12.92 ล้านล้านหยวน (1.81 ล้านล้านดอลลาร์) ลดลงจาก 13.27 ล้านล้านหยวนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ PBOC ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลจำแนกรายเดือน แต่สำนักข่าวรอยเตอร์ได้คำนวณตัวเลขเดือนมิ.ย. โดยอ้างอิงจากข้อมูลเดือนม.ค.-มิ.ย.ของ PBOC เปรียบเทียบกับตัวเลขเดือนม.ค.-พ.ค. ผลการคำนวณของสำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ว่า สินเชื่อภาคครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย พุ่งทะยานขึ้นสู่ระดับ 5.976 แสนล้านหยวนในเดือนมิ.ย. จาก 5.4 หมื่นล้านหยวนในเดือนพ.ค. ขณะที่สินเชื่อภาคธุรกิจพุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.77 ล้านล้านหยวน จาก 5.30 แสนล้านหยวนในเดือนพ.ค. ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ยังแสดงให้เห็นอีกว่า ยอดสินเชื่อคงค้างในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเท่ากับเมื่อเดือนพ.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เล็กน้อยที่ 7.0% ด้านปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ (M2) ในเดือนมิ.ย.เร่งตัวขึ้นแตะ 8.3% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่สำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ที่ 8.1% และเพิ่มขึ้นจาก 7.9% ในเดือนพ.ค. ส่วนปริมาณเงินในความหมายแคบ (M1) ขยายตัว 4.6% เมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.3% ในเดือนพ.ค. ขณะที่การเติบโตรายปีของยอดคงค้างการจัดหาเงินทุนทางสังคม (TSF) ซึ่งเป็นมาตรวัดสินเชื่อและสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโดยรวม เพิ่มขึ้น 8.9% ในเดือนที่แล้ว ดีขึ้นจาก 8.7% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
      จีน-สหรัฐฯ เร่งปฏิบัติตามผลการเจรจาเศรษฐกิจ-การค้าในลอนดอน เจ้าหน้าที่สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เปิดเผยในวันนี้ (14 ก.ค.) ว่า จีนและสหรัฐฯ กำลังเร่งความพยายามในการปฏิบัติตามกรอบการทำงานซึ่งทั้งสองฝ่ายบรรลุร่วมกันในระหว่างการเจรจาเศรษฐกิจและการค้าที่กรุงลอนดอนเมื่อเดือนมิ.ย. หวัง หลิงจวิน รองหัวหน้า GAC เปิดเผยในการแถลงข่าวว่า การค้าระหว่างทั้งสองชาติฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 3.50 แสนล้านหยวน (ราว 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์) หลังจากที่การหารือเศรษฐกิจและการค้าในลอนดอน รวมถึงครั้งก่อนหน้านั้นที่เจนีวา เป็นไปในเชิงบวก หวังระบุว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว และยังสะท้อนถึงกระแสโลกาภิวัตน์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ความจำเป็นในการบูรณาการห่วงโซ่อุตสาหกรรมให้ลึกยิ่งขึ้น ตลอดจนบ่งชี้ถึงความต้องการการร่วมมือด้านนวัตกรรมระหว่างบริษัทของทั้งสองประเทศ และการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองชาติ หวังชี้ว่า ฉันทามติที่ทั้งสองชาติบรรลุร่วมกันที่เจนีวา และกรอบการทำงานที่ตกลงกันที่กรุงลอนดอน ถือเป็น "ชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบาก" และจีนหวังว่าสหรัฐฯ จะทำงานร่วมกับจีนเพื่อทำให้ความร่วมมือนี้เป็นธีมหลักของความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจทวิภาคี ขับเคลื่อนระบบการค้าโลกกลับสู่เส้นทางที่ยุติธรรมและเปิดกว้างอีกครั้ง และมีส่วนสนับสนุนการฟื้นตัวและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 9.47จุด รับยอดส่งออกแกร่ง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (14 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,519.65 จุด เพิ่มขึ้น 9.47 จุด หรือ +0.27% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 63.75 จุด ขานรับส่งออกจีนพุ่ง, จับตาข้อมูลศก.จีน ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (14 ก.ค.) หลังจากที่สำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า ยอดส่งออกของจีนปรับตัวขึ้น 5.8% ในเดือนมิ.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5%   ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,203.32 จุด เพิ่มขึ้น 63.75 จุด หรือ +0.26% (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      "ทรัมป์" แจงเหตุผลต้องเก็บภาษี พร้อมทวงบุญคุณประเทศคู่ค้า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความบน Truth Social ในวันนี้ โดยชี้แจงสาเหตุที่สหรัฐต้องเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้า และประเทศต่าง ๆ ควรขอบคุณสหรัฐสำหรับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับในช่วงที่ผ่านมา "สหรัฐอเมริกาถูกเอาเปรียบในเรื่องการค้า (และการทหาร!) ทั้งจากมิตรประเทศและศัตรู เป็นเวลานานหลายทศวรรษ สิ่งนี้สร้างความเสียหายคิดเป็นเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ โดยสิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป และจริง ๆ แล้ว ก็ไม่ควรเกิดขึ้นแต่แรก!" "ประเทศต่าง ๆ ควรจะยอมรับและพูดว่า 'ขอบคุณสำหรับการให้สิทธิประโยชน์ฟรีมานานหลายปี แต่เรารู้ดีว่าตอนนี้คุณต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่ออเมริกา' " "และเราควรตอบกลับว่า 'ขอบคุณที่เข้าใจสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง!' " ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social
      "ทรัมป์" ขีดเส้นตาย 2 ก.ย. รัสเซียต้องยุติสงครามยูเครน ก่อนเผชิญคว่ำบาตร ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวในวันนี้ว่า สหรัฐจะใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) ที่รุนแรงต่อรัสเซีย หากสงครามที่ดำเนินมากว่า 3 ปีระหว่างรัสเซียและยูเครนไม่ยุติลงภายในเวลา 50 วัน หรือภายในวันที่ 2 ก.ย. ทั้งนี้ มาตรการภาษีทุติยภูมิของปธน.ทรัมป์ถือเป็นมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลให้รัสเซียและประเทศที่ยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียเผชิญภาษีที่สูงถึง 100% ของมูลค่าการนำเข้า เท่ากับเป็นการเพิ่มต้นทุน 2 เท่าสำหรับประเทศที่ตกเป็นเป้าหมาย นอกจากนี้ ต่อคำถามเกี่ยวกับข้อเสนอของวุฒิสภาสหรัฐที่จะออกมาตรการคว่ำบาตรทุติยภูมิสูงถึง 500% นั้น ปธน.ทรัมป์ตอบว่า พรรครีพับลิกันกำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่ต่อร่างกฎหมายดังกล่าว พร้อมกับแก้ไขให้เขามีอำนาจในการยกเลิกหรือเลื่อนการบังคับใช้ หากมีความจำเป็น ปธน.ทรัมป์กล่าวให้สัมภาษณ์ดังกล่าวในห้องทำงานรูปไข่ที่ทำเนียบขาวในวันนี้ ขณะพบกับนายมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ปธน.ทรัมป์กล่าวโจมตีปธน.ปูตินว่า "เอาแต่พูด" ทั้งที่สหรัฐพยายามเจรจาเพื่อยุติสงครามที่รัสเซียเป็นฝ่ายเริ่มขึ้นด้วยการรุกรานยูเครน และแม้ว่าเขาไม่ต้องการใช้มาตรการคว่ำบาตรทุติยภูมิ แต่ก็ย้ำว่าสงครามต้องยุติให้ได้ "หวังว่าเราจะไม่ต้องทำ แต่ผมได้ยินแต่คำพูดลอย ๆ แล้วก็มีขีปนาวุธยิงถล่มเคียฟ ฆ่าคนไป 60 คน"   นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่า สหรัฐจะสนับสนุนอาวุธให้กับยูเครนผ่านทางนาโต โดยประเทศสมาชิกจะเป็นผู้จัดซื้อและส่งต่อไปยังยูเครน ภายใต้การประสานงานของนายแมทธิว วิตเทเกอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำนาโต ด้านนายรุตเตอกล่าวว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่ และชื่นชมปธน.ทรัมป์ที่ได้ตัดสินใจสนับสนุนยูเครน พร้อมกล่าวว่า การให้พันธมิตรยุโรปเป็นผู้จัดหาอาวุธนั้น เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง นายรุตเตอยังระบุว่า นโยบายนี้สอดคล้องกับการที่นาโตกำหนดให้สมาชิกทั้ง 32 ประเทศต้องใช้งบประมาณด้านกลาโหม 5% ของ GDP ขณะที่ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า อาวุธมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่นาโตซื้อไว้จะถูกส่งไปยังแนวรบโดยเร็ว และชื่นชมกองทัพยูเครนว่าใช้อาวุธสหรัฐอย่างกล้าหาญและมีประสิทธิภาพ "ตอนสงครามเริ่ม ยูเครนแทบไม่มีโอกาสเลย และถ้าไม่มีอาวุธที่ดีที่สุดจากเรา พวกเขาก็จะยังไม่มีโอกาส แต่พวกเขามีความกล้าหาญ เพราะต้องมีคนใช้มัน และพวกเขาก็สู้ด้วยความกล้าหาญอย่างมาก" ปธน.ทรัมป์ยังได้วิจารณ์รัสเซียที่โจมตีเป้าหมายพลเรือน ด้วยการใช้โดรนหลายร้อยลำต่อวัน และขีปนาวุธยิงถล่มเมือง ซึ่งเขามองว่าไม่มีเหตุผลทางการทหาร (อินโฟเควสท์)  
      "ทรัมป์" เชื่อมั่นปิดดีลข้อตกลงหยุดยิงฉนวนกาซาในเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ แสดงความเชื่อมั่นว่าข้อตกลงเพื่อยุติสงครามในฉนวนกาซาจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวว่า "สถานการณ์ในกาซากำลังไปได้ดี คุณสตีฟ วิตคอฟฟ์ ก็อยู่ที่นี่ และผมคิดว่าอีกไม่นานเราอาจจะมีอะไรให้พูดคุยกัน"  ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวเมื่อปลายเดือนมิ.ย.ว่า อิสราเอลยินยอมตกลงตามเงื่อนไขหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 60 วันแล้ว และขณะนี้การเจรจากำลังดำเนินอยู่ที่กาตาร์ เพื่อหาทางยุติสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่ดำเนินมานาน 21 เดือน   มีรายงานว่า ฮามาสต้องการให้สหรัฐรับรองว่า อิสราเอลจะยุติการโจมตีทางอากาศและปฏิบัติการภาคพื้นดินอย่างถาวร หลังจากคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปแล้วหลายหมื่นคน  (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์เตรียมส่งขีปนาวุธ "แพทริออต" หนุนยูเครนป้องกันตัวจากรัสเซีย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยกับนักข่าวเมื่อวานนี้ (13 ก.ค.) ว่า เขาจะส่งมอบขีปนาวุธป้องกันการโจมตีทางอากาศแพทริออต (Patriot) ให้แก่ยูเครน เพื่อปกป้องยูเครนจากรัสเซีย  ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังปธน.โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ได้เรียกร้องให้มีการสนับสนุนทางการทหารมากขึ้นเพื่อสกัดกั้นขีปนาวุธและโดรนที่ระดมโจมตียูเครนทุกวัน ขณะเดียวกันทรัมป์ก็เริ่มไม่พอใจปูตินมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้นำรัสเซียต่อต้านความพยายามของเขาในการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทรัมป์กล่าวว่า "เราจะส่งแพทริออตให้พวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างมาก เพราะปูตินชอบสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนเสมอ เขาพูดจาดีแต่ตอนเย็นกลับทิ้งระเบิดใส่ทุกคน แต่ก็มีปัญหานิดหน่อยตรงนี้แหละ ผมไม่ชอบใจเอาเสียเลย" อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าจะส่งมอบแพทริออตให้แก่ยูเครนเป็นจำนวนเท่าใด แต่ยืนยันว่าสหรัฐฯ จะได้รับเงินชดเชยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากยุโรป "โดยพื้นฐานแล้ว เราจะจัดส่งยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ซับซ้อนหลายชิ้นไปให้พวกเขา พวกเขาจะจ่ายเงินให้เรา 100% สำหรับยุทโธปกรณ์เหล่านั้น นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ" ทรัมป์กล่าว ทั้งนี้ ทรัมป์มีแผนจะพบปะกับมาร์ค รุตเตอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เพื่อหารือเกี่ยวกับยูเครนและประเด็นอื่น ๆ ในสัปดาห์นี้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 200 จุด แรงขายต่างชาติกดดันตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 200 จุด ปรับตัวลงเป็นวันทำการที่ 4 ติดต่อกัน โดยได้รับผลกระทบจากแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,253.46 ลบ 247.01 จุด หรือ 0.30% (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      รมว.คลัง รับเซ็นเสนอชื่อผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่แล้ว เตรียมเสนอครม.พรุ่งนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยล่าสุดว่า ได้เซ็นหนังสือเสนอชื่อบุคคลผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ เพื่อเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ค.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมยืนยันว่า สามารถทำงานร่วมได้กับทั้ง 2 รายชื่อบุคคลตามที่มีข่าวทางสื่อว่าจะเป็น 2 ตัวเก็งที่เข้ารอบ โดยจะไม่มีปัญหาการทำงานร่วมกันแต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสามารถทำงานร่วมกับ ธปท.ได้อย่างราบรื่น มีการประชุมและหารือกันอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยมีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น อนึ่ง สำหรับรายชื่อ 2 บุคคล ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติจากคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการฯ ธปท. ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้นำเสนอชื่อให้ รมว.คลัง พิจารณานั้น คาดว่าเป็น "นางรุ่ง มัลลิกะมาส" รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. และ "นายวิทัย รัตนากร" ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน (อินโฟเควสท์)
      เอกชนโอด! ภาษีสหรัฐฯ 36% สูงเกินรับไหว หวังต่อรองต่ำกว่าเวียดนาม-แนะลดภาษี 0%บางส่วน ภาคเอกชน วอนรัฐรับมือสงครามการค้า หวังอัตราต่ำกว่าเวียดนาม ชี้หากถูกเก็บ 36% สูงเกินไป พร้อมลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ในบางอุตสาหกรรม แต่ไม่จำเป็นต้องเปิดหมดหน้าตักแบบเวียดนามที่ลดเหลือ 0% ทุกรายการ วอนชะลอปรับขึ้นค่าแรง ห่วงวิกฤตแรงงานซ้ำเติม นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ "The Art of The (Re) Deal" ว่า จากที่ได้ทำธุรกิจกับสหรัฐฯ นั้น เห็นว่าความคิดของสหรัฐฯ คือ สหรัฐฯ ดูประเทศไทยมานานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ เป็นเหมือน Big sugar daddy มานาน จนทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปเยอะมาก ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ จึงทำให้เริ่มมีแนวคิดในการใช้มาตรการภาษีกับประเทศคู่ค้า โดยหวังว่าทุกประเทศจะรับฟัง ดังนั้น ถ้าไทยสามารถยืนยันเจตนากับสหรัฐฯ ได้ชัดเจนว่าจะไม่ใช่การเจรจาที่มี favor เหนือสหรัฐฯ ก็เชื่อว่าสหรัฐฯ ยังต้องการจะดีลกับไทยต่อ นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ ต้องการจะให้เกิดความเป็นธรรมทางการค้านั้น เราจำเป็นต้องกำหนดจุดยืนว่า การดีล 2 tier คือ ภาษี 20% และ 40% ที่เวียดนามบรรลุข้อตกลงไปแล้วนั้น เราจะเลือกแนวไหน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราต้องดีลกับสหรัฐฯ ให้ชัดเจนว่าเราไม่ prefer เรื่องการสวมสิทธิส่งออกสินค้า พร้อมมองว่า สหรัฐฯ มีธงอยู่แล้วว่าจะเอาคืนกับประเทศในอาเซียน ที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ มาโดยตลอด  ซึ่งสหรัฐฯ ต้องการจะเรียกสิ่งที่เคยสูญเสียไปกลับคืนมา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการที่สหรัฐฯ ประกาศใช้แนวทางภาษี Reciprocal tariff เพื่อเข้าสู่ Fair trade นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากที่ได้หารือร่วมกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ทุกคนมองว่าหากสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีจากสินค้าไทยที่ 36% ถือว่าเป็นอัตราที่สูงมาก ซึ่งจะทำให้บางกลุ่มอุตสาหกรรมไม่สามารถไปรอดได้ เนื่องจากบางอุตสาหกรรมมีการพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง เช่น การผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ ในขณะที่คู่แข่งของไทย เช่น มาเลเซีย ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราที่ 25% ซึ่งต่ำกว่าไทยมาก ดังนั้น สิ่งที่ไทยต้องทำเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับสินค้าอุตสาหกรรมของไทย คือ การสร้างรั้วสูง กำแพงหนา ประตูเหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองด้วย ไม่เช่นนั้น เมื่อใดที่สินค้าจากประเทศเหล่านี้เข้าไปสหรัฐฯ ไม่ได้ ก็จะไหลเข้ามาในไทย เหมือนในช่วง 7 ปีก่อน ที่สินค้าเหล็กจากจีนเข้ามาทุ่มตลาดในไทย และสร้างความเสียหายกับผู้ประกอบการในประเทศ ตามมาซึ่งการลดกำลังการผลิต และลดการจ้างงาน (อินโฟเควสท์)
      ประธานศาลรธน. ยังไม่เห็นคำร้องนายกฯ ขอขยายเวลาชี้แจงปมคลิปเสียง ยันตามกม.ทำได้ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ตุลาการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมในวันที่ 17 ก.ค. ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงกรณีถูก 36 สว.เข้าชื่อยื่นถอดถอนจากตำแหน่งปมคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชานั้น ตนยังไม่ทราบเรื่อง แต่การยื่นคำร้องขอขยายเวลาชี้แจงนั้นเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ซึ่งคู่กรณีสามารถยื่นคำร้องขอขยายเวลาได้อย่างน้อย 1 ครั้ง (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 22.18 จุดตอบรับความคาดหวังเจรจาการค้าไทย-สหรัฐ หุ้นไทยอยู่ในโซนไม่แพง SET ปิดวันนี้ที่ 1,143.31 จุด เพิ่มขึ้น 22.18 จุด (+1.98%) มูลค่าซื้อขาย 33,684.38 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยเด้งขึ้นรับความคาดหวังการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐ รวมทั้งตลาดหุ้นเอเชียที่ส่วนใหญ่เป็นบวก และ valuation ของหุ้นไทยราคาไม่แพง แต่วอลุ่มยังค่อนข้างเบาบาง แนวโน้มพรุ่งนี้ติดตามการเสนอชื่อผู้ว่า ธปท.คนใหม่ ให้กรอบแนวรับ 1,133 จุด และแนวต้าน 1,153 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,143.31 จุด เพิ่มขึ้น 22.18 จุด (+1.98%) มูลค่าซื้อขาย 33,684.38 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวขึ้นปิดสูงสุดของวันที่ 1,143.31 จุด หลังจากทำระดับต่ำสุด 1,121.64 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 356 หลักทรัพย์ ลดลง 111 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 178 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 74,646 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 74,646 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 16,053 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 587 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 822 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.42% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 822 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 822 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าที่นำเข้าจากแคนาดา 35% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.เป็นต้นไป นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกำลังพิจารณาเก็บภาษีแบบหว่านแห (blanket tariff) กับคู่ค้าส่วนใหญ่ในอัตรา 15%-20% ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีแบบหว่านแหอยู่ที่ 10% ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนประจำไตรมาส 2/2568 ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.39 แข็งค่าสวนภูมิภาคตามราคาทอง คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.50 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.39 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.38 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวัน เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.37-32.46 บาท/ดอลลาร์ โดยวันนี้เงินบาทแข็งค่าสวนทางสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค ในขณะที่สกุลเงินอื่นเคลื่อนไหวอ่อนค่า เนื่องจากยังมีความกังวลกับสถานการณ์เจรจาการค้าจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ  "วันนี้สกุลเงินภูมิภาคอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์ เพราะยังกังวลเรื่องภาษีทรัมป์ แต่บาทกลับแข็งค่าสวนทางภูมิภาค ซึ่งมาจากปัจจัยเรื่องราคาทองคำตลาดโลกด้วย" นักบริหารเงิน ระบุ  คืนนี้ สหรัฐฯ ยังไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยตลาดรอดูการรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.ในช่วงคืนวันพุธ รวมทั้งในช่วงนี้ ยังต้องติดตามการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าอื่นเพิ่มเติม  นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
       
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      ราคาบ้านเดือนมิ.ย. จีน     
      ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 จีน     
      การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. จีน     
      ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. จีน     
      การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนมิ.ย. จีน     
      อัตราว่างงานเดือนมิ.ย. จีน     
      การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. อียู                          
      ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนก.ค.จากสถาบัน ZEW อียู                          
      ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. สหรัฐฯ                    
      ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนก.ค.จากเฟดนิวยอร์ก สหรัฐฯ                    

       

      แชร์เรื่องนี้

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

      News Demo
      24
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      23
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ
      News Demo
      22
      กันยายน
      2568
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      อ่านต่อ

      Shortcut Menu

      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
        โครงสร้างพื้นฐาน
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนผลงานดี
      • ตารางจ่ายเงินปันผล
      • ข่าว/บทวิเคราะห์
      • กลยุทธ์การลงทุน
      • กำหนดการและแบบฟอร์ม
      • โปรโมชั่น
      • ปฏิทินกองทุน
      • ภาพกิจกรรม
      • ประกาศราคากลาง
      • AIMC Category
        Performance Report
      • ถาม-ตอบ
      • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
      • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
      • การตั้งค่าคุกกี้
      • สมัครรับข่าวสาร
      • ติดต่อเรา
      • ร่วมงานกับเรา
      • ประกาศความเป็นส่วนตัว
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

      KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

      อีเมล: [email protected]

      เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

      • พันธมิตรธุรกิจ
      • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
      • แผนผังเว็บไซต์

      การใช้และการจัดการคุกกี้

      เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

       การใช้และการจัดการคุกกี้

      เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

      ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


      การกำหนดลักษณะความยินยอม

      คุกกี้ที่จำเป็น

      คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

      คุกกี้วิเคราะห์

      เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง