• X
  • Search
  • TH EN
  • Menu Guide
    • NAV
    • Fund Search
    • Highlighted Funds
    • Top Performance Fund
    • Dividend
    • Fund Holidays
    • News/Research
    • Asset Allocation Strategy
    • Documents and Forms
    • Promotions
    • Fund Information
    • Compare Funds
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • HOME
  • ABOUT KTAM
  • MUTUAL FUNDS
  • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • FIF / ETF
  • PROVIDENT FUNDS
  • PRIVATE FUNDS
  • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu Guide
    • NAV
    • Fund Search
    • Highlighted Funds
    • Top Performance Fund
    • Dividend
    • Fund Holidays
    • News/Research
    • Asset Allocation Strategy
    • Documents and Forms
    • Promotions
    • Fund Information
    • Compare Funds
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • HOME
  • ABOUT KTAM
  • MUTUAL FUNDS
  • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • FIF / ETF
  • PROVIDENT FUNDS
  • PRIVATE FUNDS
  • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
  1. Home
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
สหรัฐเผยยอดค้าปลีกร่วงลง 0.9% ในเดือนพ.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกร่วงลง 0.9% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.6% หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนเม.ย. นักวิเคราะห์ระบุว่าการที่ยอดค้าปลีกลดลงมากกว่าคาดในเดือนพ.ค. มีสาเหตุจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 5.0% ในเดือนเม.ย. หากไม่รวมยอดขายรถยนต์ ยอดค้าปลีกลดลง 0.3% ในเดือนพ.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.1% (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านต่ำกว่าคาดในเดือนมิ.ย. สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 2 จุด สู่ระดับ 32 ในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 36 ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองทั่วไปที่เป็นลบ (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยดัชนีราคานำเข้าทรงตัวในเดือนพ.ค. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าทรงตัวในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนเม.ย.  เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนเม.ย. นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกลดลง 0.9% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 0.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.9% ในเดือนเม.ย. (อินโฟเควสท์)
เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 0.2% ในเดือนพ.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐลดลง 0.2% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าทรงตัว หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ค. ทั้งนี้ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค การผลิตในภาคเหมืองแร่เพิ่มขึ้น 0.1% ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคลดลง 2.9% ส่วนการผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 0.5% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี การผลิตของภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค. (อินโฟเควสท์)
รีพับลิกันแตกคอ! สภาสูงแก้ร่างกม.ภาษีทรัมป์ สวนทางสภาล่าง การเมืองสหรัฐฯ กำลังร้อนระอุ เมื่อร่างกฎหมายลดภาษีฉบับเรือธงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลายเป็นสมรภูมิที่พรรครีพับลิกันต้องรบกันเอง หลังจากวุฒิสภาได้เสนอแก้กฎหมายในทิศทางที่สวนทางกับสภาผู้แทนราษฎร สร้างรอยร้าวภายในพรรคและอาจทำให้เป้าหมายการผ่านกฎหมายก่อนเส้นตายที่ตั้งไว้เองในวันที่ 4 ก.ค.นี้ต้องสั่นคลอน ชนวนความขัดแย้งสำคัญอยู่ที่การปรับแก้รายละเอียดหลายประการ โดยเฉพาะการที่วุฒิสภาเสนอกดเพดานการลดหย่อนภาษีท้องถิ่นลงมาเหลือเพียง 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าฉบับของสภาล่างที่เคยอนุมัติไว้ที่ 40,000 ดอลลาร์อย่างมาก ประเด็นนี้สร้างความไม่พอใจให้สส.รีพับลิกันทันที เพราะกระทบฐานเสียงของตัวเอง นอกจากนี้ วุฒิสภายังจำกัดวงการลดหย่อนภาษีสำหรับเงินทิปและค่าล่วงเวลาให้แคบลง สวนทางกับฉบับของสภาล่างที่อนุญาตให้หักลดหย่อนรายได้จากทิปสำหรับผู้มีรายได้สูงถึง 160,000 ดอลลาร์ต่อปี ความขัดแย้งไม่ได้มีแค่ระหว่างรีพับลิกันในสองสภา แต่ภายในวุฒิสภาเองก็มีเสียงที่แตกออกเป็นสองค่ายใหญ่ ค่ายแรกคือกลุ่มรัดเข็มขัด นำโดยสว. รอน จอห์นสัน ที่มองว่าร่างกฎหมายนี้ยังไม่จริงจังพอที่จะแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศ ขณะที่อีกค่ายคือกลุ่มปกป้องสวัสดิการสังคม ซึ่งกังวลต่อแผนการจำกัดเพดานภาษีในระบบประกันสุขภาพเมดิเคด (Medicaid) ซึ่งสว. จอช ฮอว์ลีย์ เตือนว่า "นี่คือระบบใหม่ที่จะตัดงบโรงพยาบาลในชนบทอย่างสิ้นเชิง"  สถานการณ์นี้เปรียบเหมือนการเดินบนเส้นด้ายของพรรครีพับลิกันที่มีเสียงข้างมากปริ่มน้ำในทั้งสองสภา และไม่สามารถเสียเสียงโหวตจากฝ่ายเดียวกันได้มากนัก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันมหาศาล เพราะร่างกฎหมายนี้ยังพ่วงการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหากไม่ผ่านสภาภายในฤดูร้อนนี้ สหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ (อินโฟเควสท์)
ผู้พิพากษาสหรัฐฯ ชี้คำสั่งทรัมป์ตัดงบ NIH ผิดกฎหมาย เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.) ผู้พิพากษาศาลกลางในเมืองบอสตันของสหรัฐฯ ได้ตัดสินว่า การที่รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังกล่าวหาว่ารัฐบาลมีการเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อย สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลัง NIH ได้ยกเลิกเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยไปแล้วกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้เหตุผลว่าเกี่ยวข้องกับโครงการริเริ่มด้านความหลากหลาย ความเสมอภาค และการไม่แบ่งแยก (DEI) แต่ผู้พิพากษา วิลเลียม ยัง ได้แถลงในการพิจารณาคดีโดยไม่มีคณะลูกขุนว่า การกระทำดังกล่าวละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลาง จึงถือว่า "โมฆะและผิดกฎหมาย" ทั้งนี้ ผู้พิพากษา วิลเลียม ยัง เป็นผู้พิพากษาศาลกลางที่ได้รับการเสนอชื่อโดยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน จากพรรครีพับลิกัน โดยกล่าวว่า เขาจะสั่งให้คืนเงินทุนให้กับองค์กรและรัฐที่ได้ยื่นฟ้องร้องจากการถูกยกเลิกทุนดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้พิพากษารายนี้ยังได้วิพากษ์วิจารณ์การยกเลิกเงินทุนสำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชนกลุ่มน้อย โดยระบุว่า "ในชีวิตการทำงานของผม ไม่เคยเห็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติที่ชัดเจนโจ่งแจ้งถึงขนาดนี้มาก่อน" และ "การเลือกปฏิบัติใด ๆ โดยรัฐบาลของเรานั้นเป็นสิ่งผิดอย่างร้ายแรง ซึ่งศาลจำเป็นต้องมีคำสั่งระงับ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจะทำมันเอง"  NIH เป็นองค์กรวิจัยชีวการแพทย์ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยประมาณ 60,000 ทุนแก่มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลเกือบ 3,000 แห่งในแต่ละปี และที่ผ่านมาก็ตกเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลภายใต้การบริหารของทรัมป์ในการลดงบประมาณและค่าใช้จ่าย (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ ส่งชาวเม็กซิกันมากกว่า 56,200 คนกลับประเทศแล้วในปีนี้ รัฐบาลเม็กซิโกเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (16 มิ.ย.) ว่า ชาวเม็กซิกันรวม 56,298 คนได้ถูกส่งตัวกลับจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมานี้ โดยมี 12,183 คนเดินทางด้วยเครื่องบิน อาร์ตูโร เมดินา ปลัดกระทรวงสิทธิมนุษยชน ประชากร และการย้ายถิ่นฐาน กล่าวว่า โครงการของรัฐบาลเม็กซิโกที่เรียกว่า "Mexico Embraces You" ซึ่งเปิดตัวขึ้นเพื่อรับมือกับการปราบปรามการย้ายถิ่นฐานของสหรัฐฯ ได้ส่งคนสัญชาติเม็กซิโกจำนวน 24,082 คนเข้าศูนย์ดูแลตามชายแดนแล้ว  จนถึงขณะนี้ ได้มีการแจกจ่ายอาหารแก่ผู้ที่เดินทางกลับแล้วกว่า 92,246 ชุด พร้อมทั้งบริการทางการแพทย์ 9,786 ราย และบริการทางจิตวิทยา 4,019 ราย นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับคำแนะนำทางกฎหมายและการสนับสนุนสำหรับเหยื่อของความรุนแรงทางเพศอีกด้วย เมดินาเสริมว่า ประชาชนมากกว่า 19,282 คนได้รับบัตรสวัสดิการเพื่อนร่วมชาติ หรือ Paisano Welfare Card ซึ่งมอบเงิน 2,000 เปโซ (105 ดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังชุมชนบ้านเกิดของพวกเขา และพลเมืองร่วมชาติของเราได้รับการรวมเข้าในโครงการสวัสดิการความเป็นอยู่ที่ดี หรือ เบียเนสตา (Bienestar) นอกจากนี้ พลเมืองที่เดินทางกลับประเทศได้รับความช่วยเหลือในการขอบัตรประจำตัวและสูติบัตรด้วย  เจ้าหน้าที่ยังระบุว่า มีผู้ได้รับโอกาสในการทำงานเพิ่มขึ้น 2,495 คน ด้วยการสนับสนุนจากภาคเอกชน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 299.29 จุด วิตกตะวันออกกลางตึงเครียด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (17 มิ.ย.) ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง เนื่องจากการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้ล่วงเข้าสู่วันที่ 5 และมีรายงานว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เคลื่อนฝูงบินขับไล่เข้าไปยังตะวันออกกลาง ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,215.80 จุด ลดลง 299.29 จุด หรือ -0.70%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,982.72 จุด ลดลง 50.39 จุด หรือ -0.84% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,521.09 จุด ลดลง 180.12 จุด หรือ -0.91% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $3.07 หวั่นศึกอิสราเอล-อิหร่านกระทบอุปทานน้ำมัน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันอังคาร (17 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงนั้น จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 3.07 ดอลลาร์ หรือ 4.28% ปิดที่ 74.84 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 3.22 ดอลลาร์ หรือ 4.4% ปิดที่ 76.45 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า นักลงทุนจับตาผลประชุมเฟด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (17 มิ.ย.) หลังจากนักลงทุนประเมินข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีก ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน รวมทั้งผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.84% แตะที่ระดับ 98.821 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $10.40 เหตุดอลล์แข็งฉุดตลาด-จับตาตะวันออกกลาง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (17 มิ.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยฉุดตลาด ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน รวมทั้งผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 10.40 ดอลลาร์ หรือ 0.30% ปิดที่ 3,406.90 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ร่วง กังวลเศรษฐกิจถดถอย หลังยอดค้าปลีกซบ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลงในวันนี้ หลังการเปิดเผยยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าคาด ทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ณ เวลา 21.40 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.434% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.936% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ZEW เผยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนมิ.ย. พุ่งแรงสวนทางคาดการณ์ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ZEW ของเยอรมนีได้เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (Economic Sentiment Index) ประจำเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นมาตรวัดสำคัญที่สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน รายงานระบุว่า ดัชนีพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 47.5 จุด ทะยานขึ้นจากระดับ 25.2 จุดในเดือนพ.ค. และยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 35.0 จุด อาคิม แวมบาค ประธานสถาบัน ZEW กล่าวว่า ความเชื่อมั่นกำลังฟื้นตัวขึ้น โดยปัจจัยหนุนสำคัญมาจากมาตรการทางการคลังของรัฐบาลเยอรมนี ประกอบกับการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจเยอรมนีหลุดพ้นจากภาวะซบเซาได้ อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ -72.0 จุด จาก -82.0 จุดในเดือนก่อนหน้า และดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ -75.0 จุด แต่ก็ยังอยู่ในแดนลบอย่างชัดเจน (อินโฟเควสท์)
อังกฤษ-สหรัฐฯ เห็นพ้องผ่อนปรนภาษี เดินหน้าข้อตกลงสินค้าเกษตร-ยานยนต์ ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ได้รับการเปิดเผยระหว่างการประชุมกลุ่ม G7 ที่เมืองคานานาสกิส ประเทศแคนาดา โดยนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ร่วมกันลงนามในเอกสารที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการลดภาษีสินค้าหลักและการเพิ่มโควตาการค้าระหว่างสองประเทศ หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการลดภาษีนำเข้ารถยนต์อังกฤษจากเดิม 27.5% เหลือ 10% สำหรับโควตาปีละ 100,000 คัน และการยกเว้นภาษีนำเข้าระดับฐาน 10% ต่อภาคการบินพลเรือนของสหราชอาณาจักร ซึ่งถือเป็นการผ่อนปรนที่สำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้อย่างชัดเจนคือภาษีนำเข้าเหล็ก โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ยอมให้สหราชอาณาจักรส่งออกภายใต้โควตาที่จะกำหนดในภายหลัง ขณะที่โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ จะเป็นผู้ตัดสินใจปริมาณเหล็กที่สามารถเข้าสู่สหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษี 25% นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงด้านสินค้าเกษตร โดยทั้งสองประเทศจะมีโควตานำเข้าเนื้อวัว 13,000 ตันเท่ากัน แต่สหราชอาณาจักรยืนยันว่าจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพอาหารอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานของประเทศก่อนนำเข้า ประธานาธิบดีทรัมป์ถือว่าข้อตกลงนี้เป็นชัยชนะในนโยบายสงครามภาษี โดยใช้เป็นตัวอย่างว่า แนวทางกดดันด้านภาษีนำเข้าส่งผลให้ประเทศคู่ค้าอย่างอังกฤษยอมเปิดตลาดในบางจุด ขณะที่รัฐบาลอังกฤษก็สามารถปกป้องอุตสาหกรรมหลักบางส่วนได้ก่อนที่ประเทศอื่นจะเข้าสู่โต๊ะเจรจากับสหรัฐฯ การบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นดีลการค้าฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามนับตั้งแต่เปิดฉากนโยบายภาษีต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีกรอบข้อตกลงเบื้องต้นกับจีน แต่การเจรจากับประเทศอื่นยังล่าช้า แม้มีความสำเร็จในบางด้าน แต่การที่ยังไม่สามารถลดภาษีเหล็กตามเป้าหมายเดิมจาก 25% ลงเหลือ 0% ได้ในทันที ก็สะท้อนถึงความท้าทายที่ยังต้องติดตามต่อไป (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ วิตกสถานการณ์ตึงเครียดในตอ.กลาง ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (17 มิ.ย.) ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 5 ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลดลง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 542.26 จุด ลดลง 4.65 จุด หรือ -0.85% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,683.73 จุด ลดลง 58.51 จุด หรือ -0.76%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,434.65 จุด ลดลง 264.47 จุด หรือ -1.12% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,834.03 จุด ลดลง 41.19 จุด หรือ -0.46% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 41.19 จุด วิตกความตึงเครียดอิหร่าน-อิสราเอล ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันอังคาร (17 มิ.ย.) จากแรงเทขายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอล รวมถึงการรอคอยผลการประชุมของธนาคารกลางหลายแห่งในสัปดาห์นี้ รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,834.03 จุด ลดลง 41.19 จุด หรือ -0.46% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
BOJ คงดอกเบี้ยนโยบายตามคาด, ชะลอความเร็วในการลดซื้อพันบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ในการประชุมสองวันที่เสร็จสิ้นในวันนี้ (17 มิ.ย.) ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด นอกจากนี้ BOJ ประกาศว่าจะชะลอความเร็วในการลดซื้อพันธบัตรรัฐบาลตั้งแต่เดือนเม.ย. 2569 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ จะดำเนินการปรับนโยบายการเงินสู่ระดับปกติอย่างรอบคอบระมัดระวัง สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ภายใต้แผนล่าสุดนี้ BOJ จะลดการซื้อพันธบัตรลง 2 แสนล้านเยน (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่อไตรมาส จากปัจจุบันที่ 4 แสนล้านเยนต่อไตรมาส ซึ่งจะทำให้ยอดรวมของการซื้อพันธบัตรลดลงสู่ระดับประมาณ 2 ล้านล้านเยนในช่วงต้นปี 2570 ทั้งนี้ เนื่องจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่มุ่งเน้นการส่งออกตกอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน คณะกรรมการ BOJ จึงตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งเป็นการคงดอกเบี้ยในการประชุมสามครั้งติดต่อกัน การที่ BOJ ตัดสินใจชะลอความเร็วในการลดซื้อพันธบัตร เกิดขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวพิเศษพุ่งสูงขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่น หลังจากสมาชิกสภานิติบัญญัติเรียกร้องให้ปรับลดอัตราภาษีการบริโภค หลังจากที่ BOJ ยุติการดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินแบบพิเศษเพื่อต่อสู้กับเงินฝืดเป็นเวลานานนับทศวรรษ ซึ่งรวมถึงการซื้อสินทรัพย์จำนวนมาก ในที่สุด คณะกรรมการ BOJ ก็ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. 2567 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ เห็นพ้องเดินหน้าเจรจาการค้าต่อไป ยังไร้ข้อตกลงลดภาษีนำเข้า นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่น และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ มีโอกาสพบกันเป็นเวลา 30 นาที ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G7 ที่รีสอร์ตคานานาสคิสบนเทือกเขาร็อกกีในแคนาดา โดยถือเป็นการพบกันตัวต่อตัวครั้งที่สองของทั้งคู่ ซึ่งญี่ปุ่นหวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนในการผลักดันข้อตกลงการค้าระหว่างสองประเทศ แต่การหารือกันในวันจันทร์ (16 มิ.ย.) ยังไม่สามารถนำไปสู่การลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น อิชิบะระบุว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นไม่ตรงกันในบางประเด็น แม้ได้เจรจากันจนถึงนาทีสุดท้าย โดยเขาปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าเป็นประเด็นใดบ้าง ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของอิชิบะได้เปิดการเจรจากับสหรัฐฯ ไปแล้วถึง 6 รอบ นำโดยเรียวเซ อากาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาภาษีของญี่ปุ่น ซึ่งได้หารือกับ โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ และ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ โดยการเจรจารอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนอิชิบะเดินทางไปแคนาดา   ผู้นำญี่ปุ่นต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นในอัตรา 25% และภาษีตอบโต้สินค้าอื่น ๆ อีก 24% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการระงับใช้ชั่วคราวถึงวันที่ 9 ก.ค. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางรายเตือนว่าหากภาษีเหล่านี้มีผลบังคับใช้ อาจทำให้จีดีพีของญี่ปุ่นหดตัวถึง 1 จุดเปอร์เซ็นต์ ข้อมูลจากศูนย์พาณิชยกรรมระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (UN International Trade Centre) ระบุว่า มาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์อาจกระทบการส่งออกรถยนต์ของญี่ปุ่นมูลค่าสูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น โตโยต้าและนิสสัน รวมถึงผู้ผลิตรายเล็กที่เปราะบางต่อภาษีอย่างมาสด้า มีสัดส่วนการส่งออกรวมกันประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมดของญี่ปุ่น อิชิบะกล่าวว่า ภาคยานยนต์เป็นหนึ่งในผลประโยชน์แห่งชาติที่ญี่ปุ่นจำเป็นต้องปกป้อง และยืนยันว่ารัฐบาลจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาผลประโยชน์ดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดแตะไฮรอบ 4 เดือน ขานรับสัญญาณบวกตะวันออกกลาง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนในวันนี้ (17 มิ.ย.) หลังจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง สวนทางกับความกังวลเรื่องการเจรจาการค้าที่ยังคงมีอยู่  สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 38,536.74 จุด เพิ่มขึ้น 225.41 จุด หรือ +0.59% (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 1.32 จุด กังวลการค้า-ตะวันออกกลางตึงเครียด ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (17 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าโลกและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,387.40 จุด ลดลง 1.32 จุด หรือ -0.04% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 80.69 จุด จับตาสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (17 มิ.ย.) โดยนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่อิสราเอลและอิหร่านยังคงโจมตีตอบโต้กันเป็นวันที่ 5 ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 23,980.30 จุด ลดลง 80.69 จุด หรือ -0.34% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
IEA ชี้ ดีมานด์น้ำมันโลกจ่อพีกปี 72 สวนทางมุมมอง OPEC องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ซึ่งเปรียบเสมือนที่ปรึกษาของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม ได้ออกมาตอกย้ำการคาดการณ์เดิมในวันนี้ (17 มิ.ย.) ว่า ความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะเติบโตจนถึงจุดสูงสุด (Peak) ภายในปี 2572 ที่ 105.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก่อนจะเริ่มลดลงเล็กน้อยในปี 2573 อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้กลับสวนทางกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก (OPEC) ที่เชื่อมั่นว่าความต้องการใช้น้ำมันจะยังคงเติบโตต่อไปอีกนาน และยังไม่ได้คาดการณ์จุดสูงสุดแต่อย่างใด IEA วิเคราะห์ว่า ความต้องการใช้น้ำมันของจีนที่เคยเป็นผู้นำมานานหลายทศวรรษเริ่มแผ่วลง และกำลังจะแตะจุดสูงสุดของตัวเองก่อนใครในปี 2570 สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ทั้งการเติบโตแบบก้าวกระโดดของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการขยายเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่เข้ามาแทนที่การเดินทางแบบเดิม   ในทางกลับกัน สหรัฐอเมริกา ที่เคยถูกมองว่าจะลดการใช้น้ำมันลงอย่างรวดเร็ว กลับมีแนวโน้มบริโภคน้ำมันสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ปัจจัยหนุนมาจากราคาน้ำมันเบนซินที่ถูกลง และที่สำคัญคือ กระแสรถยนต์ EV เติบโตช้ากว่าคาด โดย IEA ได้ปรับลดคาดการณ์สัดส่วนยอดขายรถ EV ในสหรัฐฯ สำหรับปี 2573 จากเดิม 55% เหลือเพียง 20% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด แม้ดีมานด์จะใกล้ถึงเพดาน แต่ฝั่งผู้ผลิตกลับไม่มีทีท่าว่าจะชะลอการผลิต โดย IEA คาดการณ์ว่ากำลังการผลิตน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนพุ่งไปแตะระดับ 114.7 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2573 ซึ่งจะทำให้อุปทานล้นเกินความต้องการอยู่มาก   อย่างไรก็ตาม ฟาตีฮ์ บิรอล ผู้อำนวยการบริหารของ IEA ย้ำว่า "แม้ปัจจัยพื้นฐานชี้ว่าตลาดจะมีอุปทานเพียงพอในอีกหลายปีข้างหน้า แต่สถานการณ์ล่าสุด (ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง) ก็ตอกย้ำให้เห็นถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญต่อความมั่นคงของอุปทานน้ำมัน" (อินโฟเควสท์)
ผู้นำ G7 ถกประเด็นการค้าโลก ท่ามกลางแรงตึงเครียดจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ บรรดาผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 ได้เปิดฉากการประชุม 2 วันในแคนาดาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 มิ.ย.) โดยหารือกันในประเด็นการค้าโลก ท่ามกลางความพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่เกิดจากสงครามภาษีและแนวทางการทูตแบบฝ่ายเดียวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า แนวทางการทูตแบบเน้นผลประโยชน์ของทรัมป์ และมาตรการการค้าที่มีลักษณะเผชิญหน้าซึ่งพุ่งเป้าไปที่การเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศสมาชิก G7 ด้วยนั้น ได้กลายเป็นบททดสอบต่อความสามารถของกลุ่ม G7 ในการประสานนโยบายเศรษฐกิจโลก และจัดการกับภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ระหว่างการประชุม มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาและเจ้าภาพการประชุม เตือนว่าขณะนี้โลกกำลังเผชิญภาวะแตกแยกและอันตรายยิ่งขึ้น พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีขึ้น คาร์นีย์กล่าวว่า "แม้เราจะไม่เห็นพ้องกันในทุกประเด็น แต่เมื่อใดที่เราร่วมมือกัน เราจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับประชาชนของเราและต่อโลกใบนี้ และนำไปสู่ยุคใหม่แห่งความรุ่งเรือง" อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์แสดงจุดยืนชัดว่าเขาไม่เห็นพ้องกับชาติพันธมิตรในหลายเรื่อง โดยหนึ่งในประเด็นที่เขาเน้นย้ำคือการขับรัสเซียออกจากกลุ่ม G7 เมื่อปี 2557 หลังจากรัสเซียเข้ายึดและผนวกรวมไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ซึ่งทรัมป์ชี้ว่าการขับรัสเซียออกจากกลุ่มถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ นอกจากนี้ ขณะให้สัมภาษณ์ร่วมกับคาร์นีย์ก่อนการประชุมทวิภาคี ทรัมป์ยังแสดงท่าทีเปิดกว้างต่อการนำจีนเข้าร่วมกลุ่ม G7 หลังผู้สื่อข่าวตั้งคำถามเชิงสมมติ โดยทรัมป์กล่าวว่า "ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว" (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้ส่งออกรถยนต์ลดลง 4.4% ในเดือนพ.ค. จากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ เปิดเผยในวันนี้ (17 มิ.ย.) ว่า ยอดส่งออกรถยนต์ของเกาหลีใต้ลดลง 4.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 6.20 พันล้านดอลลาร์ และลดลงต่อเนื่องจากเดือนเม.ย. ซึ่งลดลง 3.8% สาเหตุที่ทำให้ยอดส่งออกรถยนต์ของเกาหลีใต้ลดลงในเดือนพ.ค.นั้น มาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์รถยนต์เกาหลีใต้ในสหรัฐฯ ชะลอตัวลง ประกอบกับอุปสงค์รถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอ่อนแอลง สำหรับยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ลดลง 27.1% แตะที่ระดับ 2.52 พันล้านดอลลาร์ แต่ยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหภาพยุโรป (EU) และเอเชียปรับตัวขึ้นในอัตราเลขสองหลัก ส่วนยอดส่งออกรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดลง 0.6% แตะที่ระดับ 2.17 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว  จำนวนรถยนต์ที่ส่งออกในเดือนพ.ค.อยู่ที่ 247,577 คัน ลดลง 3.1% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์แตะ 1.66 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 9.4% รายงานของกระทรวงฯ ยังระบุด้วยว่า จำนวนรถยนต์ที่ผลิตในโรงงานภายในประเทศ ลดลง 3.7% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 358,969 คันในเดือนพ.ค. ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ที่ผลิตในประเทศและรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ อยู่ที่ 141,865 คันในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายปี (อินโฟเควสท์)
เวียดนามขยายเวลาลด VAT เหลือ 8% ถึงสิ้นปีหน้า หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ เวียดนามเริ่มใช้มาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 10% เหลือ 8% มาตั้งแต่ต้นปี 2565 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังผ่านวิกฤตโควิด-19 และมีการขยายระยะเวลามาอย่างต่อเนื่อง สำนักข่าวเวียดนามรายงานว่า ในวันนี้ (17 มิ.ย.) สมัชชาแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นองค์กรนิติบัญญัติของเวียดนาม ได้ลงมติขยายมาตรการลดภาษีดังกล่าวออกไปอีกจนถึงสิ้นปีหน้า โดยครอบคลุมสินค้าและบริการเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นบริการด้านโทรคมนาคม การเงิน ประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ การซื้อขายหลักทรัพย์ และสินค้ากลุ่มโลหะ ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า การขยายเวลาลดภาษีจะทำให้รัฐบาลเวียดนามสูญเสียรายได้ประมาณ 121.74 ล้านล้านดอง หรือราว 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่เดือนก.ค. 2568 ไปจนถึงปลายปี 2569  ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เคยแสดงความเห็นเมื่อต้นปีว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มในหลายประเทศทั่วโลกเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับภาวะขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง (อินโฟเควสท์)
รัฐมนตรีต่างประเทศ 21 ชาติออกแถลงการณ์ขอคืนความสงบตะวันออกกลาง ประเทศอาหรับ อิสลาม และแอฟริกัน 21 ประเทศออกแถลงการณ์ร่วมกันเมื่อวันจันทร์ (16 มิ.ย.) โดยเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีอิหร่าน หยุดยิงอย่างครอบคลุม และฟื้นฟูความสงบในภูมิภาค แถลงการณ์ร่วมที่ออกโดยรัฐมนตรีต่างประเทศของอียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ ปากีสถาน ตุรกี ชาด และอีกหลายประเทศ แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อ "การยกระดับที่อันตราย" ของการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่านตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา และเตือนว่าการโจมตีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพและเสถียรภาพทั่วทั้งภูมิภาคอย่างร้ายแรง บรรดารัฐมนตรีประณามอิสราเอลว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเคารพอำนาจอธิปไตยของรัฐและบูรณภาพแห่งดินแดน การอยู่ร่วมกันโดยสันติ และแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี นอกจากนี้ บรรดารัฐมนตรีได้ย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดตั้งเขตตะวันออกกลางที่ปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างสูงอื่น ๆ และเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ทั้งหมดในภูมิภาคเข้าร่วมสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้กลับเข้าสู่การเจรจาในฐานะหนทางเดียวที่เป็นไปได้ในการบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน  ตั้งแต่ช่วงเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 มิ.ย.) อิสราเอลได้โจมตีทางอากาศในกรุงเตหะรานและพื้นที่อื่น ๆ ทั่วอิหร่าน ส่งผลให้ผู้บัญชาการทหารระดับสูง นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ และพลเรือนเสียชีวิตหลายคน ขณะเดียวกัน อิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีเป้าหมายต่าง ๆ ในอิสราเอลด้วยขีปนาวุธและโดรนหลายครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและเกิดความเสียหายอย่างมาก (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 200 จุด กังวลตอ.กลางตึงเครียด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 200 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้ย่างเข้าสู่วันที่ 5 ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,583.30 ลบ 212.85 จุด หรือ 0.26% (อินโฟเควสท์)
ไทย
บอร์ดค่าจ้างเคาะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ กทม.เป็น 400 บาท พร้อมกลุ่มท่องเที่ยวบริการทั่วประเทศ มีผล 1 ก.ค.68 คณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) มีมติ 2 ใน 3 จากทั้งส่วนของนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ให้ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาทในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมกับขึ้นค่าแรง 400 บาทในบางกลุ่มอาชีพทั่วประเทศ คือ กิจการโรงแรมทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป หรือมีห้องอาหาร และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ อาทิ คาราโอเกะ คอกเทลเล้าจ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.68 เป็นต้นไป ซึ่งจะมีแรงงานที่จะได้รับประโยชน์จากการขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ประมาณ 7 แสนคน โดยจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การขึ้นค่าแรง 400 บาทในครั้งนี้ให้กับภาคท่องเที่ยวและบริการก่อน เพราะนายจ้างได้รับผลกระทบน้อยสุด และปรับให้สอดคล้องกับค่าครองชีพของแรงงาน อย่างไรก็ตาม ได้รับคำแนะนำจากหลายๆ ฝ่ายเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ สำหรับมาตรการลดผลกระทบจากนายจ้างนั้น กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับอีก 6 ธนาคารเปิดสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท สำหรับให้สถานประกอบการกู้ยืมเพื่อจะช่วยเยียวยาและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในระดับหนึ่ง และกระทรวงแรงงานจะเสนอผลสรุปรายงานต่อกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าไปดำเนินการช่วยเหลือเยียวยา แก้ปัญหาผลกระทบที่อาจจะเกิดกับนายจ้างในการขึ้นค่าแรงรอบนี้ นอกจากนี้ ในการประชุมยังมีการรายงานถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล ซึ่งตอนนี้มีแรงงานไทยกว่า 40,000 คน และแรงงานทุกคนปลอดภัยดี ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคก่อสร้าง และกระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพไทยได้ประสานงานเรื่องนี้กันตลอดเวลา รวมทั้งกระทรวงแรงงานได้มีศูนย์ช่วยเหลือประสานงานติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในรัฐอิสราเอล และประสานกับทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงานทุก 2 ชั่วโมง ในส่วนของการทำงานของแรงงานกัมพูชาที่มาทำงานในประเทศไทย นั้น กระทรวงแรงงานไม่มีนโยบายส่งแรงงานกลับในขณะนี้ และได้รับแจ้งจากฝ่ายนายจ้างว่าแรงงานกัมพูชายังคงต้องการทำงานในประเทศไทยต่อไป (อินโฟเควสท์)
คลังกางข้อเสนอถึงแบงก์ชาติ ดึงเงินเฟ้อเข้ากรอบ-ดูแลค่าเงิน-เพิ่มสภาพคล่อง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 (ก.ค.-ธ.ค.67) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลัง ได้ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อรายงานดังกล่าว ใน 4 ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1. ให้มีการสอดประสานกันระหว่างนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังให้มากขึ้น โดยในฐานะที่กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องมาตรการทางการคลัง และ ธปท. ดูแลมาตรการทางการเงิน 2. ให้ดูแลเรื่องอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย ตามที่ได้มีการหารือกันในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำจนถึงติดลบ 3. ให้พิจารณาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 4. ให้พิจารณาสินเชื่อ และสภาพคล่อง เพื่อให้มีการปล่อยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันจะเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น จึงอาจเป็นผลให้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น รมช.คลัง ระบุว่า ข้อเสนอแนะดังกล่าว ไม่ได้มุ่งแทรกแซงการทำงานของ กนง. หรือ ธปท. โดยเฉพาะในเรื่องอิสระในการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย และไม่ใช่การสั่งว่าใครต้องทำอะไร เพียงแค่ต้องการให้มองการทำงานที่สอดคล้องกันเป็นภาพใหญ่ และหลายมิติมากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ (อินโฟเควสท์)
"เที่ยวไทย คนละครึ่ง" เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียน ก่อนเสนอบอร์ดกระตุ้นศก.พรุ่งนี้ นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า วันนี้ได้มีการเปิดลงทะเบียนสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่จะเข้าร่วม "โครงการเราเที่ยวด้วยกัน" แล้ว และในวันพรุ่งนี้ (18 มิ.ย.) จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ดังนั้น การขับเคลื่อนโครงการและวงเงินใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า แจ้งผู้ประกอบการท่องเที่ยวในประเทศ ที่มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการ "เที่ยวไทย คนละครึ่ง" ของททท. เมื่อมีการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ หลังผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ททท. จะดำเนินการแจ้งเตือนกลับไปยังผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนไว้ เพื่อให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป (อินโฟเควสท์)
คลัง จ่อให้ดาบ "สรรพสามิต" ตัดเงินอุดหนุนค่ายรถ EV ทันทีหากผิดเงื่อนไข-สั่งอัพเดทแผนผลิตทุก 2 เดือน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า เตรียมพิจารณาปรับเงื่อนไขการเพิ่มอำนาจให้กรมสรรพสามิต สามารถระงับการจ่ายเงินสมทบให้กับค่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก (EV3.0) และ EV3.5 ได้ทันที โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ประกอบการ หรือบริษัททำผิดเงื่อนไข หรือไม่สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไขของมาตรการ เช่น การผลิตรถ EV ชดเชยไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ รมช.คลัง กล่าวว่า ในเบื้องต้นจะพิจารณาเพิ่มเงื่อนไขให้ค่ายรถ EV ต้องทำแผนการผลิตรถชดเชยตามเงื่อนไขของมาตรการทุก ๆ 2 เดือน มาให้กรมสรรพสามิตพิจารณา ซึ่งจะใช้เป็นเกณฑ์ประกอบการพิจารณาจ่ายเงินชดเชยให้ค่ายรถ โดยหากเห็นสัญญาณว่าค่ายรถ EV เริ่มมีปัญหา เช่น ไม่สามารถผลิตรถชดเชยได้ตามสัญญา กรมสรรพสามิตจะมีอำนาจระงับจ่ายเงินชดเชยได้ทันที อย่างไรก็ดี เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป รมช.คลัง เห็นว่า การเพิ่มอำนาจให้กรมสรรพสามิตพิจารณาชะลอการจ่ายเงินชดเชยให้ค่ายรถยนต์ได้นั้น ถือเป็นการสร้างกลไกในการตัดวงจรที่จะเกิดกรณีค่ายรถมีปัญหาไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการได้ ส่วนประเด็นเรื่องการยืดระยะเวลาการผลิตรถยนต์ EV ชดเชยนั้น เป็นการช่วยเหลือค่ายรถในอีกมิติ ไม่ใช่การช่วยค่ายรถที่มีปัญหา แต่เป็นการช่วยอุตสาหกรรมในภาพรวม ซึ่งเป็นคนละส่วนกับเงื่อนไขที่กำลังพิจารณาอยู่ขณะนี้ โดยในภาพรวมของมาตรการขณะนี้ ยังไม่พบว่ามีค่ายรถยนต์ EV อื่น ๆ ที่มีปัญหาเชิงประจักษ์ (อินโฟเควสท์)
นายกฯ ยังไม่ได้รับหนังสือป.ป.ช. ปมโยกงบฯ ใช้ "ดิจิทัลวอลเล็ต" น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังกาปรระชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติรับเรื่องกล่าวหาการจัดทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ไปดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 35,000 ล้านบาท ที่อาจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือจาก ป.ป.ช. โดยข้อกล่าวหาดังกล่าวมีการระบุ ชื่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมถึง นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาทั้งคณะ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 0.91 จุด ปัจจัยใน-นอกคลุมเครือแม้"เที่ยวไทยคนละครึ่ง"หนุน แนวโน้มพรุ่งนี้ซึมรอเฟด SET ปิดวันนี้ที่ 1,113.58 จุด ลดลง 0.91 จุด (-0.08%) มูลค่าซื้อขาย 27,531.25 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยแกว่งกรอบแคบแทบไม่เปลี่ยนแปลง จากความไม่ชัดเจนของปัจจัยในและนอกประเทศ ทั้งความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน และการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงการปรับ ครม.ยังคลุมเครือ แม้ตลาดได้รับแรงหนุนจากหุ้นรายตัวกลุ่มท่องเที่ยว-AOT ตอบรับ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" คืบหน้า แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดภาพรวมใกล้เคียงวันนี้ นักลงทุนยังไม่กล้าตัดสินใจระหว่างรอผลประชุมเฟด ให้แนวต้าน 1,130 จุด แนวรับ 1,100 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,113.58 จุด ลดลง 0.91 จุด (-0.08%) มูลค่าซื้อขาย 27,531.25 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งกรอบแคบ โดยทำระดับสูงสุด 1,119.13 จุด และต่ำสุด 1,112.25 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 243 หลักทรัพย์ ลดลง 197 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 220 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 159,692 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 159,692 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 64,660 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 2,309 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 3,865 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.53% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-3 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 15,490 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 3,865 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 11,625 ล้านบาท ด้านปัจจัยต่างประเทศ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ตามการคาดการณ์ของตลาด พร้อมประกาศจะชะลอความเร็วในการลดซื้อพันธบัตรรัฐบาลตั้งแต่เดือนเม.ย. 2569 ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนพ.ค. ของอังกฤษและอียูในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.57 อ่อนค่าสอดคล้องภูมิภาค ตลาดรอปัจจัยใหม่หนุนทิศทาง นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.57 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.45 บาท/ดอลลาร์ เย็นนี้เงินบาทอ่อนค่าจากช่วงเช้า โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.47-32.61 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทวันนี้อ่อนค่าตามสกุลเงินอื่นในภูมิภาค หลังจากราคาทองคำตลาดโลกย่อตัวลง นอกจากนี้ ก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามตลาดคาด สำหรับคืนนี้ ต้องติดตามการรายงานยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ของสหรัฐ และคืนพรุ่งนี้ติดตามการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ว่าจะมีมติเรื่องอัตราดอกเบี้ยอย่างไร รวมทั้งติตตามสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง  นักบริหารเงิน คาดว่าพรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40 - 32.65 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
 
 
 
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ญี่ปุ่น    
ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนมิ.ย.จากสถาบัน ZEW อียู                           
ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค. สหรัฐฯ       
ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนพ.ค. สหรัฐฯ       
 การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. สหรัฐฯ       
สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย. สหรัฐฯ       
ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมิ.ย.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) สหรัฐฯ       

 

Share

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

Recommend Post

News Demo
07
August
2025
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
Read more
News Demo
06
August
2025
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
Read more
News Demo
05
August
2025
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
Read more

Shortcut Menu

  • Home
  • About KTAM
  • Mutual Funds
  • Provident Funds
  • Private Funds
  • Property/REIT
  • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • FIF / ETF
  • Top Performance Fund
  • Dividend
  • News/Research
  • Asset Allocation Strategy
  • Documents and Forms
  • Promotions
  • Calendar
  • Activities
  • Procurement
  • AIMC Category
    Performance Report
  • FAQs
  • Investment Knowledge
  • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
  • Manage Cookie Preference
  • E-newsletter
  • Contact Us
  • Career
  • Privacy Notice
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

Email: callcenter@ktam.co.th

Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

  • Affiliates
  • Related Links
  • Sitemap

USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

 MANAGE COOKIE PREFERENCE

When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


Manage Cookie Preference

Necessary cookies

Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

Analytics cookies

Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.