• X
  • Search
  • TH EN
  • Menu Guide
    • NAV
    • Fund Search
    • Highlighted Funds
    • Top Performance Fund
    • Dividend
    • Fund Holidays
    • News/Research
    • Asset Allocation Strategy
    • Documents and Forms
    • Promotions
    • Fund Information
    • Compare Funds
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
  • HOME
  • ABOUT KTAM
  • MUTUAL FUNDS
  • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • FIF / ETF
  • PROVIDENT FUNDS
  • PRIVATE FUNDS
  • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • Menu Guide
    • NAV
    • Fund Search
    • Highlighted Funds
    • Top Performance Fund
    • Dividend
    • Fund Holidays
    • News/Research
    • Asset Allocation Strategy
    • Documents and Forms
    • Promotions
    • Fund Information
    • Compare Funds
    • KTAM Daily News
    • KTAM Edutainment
  • KTAM Smart Trade
  • PVD Online
  • Agent
TH : EN
  • HOME
  • ABOUT KTAM
  • MUTUAL FUNDS
  • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • FIF / ETF
  • PROVIDENT FUNDS
  • PRIVATE FUNDS
  • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
  1. Home
  2. KTAM Daily News
  3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนี PPI +2.6% เดือนพ.ค. สอดคล้องคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนพ.ค.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.5% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% หลังจากปรับตัวลง 0.2% ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.1% จากระดับ 3.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.3% หลังจากปรับตัวลง 0.2% ในเดือนเม.ย. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ทรงตัวที่ระดับ 248,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 244,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 5,000 ราย สู่ระดับ 240,250 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 54,000 ราย สู่ระดับ 1.96 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2564 (อินโฟเควสท์)
คาดสหรัฐเผยดัชนี PPI +2.6% เดือนพ.ค. ดีดตัวจากเดือนเม.ย. กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนพ.ค.ในวันนี้ ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.4% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับตัวลง 0.5% ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 3.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับตัวขึ้น 3.1% เช่นกันในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. หลังจากปรับตัวลง 0.4% ในเดือนเม.ย. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ ส่งสัญญาณอาจขยายเวลาระงับเรียกเก็บภาษีตอบโต้จากคู่ค้าสำคัญ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เปิดเผยในวันพุธ (11 มิ.ย.) ว่า สหรัฐฯ อาจขยายเวลาระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรระยะ 90 วันกับสินค้าต่าง ๆ จากคู่ค้ารายสำคัญ หากพวกเขายังคงเจรจาอย่างจริงใจต่อไป เบสเซนต์กล่าวในการแถลงต่อรัฐสภาว่า "มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เราจะขยายเวลาให้กับประเทศเหล่านั้น หรือกลุ่มการค้าต่าง ๆ อย่างในกรณีของสหภาพยุโรป (EU) ที่กำลังเจรจากับเราด้วยความจริงใจ เพื่อให้การเจรจาดำเนินต่อไป หากใครไม่ยอมเจรจา เราก็จะไม่ขยายเวลาให้เช่นกัน" เบสเซนต์เปิดเผยถ้อยแถลงดังกล่าวหลังถูกถามเกี่ยวกับการขยายเวลาระงับเก็บภาษีที่กำลังจะสิ้นสุดลงในช่วงต้นเดือนก.ค.นี้ ขณะที่เน้นย้ำว่าคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเจรจากับคู่ค้าสำคัญทั้ง 18 รายเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน และถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะขยายเวลาการระงับเก็บภาษีระยะ 90 วันออกไป (อินโฟเควสท์)
"ทรัมป์" อัด "พาวเวล" เป็นพวกกระโหลกหนา เหตุยังไม่ยอมลดดอกเบี้ย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกโรงวิพากษ์วิจารณ์นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างรุนแรงในวันนี้ โดยเรียกเขาว่า เป็นคน "กระโหลกหนา" (numbskull) ท่ามกลางความไม่พอใจที่นายพาวเวลยังคงไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์อ้างว่า การลดอัตราดอกเบี้ย 2% จะช่วยให้สหรัฐประหยัดงบประมาณได้มากถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี "แต่เราไม่สามารถทำให้นายคนนี้ทำเช่นนั้นได้ โดยเราจะต้องเสียงบประมาณมากถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี เพียงเพราะคนกระโหลกหนาคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วพูดว่า 'ผมยังไม่เห็นเหตุผลเพียงพอที่จะลดดอกเบี้ยตอนนี้'" ปธน.ทรัมป์กล่าว (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ สั่ง ICE ตั้งโควตาคุมเข้มตรวจสอบนายจ้าง เร่งกวาดล้างแรงงานผิดกฎหมาย รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เพิ่มความเข้มงวดในการสอบสวนบริษัทที่ต้องสงสัยว่าจ้างแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย พร้อมสั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) กำหนดโควตาการตรวจสอบบริษัทต่าง ๆ เพื่อเร่งผลักดันผู้อพยพออกนอกประเทศ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากทนายความด้านคนเข้าเมืองและอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิว่า ICE ได้สั่งการไปยังสำนักงานภูมิภาคทั้ง 30 แห่งทั่วประเทศ ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบเอกสารแสดงสถานะผู้อพยพของลูกจ้างจากนายจ้าง หรือที่เรียกว่า "I-9 audit" โดยจำนวนการแจ้งตรวจสอบเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่านับตั้งแต่เดือนม.ค. การตรวจสอบเอกสารดังกล่าวมักเป็นขั้นตอนเบื้องต้นก่อนการบุกค้นสถานที่ทำงาน และเพิ่งถูกใช้โดยรัฐบาลทรัมป์เป็นหนึ่งในวิธีการจับกุมแรงงานผิดกฎหมายโดยไม่ต้องอาศัยหมายศาล ในหลายกรณี แรงงานผิดกฎหมายจะไม่กลับเข้าทำงานอีก หลังเจ้าหน้าที่ ICE ส่งหนังสือแจ้งตรวจสอบให้นายจ้าง รายงานยังระบุว่า คำสั่งดังกล่าวนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวดครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมและภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมเสริมว่า ICE ยังเร่งเดินหน้าจับกุมแรงงานผิดกฎหมายให้ได้อย่างน้อยวันละ 3,000 ราย ตามนโยบายของสตีเฟน มิลเลอร์ รองหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 101.85 จุด เงินเฟ้อต่ำหนุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทออราเคิล (Oracle) ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,967.62 จุด เพิ่มขึ้น 101.85 จุด หรือ +0.24%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,045.26 จุด เพิ่มขึ้น 23.02 จุด หรือ +0.38% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,662.48 จุด เพิ่มขึ้น 46.61 จุด หรือ +0.24% ดัชนี PPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากมาตรการภาษีศุลกากร และยังทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 60% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 11 เซนต์ นลท.ขายทำกำไรหลังราคาพุ่งแรง สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันพุธ อันเนื่องมาจากความกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันด้านอุปทาน ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.16% ปิดที่ 68.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.59% ปิดที่ 69.36 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า หลังสหรัฐฯ เผยดัชนี PPI ต่ำกว่าคาด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.)หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดน้อยลง และทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.72% แตะที่ระดับ 97.919 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 143.52 เยน จากระดับ 144.51 เยนในวันพุธ (11 มิ.ย.) ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.8115 ฟรังก์ จากระดับ 0.8205 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3603 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3663 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1578 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1486 ดอลลาร์ในวันพุธ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3596 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3547 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $58.70 ตอ.กลางตึงเครียดหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ยังทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 58.70 ดอลลาร์ หรือ 1.76% ปิดที่ 3,402.40 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)  
บอนด์ยีลด์ร่วงวันที่ 2 หลังเผยดัชนี PPI ตลาดจับตาประมูลพันธบัตรวันนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในวันนี้ ณ เวลา 19.56 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.353% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.851% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
GDP สหราชอาณาจักรหดตัว 0.3% ในเดือนเม.ย. คาดกดดันแผนใช้จ่ายรัฐบาล สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยในวันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวลง 0.3% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะหดตัวลงเพียง 0.1% โดยมีสาเหตุมาจากภาคการผลิตและภาคบริการที่หดตัวลง เศรษฐกิจที่หดตัวลงมากกว่าคาดอาจทำให้ตลาดเกิดความไม่มั่นใจว่า เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เขาคาดหวังไว้ว่าจะใช้เป็นเครื่องมือเรียกร้องงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาลได้จริงหรือไม่ ทั้งนี้ รัฐบาลพรรคแรงงานของสตาร์เมอร์จำเป็นต้องพึ่งพาแรงผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2568 เพื่อสนับสนุนแผนการฟื้นฟูการบริการสาธารณะที่ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลังได้ระบุไว้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
UK เผยยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง 2.71 พันล้านดอลล์ จากผลกระทบภาษีศุลกากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยในวันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า ยอดส่งออกสินค้าจากสหราชอาณาจักรไปยังสหรัฐฯ ลดลง 2 พันล้านปอนด์ (2.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายเดือนที่มากที่สุดนับตั้งแต่ ONS เริ่มบันทึกข้อมูลในปี 2540 ONS ระบุว่า มูลค่าการส่งออกในเดือนเม.ย.อยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2565 โดย "น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ" ในช่วงเวลา 3 เดือนจนถึงเดือนเม.ย. สหราชอาณาจักรขาดดุลการค้าสินค้าเพิ่มขึ้น 4.4 พันล้านปอนด์ สู่ระดับ 6 หมื่นล้านปอนด์ ในขณะที่เกินดุลการค้าด้านการบริการลดลง 500 ล้านปอนด์ สู่ระดับ 4.85 หมื่นล้านปอนด์ สหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ได้ประกาศข้อตกลงทางการค้าเมื่อช่วงต้นเดือนพ.ค. แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังคงกำหนดภาษีศุลกากรในอัตรา 10% สำหรับสินค้าอังกฤษที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้ายังไม่มีการบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ จึงทำให้สหราชอาณาจักรยังคงถูกเรียกเก็บภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ในอัตรา 25% (อินโฟเควสท์)
ECB เผยธนาคารกลางทั่วโลกตุนทองคำในทุนสำรองมากเป็นอันดับสองรองจากดอลลาร์ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า การที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในระบบทุนสำรองของโลกในปี 2567 รายงานของ ECB ซึ่งเผยแพร่ในวันพุธ (11 มิ.ย.) ระบุว่า ขณะนี้ปริมาณทองคำสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกใกล้เคียงกับระดับในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และเมื่อนำปัจจัยราคาทองคำที่สูงขึ้นมาพิจารณาร่วมด้วยแล้ว ทองคำจึงเป็นรองเพียงแค่เพียงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในระบบทุนสำรองของโลก ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ได้ตุนสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น สกุลเงินต่างประเทศและทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและเพื่อกระจายการถือครองสินทรัพย์ นอกจากนี้ การตุนสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องยังช่วยให้ธนาคารกลางสามารถนำสินทรัพย์เหล่านี้ออกมาขายเพื่อพยุงค่าเงินในประเทศในช่วงเวลาที่เกิดความตึงเครียด ในปี 2566 ทองคำและสกุลเงินยูโรมีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ประมาณ 16.5% ของทุนสำรองทั่วโลกโดยเฉลี่ย และต่อมาในปี 2567 สัดส่วนของยูโรลดลงเหลือ 16% และสัดส่วนของทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 19% ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีสัดส่วนสูงถึง 47% ในทุนสำรองทั่วโลก ทั้งนี้ ทองคำถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในระยะยาวและมีความยืดหยุ่นในช่วงที่สถานการณ์มีความผันผวน และปัจจุบันความต้องการถือครองทองคำของธนาคารกลางคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ของความต้องการทองคำทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณหนึ่งในสิบในช่วงคริสต์ทศวรรษ 2010 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ วิตกความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 เนื่องจากความหวังด้านการค้าโลกลดลง ขณะที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 549.84 จุด ลดลง 1.80 จุด หรือ -0.33% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,765.11 จุด ลดลง 10.79 จุด หรือ -0.14%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,771.45 จุด ลดลง 177.45 จุด หรือ -0.74% ดัชนี STOXX 600 ปิดลดลง 0.3% หลังจากแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสัปดาห์ระหว่างวัน โดยการปรับตัวลงต่อเนื่องครั้งนี้ถือเป็นการลดลงติดต่อกันรายวันยาวนานที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน ปัจจัยหลักที่กดดันตลาด คือความไม่ชัดเจนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันพุธว่า พร้อมจะขยายเส้นตายการเจรจาการค้า แต่ก็อาจไม่จำเป็น เพราะมีจดหมายเกี่ยวกับข้อเสนอที่กำลังจะส่งให้ประเทศคู่ค้าต่าง ๆ (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 20.57 จุด หุ้นพลังงานหนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยปรับตัวได้ดีกว่าตลาดหุ้นยุโรปอื่น ๆ จากแรงหนุนของหุ้นกลุ่มพลังงานและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน บางแห่ง แม้ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดจำกัดแรงซื้อก็ตาม ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,884.92 จุด เพิ่มขึ้น 20.57 จุด หรือ +0.23% หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทำผลงานดีที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.4% ขณะที่กลุ่มเฮลท์แคร์ปรับตัวขึ้น 1.2% หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าพุ่งขึ้น 3.2% ตามราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์ผันผวนทั่วโลก (อินโฟเควสท์)   
ญี่ปุ่น
ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในญี่ปุ่นลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี เหตุวิตกนโยบายภาษีสหรัฐฯ รัฐบาลญี่ปุ่นเผยผลสำรวจล่าสุดในวันนี้ (12 มิ.ย.) ระบุว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ในญี่ปุ่นลดลงในไตรมาส 2 (เม.ย.–มิ.ย.) ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส และบ่งชี้ว่า ความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก กระทรวงการคลังญี่ปุ่นระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ลดลงมาอยู่ที่ -1.9 จากระดับ +2.0 ในไตรมาสแรก (ม.ค.–มี.ค.) ดัชนีดังกล่าววัดสัดส่วนของบริษัทที่ประเมินว่าสภาพธุรกิจดีขึ้นเทียบกับจำนวนบริษัทที่เห็นว่าสภาพแย่ลง โดยหากตัวเลขติดลบ แสดงว่าจำนวนบริษัทที่มองว่าสถานการณ์แย่ลงมีมากกว่าบริษัทที่มองว่าดีขึ้น (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นกลับมาซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ญี่ปุ่นนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ผ่านทางเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรจากทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) โดยหวังรักษาเสถียรภาพของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้มั่นคง เคปเลอร์ (Kpler) ซึ่งเป็นบริษัทติดตามข้อมูลการเดินเรือเปิดเผยว่า เรือบรรทุกน้ำมันวอยเอเจอร์ (Voyager) ได้ส่งมอบน้ำมันที่โรงกลั่นของบริษัทไทโย ออยล์ (Taiyo Oil) เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. โดยไทโย ออยล์ได้ยืนยันว่าเป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียจริง ซึ่งเป็นไปตามคำขอของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) เรือวอยเอเจอร์ได้ทำการขนส่งน้ำมัน "ซาฮาลิน เบลนด์" (Sakhalin Blend) จากโครงการน้ำมันและก๊าซ ซาฮาลิน 2 (Sakhalin 2) ในช่วงปลายเดือนพ.ค. โดยญี่ปุ่นได้รับการยกเว้นจากทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปให้สามารถนำเข้าน้ำมันจากโครงการนี้ได้ เพราะถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โครงการซาฮาลิน 2 ครองสัดส่วน 10% ในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของญี่ปุ่น โดยก๊าซดังกล่าวถูกผลิตมาพร้อมกับน้ำมัน หากแหล่งเก็บน้ำมันในคลังเต็มเนื่องจากไม่สามารถขนส่งน้ำมันดิบได้ โรงงานต้นน้ำอาจต้องหยุดการผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตก๊าซ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียเป็นประจำ รวมถึงน้ำมันซาฮาลิน เบลนด์ แต่หลังจากรัสเซียรุกรานยูเครนในเดือนก.พ. 2565 ญี่ปุ่นก็ไม่ได้นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอีกเลยนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2566 แม้ว่าสหรัฐฯ และ EU ให้การยกเว้นด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงทางพลังงานก็ตาม (อินโฟเควสท์)
อิชิบะไม่เร่งปิดดีลการค้าสหรัฐฯ ชี้จุดยืนยังห่าง ยันไม่ยอมเสียผลประโยชน์ชาติ ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า เขาจะไม่เร่งรีบทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ หากข้อตกลงนั้นอาจกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ อิชิบะแถลงต่อสื่อมวลชนในวันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า หากมีความคืบหน้าก่อนที่ตนจะพบกับทรัมป์ ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่สิ่งสำคัญคือการบรรลุข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย พร้อมย้ำว่าจะไม่ประนีประนอมผลประโยชน์ของญี่ปุ่นเพื่อแลกกับการบรรลุข้อตกลงอย่างเร่งรีบ ถ้อยแถลงของอิชิบะมีขึ้นหลังการหารือร่วมกับบรรดาผู้นำพรรคฝ่ายค้านเกี่ยวกับประเด็นภาษีนำเข้า โดยเซอิจิ มาเอฮาระ หัวหน้าร่วมพรรคพัฒนานวัตกรรมญี่ปุ่น เปิดเผยว่าทั้งสองประเทศยังมีจุดยืนที่ห่างกันมาก และไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปในเร็ววัน พร้อมเสริมว่า อิชิบะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดความคืบหน้าของการเจรจา และยังไม่สามารถระบุกรอบเวลาได้ว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงเมื่อใด คาดว่าอิชิบะมีกำหนดพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ นอกรอบการประชุมผู้นำกลุ่ม G7 ที่ประเทศแคนาดาในวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการกำหนดวันและเวลาอย่างเป็นทางการสำหรับการหารือแบบทวิภาคี ด้านเรียวเซ อากาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาด้านภาษีศุลกากรของญี่ปุ่น เตรียมหารือกับคณะรัฐมนตรีสหรัฐฯ รอบที่ 6 ในวันศุกร์นี้ (13 มิ.ย.) ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะหาข้อตกลงร่วม ก่อนการประชุมกลุ่ม G7 จะเปิดฉากขึ้น ซึ่งจะเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกันที่อากาซาวะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นโวย เครื่องบินขับไล่จีนบินใกล้เครื่องบินลาดตระเวนญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นแสดงความกังวลกับเหตุการณ์เครื่องบินขับไล่ของจีนบินเข้าใกล้เครื่องบินลาดตระเวนของญี่ปุ่นอย่างผิดปกติเมื่อวันที่ 7-8 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยบินเข้ามาใกล้สุดในระยะเพียง 45 เมตรเท่านั้น กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นรายงานว่า ในวันเสาร์ (7 มิ.ย.) เครื่องบินขับไล่ J-15 ของจีน ซึ่งขึ้นบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินซานตง ได้ไล่ตามเครื่องบินลาดตระเวน P-3C ของญี่ปุ่นเป็นเวลาประมาณ 40 นาที ต่อมาในวันอาทิตย์ (8 มิ.ย.) เครื่องบินขับไล่ J-15 ของจีนได้ไล่ตามเครื่องบินลาดตระเวน P-3C ของญี่ปุ่นเป็นเวลา 80 นาที และบินตัดหน้าที่ระยะห่างเพียง 900 เมตร อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องบินในเหตุการณ์ทั้งสองวันเป็นเครื่องบินลำเดียวกันหรือไม่ "เราแสดงความกังวลอย่างจริงจังต่อฝ่ายจีน และเรียกร้องจีนอย่างจริงจังให้ป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก" โยชิมาสะ ฮายาชิ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวในวันนี้ (12 มิ.ย.) (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 248.10 จุด เยนแข็ง-วิตกภาษีกดดันตลาด ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (12 มิ.ย.) หลังบวกติดต่อกัน 4 วัน โดยหุ้นกลุ่มส่งออกได้รับผลกระทบจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น และจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองเรื่องภาษีการค้า สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 38,173.09 จุด ลดลง 248.10 จุด หรือ -0.65% กลุ่มหุ้นที่ราคาลดลงมากที่สุดได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มเคมีภัณฑ์ และกลุ่มอุปกรณ์การขนส่ง (อินโฟเควสท์)  
จีน
จีนเพิ่มอินโดฯ ในโครงการผ่านแดนปลอดวีซ่า 10 วัน ปท.ได้สิทธิ์รวมเป็น 55 ชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีนประกาศในวันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า จีนเพิ่มอินโดนีเซียในโครงการเดินทางผ่านแดนปลอดวีซ่าระยะเวลา 240 ชั่วโมง ทำให้ขณะนี้มีทั้งหมด 55 ประเทศที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ โดยชาวอินโดนีเซียที่เข้าเงื่อนไขสามารถเดินทางเข้าสู่จีนที่จุดผ่านแดน 60 แห่งใน 24 มณฑล และพำนักอยู่ในจีนได้นานสูงสุด 240 ชั่วโมง หรือ 10 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า ก่อนเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของจีนที่จะส่งเสริมการเดินทางและการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวกเล็กน้อย กังวลการค้าจีน-สหรัฐฯ ไม่แน่นอน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกเพียงเล็กน้อยในวันนี้ (12 มิ.ย.) ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,402.66 จุด เพิ่มขึ้น 0.34 จุด หรือ +0.01% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดร่วง 331.56 จุด จับตาภาษีทรัมป์, PPI สหรัฐฯ, ตะวันออกกลาง ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงในวันนี้ (12 มิ.ย.) หลังสหรัฐฯ เตรียมกำหนดอัตราภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้า ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูล PPI ในวันนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางอีกด้วย ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,035.38 จุด ร่วงลง 331.56 จุด หรือ -1.36% (อินโฟเควสท์)  
เอเชีย และอื่นๆ
เกาหลีใต้ส่งออกสินค้า ICT เพิ่มขึ้น 4 เดือนติด รับดีมานด์ชิปแข็งแกร่ง กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า ยอดส่งออกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในเดือนพ.ค. โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เกาหลีใต้ส่งออกผลิตภัณฑ์ ICT เพิ่มขึ้น 9.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 2.088 หมื่นล้านดอลลาร์ และรักษาแนวโน้มทางบวกต่อเนื่องมานับตั้งแต่เดือนก.พ. การส่งออกชิปพุ่งขึ้น 21.2% สู่ระดับ 1.380 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ชิประดับไฮเอนด์ เช่น ชิปหน่วยความจำ DDR5 และชิปหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูง (HBM) ที่ใช้ในชิปปัญญาประดิษฐ์รู้สร้าง (Gen AI) ขณะที่การส่งออกจอแสดงผลลดลง 17.5% สู่ระดับ 1.52 พันล้านดอลลาร์ สวนทางกับยอดส่งออกโทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้น 2.8% สู่ระดับ 1.05 พันล้านดอลลาร์ ยอดส่งออกคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเพิ่มขึ้น 1.7% สู่ระดับ 1.20 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดส่งออกอุปกรณ์สื่อสารพุ่งขึ้น 10.2% สู่ระดับ 200 ล้านดอลลาร์ ส่วนยอดนำเข้าผลิตภัณฑ์ ICT ขยับขึ้น 0.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 1.153 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ส่งผลให้เกาหลีใต้มียอดเกินดุลการค้าในอุตสาหกรรม ICT อยู่ที่ระดับ 9.35 พันล้านดอลลาร์ โดยยอดนำเข้าโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น ขณะที่การนำเข้าชิปและแผงหน้าจอนั้นลดลงเล็กน้อย (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ สั่งอพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตในอิรัก กังวลความปลอดภัยตะวันออกกลาง กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้สั่งอพยพเจ้าหน้าที่บางส่วนออกจากสถานทูตในอิรัก เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศในวันพุธ (11 มิ.ย.) ระบุว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ประจำอิรัก ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งครอบครัวของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ได้รับคำสั่งให้อพยพจากจากอิรัก เนื่องจากความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างเฉพาะเจาะจง แม้ว่าความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่นำไปสู่การออกคำสั่งให้อพยพเจ้าหน้าที่บางส่วนออกจากอิรักยังไม่เป็นที่ชัดเจนในขณะนี้ แต่สื่อรายงานว่า อิหร่านเพิ่งขู่ว่าจะโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง หากการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านล้มเหลว ทั้งนี้ อาซิซ นาซีร์ซาเดห์ รัฐมนตรีกลาโหมอิหร่าน กล่าวเตือนในวันพุธว่า อิหร่านพร้อมโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง หากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ครั้งใหม่กับสหรัฐฯ ล้มเหลว และนำไปสู่เหตุปะทะทางทหาร ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ "Pod Force One" เมื่อวันพุธว่า เขามีความมั่นใจน้อยลงในการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน และต่อมาในวันเดียวกัน เมื่อถูกถามว่าเหตุใดครอบครัวของบุคลากรทหารของสหรัฐฯ จึงได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากตะวันออกกลาง ปธน.ทรัมป์กล่าวเพียงว่า "คุณต้องรอดูต่อไป" ทั้งนี้ คาดว่าสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนของรัฐบาลทรัมป์ในตะวันออกกลาง จะพบกับอับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เพื่อเจรจานิวเคลียร์รอบที่หก (อินโฟเควสท์)
โอมานยืนยัน เจรจานิวเคลียร์อิหร่าน-สหรัฐฯ รอบที่ 6 จัดวันอาทิตย์นี้ ซัยยิด บาดร์ บิน ฮามัด บิน ฮามูด อัลบูไซดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโอมาน ประกาศในวันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า การเจรจานิวเคลียร์ทางอ้อมรอบที่ 6 ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐอเมริกา มีกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์นี้ (15 มิ.ย.) ณ กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน รมว.ต่างประเทศโอมานยืนยันกำหนดการดังกล่าวด้วยการโพสต์ข้อความผ่านบัญชี X อย่างเป็นทางการ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โอมานเป็นคนกลางในการเจรจาทางอ้อมระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ มาแล้ว 5 รอบนับตั้งแต่เดือนเม.ย. เพื่อหารือเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยในการเจรจาที่ผ่านมานั้น 3 รอบจัดขึ้นที่กรุงมัสกัต และอีก 2 รอบจัดขึ้นที่กรุงโรมของอิตาลี (อินโฟเควสท์)  
จับตาอิสราเอลถล่มอิหร่าน หากสหรัฐ-อิหร่านเจรจาคว้าน้ำเหลวอาทิตย์นี้ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า อิสราเอลเตรียมใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีอิหร่านในอีกไม่กี่วัน โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางสหรัฐ ยกเว้นการให้ข่าวกรองที่อาจเป็นประโยชน์ต่ออิสราเอล โอมานประกาศว่า การเจรจาว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์รอบที่ 6 ระหว่างอิหร่านและสหรัฐมีกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย.ที่กรุงมัสกัต โดยนายสตีฟ วิตคอฟฟ์ ตัวแทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้าเจรจากับเจ้าหน้าที่ของอิหร่าน ขณะนี้ ยังคงไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลง ขณะที่ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่า สหรัฐจะไม่ยอมให้อิหร่านเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ส่วนอิหร่านยืนกรานว่าจะเดินหน้าโครงการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) รายงานระบุว่า อิสราเอลเตรียมโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน หากการเจรจาระหว่างอิหร่านและสหรัฐประสบความล้มเหลว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ดิ่งกว่า 800 จุด กังวลตอ.กลางตึงเครียด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียดิ่งลงกว่า 800 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ที่จะไม่ขยายเส้นตายในวันที่ 8 ก.ค.ในการผ่อนผันการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้า ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,691.98 ลบ 823.16 จุด หรือ 1.00% หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลงนำตลาดวันนี้ นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของอินเดียที่มีการเปิดเผยหลังปิดตลาด (อินโฟเควสท์)  
ไทย
ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคขาลง! หลังดิ่ง 4 เดือนติด กังวลภาษีทรัมป์-ศก.ฟื้นช้า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนพ.ค.68 อยู่ที่ระดับ 54.2 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.66 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 48.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 51.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ท่ 62.7 ซึ่งดัชนีฯ ทุกตัว ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เช่นกัน สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 และรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ใช้นโนบายการเงินผ่อนคลาย จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้งรวม 0.5% แต่ผู้บริโภคยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า และการเข้าถึงสินเชื่อเป็นได้ด้วยความยากลำบาก "การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แสดงว่า ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นในอนาคตลดลง หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล" นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ระบุ พร้อมมองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ลดลงติดต่อกัน 4 เดือนนั้น บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เป็นขาลงแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่มีทิศทางที่สดใส และมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถอดถอยได้ง่ายขึ้น (อินโฟเควสท์)
ไทยใช้สิทธิ FTA ไตรมาส 1/68 มูลค่า 2.2 หมื่นล้านดอลล์ โต 19% เกินคาด นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อมูลการใช้สิทธิ FTA ช่วงไตรมาสแรกปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.68) มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลง FTA รวม 22,001.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 79.75% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.04% โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียน ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 มูลค่า 7,895.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 67.07% อันดับ 2 เป็นการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 4,926.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 90.92% อันดับ 3 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 3,908.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 87.11% อันดับ 4 ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 1,572.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 74.89% อันดับ 5 ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 1,346.20ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 56.85% ภาพรวมสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการใช้สิทธิ FTA ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ (1) แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง มูลค่า 1,655.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2) ยานยนต์สำหรับขนส่งของอื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน มูลค่า 1,588.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3) ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มูลค่า 857.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4) แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่า 760.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ (5) น้ำตาลที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 473.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อินโฟเควสท์)
แพทยสภา ยืนมติเดิมกรณีฟันโทษ 3 หมอปมรักษา "ทักษิณ" ชั้น 14/จ่อลงโทษเพิ่มอีก ที่ประชุมแพทยสภามีมติเกิน 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิมเมื่อวันที่ 8 พ.ค.68 ให้ลงโทษแพทย์ 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ หลังมีมติยับยั้งจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ "ที่ประชุมได้พิจารณาหนังสือยับยั้งมติแพทยสภาแล้ว โดยมีกรรมการที่มีสิทธิลงคะแนนมาร่วมประชุม 68 คน จาก 69 คน ได้พิจารณาการยับยั้งมติแพทยสภาของสภานายกพิเศษ มีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการที่มีสิทธิลงคะแนนทั้งคณะ ยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทยสภา เมื่อวันที่ 8 พ.ค." นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภาคนที่หนึ่ง แถลง ทั้งนี้คาดว่านายกแพทยสภาจะได้ลงนามในคำสั่งเพื่อแจ้งผลการพิจารณาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบภายในวันพรุ่งนี้ นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ขั้นตอนการประชุมวันนี้เป็นการรับฟังความคิดเห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะที่สภานายกพิศษใช้สิทธิวีโต้ก็ได้รับฟัง ซึ่งคณะกรรมการฯ ทุกคนได้รับเอกสารเหตุผลที่วีโต้ และได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบให้คณะกรรมการฯ ได้เห็นชัดเจนและใช้ดุลยพินิจด้วยตัวเอง ดำเนินการอย่างโปร่งใส กรณีที่มีการหยิบยกกระบวนการสอบสวนด้านจริยธรรมของแพทย์มาเปรียบเทียบกับกับวิชาชีพอื่นนั้นอาจไม่เหมาะสม ส่วนกรณีแชทไลน์หลุดก่อนหน้าที่แพทยสภาไม่ได้ออกมาตอบโต้ เพราะเห็นว่าเป็นไลน์ส่วนตัว ไม่ใช่ไลน์กลุ่มของแพทยสภา และไม่ได้มีผลต่อการพิจารณาของแพทยสภาที่ยึดความถูกต้องและหลักฐานต่าง ๆ ไม่อิงกับปัจจัยภายนอก และไม่สนใจว่าผู้ป่วยดังกล่าวเป็นใคร นพ.ประสิทธิ์ ยืนยันว่า มาตรฐานทางจริยธรรมของแพทยสภา ไม่ว่าจะเป็นแพทย์รุ่นใหม่หรือแพทย์รุ่นเดิม ต่างได้รับการอบรมสั่งสอนมาเหมือนกัน มีความเข้าใจในจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ มีความรับผิดชอบต่อบทบาทและหน้าที่ (อินโฟเควสท์)
ป.ป.ช.ปัดข่าวเตะถ่วงคดีบังคับโทษ "ทักษิณ" ยันส่งคำชี้แจงให้ศาลฯแล้ว กรณีมีข่าวเกี่ยวกับคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดไต่สวนคดีครั้งแรกในวันพรุ่งนี้ (13 มิ.ย.) ตามที่หลายฝ่ายจับตาว่าอาจมีคำสั่งเด็ดขาด แต่อาจกลายเป็นว่ายังไปไม่ถึงไหน เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังส่งเอกสารไม่ครบนั้น นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล รองเลขาธิการป.ป.ช. ในฐานะรองโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวว่า การเผยแพร่ข่าวดังกล่าวมีข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช.จัดส่งคำแถลง/คำชี้แจง พร้อมเอกสารประกอบไปยังศาลฎีกาฯ แล้ว และศาลฎีกาฯ ได้รับคำแถลง/คำชี้แจง (คำร้องของโจทก์ (ป.ป.ช.) เพื่อประกอบการพิจารณา) แล้ว โดยศาลฎีกาฯ ไม่ได้แจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการเพิ่มเติมในเรื่องใดอีก ดังนั้นคณะผู้แทนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังคงเดินทางไปศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิ.ย.68 ตามกำหนดนัดเช่นเดิม (อินโฟเควสท์)
ศาลรธน.ให้อัยการสูงสุดแจงคืบหน้าปม "ณฐพร" ร้องเช็คบิล "กกต.-ภท." ฮั้วเลือก สว. ใน 15 วัน ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้อัยการสูงสุดแจ้งความคืบหน้ากรณีที่นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปยื่นคำร้องให้สอบสวนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเลขาธิการ กกต. จัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่เป็นโปโดยสุจริตและเที่ยงธรรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน และเอื้อประโยชน์ให้พรรคภูมิใจไทย (ภท.), กรรมการบริหารพรรค ภท., สว.จำนวนหนึ่งตามสำนวนการสอบสวนของ กกต., นายเนวิน ชิดชอบ, นางกรุณา ชิดชอบ, นายทองเจือ ชาติกิจเจริญ กับพวก, นายศุภชัย โพธิ์สุ, น.ส.วาริน ชิณวงศ์, นายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ และ นายสุบิน ศักดา ร่วมกันกระทำการโดยทุจริตในกระบวนการเลือก สว.ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ศาลรัฐธรรมนูญรับทราบภายใน 15 วัน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากนายณฐพร อ้างว่าได้ยื่นคำร้องในเรื่องดังกล่าวต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 15 พ.ค.68 แต่อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการใด ๆ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอตามรัฐธรรมนูญ จึงนำเรื่องมายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย (อินโฟเควสท์)
ออมสิน มั่นใจปีนี้ช่วยกลุ่มเปราะบางเข้าถึงสินเชื่อทะลุ 1 ล้านราย แก้หนี้กว่า 9.2 แสนบัญชี นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คาดว่า ภายในปี 2568 ธนาคารออมสิน จะสามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือบุคคลในกลุ่ม Unserved - Underserved ที่ยังมีการพึ่งพาแหล่งเงินนอกระบบ และการให้สินเชื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่กลุ่มเปราะบาง ได้กว่า 1 ล้านรายตามเป้าหมาย รวมถึงความสำเร็จด้านการแก้หนี้ ที่คาดว่าจะมีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารริเริ่มดำเนินการ และที่เป็นมาตรการตามนโยบายรัฐบาล รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 920,000 บัญชีลูกหนี้ สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมของธนาคาร ที่ช่วยสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน ประกอบด้วย 1) สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สำหรับผู้ไม่มีประวัติเครดิตการเงิน อนุมัติแล้ว 150,000 ราย 2) สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ อนุมัติแล้ว 240,000 ราย 3) สินเชื่อต้อนรับเปิดเทอม อนุมัติแล้ว 110,000 ราย รวมถึงการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย/ฐานราก ได้แก่ สินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อผู้ประสบภัยพิบัติ อนุมัติแล้ว 120,000 ราย รวมจำนวนผู้ได้รับสินเชื่อแล้วทั้งสิ้น 620,000 ราย (ข้อมูล ณ เดือนพ.ค.68) สำหรับภารกิจการแก้หนี้ ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ผ่านหลากหลายโครงการ อาทิ "โครงการคุณสู้ เราช่วย" ซึ่งธนาคารเป็นผู้มีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตั้งเป้าช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย/SMEs ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางของสถาบันการเงินของรัฐ และลูกหนี้กลุ่ม Non-Bank โดยสามารถช่วยเหลือลูกหนี้แล้วกว่า 190,000 ราย จำนวน 300,000 บัญชีลูกหนี้ คิดเป็น 33% ของผู้ลงทะเบียนที่เป็นลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันทั้งระบบ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย.68) (อินโฟเควสท์)
ธ.ก.ส. รอเคาะเกณฑ์แฮร์คัตแก้หนี้กลุ่มผู้สูงอายุราว 5 พันลบ. นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวถึงความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างหนี้ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับกระทรวงการคลัง โดยเบื้องต้นน่าจะดำเนินการกับกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป และมีสถานะเป็นหนี้เรื้อรังก่อน อย่างไรก็ดี ในการดำเนินการทั้งหมด จะต้องเป็นไปตามกฎกระทรวง ดังนั้น จะต้องมีการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอน กระบวนการ วิธีการอย่างชัดเจนออกมาก่อน ปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีลูกค้าที่อายุ 70 ปีขึ้นไป และทุกบัญชีของผู้กู้แต่ละรายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ประมาณหลักหมื่นบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ราว 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะต้องรอให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนดให้ชัดเจน โดยเฉพาะนิยามของคำว่า "หนี้เรื้อรัง" ว่าผู้ที่เข้าข่ายแฮร์คัตตามแนวทางนี้จะมีเกณฑ์เป็นอย่างไร เช่น ลูกหนี้อายุ 80 ปี แต่ยังปิดหนี้ไม่ได้ ยังมีภาระหนี้อยู่ ลักษณะนี้ถือว่าเข้าข่ายนิยามของคำว่าหนี้เรื้อรังชัดเจน แต่ท้ายที่สุดคงต้องรอความชัดเจนจากสศค. ก่อนจะสรุป และเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ส่วนภาพรวมการดำเนินงานของธ.ก.ส. ปัจจุบัน มียอดสินเชื่อคงค้าง 1.67 ล้านล้านบาท โดยในปีบัญชี 2568 (เม.ย. 68-มี.ค. 69) ธนาคารมีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ 30,000-50,000 ล้านบาท ขณะที่ NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 5.31% โดยแนวโน้มในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หนี้เสียปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าแผน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่ยังดำเนินการอยู่ และการพัฒนาระบบติดตามหนี้ รวมถึงลูกค้าเริ่มมีการปรับพฤติกรรมการชำระหนี้ เมื่อมีกระแสรายได้เข้ามาก็จ่ายหนี้ทันทีโดยไม่รอจนกระทั่งครบกำหนดชำระ ในส่วนของบัญชีทั้งปี 68 ประเมินว่า NPL ของธนาคารจะอยู่ที่ราว 5.5% บวกลบ ซึ่งยืนยันว่า งบดุลของธนาคารสามารถรองรับได้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดร่วง 12.95 จุด เจอ Sell on Fact หลังปิดดีลเจรจาจีน-สหรัฐ การเมืองอึมครึมกดดัน SET ปิดวันนี้ที่ 1,128.62 จุด ลดลง 12.96 จุด (-1.14%) มูลค่าซื้อขาย 32,483.12 ล้านบาท นักวิเคราะห์ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามตลาดภูมิภาค และดาวน์โจนส์ฟิวเจอร์ส เผชิญแรงขาย Sell on Fact หลังสรุปผลเจรจาการค้าจีนและสหรัฐในเบื้องต้น ขณะที่การเมืองในประเทศยังไม่ชัดเจนเป็นปัจจัย กดดันบรรยากาศการลงทุน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค.ยังปรับลงต่อเนื่อง แนวโน้มวันพรุ่งนี้แกว่งไซด์เวย์ดาวน์ ให้แนวรับที่ 1,120 จุด แนวต้านที่ 1,135 จุด (อินโฟเควสท์)  
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.47 แข็งค่าต่อเนื่องตามภูมิภาค คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.40-32.60 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.47 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.55 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.41-32.56 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าตามทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค โดยตลาดย่อยข่าวตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ สำหรับคืนนี้ ตลาดรอดูตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40 - 32.60 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 125,253 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 125,253 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 12,865 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,644 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,636 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.52% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% (อินโฟเควสท์)  
ปัจจัยที่ต้องติดตาม

  • การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. ญี่ปุ่น
  • อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. เยอรมนี
  • อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ฝรั่งเศส
  • ดัชนีควาชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐฯ

 

Share

  • Facebook
  • Twitter
  • Line

Recommend Post

News Demo
13
August
2025
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
Read more
News Demo
08
August
2025
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
Read more
News Demo
07
August
2025
สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
Read more

Shortcut Menu

  • Home
  • About KTAM
  • Mutual Funds
  • Provident Funds
  • Private Funds
  • Property/REIT
  • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
  • FIF / ETF
  • Top Performance Fund
  • Dividend
  • News/Research
  • Asset Allocation Strategy
  • Documents and Forms
  • Promotions
  • Calendar
  • Activities
  • Procurement
  • AIMC Category
    Performance Report
  • FAQs
  • Investment Knowledge
  • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
  • Manage Cookie Preference
  • E-newsletter
  • Contact Us
  • Career
  • Privacy Notice
Go To Top
Stay Connect with us:
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube

Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

Email: callcenter@ktam.co.th

Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

  • Affiliates
  • Related Links
  • Sitemap

USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

 MANAGE COOKIE PREFERENCE

When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


Manage Cookie Preference

Necessary cookies

Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

Analytics cookies

Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.