พลังงานโลกเก่า พลังงานโลกใหม่ โลกไหนคือผู้นำปัจจุบัน
ย้อนกลับไปไม่กี่สิบปีก่อน คำว่า “พลังงาน” ในสายตานักลงทุนหรือนักวิเคราะห์มักหมายถึงแค่ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานดั้งเดิมที่ขับเคลื่อนโลกอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน
แต่วันนี้ บทสนทนาเรื่องพลังงานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง...
หลายคนพูดถึงเรื่องพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ไฮโดรเจนหรือแบตเตอรี่ คำเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เข้ามาอยู่บนโต๊ะของนักลงทุนทั่วโลกและกลายเป็นหนึ่งในธีมการลงทุนใหญ่ ที่ทั้งนักวิเคราะห์ สถาบันการเงิน และภาครัฐต่างให้ความสำคัญมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้โลกกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่พลังงานใหม่ แต่ความจริงที่หลายคนอาจลืมนึกถึง คือพลังงานแบบดั้งเดิมยังคงมีบทบาทสำคัญและกินสัดส่วนหลักของการใช้พลังงานโลกอยู่
นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อมหรือความยั่งยืน แต่เป็นคำถามเชิงกลยุทธ์การลงทุน ว่าเงินทุนกำลังไหลไปทางไหน? โครงสร้างพลังงานแบบใดจะเติบโตได้จริงในระยะยาว? และพอร์ตของเราควรวางไว้ที่ฝั่งไหนระหว่างความมั่นคงกับโอกาส? เนื้อหาต่อไปนี้จะช่วยสร้างความเข้าใจให้ชัดเจนว่า “โลกพลังงาน” ที่เรากำลังอยู่ในตอนนี้ มีพลังงานอะไรบ้างและตลาดมีมุมมองต่อพลังงานเหล่านี้อย่างไร
Traditional Energy: พลังงานดั้งเดิมที่ยังครองโลก
Traditional Energy หรือพลังงานแบบดั้งเดิม หมายถึงกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เราคุ้นเคย ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ซึ่งยังคงมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจโลก โดยคิดเป็นประมาณ 80% ของการใช้พลังงานขั้นต้น (Primary Energy) ทั่วโลกในปัจจุบัน (Energy Institute, Statistical Review of World Energy 2024)
รายละเอียดหลักของกลุ่มนี้ ได้แก่
• น้ำมัน (Oil) เชื้อเพลิงหลักของภาคขนส่ง ทั้งทางบก อากาศ และทะเล รวมถึงเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติก
• ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ระบบทำความร้อน และกระบวนการอุตสาหกรรม
• ถ่านหิน (Coal) ยังคงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่มีบทบาทในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย
•
พลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear) แม้จะปล่อยคาร์บอนต่ำ แต่ตลาดมักจัดให้อยู่ในกลุ่ม “พลังงานแบบดั้งเดิม” เพราะมีลักษณะการจ่ายไฟฟ้าแบบต่อเนื่อง (Base-load)
มุมมองจากตลาดการเงิน
• หุ้นในกลุ่มพลังงานดั้งเดิมมักถูกจัดเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
•
และราคาหุ้นมักเคลื่อนไหวตามวัฏจักรราคา Commodity โดยเฉพาะราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังงานดั้งเดิมนี้ ก็อาจเผชิญความท้าทายระยะยาว จาก
-กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น
-ความเสี่ยงจากการถูก “Disrupt” ด้วยเทคโนโลยีสะอาด
-แรงกดดันจากนักลงทุนที่เน้น ESG และ Climate Strategy
แต่ในทางกลับกัน เราก็ได้เห็นหุ้นกลุ่มพลังงานดั้งเดิมกลับมา “ฟื้นตัวแรง” ในช่วงปี 2021–2023 หลังเกิดวิกฤตพลังงานทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) กลายเป็นหัวข้อเร่งด่วนกว่าการลดคาร์บอนชั่วคราว
ล่าสุด! ประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน กลับมาจุดประเด็นเรื่องราคาน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลางอีกครั้ง เนื่องจากน้ำมันกว่า 20% ของโลกต้องผ่านช่องแคบ Hormuz ซึ่งเสี่ยงเป็นเป้าหมายการตอบโต้ของอิหร่านได้
Alternative Energy: ผู้ท้าชิงที่มาแรงที่สุดในรอบทศวรรษ
ฝั่งตรงข้ามของสมรภูมิพลังงานคือกลุ่ม "Alternative Energy" หรือพลังงานทางเลือก ซึ่งรวมถึง Solar, Wind, Hydro, Geothermal, Bioenergy และเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่าง Green Hydrogen และ Battery Storage
หัวใจสำคัญของกลุ่มนี้คือการผลิตพลังงานจากแหล่งธรรมชาติที่หมุนเวียนได้ และมีการปล่อยคาร์บอนต่ำหรือแทบไม่มีเลย เหมาะกับทิศทางของโลกที่มุ่งไปสู่ความยั่งยืนและ Net-Zero
สถานะปัจจุบันของพลังงานสะอาด
• คิดเป็นประมาณ 32% ของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก โดยมี Solar Power และ Wind Power เติบโตเร็วที่สุด (Ember, Global Electricity Review 2024)
•
มีสัดส่วนราว 17% ของ Primary Energy และกำลังไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเริ่ม Electrify (Energy Institute, Statistical Review of World Energy 2024)
องค์ประกอบสำคัญในกลุ่มพลังงานทางเลือก ได้แก่
• Solar Power ต้นทุนต่ำลงอย่างมากในช่วง 10 ปี และติดตั้งได้ตั้งแต่ระดับบ้านเรือนจนถึงโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่
• Wind Power โดยเฉพาะ Offshore Wind ที่กลายเป็นฐานพลังงานสำคัญในยุโรป
• Hydro power แม้จะไม่ใหม่ แต่ยังคงเป็นพลังานหมุนเวียนที่มีเสถียรภาพสูง
•
Battery & Green Hydrogen เทคโนโลยีใหม่ที่อยู่ในช่วงต้นน้ำ แต่สามารถดึงดูดเงินลงทุนได้อย่างมหาศาล
มุมมองจากนักลงทุน:
• หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาดมักถูกจัดเป็น Growth Stocks ที่มีโอกาสการเติบโตระยะยาว แม้บางครั้งจะยังไม่สามารถทำกำไรในระยะสั้นได้
• เป็นหุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อนโยบายภาครัฐ เช่น เงินอุดหนุน การตั้งราคาคาร์บอน หรือกฎเกณฑ์ Net-Zero
• หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น หรือห่วงโซ่อุปทานเกิดปัญหา (เช่นในช่วง COVID-19 และหลังจากนั้น)
•
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดในระยะยาวยังคงแข็งแกร่งมาก ปัจจุบันการลงทุนใน Clean Energy แซงหน้าการลงทุนใน Fossil Fuels แล้ว โดยในปี 2023–2024 มีเงินทุนรวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ไหลเข้าสู่โครงการ Solar, Wind, EV, และ Energy Storage ทั่วโลก (International Energy Agency: IEA, World Energy Investment 2024)
สรุป: พลังงานดั้งเดิมยังไม่ตาย แต่พลังงานสะอาดกำลังเติบโต
-หากคุณเชื่อว่าโลกยังต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอีกหลายสิบปี และต้องการกระแสเงินสดแข็งแกร่งในระยะสั้นถึงกลาง กลุ่ม Traditional Energy ยังคงมีบทบาทสำคัญในพอร์ตการลงทุนได้
-แต่หากคุณเชื่อว่า Energy Transition กำลังเกิดขึ้นจริงและจะเปลี่ยนโฉมตลาดพลังงานไปตลอดกาล การลงทุนในพลังงานสะอาดวันนี้อาจเป็นโอกาสแห่งอนาคตที่เข้าลงทุนได้ตั้งแต่เริ่มต้น
พลังงานโลกไหนคือโอกาส เลือกกองทุนให้เหมาะกับความเชื่อของคุณ
เมื่อเข้าใจภาพใหญ่ของโลกพลังงานแล้ว ขั้นต่อไปคือเลือกกองทุนที่สะท้อนแนวคิดของคุณได้ชัดเจน KTAM ขอแนะนำ 2 กองทุนระดับโลก ที่จับทิศทาง “ดั้งเดิม” และ “การเปลี่ยนผ่านพลังงานใหม่” ได้แก่
1.กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ (KT-ENERGY) (ความเสี่ยงระดับ 7)
เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF World Energy Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทชั้นนำทั่วโลกซึ่งมีธุรกิจหลักในการสำรวจพัฒนาและจัดจำหน่ายพลังงาน และอาจลงทุนในบริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพลังงานทดแทน ปัจจุบันกองทุนนี้มีมูลทรัพย์สุทธิราว 1.8 พันล้านดอลลาร์ (ข้อมูล 20 มิ.ย. 2025, BlackRock) ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนลงทุน ได้แก่ Shell, Exxon Mobil, Chevron, Williams Companies และ Total Energies SE (ที่มา: Fund Factsheet กองทุนหลัก, ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ค. 68)
กองทุน KT-ENERGY โดดเด่นด้วยกลยุทธ์ที่เน้นลงทุนในหุ้นพลังงานดั้งเดิมโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมพลังงานแบบครบวงจร โดยทีมจัดการกองทุนทั้งจาก KTAM และกองทุนหลักต่างก็เชื่อในแนวทางการลงทุนแบบ Value และ Cyclical ซึ่งใช้ประโยชน์จากกรอบของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ควบคู่กับการสร้างรายได้สม่ำเสมอจากกระแสเงินสดและเงินปันผล เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ยังเชื่อในความแข็งแกร่งของระบบพลังงานเดิม โดยเฉพาะในยุคที่โลกยังต้องพึ่งพาฟอสซิลในด้านพลังงานพื้นฐาน กองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนมองโลกอนาคตจากรากฐานพลังงานดั้งเดิม
2. กองทุนเปิดเคแทม Green Energy (KT-GREEN-A) (ความเสี่ยงระดับ 6)
เน้นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม Schroder ISF Global Energy Transition (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของเงินลงทุนในหุ้นบริษัททั่วโลก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานคาร์บอนต่ำ ปัจจุบันกองทุนมีทรัพย์สินรวมราว 647 ล้านดอลลาร์ (ที่มา: Schroder, ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิ.ย. 2025) หุ้นของบริษัทที่สำคัญในพอร์ต ได้แก่ Vestas Wind, EDP Renovaveis, First Solar, Nextracker และ Johnson Mathey PLC Elia (ที่มา: Fund Factsheet กองทุนหลัก, ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ค. 68)
กองทุน KT-GREEN-A เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นธีมพลังงานสะอาดอย่างเข้มข้น ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากการมีบทบาทใน Energy Transition เช่น Solar, Wind, Battery Storage, Green Hydrogen ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนระบบไฟฟ้าแห่งอนาคต โดยทีมจัดการกองทุนทั้งจาก KTAM และกองทุนหลักได้ใช้แนวคิด Thematic Investment อย่างเคร่งครัด ไม่ใช่แค่เพียง “เกาะกระแส ESG” แต่ยังคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพ ทั้งในด้านงบดุล ความสามารถในการทำกำไรระยะยาว และความชัดเจนในโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยคาร์บอน จุดแข็งของกองทุนนี้คือการให้ Exposure ที่ “ลึกและจริงจัง” กับโอกาสการเติบโตในโลกพลังงานใหม่ แตกต่างจากกองทุน ESG ทั่วไปที่อาจถือหุ้นกลุ่มเทคหรือไอทีมากกว่า ถือเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเกาะไปกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างในเศรษฐกิจโลกอย่างแท้จริง เหมาะสำหรับคนที่เชื่อมันในโลกพลังงานใหม่
สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ได้ที่ https://bit.ly/KTSTSignIn
คำเตือน : กองทุนมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน : เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย