ในวันที่ตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า และนักลงทุนบางคนเริ่มลังเลว่า “ยังควรอยู่ต่อหรือพอแค่นี้ดีไหม?” แม้เศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญกับความผันผวน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก แต่ในระยะกลางถึงยาว ประเทศไทยยังมีศักยภาพในด้านโครงสร้างพื้นฐาน แรงงาน การท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และที่กำลังเป็นกระแสแรงขึ้นเรื่อย ๆ คือ การลงทุนในหุ้นที่มีความยั่งยืน หรือ “หุ้น ESG” เพราะการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือการลงทุนที่ตอบโจทย์อนาคต ซึ่งกลุ่มหุ้นเหล่านี้ไม่ได้เพียงแต่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลก แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของกิจการ และความสามารถในการบริหารความเสี่ยงระยะยาว
ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงตามโครงสร้างเศรษฐกิจไทย แต่เราก็ยังคงเห็นความแข็งแรงในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ ธนาคาร ท่องเที่ยว โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า สื่อสาร และพลังงาน ซึ่งการลงทุนในมิติที่เกี่ยวกับ ESG ที่เพิ่มขึ้นจะสอดคล้องกับ Trend ทั่วโลกอย่างแท้จริง นอกจากนี้ กลุ่มกองทุน ThaiESGX และ ThaiESG จะเป็นตัวกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนไทยเร่งปรับตัวเพื่อสร้างความโดดเด่นให้สามารถอยู่ใน Universe การลงทุนของกองทุนทั้งสองประเภทนี้
ทำไมวันนี้หุ้นไทยจึงน่าสนใจ?
1.โอกาสเติบโตจากจุดเริ่มต้นใหม่ : หุ้นไทยอาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ยิ่งเข้าเร็วในจังหวะนี้ = ยิ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนในรอบใหม่เมื่อเศรษฐกิจกลับมา
2.ESG = การลงทุนที่มีคุณภาพ : บริษัทที่อยู่ในกลุ่ม ESG มักมีความโปร่งใส บริหารจัดการดี และเป็นที่ต้องการของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ
3.สิทธิประโยชน์ทางภาษี : สำหรับการลงทุนในกลุ่มกองทุน ESG หรือกองทุนที่เน้นหุ้นไทยยั่งยืนบางประเภท ยังสามารถใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขที่ภาครัฐสนับสนุน
อย่าปล่อยให้ “แสงไฟ” ที่คุณเห็น…กลายเป็นแค่รถสวนเลน
ถึงเวลาเปลี่ยนมุมมองจาก “ตลาดซึมๆ ไม่กระเตื้อง” มาเป็น “โอกาสในการวางหมาก” โดยการลงทุนในหุ้นไทย และหุ้นไทยกลุ่ม ESG ไม่ใช่แค่เพื่อหวังสร้างผลตอบแทนเท่านั้น แต่คือการเลือกสร้างอนาคตทางการเงินให้ตัวเอง และอนาคตที่ยั่งยืนให้ประเทศ
ตลาดหุ้นไทยกำลังเร่งปรับตัวเพื่อรองรับ Trend ทั่วโลก โดยเฉพาะมิติที่เกี่ยวกับความยั่งยืนหรือ ESG โดยองค์กรที่เกี่ยวข้องต่างก็ได้ร่วมผลักดัน ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเกณฑ์ลงทุน การเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน และการประเมินตามหลักสากล มีการนำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Taxonomy) และมาตรฐานการรายงานความยั่งยืน (ISSB) มาใช้ เป็นต้น
ในส่วนการบริหารจัดการลงทุน กลุ่มนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ต่างมีการร่วมกันหารือกับบริษัทอย่างสร้างสรรค์ เพื่อติดตามแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาต่างๆ ด้าน ESG อาทิ green washing ปัญหาด้านธรรมมาภิบาล ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน โดยเชื่อว่าการใส่ใจในมิติด้านความยั่งยืนของตลาดทุนไทยทั้งด้าน Supply & Demand เหล่านี้ จะทำให้ตลาดทุนไทยค่อยๆ ปรับตัว พลิกฟื้นและเดินไปได้อย่างมั่นคงในอนาคต
สำหรับนักลงทุนที่ยังมองว่าหุ้นไทยในอนาคตยังมีโอกาสสดใส และมองว่าขณะนี้เป็นจังหวะการลงทุนที่ดี เพราะหุ้นไทยในตอนนี้อยู่ในช่วงค่อนข้างลึกและอยู่ในช่วงสร้างฐานใหม่ พร้อมต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี
วันนี้เราขอแนะนำกองทุนในกลุ่มกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ ThaiESGX ภายใต้การบริหารของ KTAM ดังนี้
กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQ70PLUSX) (ระดับความเสี่ยง 5) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV และตราสารหนี้ ESG เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกินกว่า 30% ของ NAV โดยผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณานำเงินบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง และผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังตราสารหนี้ https://www.ktam.co.th/rmf-ltf-fund-detail.aspx?IdF=85
กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQPLUSX) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือในต่างประเทศเพิ่มขึ้น https://www.ktam.co.th/rmf-ltf-fund-detail.aspx?IdF=89
กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นปันผล ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQDIVX) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลการดำเนินงานดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดี สมํ่าเสมอ และ/หรือ มีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยจะเน้นลงทุนในประเทศเท่านั้น เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง https://www.ktam.co.th/rmf-ltf-fund-detail.aspx?IdF=87
โดยนักลงทุนสามารถลงทุนใหม่ และ/หรือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ -30 มิถุนายน 2568 นี้เท่านั้น และสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF จะต้องทำการเช็คการถือครองหน่วยลงทุนของตนเอง เพื่อจะได้ทำการโอน LTF ทั้งจำนวนไปยัง ThaiESGX (ย้ำนะ! ว่าต้องทั้งจำนวนเท่านั้น ห้ามขาดแม้แต่บาทเดียว) ทั้งนี้ สามารถเช็คการถือครอง LTF ทั้งหมดได้ที่ www.set.or.th/ltf
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือธนาคารกรุงไทยและผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ได้ที่ https://bit.ly/KTSTSignIn
อย่ารอให้แสงสว่างกลายเป็นเพียงภาพผ่าน…เพราะโอกาสที่ดีที่สุด มักเริ่มจากตอนที่หลายคนยังมองไม่เห็นมัน
คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน ThaiESG และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม