Gold Demand ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังความต้องการทองคำของโลก
แม้โลกการลงทุนปัจจุบันจะเต็มไปด้วยสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ ๆ ตั้งแต่ดิจิทัลโทเคนไปจนถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินซับซ้อน แต่ทองคำก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง เพราะทองคำมีคุณสมบัติที่หาสิ่งอื่นทดแทนได้ยาก คือ เป็นสินทรัพย์สำรองที่เชื่อถือได้ เป็นตัวแทนมูลค่าที่จับต้องได้ และเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงในช่วงความไม่แน่นอน อีกทั้ง ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ความต้องการทองคำในปัจจุบันมีที่มาหลากหลายจากกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่ประเภทต่างๆ จากหลายภูมิภาค และทุกกลุ่มมีแรงขับเคลื่อนเฉพาะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ภาพรวมของตลาดทองคำมีมิติที่น่าสนใจอย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์การลงทุน
1. อุปสงค์ทองคำจากภาครัฐและธนาคารกลาง: กลยุทธ์เสริมความมั่นคงทางการเงินของประเทศ
กลุ่มผู้ซื้อที่มีอิทธิพลที่สุดต่อทิศทางระยะยาวของทองคำ คือ ธนาคารกลางและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds) การเข้าซื้อทองคำของสถาบันเหล่านี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็งกำไร แต่เพื่อสร้างความมั่นคงให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
ผู้เล่นที่มีบทบาทโดดเด่นในช่วงหลัง ได้แก่ Poland, China, Turkey, Kazakhstan, India และกลุ่มประเทศใน Middle East ที่เพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง
แรงผลักดันสำคัญมาจากความต้องการกระจายความเสี่ยงด้านทุนสำรองของประเทศ ที่แต่เดิมถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์เป็นหลักเพื่อหวังลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ลดความเสี่ยงจากมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ รวมถึงเพื่อปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวนของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย
Demand กลุ่มนี้จึงเป็นเสาหลักสำคัญของตลาดทองคำ เพราะเป็นการถือครองระยะยาวที่ช่วยให้ราคาทองคำมี Downside Protection
2. ความต้องการทองคำของผู้บริโภคและบทบาทเชิงวัฒนธรรมด้านความมั่งคั่ง
ความต้องการทองคำจากภาคครัวเรือนเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนสำคัญของตลาด แม้จะมีความอ่อนไหวและผันผวนตามระดับราคาทองคำในตลาดโลก แต่แรงซื้อพื้นฐานตามพฤติกรรมโดยเฉพาะในอินเดียและจีนยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นศูนย์กลางของการบริโภคทองคำเชิงวัฒนธรรมและการสะสมสินทรัพย์แบบกายภาพ
ในอินเดีย ทองคำเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและสถานะทางสังคม มีบทบาททั้งในพิธีกรรม การส่งต่อสินทรัพย์ระหว่างรุ่น และการออมที่จับต้องได้ จึงเป็นสินทรัพย์สำรองประจำครัวเรือนโดยธรรมชาติ
ส่วนในจีน ทองคำถูกมองว่าเป็นเครื่องมือรักษามูลค่าที่มีความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะในช่วงที่ภาคอสังหาริมทรัพย์หรือสภาวะเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ทำให้ความต้องการผสมผสานทั้งในรูปของเครื่องประดับและสินทรัพย์ลงทุนอย่าง ทองคำแท่งและเหรียญทอง
นอกเหนือจากสองตลาดหลักนี้ ยังมีความต้องการที่มีนัยสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น Saudi Arabia และ UAE รวมถึง Southeast Asia อย่าง Thailand, Vietnam และ Singapore ซึ่งนิยมถือทองคำเพื่อสะสมความมั่งคั่งและปกป้องอำนาจซื้อในระยะยาวเช่นเดียวกัน
3. อุปสงค์เพื่อการลงทุนผ่าน ETFs: หน้าที่ของทองคำในโครงสร้างพอร์ตยุคใหม่
อีกเม็ดเงินที่ขับเคลื่อนราคาได้อย่างชัดเจน คือ การลงทุนทองคำผ่านเครื่องมือทางการเงิน โดยเฉพาะกลุ่ม Gold-backed ETFs ที่เข้ามามีส่วนร่วมกับตลาดทองคำ ตามความต้องการซื้อขายของทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายบุคคล
ETF รายใหญ่ระดับโลก ได้แก่
• SPDR Gold Shares (GLD) ผู้นำในด้านสภาพคล่องและขนาดกองทุน
• iShares Gold Trust (IAU) ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ต้องการถือยาว
• SPDR Gold MiniShares (GLDM) ที่ลดต้นทุนให้ถูกลง เข้าถึงได้กว้างขึ้น
ETF เหล่านี้ทำให้ทองคำเคลื่อนไหวรวดเร็วขึ้นและมีความสัมพันธ์กับ Sentiment ของตลาดการเงินในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุนและกระจายความเสี่ยง
4. ความต้องการทองคำจากภาคเทคโนโลยีและการผลิตขั้นสูง: บทบาทที่ขยายตัวตามโครงสร้างของเศรษฐกิจดิจิทัล
ในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ทองคำทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบทางวิศวกรรมที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากคุณสมบัติการนำไฟฟ้าที่เหนือกว่า ความทนทานต่อการกัดกร่อน และเสถียรภาพในการทำงานระยะยาว
โลหะทองคำจึงถูกใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น Semiconductor และ High-Performance Computing, โครงสร้างพื้นฐาน Data Center สำหรับ AI และ Cloud, ตลอดจนเทคโนโลยีแห่งอนาคต อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (EV), เครือข่าย 5G, อุตสาหกรรม Aerospace และอุปกรณ์ทางการแพทย์ความเสี่ยงสูง
ฐานการผลิตหลักของอุตสาหกรรมเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ใน East Asia ได้แก่ China, South Korea, Taiwan และ Japan ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก ขณะที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปมีบทบาทในเทคโนโลยีที่ต้องการมาตรฐานความน่าเชื่อถือสูง เช่น กลุ่มการบินและกลาโหม รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลขั้นสูง
ความต้องการทองคำในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้ มีแนวโน้มเติบโตสอดคล้องกับ megatrend เทคโนโลยีทั่วโลก โดยเฉพาะการขยายตัวของ AI-Driven Economy การยกระดับ Infrastructure ทางดิจิทัล และการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมสู่ความเป็นไฟฟ้า ก็ทำให้อุปสงค์ทองคำจากภาคเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนที่มีเสถียรภาพ และสามารถคาดการณ์การเติบโตระยะยาวได้อย่างมีน้ำหนัก
5. Private Wealth & Tokenized Gold: มิติใหม่ของการถือครองทองคำ
นอกเหนือจากสถาบันและผู้บริโภคทั่วไป ยังมี “อุปสงค์แบบเงียบแต่มีน้ำหนัก” จากกลุ่มความมั่งคั่งส่วนบุคคลระดับสูง (Ultra Wealth) โดยเฉพาะการจัดเก็บทองคำในศูนย์กลาง Private Reserve เช่น Switzerland, Singapore และ Dubai เพื่อจุดประสงค์เรื่องการปกป้องความมั่งคงและความเป็นส่วนตัว
นอกจากนี้ ยังมัแนวโน้มใหม่ของการสะสมทองคำ คือ “Tokenized Gold” ที่ทองคำถูกนำมาเป็นสินทรัพย์เบื้องหลังให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภท ส่งผลให้ตลาดทองคำเชื่อมต่อกับ Ecosystem ของ Crypto มากขึ้น และปริมาณทองคำจำนวนหนึ่งถูกผูกไว้ในระบบที่ไม่หมุนเวียนในตลาดทั่วไป
บทสรุปเชิงกลยุทธ์
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีบทบาทเด่นในระบบเศรษฐกิจโลก เพราะสามารถทำหน้าที่ได้หลายมิติพร้อมกัน อาทิ
-เป็นเครื่องมือบริหารเงินสำรองและภูมิรัฐศาสตร์
-เป็นสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่มีอุปสงค์สม่ำเสมอ
-เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน
-เป็นองค์ประกอบทางเทคโนโลยีที่สำคัญต่ออนาคต
-เป็นที่พึ่งสุดท้ายของความมั่งคั่งในวันที่ระบบการเงินสั่นคลอน
เพราะทองคำคือ Safety Premium ของระบบการเงินโลก และความต้องการ Premium นี้ไม่เคยหายไป
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนพร้อมสร้างโอกาสเติบโตไปกับโอกาสจากทองคำ ทาง KTAM ขอแนะนำ KT-GOLD (กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ ฟันด์) และ KT-GOLDUH (กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ ฟันด์ อันเฮดจ์) นอกจากนี้ ยังมีกองทุน KT-GOLD RMF (กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย
โดยทั้งสามกองทุนมีความเสี่ยงระดับ 8 และเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR®GoldTrust (กองทุนรวมหลัก) เพียงกองเดียว เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80%ของ NAV โดยกองทุนหลักมุ่งลงทุนในทองคำแท่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำหักด้วยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการทั้งหมดของกองทุน
สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย
โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือธนาคารกรุงไทย และผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th
สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ได้ที่ https://bit.ly/KTSTSignIn
คำเตือน : กองทุน KT-GOLDUH มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ส่วนกองทุน KT-GOLD และ KT-GOLD RMF มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของ NAV ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม
ผู้เขียน: เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย