• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐต่ำสุดรอบ 3 เดือนในก.ย. เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.6 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 54.6 ในเดือนส.ค. ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการจ้างงานและคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ แต่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.0 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 53.0 ในเดือนส.ค. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัวของภาคการผลิต ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.9 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 54.5 ในเดือนส.ค. โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการอยู่ในภาวะขยายตัว  (อินโฟเควสท์)
      พาวเวล" หนุนเฟดลดดอกเบี้ยสัปดาห์ที่แล้ว เหตุตลาดแรงงานชะลอตัว นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันนี้ว่า ความอ่อนแอในตลาดแรงงานกำลังมีน้ำหนักมากกว่าความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ส่งผลให้เขาสนับสนุนการตัดสินใจของเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "ในช่วงเวลาเช่นนี้ หน้าที่ของเฟดคือการ 'สร้างความสมดุลให้กับพันธกรณีทั้งสองด้านของเฟด' คือ การรักษาเสถียรภาพด้านราคา และการทำให้การจ้างงานเต็มศักยภาพ" "ความเสี่ยงระยะสั้นของเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนความเสี่ยงของการจ้างงานมีแนวโน้มไปทางขาลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยความเสี่ยงที่มาจากทั้งสองด้าน หมายความว่าไม่มีเส้นทางใดที่ปราศจากความเสี่ยง" นายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้นำภาคธุรกิจที่ Greater Providence Chamber of Commerce (GPCC) ในวันนี้   สถานการณ์ที่นายพาวเวลอธิบายสอดคล้องกับภาวะ stagflation ซึ่งหมายถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่รุนแรงเท่ากับที่สหรัฐเคยเผชิญในช่วงทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 แต่ก็ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการกำหนดนโยบายของเฟด   อย่างไรก็ดี นายพาวเวลกล่าวว่า เขาไม่มีความกังวลต่อแนวทางนโยบายปัจจุบันของเฟด แม้เขาส่งสัญญาณต่อความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เห็นความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น "ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการจ้างงานที่ปรับตัวลงได้เปลี่ยนสมดุลของความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายของเรา โดยจุดยืนด้านนโยบายที่ยังคงเป็นการคุมเข้มเล็กน้อยนี้ ทำให้เราพร้อมตอบสนองต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น" นายพาวเวลกล่าว นายพาวเวลชี้ว่า ตลาดแรงงานมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน  ทั้งนี้ ข้อมูลบ่งชี้ว่า อัตราการจ้างงานใหม่ได้ชะลอตัวลงอย่างมาก โดยเฉลี่ยต่ำกว่า 30,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วงฤดูร้อน ขณะที่การทบทวนข้อมูลย้อนหลังบ่งชี้ว่า มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่เคยรายงานเกือบหนึ่งล้านตำแหน่งในรอบ 12 เดือนจนถึงเดือนมีนาคม 2568 ส่วนในด้านเงินเฟ้อ แม้ปรับตัวลงอย่างมากนับตั้งแต่แตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 40 ปีในปี 2565 แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด   นายพาวเวลกล่าวว่า ข้อมูลที่กระทรวงพาณิชย์จะเผยแพร่ในวันศุกร์นี้ คาดว่าจะบ่งชี้ว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี และ 2.9% หากไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน  นอกจากนี้ มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นชั่วคราว และทำให้มีความไม่แน่นอนในระดับสูง  "ทิศทางเงินเฟ้อยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เราจะประเมินและจัดการความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่สูงและยืดเยื้ออย่างรอบคอบ เราจะทำให้มั่นใจได้ว่าการเพิ่มขึ้นของราคาเพียงครั้งเดียวนี้จะไม่กลายเป็นปัญหาเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง" นายพาวเวลกล่าว  (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" เมินคุยแกนนำเดโมแครตในคองเกรส แม้เหลือไม่กี่วันก่อนสหรัฐถูกชัตดาวน์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ โพสต์ข้อความบน Truth Social ในวันนี้ โดยระบุว่า เขาจะยกเลิกการประชุมกับแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรส เพียงไม่กี่วันก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ เนื่องจากปธน.ทรัมป์มองว่าการประชุมดังกล่าวจะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วุฒิสภาสหรัฐได้ปฏิเสธข้อเสนอทั้งของพรรครีพับลิกันและเดโมแครตในการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้รัฐบาลกลางสามารถดำเนินการต่อไปได้ชั่วคราว โดยนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พบกับพรรคเดโมแครตเพื่อบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ขณะที่สภาคองเกรสเผชิญเส้นตายในวันที่ 30 ก.ย.ในการอนุมัติงบประมาณเพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินการต่อไป "หลังจากที่ได้ทบทวนรายละเอียดของข้อเรียกร้องที่ไม่จริงจังและไร้สาระจากพรรคเดโมแครตฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงเสียงข้างน้อยในสภา ที่ต้องการแลกกับคะแนนเสียงเพื่อให้ประเทศอันรุ่งเรืองของเรายังคงเปิดดำเนินการต่อไป ผมจึงตัดสินใจว่าไม่มีทางที่การประชุมกับบรรดาผู้นำในสภาคองเกรสของพวกเขาจะก่อให้เกิดประโยชน์ได้เลย" "พวกเขากำลังขู่ที่จะปิดรัฐบาลสหรัฐ เว้นแต่จะได้งบใช้จ่ายใหม่กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ต่อไป เช่น การให้บริการสาธารณสุขฟรีแก่ผู้อพยพผิดกฎหมาย (ค่าใช้จ่ายมหาศาล!), บังคับให้ผู้เสียภาษีต้องออกเงินสนับสนุนการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับผู้เยาว์, ให้มีรายชื่อผู้เสียชีวิตอยู่ในบัญชีรายชื่อ Medicaid, อนุญาตให้ผู้อพยพผิดกฎหมายที่เป็นอาชญากรขโมยสิทธิประโยชน์ของผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์, พยายามบังคับให้ประเทศเรากลับมาเปิดพรมแดนให้อาชญากรและคนจากทั่วโลกเข้ามา, อนุญาตให้ผู้ชายลงแข่งในกีฬาสำหรับผู้หญิง และให้มีการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับทุกคน" "ทัศนคติและนโยบายฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงเหล่านี้ ทำให้ผมชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมทั้งใน 7 รัฐสมรภูมิ และยังชนะคะแนน Popular Vote จากประชาชน ด้วยชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์อย่างถล่มทลาย" "ผมตั้งตารอที่จะได้พบกับพวกเขา หากพวกเขามีความจริงจังเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเรา เราต้องทำให้รัฐบาลเปิดดำเนินการต่อไป และออกกฎหมายเหมือนกับผู้รักชาติที่แท้จริง ไม่ใช่จับพลเมืองอเมริกันเป็นตัวประกัน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาต้องการให้ประเทศที่รุ่งเรืองของเราถูกปิดตัวลง" "ผมยินดีที่จะพบพวกเขา หากพวกเขายอมรับหลักการที่ระบุไว้ในจดหมายฉบับนี้ พวกเขาต้องทำหน้าที่ของตนเอง!" "ถึงผู้นำพรรคเดโมแครต ตอนนี้ลูกบอลอยู่ในสนามของคุณแล้ว ผมตั้งตารอที่จะได้พบกับคุณ เมื่อคุณมีมุมมองสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ประเทศของเรายืนหยัดอยู่ จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง!" ปธน.ทรัมป์ระบุ  (อินโฟเควสท์)
      ซิตี้แบงก์คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หนุนหุ้นฮ่องกง-จีน, ดันราคาทองคำพุ่ง ซิตี้แบงก์ (Citibank) คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมสูงสุด 1.5% ภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก และจะกระตุ้นการลงทุนในหุ้นฮ่องกงและจีน พร้อมผลักดันราคาทองคำให้สูงยิ่งกว่าระดับปัจจุบัน นักวิเคราะห์ของซิตี้แบงก์กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของฮ่องกงและจีน จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปีต่อ ๆ ไป แคลวิน ฮา นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโสภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของซิตี้แบงก์ โกลบอล เวลธ์ (Citi Global Wealth) กล่าวว่า ตัวเลขว่างงานและข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ทำให้มีแนวโน้มที่เฟดจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึงปีหน้า พร้อมเสริมว่า การลดดอกเบี้ยจะยิ่งทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และดึงดูดนักลงทุนให้โยกเงินไปยังตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ขณะเดียวกัน แคลวินมองว่า ทองคำยังคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย แม้ว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นมากในปีนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสสูงขึ้นได้อีก เขาระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เฟดปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีลง 0.25% และคาดว่าจะลดเพิ่มอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายเดือนต.ค. และธ.ค. รวมแล้วคาดว่าดอกเบี้ยจะลดลง 1-1.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.75-3% จากเดิม 4.25-4.5% ส่วนราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น 44% ในรอบปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มทะยานแตะ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระยะใกล้ หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 3,752 ดอลลาร์ในวันนี้ (23 ก.ย.) นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์คาดว่า ดัชนีฮั่งเส็งจะแตะที่ระดับ 26,800 จุดในสิ้นปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้น 34% จากต้นปี และมีแนวโน้มขึ้นต่อไปถึง 27,500 จุดภายในกลางปีหน้า  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 88.76 จุด นลท.ประเมินถ้อยแถลงพาวเวล ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งระบุว่า ในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้านั้น เฟดจำเป็นต้องพิจารณาทั้งในเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,292.78 จุด ลดลง 88.76 จุด หรือ -0.19%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,656.92 จุด ลดลง 36.83 จุด หรือ -0.55% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,573.47 จุด ลดลง 215.50 จุด หรือ -0.95%  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.13 หลังแผนส่งออกน้ำมันจากเคอร์ดิสถานชะงัก สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่าแผนการส่งออกน้ำมันจากภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรักหยุดชะงักลง ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันโลกล้นตลาด ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.81% ปิดที่ 63.41 ดอลลาร์/บาร์เรล  ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.59% ปิดที่ 67.63 ดอลลาร์/บาร์เรล  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่าเล็กน้อย หลังนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงพาวเวล สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (23 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนประเมินถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งระบุว่า ในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้านั้น เฟดจำเป็นต้องพิจารณาทั้งในเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.08% แตะที่ 97.264  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $40.6 ทำนิวไฮ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย-เก็งเฟดหั่นดบ. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันอังคาร (23 ก.ย.) โดยราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย  ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 40.6 ดอลลาร์ หรือ 1.08% ปิดที่ 3,815.7 ดอลลาร์/ออนซ์  (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ร่วง นลท.จับตาถ้อยแถลง "พาวเวล", เงินเฟ้อสหรัฐ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในสัปดาห์นี้ ณ เวลา 20.05 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.135% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.759%  (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      ดัชนี PMI ยูโรโซนขั้นต้นก.ย.โตสุดในรอบ 16 เดือน แต่ยอดสั่งซื้อใหม่นิ่งสนิท S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซนจาก HCOB ขยับขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 51.2 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 51.0 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย และนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ภาคบริการเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นพุ่งขึ้นสู่ระดับ 51.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน สวนทางกับภาคการผลิตที่กลับเข้าสู่ภาวะหดตัว โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 49.5 ในเดือนก.ย. หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ให้ความเห็นว่า "ยูโรโซนยังคงเติบโต แต่ยังห่างไกลจากคำว่ามีโมเมนตัมที่แท้จริง" ซึ่งสะท้อนจากดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงมาอยู่ที่ 50.0 อันเป็นจุดที่ไม่มีการขยายตัว ข้อมูลยังสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในสองประเทศยักษ์ใหญ่ของกลุ่ม โดยเยอรมนีมีการเติบโตที่แข็งแกร่งและรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566 ขณะที่ฝรั่งเศสเผชิญภาวะธุรกิจหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และยังหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ภาวะซบเซาของคำสั่งซื้อใหม่เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน การจ้างงานโดยรวมหยุดนิ่งในเดือนก.ย. หลังจากขยายตัวต่อเนื่องมา 6 เดือน โดยภาคการผลิตยังคงลดคนงาน ส่วนภาคบริการชะลอการจ้างงานลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน อย่างไรก็ดี มีสัญญาณบวกจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง โดยทั้งต้นทุนวัตถุดิบและราคาขายสินค้าต่างปรับตัวขึ้นในอัตราที่ช้าลง  (อินโฟเควสท์)
      ดัชนี PMI เยอรมนีขั้นต้นโตเร็วสุดในรอบ 16 เดือน สวนทางภาคการผลิตที่เริ่มแผ่ว S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของเยอรมนีจาก HCOB ขยับขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 52.4 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 50.5 ในเดือนส.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.6 ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตในเดือนนี้มาจากภาคบริการ โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นพุ่งขึ้นสู่ระดับ 52.5 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 8 เดือน อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตกลับส่งสัญญาณน่าเป็นห่วง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นหดตัวลงสู่ระดับ 48.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน แม้ภาพรวมจะดูดี แต่ผลสำรวจพบสัญญาณเตือนสำคัญ เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ลดลงทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ สะท้อนให้เห็นว่าอุปสงค์โดยรวมยังคงเปราะบาง ไซรัส เดอ ลา รูเบีย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ให้ความเห็นว่า "ปัญหาดูเหมือนจะเริ่มก่อตัวขึ้นในภาคการผลิต หากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศยังคงลดลง อีกไม่นานบริษัทต่าง ๆ ก็จำเป็นต้องชะลอการผลิตลงด้วย" นอกจากนี้ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มกลับมาสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการที่ต้นทุนและราคาผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบหลายเดือน เดอ ลา รูเบีย เตือนว่ายังไม่ควรชะล่าใจ เพราะยอดคำสั่งซื้อกำลังถูกกดดันอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงอีกครั้งในไม่ช้า เขายังชี้ว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อแนวโน้มหนึ่งปีข้างหน้าก็ลดลงเช่นกัน เนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจซบเซาและต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง  (อินโฟเควสท์)
      PMI ฝรั่งเศสขั้นต้นเดือนก.ย. ทรุดตัวหนักสุดในรอบ 5 เดือน เซ่นพิษดีมานด์ซบเซา S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของฝรั่งเศสจาก HCOB ดิ่งลงมาอยู่ที่ 48.4 ในเดือนก.ย. จากระดับ 49.8 ในเดือนส.ค. ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการต่างอยู่ในภาวะหดตัว โดยเฉพาะสถานการณ์ในภาคการผลิตที่น่าเป็นห่วง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นร่วงลงมาอยู่ที่ 48.1 จาก 50.4 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคการผลิตดิ่งลงแตะ 45.9 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ด้านดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นของฝรั่งเศสลดลงมาอยู่ที่ 48.9 จาก 49.8 ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ปัจจัยหลักที่ฉุดเศรษฐกิจคืออุปสงค์ของผู้บริโภคที่ซบเซาอย่างหนัก สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่โดยรวมที่ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกันแล้ว ผู้ประกอบการในฝรั่งเศสต้องยอมปรับลดราคาสินค้าและบริการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. แม้ว่าต้นทุนยังคงสูงขึ้นก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงผลจากการแข่งขันที่รุนแรงและอุปสงค์ที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณบวกอยู่บ้าง โดยภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน แต่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจโดยรวมยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งมีปัจจัยจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นตัวฉุดความคาดหวัง  (อินโฟเควสท์)
      ดัชนี PMI ขั้นต้น UK เดือนก.ย.แผ่ว ภาคธุรกิจหวั่นรัฐบาลขึ้นภาษีรอบใหม่ S&P Global เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (23 ก.ย.) ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของสหราชอาณาจักร (UK) ลดลงมาอยู่ที่ 51.0 ในเดือนก.ย. จาก 53.5 ในเดือนส.ค. ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 53.0 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในอีก 12 เดือนข้างหน้า ก็ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธุรกิจจาก S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า "ไม่น่าแปลกใจที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจจะแย่ลงอีก ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการขึ้นภาษีในงบประมาณปลายปีนี้ หากความเชื่อมั่นไม่ฟื้นตัว เศรษฐกิจก็ยากที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร" สถานการณ์นี้สร้างความท้าทายให้แก่ ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลัง UK ที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างการขึ้นภาษีกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในแผนงบประมาณวันที่ 26 พ.ย. ผลสำรวจยังพบว่าบริษัทต่าง ๆ เริ่มลดการจ้างงานอีกครั้ง โดยระงับการจ้างพนักงานใหม่และไม่หาคนมาทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง เพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นและปริมาณงานที่ลดลง เมื่อแยกตามภาคส่วน ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นลดลงสู่ 51.9 ในเดือนก.ย. ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นหดตัวลงไปอยู่ที่ 46.2 ในเดือนก.ย. ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ผู้ประกอบการภาคบริการระบุว่าจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า เพราะต้องแบกรับภาระค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากการขึ้นภาษีในแผนงบประมาณฉบับก่อนหน้า  นักเศรษฐศาสตร์มองว่า สัญญาณชะลอตัวนี้อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เร่งตัดสินใจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หลังจากที่เพิ่งคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4% ในการประชุมครั้งล่าสุด เพื่อรอดูสัญญาณว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างชัดเจน  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 3.36 จุด นักลงทุนประเมินผลประกอบการ-ข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเล็กน้อยในวันอังคาร (23 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ และข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของกิจกรรมทางธุรกิจในอังกฤษ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,223.32 จุด ลดลง 3.36 จุด หรือ -0.04%  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มสินค้าหรูหราหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งสัปดาห์ในวันอังคาร (23 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหรา หลังจากการใช้จ่ายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และจากการที่หุ้นพลังงานลมที่ปรับตัวขึ้น หลังศาลมีคำตัดสินให้บริษัท Orsted ของเดนมาร์กกลับมาดำเนินโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งในสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.95 จุด เพิ่มขึ้น 1.55 จุด หรือ +0.28% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,872.02 จุด เพิ่มขึ้น 41.91 จุด หรือ +0.54%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,611.33 จุด เพิ่มขึ้น 84.28 จุด หรือ +0.36% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,223.32 จุด ลดลง 3.36 จุด หรือ -0.04%  (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิเปิดลบ 9.25 จุด ตามทิศทางดาวโจนส์ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดลบในวันนี้ (24 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ หลังจากเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า ยังไม่มีความแน่นอนเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะสั้น   ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 45,484.41 จุด ลดลง 9.25 จุด หรือ -0.02%  (อินโฟเควสท์)
      จีน
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 6.74 จุด เหตุนักลงทุนขายทำกำไร ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (23 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Growth Stock) ที่ราคาปรับขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,821.83 จุด ลดลง 6.74 จุด หรือ -0.18%  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 185.02 จุด จับตาซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันนี้ (23 ก.ย.) แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบสองสัปดาห์ ขณะที่ฮ่องกงเตรียมพร้อมรับมือซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา (Ragasa) หนึ่งในพายุรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ประกอบกับนักลงทุนยังคงรอคอยรัฐบาลจีนออกมาตรการใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 26,159.12 จุด ลดลง 185.02 จุด หรือ -0.70%  (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      OECD เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้ คาดมีการเร่งผลิตก่อนโดนกำแพงภาษี องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ขึ้น 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ 3.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนมิ.ย. โดยเหตุผลหลักมาจากการที่หลายประเทศเร่งการผลิตและส่งออกสินค้าก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะขึ้นภาษีนำเข้า สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สำหรับญี่ปุ่นนั้น OECD ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ขึ้น 0.4 จุด เป็น 1.1% เพราะภาคธุรกิจมีกำไรดีและมีการลงทุนอย่างแข็งแกร่ง ก่อนที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 0.5% ในปี 2569 หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นทำข้อตกลงเรื่องภาษีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สำเร็จ  ส่วนในภูมิภาคเอเชีย จีนซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกและไม่ได้เป็นสมาชิก OECD คาดว่าจะเติบโต 4.9% ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.2 จุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลที่ช่วยลดผลกระทบจากอุปสรรคทางการค้า   อย่างไรก็ตาม OECD ได้เตือนถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญ โดยระบุว่า "การเร่งการผลิตนั้นได้หมดไป ขณะที่อัตราภาษีที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางนโยบายจะยังคงส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการค้า" สำหรับปี 2569 OECD ยังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกไว้ที่ 2.9% เท่าเดิม ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะขยายตัว 1.8% ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.2 จุด จากการคาดการณ์ครั้งก่อน แต่ลดลงจาก 2.8% ในปี 2567 เพราะแม้จะมีการลงทุนในภาคเทคโนโลยี แต่ก็ถูกบดบังด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้นและการย้ายถิ่นฐานที่ลดลง ส่วนในปี 2569 นั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะโต 1.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้  (อินโฟเควสท์)
      ดัชนี PMI ขั้นต้นของอินเดียเดือนก.ย.โตแผ่วลงจากเดือนก่อน แต่ยังแกร่ง S&P Global เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในวันนี้ (23 ก.ย.) บ่งชี้ว่า การเติบโตของภาคเอกชนอินเดียในเดือนก.ย. ยังคงแข็งแกร่ง แต่ชะลอตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบหลายปีของเดือนส.ค. โดยปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลให้ยอดสั่งซื้อใหม่แผ่วลง และไม่สามารถกระตุ้นการจ้างงานให้เพิ่มขึ้นได้   ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของอินเดียจาก HSBC ปรับตัวลงสู่ระดับ 61.9 ในเดือนก.ย. จาก 63.2 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 62.9 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงถือเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วเป็นอันดับสองในรอบกว่าสองปี การชะลอตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงสู่ 58.5 จาก 59.3 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 61.6 จาก 62.9 ยอดธุรกิจใหม่โดยรวมยังขยายตัวได้ดี แต่ในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนส.ค. โดยบริษัทบางแห่งระบุว่าแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงทำให้รับคำสั่งซื้อได้น้อยลง ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศก็อ่อนแอลงเช่นกัน ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อเพื่อการส่งออกใหม่ขยายตัวในอัตราต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวในภาคบริการ ด้านการจ้างงานขยายตัวในระดับปานกลางและชะลอลงจากเดือนส.ค. โดยมีผู้ผลิตเพียงประมาณ 3% และผู้ให้บริการ 5% ที่รายงานการจ้างงานเพิ่มขึ้น ข้อมูลนี้ชี้ว่าแม้เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทต่าง ๆ ยังไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายทีมงาน ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับผู้กำหนดนโยบายที่ต้องรับมือกับแรงงานใหม่เข้าสู่ระบบหลายล้านคนในแต่ละปี สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีทิศทางที่แตกต่างกัน แม้ต้นทุนการผลิตโดยรวมจะลดลง แต่ภาคการผลิตกลับปรับขึ้นราคาขายในอัตราที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 13 ปี โดยอ้างถึงต้นทุนวัตถุดิบอย่างฝ้ายและเหล็กกล้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี การขึ้นราคานี้ถูกชดเชยด้วยราคาในภาคบริการที่ปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ที่เริ่มมีผลเมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.) คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาล แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะยังคงเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก็ตาม โดยผู้ส่งออกระบุว่าผลกระทบเต็มรูปแบบจากภาษีที่สูงขึ้นจะเริ่มปรากฏชัดในเดือนนี้ ซึ่งอาจทำให้กิจกรรมภาคเอกชนชะลอตัวลงไปอีก  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดแดนลบ กังวลค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B  ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวในแดนลบ โดยบรรยากาศการซื้อขายยังคงได้รับผลกระทบจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมสำหรับการยื่นขอวีซ่า H-1B สู่ระดับ 100,000 ดอลลาร์ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,102.10 ลบ 57.87 จุด หรือ 0.07%  (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      ธปท.ปรับข้อมูลบัญชีดุลชำระเงินปี 67 ส่งผลค่าความคลาดเคลื่อนวูบกว่าครึ่ง ยันไม่ได้สะท้อนธุรกิจ"สีเทา" ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน ปี 2567 ส่งผลให้ค่าความคลาดเคลื่อน (NEO) ปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศเมื่อเดือนมี.ค. 68  นายเดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธปท.เปิดเผยว่า ธปท. ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือน ก.ย.68 ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions: NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือน มี.ค.68 ที่ 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมฯ ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้น และทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 2. ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3. ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับข้อมูล BOP รายปีนั้น ธปท. จะเผยแพร่ตัวเลขเบื้องต้นในเดือน มี.ค.ของปีถัดไป จากนั้นจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในทุกเดือน ก.ย. ตัวอย่างเช่น การจัดทำข้อมูล BOP ของปี 2567 จะเผยแพร่ครั้งแรกในเดือน มี.ค.68 และจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในเดือน ก.ย.68 และเดือน ก.ย.69  ค่าความคลาดเคลื่อนในดุลการชำระเงินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ แต่อยู่ในระดับที่มากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นกับปริมาณการค้าระหว่างประเทศของประเทศนั้น ๆ ซึ่งหากเป็นประเทศที่เปิดมาก หรือมีการค้าขายกับต่างประเทศในระดับสูง ก็จะมีโอกาสทำให้ NEO สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในกรณีของประเทศไทย ข้อมูลเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง เมื่อเทียบสัดส่วน NEO กับการค้าระหว่างประเทศแล้ว จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 1.3% และล่าสุดปี 67 อยู่ที่ 1.0% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศทั่วโลก  (อินโฟเควสท์)
      ยอดสะสมต่างชาติเที่ยวไทย 23.4 ล้านคน "มาเลเซีย" ยังครองแชมป์ น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ย. 68 รวมทั้งสิ้น 23,450,122 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,082,938 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 3,380,339 คน จีน 3,301,185 คน อินเดีย 1,711,381 คน รัสเซีย 1,244,626 คน และเกาหลีใต้ 1,105,186 คน สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-21 ก.ย.) นักท่องเที่ยวชะลอตัวด้านการเดินทางในทุกกลุ่มตลาด ก่อนการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในเดือนต.ค. ส่งผลให้ภาพรวม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 496,986 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 68,333 คน หรือ 12.09% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เฉลี่ยวันละ 70,998 คน โดย 5 อันดับแรก ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย 101,376 คน จีน 70,678 คน อินเดีย 44,813 คน เกาหลีใต้ 23,590 คน และญี่ปุ่น 23,271 คน ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวในสัปดาห์นี้ (22-28 ก.ย.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การออกเดินทางท่องเที่ยวก่อนมีวันหยุดในต้นเดือนต.ค.ในประเทศจีน การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาลที่ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น  (อินโฟเควสท์)
      ตลาดรถ ส.ค. สันดาปลดฮวบสวนทาง EV ส.อ.ท.เสนอรัฐตั้งกองทุนค้ำประกันสินเชื่อกระบะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2568 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน ส.ค.68 อยู่ที่ 71,179 คัน ลดลงจากเดือน ส.ค.ปีก่อน 17.30% เนื่องจากการส่งออกรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ลดลง จากความเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบางประเทศ โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 67,917.28 ลดลง 18.07% ทั้งนี้ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-ส.ค.) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปรวม 602,975 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.44% โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 581,307.35 ลดลง 10.58% จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน ส.ค.68 มีทั้งสิ้น 112,366 คัน เพิ่มขึ้น 1.58% จากเดือน ก.ค.68 แต่ลดลง 6.11% จากเดือน ส.ค.67 จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลง 10.67% จากเดือน ส.ค.67 เพราะผลิตรถยนต์นั่งลดลง 21.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า รวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลง 6.36% จากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 4.11% จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายในปี 2565-2566 ส่งผลให้รถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลง 5.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือน ส.ค.68 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลง 3.01% จากเดือน ก.ค.68 แต่เพิ่มขึ้น 5.38% จากเดือน ส.ค.67 จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้น 26.62% จากปีที่แล้ว ขณะที่รถกระบะขายได้ 10,960 คัน ลดลง 10.92% รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่าสองปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มียอดขาย 399,619 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 แค่ 8 คันจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้า  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 9.34 จุด ขายหุ้นใหญ่กดดัน มองตลาดปรับฐานรอฟื้น-จับตารัฐแถลงนโยบายหนุนแรงเก็งกำไร SET ปิดวันนี้ที่ 1,273.20 จุด ลดลง 9.34 จุด (-0.73%) มูลค่าซื้อขาย 40,147.95 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ย่อตัวลงรับแรงขายทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่ แม้ช่วงเช้าดัชนียังมีแรงซื้อ DELTA ช่วยพยุงได้บ้าง มองโมเมนตัม SET ปรับฐานลงมาที่ 1,270 จุดก่อนฟื้นตัว แนวโน้มพรุ่งนี้คาดยังปรับฐานต่อ แนะติดตามการแถลงนโยบายรัฐบาลสัปดาห์หน้า เก็งหนุนแรงเก็งกำไรกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มเกี่ยวข้องมาตรการรัฐ ให้กรอบแนวรับ 1,270 จุด ถัดไป 1,260 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,273.20 จุด ลดลง 9.34 จุด (-0.73%) มูลค่าซื้อขาย 40,147.95 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงและเคลื่อนไหวแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับต่ำสุด 1,272.68 จุด และสูงสุด 1,290.84 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 101 หลักทรัพย์ ลดลง 403 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 149 หลักทรัพย์  (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.80 แกว่งแคบ ไร้ปัจจัยใหม่ ตลาดรอข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐคืนนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 31.80 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 31.78 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.76-31.88 บาท/ดอลลาร์ วันนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะส่งผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินบาทได้มากนัก ขณะที่สกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสม มีทั้งอ่อนค่า และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ   "วันนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ บาทยังแกว่งแคบ ๆ ที่ 31.76-31.88 บาท/ดอลลาร์ ส่วนภูมิภาคเป็นแบบผสม มีทั้งอ่อนค่าและแข็งค่า ส่วนบาทวันนี้ ยังอยู่กลาง ๆ" นักบริหารเงิน ระบุ คืนนี้ ตลาดรอดูข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้น และภาคบริการขั้นต้น เดือนก.ย. รวมทั้งติดตามถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อดูแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.70 31.90 บาท/ดอลลาร์  (อินโฟเควสท์)      
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 141,140 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 141,140 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 63,435 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,927 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,612 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.17% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-3 bps. ในตราสารระยะยาว สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 1,612 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 1,612 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ  S&P Global รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของยูโรโซน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51.2 ในเดือนก.ย. จาก 51.0 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เล็กน้อย ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการขั้นต้น สหรัฐฯ เดือนก.ย. ในวันพรุ่งนี้  (อินโฟเควสท์)
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จาก S&P Global ญี่ปุ่น                       
      ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จาก S&P Global ญี่ปุ่น                       
      ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค. สหรัฐฯ
      สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ

       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      09
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.