สหรัฐฯ
วุฒิสภาสหรัฐฯ ไฟเขียว 48 รายชื่อที่ทรัมป์เสนอ ลงมติรวดเดียวหลังแก้กฎใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 ก.ย.) วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติรับรองบุคคล 48 คนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อ ด้วยการลงคะแนนเสียงเพียงครั้งเดียว การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากสว. พรรครีพับลิกันแก้ไขกฎให้สามารถอนุมัติรายชื่อแบบยกชุดได้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สว. รีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาสูง ได้อนุมัติรายชื่อดังกล่าวด้วยคะแนน 51 ต่อ 47 เสียง โดยเป็นการลงมติไปในทิศทางเดียวกันตามสังกัดพรรค ซึ่งในบรรดารายชื่อที่ผ่านการรับรองนี้ มีตำแหน่งเอกอัครราชทูตหลายตำแหน่งรวมอยู่ด้วย สำหรับบุคคลสำคัญที่ได้รับการแต่งตั้ง เช่น คิมเบอร์ลี กิลฟอยล์ อดีตพิธีกรช่องฟ็อกซ์นิวส์ (Fox News) ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรีซ และคาลลิสตา กิงริช ภรรยาของนิวต์ กิงริช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ นอกจากนี้ยังมีแบรนดอน วิลเลียมส์ ในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ฝ่ายความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ก่อนหน้านี้ สว. รีพับลิกันได้ใช้เสียงข้างมากธรรมดาเพื่อล้มกฎเดิมที่กำหนดว่าการอนุมัติบุคคลต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 60 เสียง ด้านจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวหาเดโมแครตมาตลอดว่าจงใจขัดขวางและถ่วงเวลาการรับรองบุคคลที่ทรัมป์เสนออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนทำให้วุฒิสภาแทบจะทำงานไม่ได้ ขณะที่ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา โต้กลับว่า ที่ผ่านมาทรัมป์เสนอแต่ "บุคคลที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์" "ผมเชื่อว่าอีกไม่นานพวกรีพับลิกันจะต้องมานั่งเสียใจที่ผลักดันวุฒิสภาให้เดินลงสู่เส้นทางที่เลวร้ายเช่นนี้" ผู้นำเดโมแครตในสภาสูงกล่าว (อินโฟเควสท์)
"มิแรน" ยันไม่มีใบสั่งจาก "ทรัมป์" ให้โหวตสวนมติที่ประชุม FOMC นายสตีเฟน มิแรน ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวยืนยันว่า เขาไม่ได้หารือกับประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับการลงมติอัตราดอกเบี้ย ก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในสัปดาห์นี้ นายมิแรนกล่าวว่า "ท่านประธานาธิบดีโทรมาหาผมเพื่อแสดงความยินดี แต่ท่านไม่ได้ขอให้ผมทำอะไรเป็นพิเศษ และผมเองก็ไม่ได้ให้สัญญาว่าจะทำอะไรเป็นพิเศษเช่นกัน" ต่อคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจในการประชุม FOMC สัปดาห์นี้ นายมิแรนกล่าวว่า "ผมไม่เห็นว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลต่อเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ และไม่เห็นหลักฐานใด ๆ ว่าเกิดขึ้นแล้ว" ทั้งนี้ FOMC มีมติ 11-1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมสัปดาห์นี้ ตามการคาดการณ์ของตลาด ขณที่นายมิแรนโหวตสวนมติในที่ประชุม FOMC โดยเขาลงมติให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
หน่วยงานสหรัฐฯ จ่อถูกชัตดาวน์ หลังวุฒิสภาปฏิเสธร่างงบประมาณชั่วคราว หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ บางส่วนอาจต้องปิดทำการ หลังจากในวันศุกร์ (19 ก.ย.) วุฒิสภาได้ปฏิเสธร่างงบประมาณระยะสั้นที่สภาผู้แทนราษฎรเพิ่งอนุมัติ สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติแผนของพรรครีพับลิกันอย่างเฉียดฉิว เพื่อให้รัฐบาลมีงบประมาณใช้จ่ายจนถึงปลายเดือนพ.ย. แต่ต่อมาวุฒิสภาคัดค้านด้วยคะแนน 44 ต่อ 48 เสียง ซึ่งไม่ถึง 60 เสียงที่จำเป็นต่อการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว ขณะที่ร่างของพรรคเดโมแครตซึ่งรวมข้อกำหนดเกี่ยวกับโครงการเฮลท์แคร์ก็ไม่ผ่านการอนุมัติเช่นกัน เมื่อทั้งสองสภาเผชิญทางตัน และกำหนดเวลาสิ้นสุดการต่ออายุงบประมาณชั่วคราวของรัฐบาลกลางใกล้จะถึงในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 30 ก.ย.นี้ ความเสี่ยงในการปิดหน่วยงานรัฐบาลจึงเพิ่มสูงขึ้น หากเกิดการชัตดาวน์ หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งจะหยุดให้บริการ เจ้าหน้าที่หลายแสนคนอาจได้รับเงินเดือนล่าช้า และการดำเนินงานตั้งแต่สวนสาธารณะไปจนถึงการอนุมัติวีซ่าจะได้รับผลกระทบ แต่โครงการภาคบังคับ เช่น ประกันสังคมและเมดิแคร์ จะยังคงดำเนินงานต่อไป ภาวะชะงักงันในสองสภาครั้งนี้สะท้อนความแตกแยกทางการเมืองในกรุงวอชิงตัน โดยพรรคเดโมแครตวิจารณ์แผนของสภาผู้แทนราษฎรว่ามองข้ามเรื่องการดูแลสุขภาพ ขณะที่พรรครีพับลิกันยืนยันว่า มาตรการชั่วคราวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อซื้อเวลาในการเจรจาเรื่อง งบประมาณต่อไป (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ ขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B เป็นแสนดอลลาร์ ดันต้นทุนจ้างงานต่างชาติพุ่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลงนามในประกาศเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) เพื่อปรับขึ้นค่าธรรมเนียมที่บริษัทต่าง ๆ ต้องจ่ายเพื่อสนับสนุนผู้สมัครวีซ่า H-1B จากเดิมหลักพันดอลลาร์เป็น 100,000 ดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อป้องกันการใช้โครงการนี้แทนที่แรงงานอเมริกัน และคัดเลือกเฉพาะบุคลากรทักษะสูงที่มีความจำเป็นจริง ๆ ประกาศกำหนดให้ผู้ถือวีซ่า H-1B สามารถเข้ามาทำงานในอาชีพเฉพาะทางได้ก็ต่อเมื่อมีการชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว โดยข้อจำกัดนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. เป็นต้นไป ปัจจุบัน สหรัฐฯ ออกวีซ่า H-1B สำหรับผู้ยื่นขอรายใหม่ปีละ 85,000 ใบ ขณะที่บริษัททั่วไปจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ต่อราย แต่มาตรการใหม่นี้จะทำให้ต้นทุนการจ้างแรงงานต่างชาติพุ่งสูงขึ้น ทรัมป์กล่าวในพิธีลงนามที่ทำเนียบขาวว่า ค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะกระตุ้นให้บริษัทหันมาจ้างแรงงานอเมริกันแทน เพราะไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่ม ขณะที่โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์กล่าวว่า บริษัทต้องชั่งใจว่าพนักงานต่างชาติคนนั้นมีคุณค่ามากพอที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมถึง 100,000 ดอลลาร์ต่อปีหรือไม่ สื่อสหรัฐฯ ระบุว่า นโยบายนี้จะกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Microsoft และ Google ที่พึ่งพาโครงการ H-1B มายาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ขณะที่ CBS เตือนว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้บริษัทอเมริกันย้ายงานไปต่างประเทศมากขึ้น และอาจทำให้จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เลือกเรียนในสหรัฐฯ ลดลงด้วย (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ เปิดโครงการวีซ่าใหม่ หวังดึงดูดคนรวยทั่วโลกด้วย Trump Gold Card ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศโครงการวีซ่าใหม่สำหรับเศรษฐีทั่วโลก ซึ่งเป็นมาตรการที่หลายฝ่ายเฝ้ารอ โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดให้คนร่ำรวยย้ายถิ่นฐานเข้าสหรัฐฯ ผ่านการซื้อสิทธิพำนักถาวรด้วยเงินจำนวนสูง ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ที่ทำเนียบขาว ระหว่างการลงนามคำสั่งจัดตั้งโครงการนี้ว่า คนเหล่านี้จะใช้เงินจำนวนมากเพื่อเข้ามา และเงินที่ได้จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปใช้ลดภาษี ชำระหนี้ และใช้ในด้านที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ตามเว็บไซต์ที่เปิดตัวโครงการ ระบุว่า ผู้สนใจสามารถจ่ายเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมค่าดำเนินการและการตรวจสอบประวัติ เพื่อรับสิทธิพำนักถาวรในสหรัฐฯ ผ่านบัตร "Trump Gold Card" นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวบัตร "Platinum Card" มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ให้สิทธิผู้ถือบัตรสามารถอยู่ในสหรัฐฯ ได้สูงสุด 270 วัน โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ที่มาจากนอกสหรัฐฯ สำหรับภาคธุรกิจ หากจ่ายค่าธรรมเนียม 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อพนักงาน จะสามารถขอสิทธิพำนักถาวรในสหรัฐฯ ให้แก่พนักงานได้ในจำนวนที่ไม่ได้ระบุชัด เว็บไซต์ยังระบุว่า "Trump Corporate Gold Card" จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจโอนสิทธิพำนักจากพนักงานคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่งได้ โดยมีค่าธรรมเนียมการโอนและต้องผ่านการตรวจสอบของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) รวมถึงมีค่าธรรมเนียมรายปีเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าวีซ่าดังกล่าวจะสามารถออกให้ได้เมื่อใด โดยในเว็บไซต์มีช่อง "สมัครตอนนี้" ที่ให้ผู้สนใจกรอกชื่อ ภูมิภาคที่อาศัย และอีเมลเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการ (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เตรียมจัดประชุมใหญ่พรรคก่อนเลือกตั้งกลางเทอม ตั้งเป้ารักษาเสียงข้างมาก พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งผลลัพธ์ของการแบ่งเขตจะเป็นตัวกำหนดว่าพรรคใดจะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หากพรรคใดสูญเสียเสียงข้างมาก จะส่งผลต่อความสามารถของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการผลักดันวาระนโยบายของเขา โดยในปัจจุบัน พรรครีพับลิกันครอง 53 ที่นั่งในวุฒิสภา เทียบกับ 47 ที่นั่งของพรรคเดโมแครต และมีเสียงข้างมาก 219 ต่อ 213 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร ทรัมป์ประกาศเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ว่า พรรครีพับลิกันจะจัดการประชุมใหญ่สำหรับการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2569 เพื่อสนับสนุนความพยายามในการรักษาเสียงข้างมากที่มีอยู่ในสภาคองเกรสไว้ต่อไป ซึ่งปกติแล้วการประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรคมักจัดเฉพาะในปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทรัมป์ระบุผ่าน Truth Social ว่า พรรครีพับลิกันต้องการจัดการประชุมครั้งนี้อย่างมาก และจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีทั้งความสนุกสนานและได้ผลดีอย่างมาก ด้านสำนักข่าว Axios รายงานว่า พรรคเดโมแครตเองก็กำลังพิจารณาจัดการประชุมพรรคล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมเช่นกัน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์ฟื้นตัว ขณะปอนด์อ่อนจากความกังวลด้านการคลัง สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (19 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มระยะสั้น หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ แต่ส่งสัญญาณว่าจะทยอยผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.3% แตะที่ 97.644 (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ดีดตัว ขานรับตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น ขานรับรายงานผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการชะลอตัวของตลาดแรงงาน ณ เวลา 19.53 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.137% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.750% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
"ลาการ์ด" เผย ECB บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อแล้ว แต่เศรษฐกิจ EU ยังไม่แน่นอน คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ DRTV ของเดนมาร์กว่า ECB สามารถบรรลุเป้าหมายในการควบคุมระดับราคาสินค้าได้แล้ว แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงอยู่ แม้ว่าสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐฯ ตกลงกันได้เรื่องอัตราภาษีการค้าก็ตาม ลาการ์ดระบุว่าระดับความไม่แน่นอนลดลงประมาณ 50% ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าที่สำคัญ แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ชัดเจนเท่ากับช่วงก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเก็บภาษีการค้า ลาการ์ดกล่าวในการสัมภาษณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยต้องมีเป้าหมายต่อระดับเงินเฟ้อ ซึ่ง ECB ตั้งไว้ และตอนนี้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว ECB คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นครั้งที่สอง หลังจากลดดอกเบี้ยไปแล้ว 8 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในรอบ 1 ปี ผู้กำหนดนโยบายคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ราว 2% ตามเป้าหมาย หลังจากช่วงเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมายชั่วคราวในปีหน้า และเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสต่อ ๆ ไป เจ้าหน้าที่หลายคนของ ECB ระบุว่า ยังไม่เห็นความจำเป็นต้องผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม ตราบใดที่ไม่มีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจ แต่บางคนก็เห็นว่าควรเปิดโอกาสไว้เผื่อดำเนินมาตรการเพิ่มเติมในอนาคต (อินโฟเควสท์)
ยอดค้าปลีกอังกฤษเดือนส.ค.โตเกินคาด หลังอากาศดีหนุนการจับจ่าย สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) รายงานในวันนี้ (19 ก.ย.) ว่า ตัวเลขยอดค้าปลีกของอังกฤษออกมาดีเกินคาดในเดือนส.ค. ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่อบอุ่น ทำให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น บ่งชี้ว่าครัวเรือนเริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของการขึ้นภาษีของพรรคแรงงาน รายงานระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากที่ขยับขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. โดยได้แรงหนุนจากสภาพอากาศอบอุ่นซึ่งกระตุ้นยอดขายเสื้อผ้าและเบเกอรี แม้ยอดขายในกลุ่มอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมลดลงก็ตาม ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้สะท้อนถึงการใช้จ่ายของครัวเรือนที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญความกังวลหลังรัฐบาลพรรคแรงงานประกาศขึ้นภาษีค่าจ้าง (payroll tax) มูลค่า 2.6 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์) รวมถึงแรงกดดันจากการจ้างงานที่ซบเซา ค่าจ้างที่ชะลอตัว และราคาสินค้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี รัฐบาลอังกฤษไม่สามารถปล่อยให้ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวังได้อีกต่อไป เนื่องจากการบริโภคมีสัดส่วนราว 60% ของเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลต้องเร่งปรับสมดุลงบประมาณฉบับถัดไป ท่ามกลางภาวะการเติบโตที่ซบเซา (อินโฟเควสท์)
ผลสำรวจ GfK ชี้ คน UK เริ่มรัดเข็มขัด หลังความกังวลเศรษฐกิจรุมเร้าในเดือนก.ย. ผลสำรวจล่าสุดในวันนี้ (19 ก.ย.) บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของชาวสหราชอาณาจักร (UK) ลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนก.ย.นี้ และยังมีแนวโน้มที่รัฐบาลจะประกาศขึ้นภาษีในเดือนพ.ย. ซึ่งอาจยิ่งซ้ำเติมให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดิ่งลงไปอีก GfK บริษัทวิจัยตลาดเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมาอยู่ที่ -19 ในเดือนก.ย. จากเดิม -17 ในเดือนส.ค. ทั้งที่ตัวเลขของเดือนส.ค. นั้นเคยเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. ปีที่แล้ว นอกจากนี้ ตัวเลขล่าสุดยังต่ำกว่าที่ผลสำรวจคาดการณ์ไว้ที่ -18 นีล เบลลามี ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคของ GfK กล่าวว่า ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นทั้ง 5 ด้านต่างปรับตัวลงในเดือนนี้ ขณะที่ดัชนีความตั้งใจในการออมก็ลดฮวบลงเช่นกัน สำหรับดัชนีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ปัจจุบันอยู่ที่ -32 ซึ่งลดลงอย่างมากจากระดับ -11 ในเดือนมิ.ย.ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่พรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ชนะการเลือกตั้งไม่นานนัก เบลลามีกล่าวว่า "เมื่อมีการคาดการณ์ว่าจะขึ้นภาษีในแผนงบประมาณเดือนพ.ย. ก็แทบจะเลี่ยงไม่ได้เลยที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะลดลงตามไปด้วย" คาดว่า ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลัง จะประกาศขึ้นภาษีในการแถลงนโยบายการคลังประจำปีในวันที่ 26 พ.ย.นี้ เพื่อให้การใช้จ่ายของรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเคยสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบประกันสังคมในอัตราที่สูงขึ้นมาแล้วเมื่อเดือนต.ค. ปีก่อน ทั้งนี้ GfK ได้สำรวจความคิดเห็นจากประชาชนจำนวน 2,003 คน ระหว่างวันที่ 1-11 ก.ย. (อินโฟเควสท์)
ปธน.ฝรั่งเศสเตือน ยุโรปอาจฟื้นคว่ำบาตร UN ต่ออิหร่าน หลังเจรจาไม่คืบ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ว่า ชาติมหาอำนาจยุโรปมีแนวโน้มกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ (UN) ต่ออิหร่านภายในสิ้นเดือนนี้ หลังอิหร่านยังไม่แสดงความจริงใจเพียงพอระหว่างการหารือรอบล่าสุด ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี หรือกลุ่ม E3 ได้ขู่ว่าจะนำมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติกลับมาบังคับใช้กับอิหร่านอีกครั้งภายใต้กลไก "Snapback" หากอิหร่านไม่ยอมหวนคืนสู่โต๊ะเจรจาว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์ โดยชาติตะวันตกเหล่านี้พร้อมด้วยสหรัฐอเมริกายืนกรานว่า อิหร่านกำลังใช้โครงการนิวเคลียร์เพื่อแอบซุ่มพัฒนาอาวุธ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อิหร่านปฏิเสธมาโดยตลอด รัฐบาลอิหร่านได้ระงับการเจรจากับสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯ และอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อเดือนมิ.ย. และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คณะผู้ตรวจการจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ก็ไม่สามารถเข้าถึงโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ แม้ว่าราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ IAEA จะออกมายืนกรานว่าการตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากอิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไข กลไกดังกล่าวสามารถเลื่อนออกไปสูงสุด 6 เดือน เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง (อินโฟเควสท์)
เอสโตเนียเปิดโรงงานแม่เหล็กหายาก ป้อนอุตฯ รถยนต์ไฟฟ้า-พลังงานลมยุโรป โรงงานผลิตแม่เหล็กแร่หายากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานลมของยุโรปเปิดทำการในวันศุกร์ (19 ก.ย.) ที่เมืองนาร์วา ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเอสโตเนีย สื่อท้องถิ่นรายงานว่า โรงงานแห่งนี้สร้างโดยบริษัท Neo Performance Materials ของแคนาดา ออกแบบมาเพื่อผลิตแม่เหล็กบล็อกประมาณ 2,000 ตันต่อปี ซึ่งเพียงพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าหนึ่งล้านคัน หรือกังหันลมกลางทะเลมากกว่า 1,000 เครื่อง แม่เหล็กเหล่านี้จะถูกปรับแต่งให้ตรงตามข้อกำหนดของอุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงานลมในยุโรป ราฮิม สุเลมาน ซีอีโอของ Neo ระบุว่า โรงงานแห่งนี้สร้างเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว และได้ลงนามสัญญากับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปหลายรายแล้ว คริสเทน มิคัล นายกรัฐมนตรีเอสโตเนียกล่าวว่า นี่คือโรงงานผลิตแม่เหล็กที่มีต้นทุนคุ้มค่าที่สุดเท่าที่เคยสร้างขึ้นในโลกตะวันตก (อินโฟเควสท์)
สนามบินใหญ่ในยุโรปยังสะดุด หลังถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวานนี้ สืบเนื่องจากเหตุการณ์สนามบินหลักหลายแห่งในยุโรปถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันเสาร์ (20 ส.ค.) โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ให้บริการระบบเช็กอินและขึ้นเครื่อง จนส่งผลให้เที่ยวบินล่าช้าและถูกยกเลิกเป็นจำนวนมากนั้น จนถึงขณะนี้สถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และการสืบหาสาเหตุยังคงดำเนินต่อไป เป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้คือซอฟต์แวร์ MUSE ของบริษัท คอลลินส์ แอโรสเปซ (Collins Aerospace) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบแก่สายการบินต่าง ๆ ในสนามบินหลายแห่งทั่วโลก อาร์ทีเอ็กซ์ (RTX) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคอลลินส์ แอโรสเปซ เปิดเผยว่า บริษัททราบถึงการหยุดชะงักทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นกับซอฟต์แวร์ในสนามบินบางแห่ง แต่ไม่ได้ระบุชื่อสนามบิน อาร์ทีเอ็กซ์ระบุในแถลงการณ์ทางอีเมลว่า ผลกระทบจำกัดอยู่แค่การเช็กอินและโหลดสัมภาระผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการเช็กอินแบบแมนนวล พร้อมเสริมว่ากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด แต่ยังไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตี รายงานระบุว่า สนามบินที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วยสนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ สนามบินบรัสเซลส์ในเบลเยียม สนามบินเบอร์ลินในเยอรมนี รวมถึงสนามบินดับลินและสนามบินคอร์กในไอร์แลนด์ สนามบินบรัสเซลส์ระบุว่าได้ขอให้สายการบินต่าง ๆ ยกเลิกเที่ยวบินขาออกราวครึ่งหนึ่งในวันนี้ (21 ก.ย.) เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการรอคิวยาวและการยกเลิกเที่ยวบินในภายหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าสถานการณ์ยังคงไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ดี โฆษกของคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ถึง "การโจมตีที่รุนแรงหรือกินวงกว้าง" และกำลังเร่งสืบหาต้นตอของสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในระยะหลังมีการโจมตีทางไซเบอร์ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่สาธารณสุข กลาโหม ยานยนต์ การค้าปลีก ไปจนถึงสายการบิน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดทรงตัว นักลงทุนประเมินทิศทางดอกเบี้ย ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันศุกร์ (19 ก.ย.) หลังจากบรรยากาศการซื้อขายในสัปดาห์นี้ได้รับอิทธิพลจากการตัดสินใจครั้งสำคัญของธนาคารกลางหลายแห่ง รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดไว้ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.12 จุด ลดลง 0.89 จุด หรือ -0.16% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,853.59 จุด ลดลง 1.02 จุด หรือ -0.01%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,639.41 จุด ลดลง 35.12 จุด หรือ -0.15% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,216.67 จุด ลดลง 11.44 จุด หรือ -0.12% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 11.44 จุด นลท.กังวลสถานะการคลังอังกฤษ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (19 ก.ย.) หลังจากรายงานระบุว่าการกู้ยืมของอังกฤษสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านการคลัง ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,216.67 จุด ลดลง 11.44 จุด หรือ -0.12% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
แบงก์ชาติญี่ปุ่นลงมติตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไว้ที่ 0.5% หลังสิ้นสุดการประชุมนโยบายการเงินสองวันในวันนี้ (19 ก.ย.) ทั้งนี้ BOJ คงอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับปัจจุบันในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากดำเนินมาตรการผ่อนคลายเป็นพิเศษมานานนับ 10 ปี ตลาดจะจับตาการแถลงข่าวของคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป โดยอุเอดะมีกำหนดแถลงข่าวในวันนี้เวลา 13.30 น. (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นคาดดีมานด์ข้าวเพิ่มเล็กน้อยถึงกลางปีหน้า ผลผลิตยังเพียงพอ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น คาดการณ์ว่า ความต้องการข้าวภายในประเทศจนถึงเดือนมิ.ย. 2569 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 7.11 ล้านตัน และผลผลิตข้าวคาดว่าจะเกินกว่าความต้องการประมาณ 480,000 ตัน ซึ่งจะช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อราคาข้าวในตลาด นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้ยกเลิกสมมติฐานที่มีมานานว่า ความต้องการข้าวจะลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะจำนวนประชากรลดลงและมีการบริโภคขนมปังมากขึ้น โดยเป็นครั้งแรกที่มีการคาดการณ์ว่าความต้องการข้าวจากนักท่องเที่ยวและภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผลผลิตข้าวที่ลดลงอันเนื่องมาจากสภาพอากาศร้อนจัด ประกอบกับผู้บริโภคเลือกบริโภคข้าวมากกว่าขนมปังที่มีราคาแพงกว่า ส่งผลให้ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศนโยบายส่งเสริมให้มีการผลิตข้าวเพิ่มขึ้นในอนาคต ด้วยการนำพื้นที่เพาะปลูกที่ถูกทิ้งร้างกลับมาใช้ประโยชน์ พร้อมกับช่วยขยายช่องทางการจัดจำหน่ายข้าวให้แก่เกษตรกรอีกด้วย (อินโฟเควสท์)
"ซานาเอะ ทากาอิจิ" ชูนโยบายลดภาษี-แจกเงินสด หวังนั่งเก้าอี้นายกฯหญิงญี่ปุ่นคนแรก ซานาเอะ ทากาอิจิ นักการเมืองสายอนุรักษนิยม หนึ่งในผู้สมัครตัวเต็งตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของญี่ปุ่นยืนยันในวันนี้ (19 ก.ย.) ว่า หากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้นำพรรค เธอจะเดินหน้ามาตรการลดหย่อนภาษีและแจกเงินสดให้กับภาคครัวเรือน มาตรการดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การปรับเพิ่มเกณฑ์รายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีและการยกเลิกภาษีน้ำมันเบนซิน ทากาอิจิเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเป็นผู้สนับสนุนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่อง หากชนะการเลือกตั้งในวันที่ 4 ต.ค.นี้ เธอมีโอกาสสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น โดยตำแหน่งดังกล่าวจะถูกตัดสินผ่านการลงมติของรัฐสภา การเลือกตั้งครั้งนี้จัดขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลที่นำโดย LDP สูญเสียเสียงข้างมากในทั้งสองสภา ทากาอิจิเคยแพ้ให้กับอิชิบะอย่างฉิวเฉียดในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเมื่อปีก่อน ปัจจุบันทากาอิจิถูกจับตามองในฐานะตัวเก็งร่วมกับ ชินจิโร โคอิซูมิ รัฐมนตรีเกษตร ผู้สนับสนุนการปฏิรูป และเป็นบุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรี จุนอิชิโร โคอิซูมิ ทากาอิจิระบุว่า เธอจะมุ่งผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเต็มกำลัง เพราะเห็นว่าความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ญี่ปุ่นกลับมามีบทบาทเป็นผู้นำของโลกอีกครั้ง (อินโฟเควสท์)
"ชินจิโร โคอิซูมิ" ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ตั้งเป้าฟื้นเศรษฐกิจญี่ปุ่น ชินจิโร โคอิซูมิ รัฐมนตรีเกษตรของญี่ปุ่นประกาศในวันนี้ (20 ก.ย.) ว่าจะลงสมัครเลือกตั้งประธานพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ในเดือนหน้า โดยให้คำมั่นว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นและฟื้นฟูพรรค หลังจากผลงานย่ำแย่ในการเลือกตั้งระดับชาติครั้งที่ผ่านมา โคอิซูมิ วัย 44 ปี บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ กล่าวว่า เขาพร้อมจะขยายพันธมิตรการเมืองของฝ่ายรัฐบาลปัจจุบัน พร้อมสัญญาที่จะจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่พำนักในญี่ปุ่น โคอิซูมิเป็นสมาชิกพรรค LDP คนที่ 5 และน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำพรรคในการเลือกตั้งวันที่ 4 ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการคัดเลือกผู้ที่จะมาแทนที่นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ ที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง จากการสำรวจล่าสุดของสื่อระบุว่า โคอิซูมิ และ ซานาเอะ ทากาอิจิ อดีตรัฐมนตรีกิจการภายในประเทศ เป็นตัวเก็งชนะการเลือกตั้ง แซงหน้า โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี, โทชิมิตสึ โมเตกิ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และทาคายูกิ โคบายาชิ อดีตรัฐมนตรีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โคอิซูมิกล่าวในการแถลงข่าวว่า พรรค LDP กำลังเผชิญวิกฤติ โดยเขาจะผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเป็นลำดับความสำคัญสูงสุด และทำให้ค่าจ้างเติบโตเร็วกว่าค่าครองชีพ โดยตั้งเป้าให้ค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านเยน (ราว 6,800 ดอลลาร์) ภายในปีงบประมาณ 2573 เขายังกล่าวว่า จะเร่งแก้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง แรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย การซื้อที่ดินโดยชาวต่างชาติที่ไม่ได้พำนักในญี่ปุ่น และชาวต่างชาติที่ใช้ระบบประกันสุขภาพไม่ถูกต้อง ซึ่งประเด็นเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นอย่างมากในการเลือกตั้งสภาสูงเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา และช่วยให้พรรคฝ่ายค้านขนาดเล็กอย่าง ซันเซโตะ ที่ใช้สโลแกน "ญี่ปุ่นต้องมาก่อน" ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น การเลือกตั้งหัวหน้า LDP เกิดขึ้น หลังอิชิบะประกาศเมื่อต้นเดือนว่า เขาจะลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการเลือกตั้งระดับชาติ โดยการรณรงค์หาเสียงจะเริ่มในวันจันทร์นี้ รายงานระบุว่า โคอิซูมิเป็นผู้โน้มน้าวให้อิชิบะยอมลาออก ทั้งนี้ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีเกษตร ป่าไม้ และประมงในเดือนพ.ค. เขาได้รับความสนใจจากสาธารณะจากการพยายามแก้ปัญหาราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การขึ้นเป็นผู้นำพรรค LDP คนใหม่ไม่ได้เป็นการรับประกันว่า จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีทันที เพราะพรรคร่วมรัฐบาล LDP-โคเมโตะ ไม่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ผู้ชนะจึงต้องผ่านการโหวตในสภา โดยจะมีผู้สมัครฝ่ายค้านลงแข่งเช่นกัน รัฐบาลเสียงข้างน้อยจำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากฝ่ายค้านในการผ่านงบประมาณและกฎหมาย ทำให้พรรค LDP ซึ่งครองอำนาจแทบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2498 ต้องพิจารณาหาทางดึงการสนับสนุนจากฝ่ายค้านเพื่อรักษาอำนาจ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิพลิกปิดลบ 257.62 จุด หลัง BOJ ประกาศขาย ETF ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวพลิกปิดลบในวันนี้ (19 ก.ย.) สวนทางกับช่วงเช้าที่ดัชนีพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างวัน โดยนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาหลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศว่าจะเริ่มขายกองทุน ETF ที่เคยซื้อไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 45,045.81 จุด ลดลง 257.62 จุด หรือ -0.57% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนประกาศแผนรักษาเสถียรภาพการเติบโตภาคอุตสาหกรรมเบาสำหรับปี 68-69 ทางการจีนเผยแผนการ 2 ปีเพื่อรักษาเสถียรภาพการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมเบา (light industry) โดยมุ่งเป้าเสริมแกร่งบทบาทของอุตสาหกรรมในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง สำนักข่าวซินหัวรายงานวันนี้ (19 ก.ย.) ว่า แผนการสำหรับปี 2568 และ 2569 ได้ระบุ 15 ภารกิจสำคัญ ซึ่งครอบคลุมการปรับปรุงอุปทาน กระตุ้นการบริโภค รักษาขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ พัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรม และเสริมแรงขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาคุณภาพสูง ส่วนมาตรการสำคัญของแผนการนี้ ได้แก่ การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้วิเคราะห์ความต้องการผู้บริโภค การสร้างตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ในด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การดูแลผู้สูงอายุ การดูแลเด็กเล็ก ของใช้ภายในบ้าน และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตลอดจนยกระดับการออกแบบและผลิตสินค้าด้วย AI รวมถึงสนับสนุนรูปแบบการค้าต่างประเทศใหม่ ๆ เช่น อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน นอกจากนี้ จีนยังได้เปิดตัวมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพสำหรับ 10 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เหล็กกล้า โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร ยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเบา และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทั้งในเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ (อินโฟเควสท์)
จีนส่งออกแม่เหล็กแร่หายากพุ่งสูงสุดในรอบ 7 เดือน หลังผ่อนคลายมาตรการควบคุม ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนในวันนี้ (20 ก.ย.) ระบุว่า การส่งออกแม่เหล็กแร่หายากของจีนในเดือนส.ค. อยู่ที่ 6,146 เมตริกตัน เพิ่มขึ้น 10.2% จากเดือนก.ค. และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.4% การส่งออกเพิ่มขึ้น หลังจากจีนทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ และยุโรปเพื่อเร่งการส่งออกและผ่อนคลายมาตรการควบคุมที่จีนเคยบังคับใช้ในเดือนเม.ย. เพื่อตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ ปริมาณการส่งออกแม่เหล็กแร่หายากของจีนปรับตัวขึ้นในเดือนส.ค.เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของการส่งออกแร่สำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า หลังจากจีนจำกัดการส่งออกในเดือนเม.ย. อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามประเทศ การส่งออกไปยังสหรัฐฯ จำนวน 590 ตันนั้น ลดลง 4.7% จากเดือนก.ค. และลดลง 11.8% จากเดือนส.ค.ของปีก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
ต่างชาติทะลักเข้าจีนแบบฟรีวีซ่า พุ่ง 52% ใน 8 เดือนแรก สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีน (NIA) เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ว่า จีนมียอดชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศจีนโดยไม่ต้องขอวีซ่าจำนวนทั้งสิ้น 15.89 ล้านคนในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค. ปี 2568 เพิ่มขึ้น 52.1% เมื่อเทียบรายปี สำนักงานฯ ระบุว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองตามชายแดนได้ตรวจสอบการเดินทางเข้า-ออกของชาวต่างชาติรวม 51.27 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 27.8% เมื่อเทียบรายปี โดยจำนวนการเดินทางเข้าประเทศจีนแบบฟรีวีซ่าคิดเป็น 62.1% ของจำนวนการเดินทางเข้าประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ ช่วง 8 เดือนแรกจีนมีจำนวนการเดินทางเข้า-ออกประเทศรวมทั้งสิ้น 460 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 14.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีนให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงขั้นตอนต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางข้ามพรมแดนสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติต่อไป (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 11.57 จุด เหตุขาดปัจจัยใหม่ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (19 ก.ย.) เนื่องจากขาดปัจจัยชี้นำใหม่ ๆ โดยตลาดปรับตัวลงต่อจากวานนี้ ซึ่งนักลงทุนขายทำกำไรหลังดัชนีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,820.09 จุด ลดลง 11.57 จุด หรือ -0.30% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดทรงตัว จับตาทรัมป์คุยสีจิ้นผิงวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดแทบไม่ขยับในวันนี้ (19 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันนี้ เวลา 09.00 น.ตามเวลาสหรัฐฯ หรือ 20.00 น.ตามเวลาไทย โดยจะเป็นการหารือระหว่างผู้นำทั้งสองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 26,545.10 จุด เพิ่มขึ้น 0.25 จุด หรือ +0.00% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
ฟิลิปปินส์เล็งขยายเวลาห้ามนำเข้าข้าวอีก 15-30 วัน หลังราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้น ฟรานซิสโก ทิว ลอเรล รัฐมนตรีเกษตรฟิลิปปินส์กล่าวเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ว่า ฟิลิปปินส์กำลังพิจารณาขยายเวลาระงับการนำเข้าข้าวออกไปอีก 15 ถึง 30 วัน หลังจากราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวดีขึ้น ก่อนหน้านี้ เฟอร์ดินานด์ โรมัลเดซ มาร์กอส ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้สั่งห้ามนำเข้าข้าวเป็นเวลา 60 วัน ตั้งแต่เดือนก.ย.ถึงต.ค. เพื่อปกป้องเกษตรกรท้องถิ่นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวสูงสุด ลอเรลระบุว่า กระทรวงเกษตรจะเสนอคำแนะนำต่อมาร์กอสภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้ว่าจะขยายเวลาระงับการนำเข้าข้าวหรือไม่ โดยเขาระบุเสริมว่า จากข้อมูลเบื้องต้น เขามีแนวโน้มจะแนะนำให้ขยายเวลาระงับการนำเข้าข้าวออกไปอย่างน้อย 15 ถึง 30 วัน ข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่า ราคาข้าวเปลือกสดปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ 8-10 เปโซ (0.14-0.17 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อกิโลกรัม ก่อนเริ่มมาตรการห้ามนำเข้า มาอยู่ที่ 17 เปโซ (0.29 ดอลลาร์สหรัฐ) ในบางพื้นที่ของมินดาเนา และ 13-14 เปโซ (0.22-0.24 ดอลลาร์สหรัฐ) ในหลายจังหวัดที่ทำการปลูกข้าวจำนวนมาก ลอเรลระบุว่า ต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกอยู่ที่ราว 12-14 เปโซ (0.21-0.24 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อกิโลกรัม (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ ใช้สิทธิวีโต้ ปัดตกร่างมติ UNSC เปิดทางมนุษยธรรมในกาซา เมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) สหรัฐอเมริกาได้ใช้สิทธิยับยั้ง (วีโต้) เพื่อคว่ำร่างมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่ต้องการให้อิสราเอลยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดและเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่กาซาได้โดยทันที สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เนื้อหาในร่างมติยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดยิงในกาซาอย่างถาวรโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้กลุ่มฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ ปล่อยตัวประกันทั้งหมดอย่างให้เกียรติโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข ร่างมตินี้เสนอโดยสมาชิกไม่ถาวร 10 ชาติ และได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้นถึง 14 จาก 15 เสียงในที่ประชุม แต่ในฐานะสมาชิกถาวร สหรัฐฯ ได้ใช้สิทธิวีโต้ ทำให้ร่างมติดังกล่าวต้องตกไป (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ขู่อัฟกานิสถานเจอแน่ หากไม่ยอมคืน "ฐานทัพบากราม" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่า "สิ่งเลวร้าย" จะเกิดขึ้นกับอัฟกานิสถาน หากไม่ยอมคืนฐานทัพอากาศบากราม (Bagram Airbase) ให้กับสหรัฐฯ และไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะส่งทหารเข้าไปยึดฐานทัพคืน ทั้งนี้ ฐานทัพบากรามเคยเป็นฐานที่มั่นหลักของกองทัพสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน หลังเกิดเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2544 จนกระทั่งสหรัฐฯ ถอนทหารออกไปในปี 2564 ซึ่งเป็นการเปิดทางให้กลุ่มตาลีบันเข้ายึดครองฐานทัพแห่งนี้ รวมถึงโค่นล้มรัฐบาลที่สหรัฐฯ หนุนหลัง และกลับเข้ายึดอำนาจได้ในที่สุด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 ก.ย.) ทรัมป์ประกาศว่า "เราต้องการฐานทัพนั้นคืน" โดยให้เหตุผลว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพราะอยู่ใกล้กับจีน อย่างไรก็ตาม ซากีร์ จาลาล เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอัฟกานิสถาน โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า "อัฟกานิสถานและสหรัฐฯ ควรหันมาพูดคุยกัน โดยไม่จำเป็นต้องให้สหรัฐฯ กลับมาตั้งฐานทัพในประเทศอีก" ล่าสุดทรัมป์โพสต์ผ่าน Truth Social ในวันเสาร์ (20 ก.ย.) ว่า "หากอัฟกานิสถานไม่คืนฐานทัพอากาศบากรามให้กับผู้สร้างฐานทัพ นั่นคือ สหรัฐอเมริกา สิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้น" นอกจากนี้ เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ว่าจะส่งทหารสหรัฐฯ เข้าไปยึดฐานทัพคืนหรือไม่ ทรัมป์ไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่กล่าวว่า "เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้" เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทั้งในปัจจุบันและในอดีตต่างออกมาเตือนว่า การเข้ายึดฐานทัพอากาศบากรามอาจกลายเป็นเหมือนการรุกรานอัฟกานิสถานอีกครั้ง และอาจต้องใช้กำลังพลมากกว่า 10,000 นาย รวมถึงการติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูงจำนวนมาก ซึ่งใช้งบประมาณมหาศาล (อินโฟเควสท์)
กลุ่มฮูตีในเยเมนยิงขีปนาวุธ-ส่งโดรนโจมตีอิสราเอล ปชช.หลายล้านหลบภัยวุ่น กลุ่มฮูตีในเยเมนยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงพิสัยไกลและส่งโดรน 3 ลำเข้าโจมตี 3 เมืองในอิสราเอลเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ยาห์ยา ซาเรีย โฆษกของกลุ่มฮูตี แถลงผ่านช่อง al-Masirah TV ของกลุ่มฮูตี โดยระบุว่า ขีปนาวุธดังกล่าวมุ่งเป้าไปยังเป้าหมายทางทหารในเมืองจาฟฟา (เทลอาวีฟ) ขณะที่โดรนทั้ง 3 ลำโจมตีเป้าหมายในเมืองเบียร์ชีบาและเมืองท่าเอลัต พร้อมกับระบุว่า เมืองเอลัตจะยังคงถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ด้านกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) แถลงว่า โดรนลำหนึ่งได้โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเอลัต ทำให้ประตูโรงแรมได้รับความเสียหาย ขณะที่ขีปนาวุธและโดรนลำอื่น ๆ ถูกสกัดไว้ได้ โดยไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต สื่ออิสราเอลรายงานว่า การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้สัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นทั่วตอนกลางของอิสราเอล รวมถึงในเขตมหานครเทลอาวีฟ ส่งผลให้ประชาชนหลายล้านคนต้องหาที่หลบภัย สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่มฮูตี ซึ่งควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเยเมน ได้เปิดฉากโจมตีอิสราเอลนับตั้งแต่สงครามในฉนวนกาซาปะทุขึ้นเมื่อเดือนต.ค. 2566 ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีพื้นที่ที่กลุ่มฮูตียึดครอง กลุ่มฮูตีกล่าวว่าการโจมตีมีเป้าหมายเพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวปาเลสไตน์ พร้อมกับเรียกร้องให้ยุติสงครามและยุติการปิดล้อมฉนวนกาซา (อินโฟเควสท์)
อิสราเอลโจมตีทางอากาศฉนวนกาซานับร้อยจุด รุกคืบยึดกาซาซิตี กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) แถลงในวันเสาร์ (20 ก.ย.) ว่า กองทัพอากาศได้โจมตีเป้าหมายประมาณ 100 จุดทั่วฉนวนกาซาในช่วงหนึ่งวันที่ผ่านมา โดยเป้าหมายส่วนหนึ่งคือโครงสร้างพื้นฐานใต้ดิน คลังอาวุธ และกลุ่มนักรบติดอาวุธ ขณะเดียวกัน กองกำลังภาคพื้นดินของ IDF ก็ได้ขยายปฏิบัติการในกาซาซิตี โดยเข้ารื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร เช่น อุโมงค์ สิ่งปลูกสร้างที่ถูกวางกับระเบิด สถานที่ปฏิบัติการของกลุ่มฮามาส และจุดซุ่มยิงของพลซุ่มยิง โดยกองกำลังตรวจพบอาวุธ และได้ทำการสังหารกลุ่มนักรบติดอาวุธของฮามาสในพื้นที่ IDF ระบุด้วยว่า กองกำลังได้รื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและสังหารกลุ่มนักรบติดอาวุธในพื้นที่ตอนเหนือและตอนใต้ของฉนวนกาซา รวมถึงในเมืองข่านยูนิสและราฟาห์ สำนักข่าว WAFA ของทางการของปาเลสไตน์รายงานในวันเสาร์ว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเสียชีวิตอย่างน้อย 34 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกราว 200 คน จากการโจมตีของอิสราเอล ทั้งนี้ หน่วยงานสาธารณสุขของฉนวนกาซายืนยันว่า นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลรวมทั้งสิ้น 65,208 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 166,271 ราย (อินโฟเควสท์)
อิรักประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ตั้งเป้าลดการพึ่งพาน้ำมันภายใน 25 ปี มุฮัมมัด ชิยาอ์ อัลซูดานี นายกรัฐมนตรีอิรัก ได้ประกาศวิสัยทัศน์ว่าด้วยการพัฒนาแห่งชาติในวันเสาร์ (20 ก.ย.) พร้อมกับย้ำว่าอิรัก "ไม่สามารถพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพียงอย่างเดียวในฐานะรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจได้อีกต่อไป" แถลงการณ์ระบุว่า นายกรัฐมนตรีอิรักได้เข้าร่วมพิธีเปิดตัววิสัยทัศน์ "Iraq Vision 2050 for Development and the Future" โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล นักการทูต และตัวแทนภาคเอกชนเข้าร่วมงาน วิสัยทัศน์ดังกล่าวมุ่งสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาน้ำมัน และยกระดับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนผ่านการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ตัวอย่างโครงการสำคัญ ได้แก่ การผลักดันให้อิรักเป็นศูนย์กลางการขนส่ง เพื่อรองรับ 20% ของการค้าระหว่างเอเชียกับยุโรปผ่านทางท่าเรืออัลฟาว (Al-Faw Grand Port) รวมถึงโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน "Development Road" ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานมากถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง วิสัยทัศน์ใหม่ยังมุ่งเป้าไปที่โครงการด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม เพื่อพึ่งพาตนเองด้านอาหาร น้ำ และพลังงานให้ได้ 70% โดยหลังจากนี้จะมีการจัดทำแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนา และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติในลำดับถัดไป (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 300 จุด ขายทำกำไรฉุดตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 300 จุด โดยได้รับผลกระทบจากแรงขายทำกำไร ขณะที่ตลาดขาดปัจจัยใหม่ ๆ ในการกระตุ้นแรงซื้อจากนักลงทุน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,626.23 ลบ 387.73 จุด หรือ 0.47% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 4.29 จุด พักตัวรอปัจจัยใหม่ รับแรงขายหุ้นรายตัวกลาง-ใหญ่กดดัน จับตานโยบายรัฐบาล SET ปิดวันนี้ที่ 1,292.72 จุด ลดลง 4.29 จุด (-0.33%) มูลค่าซื้อขายราว 47,981.93 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้พักตัวต่อเนื่องจากวานนี้ หลังรับรู้ปัจจัยบวกไปแล้วทั้งการเมืองในประเทศ-เฟดลดดอกเบี้ย ทำให้ดัชนีพักรอปัจจัยใหม่ ขณะที่มีแรงขายหุ้นขนาดกลาง-หุ้นใหญ่บางตัวสลับออกมากดดัน แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดแกว่งไซด์เวย์ต่อเนื่อง ให้แนวต้าน 1,300 จุด แนวรับ 1,285 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,292.72 จุด ลดลง 4.29 จุด (-0.33%) มูลค่าซื้อขายราว 47,981.93 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงและเคลื่อนไหวแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับต่ำสุด 1,292.41 จุด และสูงสุด 1,302.49 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 223 หลักทรัพย์ ลดลง 230 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 205 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 51,902 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 51,902 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขาย สูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 9,344 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,507 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 302 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.15% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 2-4 bps. ในตราสารระยะยาว สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 302 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 302 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 7-2 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.00% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ในขณะที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 33,000 ราย สู่ระดับ 231,000 ราย ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 241,000 ราย สำหรับ Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ปรับเพิ่มขึ้น 7,918 ล้านบาท จาก 890,346 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 898,264 ล้านบาท (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.84 กลับมาแข็งค่าจากช่วงเช้าสอดคล้องภูมิภาค-ราคาทอง คาดกรอบสัปดาห์หน้า 31.75-32.00 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 31.84 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 31.92 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบ 31.82 - 31.94 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวตามทิศทางราคาทองในตลาดโลก ขณะที่ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา ส่วนปัจจัยในประเทศต้องรอดูว่ารัฐบาลจะมีนโยบายเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกหรือไม่ "บาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับค่าเงินภูมิภาค และเป็นไปตามทิศทางราคาทองในตลาดโลก" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันจันทร์ไว้ที่ 31.75 - 32.00 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ธนาคารกลางจีนประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) จีน
ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนส.ค.จากเฟดชิค สหรัฐฯ
วุฒิสภาสหรัฐฯ ไฟเขียว 48 รายชื่อที่ทรัมป์เสนอ ลงมติรวดเดียวหลังแก้กฎใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 ก.ย.) วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติรับรองบุคคล 48 คนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อ ด้วยการลงคะแนนเสียงเพียงครั้งเดียว การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากสว. พรรครีพับลิกันแก้ไขกฎให้สามารถอนุมัติรายชื่อแบบยกชุดได้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สว. รีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาสูง ได้อนุมัติรายชื่อดังกล่าวด้วยคะแนน 51 ต่อ 47 เสียง โดยเป็นการลงมติไปในทิศทางเดียวกันตามสังกัดพรรค ซึ่งในบรรดารายชื่อที่ผ่านการรับรองนี้ มีตำแหน่งเอกอัครราชทูตหลายตำแหน่งรวมอยู่ด้วย สำหรับบุคคลสำคัญที่ได้รับการแต่งตั้ง เช่น คิมเบอร์ลี กิลฟอยล์ อดีตพิธีกรช่องฟ็อกซ์นิวส์ (Fox News) ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรีซ และคาลลิสตา กิงริช ภรรยาของนิวต์ กิงริช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ นอกจากนี้ยังมีแบรนดอน วิลเลียมส์ ในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ฝ่ายความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ก่อนหน้านี้ สว. รีพับลิกันได้ใช้เสียงข้างมากธรรมดาเพื่อล้มกฎเดิมที่กำหนดว่าการอนุมัติบุคคลต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 60 เสียง ด้านจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวหาเดโมแครตมาตลอดว่าจงใจขัดขวางและถ่วงเวลาการรับรองบุคคลที่ทรัมป์เสนออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนทำให้วุฒิสภาแทบจะทำงานไม่ได้ ขณะที่ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา โต้กลับว่า ที่ผ่านมาทรัมป์เสนอแต่ "บุคคลที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์" "ผมเชื่อว่าอีกไม่นานพวกรีพับลิกันจะต้องมานั่งเสียใจที่ผลักดันวุฒิสภาให้เดินลงสู่เส้นทางที่เลวร้ายเช่นนี้" ผู้นำเดโมแครตในสภาสูงกล่าว (อินโฟเควสท์)
"มิแรน" ยันไม่มีใบสั่งจาก "ทรัมป์" ให้โหวตสวนมติที่ประชุม FOMC นายสตีเฟน มิแรน ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวยืนยันว่า เขาไม่ได้หารือกับประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับการลงมติอัตราดอกเบี้ย ก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในสัปดาห์นี้ นายมิแรนกล่าวว่า "ท่านประธานาธิบดีโทรมาหาผมเพื่อแสดงความยินดี แต่ท่านไม่ได้ขอให้ผมทำอะไรเป็นพิเศษ และผมเองก็ไม่ได้ให้สัญญาว่าจะทำอะไรเป็นพิเศษเช่นกัน" ต่อคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจในการประชุม FOMC สัปดาห์นี้ นายมิแรนกล่าวว่า "ผมไม่เห็นว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลต่อเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ และไม่เห็นหลักฐานใด ๆ ว่าเกิดขึ้นแล้ว" ทั้งนี้ FOMC มีมติ 11-1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมสัปดาห์นี้ ตามการคาดการณ์ของตลาด ขณที่นายมิแรนโหวตสวนมติในที่ประชุม FOMC โดยเขาลงมติให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
หน่วยงานสหรัฐฯ จ่อถูกชัตดาวน์ หลังวุฒิสภาปฏิเสธร่างงบประมาณชั่วคราว หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ บางส่วนอาจต้องปิดทำการ หลังจากในวันศุกร์ (19 ก.ย.) วุฒิสภาได้ปฏิเสธร่างงบประมาณระยะสั้นที่สภาผู้แทนราษฎรเพิ่งอนุมัติ สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติแผนของพรรครีพับลิกันอย่างเฉียดฉิว เพื่อให้รัฐบาลมีงบประมาณใช้จ่ายจนถึงปลายเดือนพ.ย. แต่ต่อมาวุฒิสภาคัดค้านด้วยคะแนน 44 ต่อ 48 เสียง ซึ่งไม่ถึง 60 เสียงที่จำเป็นต่อการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว ขณะที่ร่างของพรรคเดโมแครตซึ่งรวมข้อกำหนดเกี่ยวกับโครงการเฮลท์แคร์ก็ไม่ผ่านการอนุมัติเช่นกัน เมื่อทั้งสองสภาเผชิญทางตัน และกำหนดเวลาสิ้นสุดการต่ออายุงบประมาณชั่วคราวของรัฐบาลกลางใกล้จะถึงในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 30 ก.ย.นี้ ความเสี่ยงในการปิดหน่วยงานรัฐบาลจึงเพิ่มสูงขึ้น หากเกิดการชัตดาวน์ หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งจะหยุดให้บริการ เจ้าหน้าที่หลายแสนคนอาจได้รับเงินเดือนล่าช้า และการดำเนินงานตั้งแต่สวนสาธารณะไปจนถึงการอนุมัติวีซ่าจะได้รับผลกระทบ แต่โครงการภาคบังคับ เช่น ประกันสังคมและเมดิแคร์ จะยังคงดำเนินงานต่อไป ภาวะชะงักงันในสองสภาครั้งนี้สะท้อนความแตกแยกทางการเมืองในกรุงวอชิงตัน โดยพรรคเดโมแครตวิจารณ์แผนของสภาผู้แทนราษฎรว่ามองข้ามเรื่องการดูแลสุขภาพ ขณะที่พรรครีพับลิกันยืนยันว่า มาตรการชั่วคราวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อซื้อเวลาในการเจรจาเรื่อง งบประมาณต่อไป (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ ขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B เป็นแสนดอลลาร์ ดันต้นทุนจ้างงานต่างชาติพุ่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลงนามในประกาศเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) เพื่อปรับขึ้นค่าธรรมเนียมที่บริษัทต่าง ๆ ต้องจ่ายเพื่อสนับสนุนผู้สมัครวีซ่า H-1B จากเดิมหลักพันดอลลาร์เป็น 100,000 ดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อป้องกันการใช้โครงการนี้แทนที่แรงงานอเมริกัน และคัดเลือกเฉพาะบุคลากรทักษะสูงที่มีความจำเป็นจริง ๆ ประกาศกำหนดให้ผู้ถือวีซ่า H-1B สามารถเข้ามาทำงานในอาชีพเฉพาะทางได้ก็ต่อเมื่อมีการชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว โดยข้อจำกัดนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. เป็นต้นไป ปัจจุบัน สหรัฐฯ ออกวีซ่า H-1B สำหรับผู้ยื่นขอรายใหม่ปีละ 85,000 ใบ ขณะที่บริษัททั่วไปจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ต่อราย แต่มาตรการใหม่นี้จะทำให้ต้นทุนการจ้างแรงงานต่างชาติพุ่งสูงขึ้น ทรัมป์กล่าวในพิธีลงนามที่ทำเนียบขาวว่า ค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะกระตุ้นให้บริษัทหันมาจ้างแรงงานอเมริกันแทน เพราะไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่ม ขณะที่โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์กล่าวว่า บริษัทต้องชั่งใจว่าพนักงานต่างชาติคนนั้นมีคุณค่ามากพอที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมถึง 100,000 ดอลลาร์ต่อปีหรือไม่ สื่อสหรัฐฯ ระบุว่า นโยบายนี้จะกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Microsoft และ Google ที่พึ่งพาโครงการ H-1B มายาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ขณะที่ CBS เตือนว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้บริษัทอเมริกันย้ายงานไปต่างประเทศมากขึ้น และอาจทำให้จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เลือกเรียนในสหรัฐฯ ลดลงด้วย (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ เปิดโครงการวีซ่าใหม่ หวังดึงดูดคนรวยทั่วโลกด้วย Trump Gold Card ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศโครงการวีซ่าใหม่สำหรับเศรษฐีทั่วโลก ซึ่งเป็นมาตรการที่หลายฝ่ายเฝ้ารอ โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดให้คนร่ำรวยย้ายถิ่นฐานเข้าสหรัฐฯ ผ่านการซื้อสิทธิพำนักถาวรด้วยเงินจำนวนสูง ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ที่ทำเนียบขาว ระหว่างการลงนามคำสั่งจัดตั้งโครงการนี้ว่า คนเหล่านี้จะใช้เงินจำนวนมากเพื่อเข้ามา และเงินที่ได้จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปใช้ลดภาษี ชำระหนี้ และใช้ในด้านที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ตามเว็บไซต์ที่เปิดตัวโครงการ ระบุว่า ผู้สนใจสามารถจ่ายเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมค่าดำเนินการและการตรวจสอบประวัติ เพื่อรับสิทธิพำนักถาวรในสหรัฐฯ ผ่านบัตร "Trump Gold Card" นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวบัตร "Platinum Card" มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ให้สิทธิผู้ถือบัตรสามารถอยู่ในสหรัฐฯ ได้สูงสุด 270 วัน โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ที่มาจากนอกสหรัฐฯ สำหรับภาคธุรกิจ หากจ่ายค่าธรรมเนียม 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อพนักงาน จะสามารถขอสิทธิพำนักถาวรในสหรัฐฯ ให้แก่พนักงานได้ในจำนวนที่ไม่ได้ระบุชัด เว็บไซต์ยังระบุว่า "Trump Corporate Gold Card" จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจโอนสิทธิพำนักจากพนักงานคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่งได้ โดยมีค่าธรรมเนียมการโอนและต้องผ่านการตรวจสอบของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) รวมถึงมีค่าธรรมเนียมรายปีเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าวีซ่าดังกล่าวจะสามารถออกให้ได้เมื่อใด โดยในเว็บไซต์มีช่อง "สมัครตอนนี้" ที่ให้ผู้สนใจกรอกชื่อ ภูมิภาคที่อาศัย และอีเมลเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการ (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์เตรียมจัดประชุมใหญ่พรรคก่อนเลือกตั้งกลางเทอม ตั้งเป้ารักษาเสียงข้างมาก พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งผลลัพธ์ของการแบ่งเขตจะเป็นตัวกำหนดว่าพรรคใดจะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หากพรรคใดสูญเสียเสียงข้างมาก จะส่งผลต่อความสามารถของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการผลักดันวาระนโยบายของเขา โดยในปัจจุบัน พรรครีพับลิกันครอง 53 ที่นั่งในวุฒิสภา เทียบกับ 47 ที่นั่งของพรรคเดโมแครต และมีเสียงข้างมาก 219 ต่อ 213 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร ทรัมป์ประกาศเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ว่า พรรครีพับลิกันจะจัดการประชุมใหญ่สำหรับการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2569 เพื่อสนับสนุนความพยายามในการรักษาเสียงข้างมากที่มีอยู่ในสภาคองเกรสไว้ต่อไป ซึ่งปกติแล้วการประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรคมักจัดเฉพาะในปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทรัมป์ระบุผ่าน Truth Social ว่า พรรครีพับลิกันต้องการจัดการประชุมครั้งนี้อย่างมาก และจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีทั้งความสนุกสนานและได้ผลดีอย่างมาก ด้านสำนักข่าว Axios รายงานว่า พรรคเดโมแครตเองก็กำลังพิจารณาจัดการประชุมพรรคล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมเช่นกัน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์ฟื้นตัว ขณะปอนด์อ่อนจากความกังวลด้านการคลัง สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (19 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มระยะสั้น หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ แต่ส่งสัญญาณว่าจะทยอยผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.3% แตะที่ 97.644 (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์ดีดตัว ขานรับตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น ขานรับรายงานผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการชะลอตัวของตลาดแรงงาน ณ เวลา 19.53 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.137% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.750% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
"ลาการ์ด" เผย ECB บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อแล้ว แต่เศรษฐกิจ EU ยังไม่แน่นอน คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ DRTV ของเดนมาร์กว่า ECB สามารถบรรลุเป้าหมายในการควบคุมระดับราคาสินค้าได้แล้ว แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงอยู่ แม้ว่าสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐฯ ตกลงกันได้เรื่องอัตราภาษีการค้าก็ตาม ลาการ์ดระบุว่าระดับความไม่แน่นอนลดลงประมาณ 50% ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าที่สำคัญ แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ชัดเจนเท่ากับช่วงก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเก็บภาษีการค้า ลาการ์ดกล่าวในการสัมภาษณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยต้องมีเป้าหมายต่อระดับเงินเฟ้อ ซึ่ง ECB ตั้งไว้ และตอนนี้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว ECB คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นครั้งที่สอง หลังจากลดดอกเบี้ยไปแล้ว 8 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในรอบ 1 ปี ผู้กำหนดนโยบายคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ราว 2% ตามเป้าหมาย หลังจากช่วงเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมายชั่วคราวในปีหน้า และเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสต่อ ๆ ไป เจ้าหน้าที่หลายคนของ ECB ระบุว่า ยังไม่เห็นความจำเป็นต้องผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม ตราบใดที่ไม่มีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจ แต่บางคนก็เห็นว่าควรเปิดโอกาสไว้เผื่อดำเนินมาตรการเพิ่มเติมในอนาคต (อินโฟเควสท์)
ยอดค้าปลีกอังกฤษเดือนส.ค.โตเกินคาด หลังอากาศดีหนุนการจับจ่าย สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) รายงานในวันนี้ (19 ก.ย.) ว่า ตัวเลขยอดค้าปลีกของอังกฤษออกมาดีเกินคาดในเดือนส.ค. ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่อบอุ่น ทำให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น บ่งชี้ว่าครัวเรือนเริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของการขึ้นภาษีของพรรคแรงงาน รายงานระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากที่ขยับขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. โดยได้แรงหนุนจากสภาพอากาศอบอุ่นซึ่งกระตุ้นยอดขายเสื้อผ้าและเบเกอรี แม้ยอดขายในกลุ่มอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมลดลงก็ตาม ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้สะท้อนถึงการใช้จ่ายของครัวเรือนที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญความกังวลหลังรัฐบาลพรรคแรงงานประกาศขึ้นภาษีค่าจ้าง (payroll tax) มูลค่า 2.6 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์) รวมถึงแรงกดดันจากการจ้างงานที่ซบเซา ค่าจ้างที่ชะลอตัว และราคาสินค้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี รัฐบาลอังกฤษไม่สามารถปล่อยให้ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวังได้อีกต่อไป เนื่องจากการบริโภคมีสัดส่วนราว 60% ของเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลต้องเร่งปรับสมดุลงบประมาณฉบับถัดไป ท่ามกลางภาวะการเติบโตที่ซบเซา (อินโฟเควสท์)
ผลสำรวจ GfK ชี้ คน UK เริ่มรัดเข็มขัด หลังความกังวลเศรษฐกิจรุมเร้าในเดือนก.ย. ผลสำรวจล่าสุดในวันนี้ (19 ก.ย.) บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของชาวสหราชอาณาจักร (UK) ลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนก.ย.นี้ และยังมีแนวโน้มที่รัฐบาลจะประกาศขึ้นภาษีในเดือนพ.ย. ซึ่งอาจยิ่งซ้ำเติมให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดิ่งลงไปอีก GfK บริษัทวิจัยตลาดเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมาอยู่ที่ -19 ในเดือนก.ย. จากเดิม -17 ในเดือนส.ค. ทั้งที่ตัวเลขของเดือนส.ค. นั้นเคยเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. ปีที่แล้ว นอกจากนี้ ตัวเลขล่าสุดยังต่ำกว่าที่ผลสำรวจคาดการณ์ไว้ที่ -18 นีล เบลลามี ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคของ GfK กล่าวว่า ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นทั้ง 5 ด้านต่างปรับตัวลงในเดือนนี้ ขณะที่ดัชนีความตั้งใจในการออมก็ลดฮวบลงเช่นกัน สำหรับดัชนีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ปัจจุบันอยู่ที่ -32 ซึ่งลดลงอย่างมากจากระดับ -11 ในเดือนมิ.ย.ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่พรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ชนะการเลือกตั้งไม่นานนัก เบลลามีกล่าวว่า "เมื่อมีการคาดการณ์ว่าจะขึ้นภาษีในแผนงบประมาณเดือนพ.ย. ก็แทบจะเลี่ยงไม่ได้เลยที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะลดลงตามไปด้วย" คาดว่า ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลัง จะประกาศขึ้นภาษีในการแถลงนโยบายการคลังประจำปีในวันที่ 26 พ.ย.นี้ เพื่อให้การใช้จ่ายของรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเคยสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบประกันสังคมในอัตราที่สูงขึ้นมาแล้วเมื่อเดือนต.ค. ปีก่อน ทั้งนี้ GfK ได้สำรวจความคิดเห็นจากประชาชนจำนวน 2,003 คน ระหว่างวันที่ 1-11 ก.ย. (อินโฟเควสท์)
ปธน.ฝรั่งเศสเตือน ยุโรปอาจฟื้นคว่ำบาตร UN ต่ออิหร่าน หลังเจรจาไม่คืบ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ว่า ชาติมหาอำนาจยุโรปมีแนวโน้มกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ (UN) ต่ออิหร่านภายในสิ้นเดือนนี้ หลังอิหร่านยังไม่แสดงความจริงใจเพียงพอระหว่างการหารือรอบล่าสุด ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี หรือกลุ่ม E3 ได้ขู่ว่าจะนำมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติกลับมาบังคับใช้กับอิหร่านอีกครั้งภายใต้กลไก "Snapback" หากอิหร่านไม่ยอมหวนคืนสู่โต๊ะเจรจาว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์ โดยชาติตะวันตกเหล่านี้พร้อมด้วยสหรัฐอเมริกายืนกรานว่า อิหร่านกำลังใช้โครงการนิวเคลียร์เพื่อแอบซุ่มพัฒนาอาวุธ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อิหร่านปฏิเสธมาโดยตลอด รัฐบาลอิหร่านได้ระงับการเจรจากับสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯ และอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อเดือนมิ.ย. และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คณะผู้ตรวจการจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ก็ไม่สามารถเข้าถึงโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ แม้ว่าราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ IAEA จะออกมายืนกรานว่าการตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากอิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไข กลไกดังกล่าวสามารถเลื่อนออกไปสูงสุด 6 เดือน เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง (อินโฟเควสท์)
เอสโตเนียเปิดโรงงานแม่เหล็กหายาก ป้อนอุตฯ รถยนต์ไฟฟ้า-พลังงานลมยุโรป โรงงานผลิตแม่เหล็กแร่หายากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานลมของยุโรปเปิดทำการในวันศุกร์ (19 ก.ย.) ที่เมืองนาร์วา ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเอสโตเนีย สื่อท้องถิ่นรายงานว่า โรงงานแห่งนี้สร้างโดยบริษัท Neo Performance Materials ของแคนาดา ออกแบบมาเพื่อผลิตแม่เหล็กบล็อกประมาณ 2,000 ตันต่อปี ซึ่งเพียงพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าหนึ่งล้านคัน หรือกังหันลมกลางทะเลมากกว่า 1,000 เครื่อง แม่เหล็กเหล่านี้จะถูกปรับแต่งให้ตรงตามข้อกำหนดของอุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงานลมในยุโรป ราฮิม สุเลมาน ซีอีโอของ Neo ระบุว่า โรงงานแห่งนี้สร้างเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว และได้ลงนามสัญญากับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปหลายรายแล้ว คริสเทน มิคัล นายกรัฐมนตรีเอสโตเนียกล่าวว่า นี่คือโรงงานผลิตแม่เหล็กที่มีต้นทุนคุ้มค่าที่สุดเท่าที่เคยสร้างขึ้นในโลกตะวันตก (อินโฟเควสท์)
สนามบินใหญ่ในยุโรปยังสะดุด หลังถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวานนี้ สืบเนื่องจากเหตุการณ์สนามบินหลักหลายแห่งในยุโรปถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันเสาร์ (20 ส.ค.) โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ให้บริการระบบเช็กอินและขึ้นเครื่อง จนส่งผลให้เที่ยวบินล่าช้าและถูกยกเลิกเป็นจำนวนมากนั้น จนถึงขณะนี้สถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และการสืบหาสาเหตุยังคงดำเนินต่อไป เป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้คือซอฟต์แวร์ MUSE ของบริษัท คอลลินส์ แอโรสเปซ (Collins Aerospace) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบแก่สายการบินต่าง ๆ ในสนามบินหลายแห่งทั่วโลก อาร์ทีเอ็กซ์ (RTX) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคอลลินส์ แอโรสเปซ เปิดเผยว่า บริษัททราบถึงการหยุดชะงักทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นกับซอฟต์แวร์ในสนามบินบางแห่ง แต่ไม่ได้ระบุชื่อสนามบิน อาร์ทีเอ็กซ์ระบุในแถลงการณ์ทางอีเมลว่า ผลกระทบจำกัดอยู่แค่การเช็กอินและโหลดสัมภาระผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการเช็กอินแบบแมนนวล พร้อมเสริมว่ากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด แต่ยังไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตี รายงานระบุว่า สนามบินที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วยสนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ สนามบินบรัสเซลส์ในเบลเยียม สนามบินเบอร์ลินในเยอรมนี รวมถึงสนามบินดับลินและสนามบินคอร์กในไอร์แลนด์ สนามบินบรัสเซลส์ระบุว่าได้ขอให้สายการบินต่าง ๆ ยกเลิกเที่ยวบินขาออกราวครึ่งหนึ่งในวันนี้ (21 ก.ย.) เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการรอคิวยาวและการยกเลิกเที่ยวบินในภายหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าสถานการณ์ยังคงไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ดี โฆษกของคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ถึง "การโจมตีที่รุนแรงหรือกินวงกว้าง" และกำลังเร่งสืบหาต้นตอของสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในระยะหลังมีการโจมตีทางไซเบอร์ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่สาธารณสุข กลาโหม ยานยนต์ การค้าปลีก ไปจนถึงสายการบิน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดทรงตัว นักลงทุนประเมินทิศทางดอกเบี้ย ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันศุกร์ (19 ก.ย.) หลังจากบรรยากาศการซื้อขายในสัปดาห์นี้ได้รับอิทธิพลจากการตัดสินใจครั้งสำคัญของธนาคารกลางหลายแห่ง รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดไว้ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.12 จุด ลดลง 0.89 จุด หรือ -0.16% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,853.59 จุด ลดลง 1.02 จุด หรือ -0.01%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,639.41 จุด ลดลง 35.12 จุด หรือ -0.15% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,216.67 จุด ลดลง 11.44 จุด หรือ -0.12% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 11.44 จุด นลท.กังวลสถานะการคลังอังกฤษ ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (19 ก.ย.) หลังจากรายงานระบุว่าการกู้ยืมของอังกฤษสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านการคลัง ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,216.67 จุด ลดลง 11.44 จุด หรือ -0.12% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
แบงก์ชาติญี่ปุ่นลงมติตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไว้ที่ 0.5% หลังสิ้นสุดการประชุมนโยบายการเงินสองวันในวันนี้ (19 ก.ย.) ทั้งนี้ BOJ คงอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับปัจจุบันในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากดำเนินมาตรการผ่อนคลายเป็นพิเศษมานานนับ 10 ปี ตลาดจะจับตาการแถลงข่าวของคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป โดยอุเอดะมีกำหนดแถลงข่าวในวันนี้เวลา 13.30 น. (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่นคาดดีมานด์ข้าวเพิ่มเล็กน้อยถึงกลางปีหน้า ผลผลิตยังเพียงพอ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น คาดการณ์ว่า ความต้องการข้าวภายในประเทศจนถึงเดือนมิ.ย. 2569 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 7.11 ล้านตัน และผลผลิตข้าวคาดว่าจะเกินกว่าความต้องการประมาณ 480,000 ตัน ซึ่งจะช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อราคาข้าวในตลาด นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้ยกเลิกสมมติฐานที่มีมานานว่า ความต้องการข้าวจะลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะจำนวนประชากรลดลงและมีการบริโภคขนมปังมากขึ้น โดยเป็นครั้งแรกที่มีการคาดการณ์ว่าความต้องการข้าวจากนักท่องเที่ยวและภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผลผลิตข้าวที่ลดลงอันเนื่องมาจากสภาพอากาศร้อนจัด ประกอบกับผู้บริโภคเลือกบริโภคข้าวมากกว่าขนมปังที่มีราคาแพงกว่า ส่งผลให้ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศนโยบายส่งเสริมให้มีการผลิตข้าวเพิ่มขึ้นในอนาคต ด้วยการนำพื้นที่เพาะปลูกที่ถูกทิ้งร้างกลับมาใช้ประโยชน์ พร้อมกับช่วยขยายช่องทางการจัดจำหน่ายข้าวให้แก่เกษตรกรอีกด้วย (อินโฟเควสท์)
"ซานาเอะ ทากาอิจิ" ชูนโยบายลดภาษี-แจกเงินสด หวังนั่งเก้าอี้นายกฯหญิงญี่ปุ่นคนแรก ซานาเอะ ทากาอิจิ นักการเมืองสายอนุรักษนิยม หนึ่งในผู้สมัครตัวเต็งตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของญี่ปุ่นยืนยันในวันนี้ (19 ก.ย.) ว่า หากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้นำพรรค เธอจะเดินหน้ามาตรการลดหย่อนภาษีและแจกเงินสดให้กับภาคครัวเรือน มาตรการดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การปรับเพิ่มเกณฑ์รายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีและการยกเลิกภาษีน้ำมันเบนซิน ทากาอิจิเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเป็นผู้สนับสนุนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่อง หากชนะการเลือกตั้งในวันที่ 4 ต.ค.นี้ เธอมีโอกาสสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น โดยตำแหน่งดังกล่าวจะถูกตัดสินผ่านการลงมติของรัฐสภา การเลือกตั้งครั้งนี้จัดขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลที่นำโดย LDP สูญเสียเสียงข้างมากในทั้งสองสภา ทากาอิจิเคยแพ้ให้กับอิชิบะอย่างฉิวเฉียดในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเมื่อปีก่อน ปัจจุบันทากาอิจิถูกจับตามองในฐานะตัวเก็งร่วมกับ ชินจิโร โคอิซูมิ รัฐมนตรีเกษตร ผู้สนับสนุนการปฏิรูป และเป็นบุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรี จุนอิชิโร โคอิซูมิ ทากาอิจิระบุว่า เธอจะมุ่งผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเต็มกำลัง เพราะเห็นว่าความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ญี่ปุ่นกลับมามีบทบาทเป็นผู้นำของโลกอีกครั้ง (อินโฟเควสท์)
"ชินจิโร โคอิซูมิ" ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ตั้งเป้าฟื้นเศรษฐกิจญี่ปุ่น ชินจิโร โคอิซูมิ รัฐมนตรีเกษตรของญี่ปุ่นประกาศในวันนี้ (20 ก.ย.) ว่าจะลงสมัครเลือกตั้งประธานพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ในเดือนหน้า โดยให้คำมั่นว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นและฟื้นฟูพรรค หลังจากผลงานย่ำแย่ในการเลือกตั้งระดับชาติครั้งที่ผ่านมา โคอิซูมิ วัย 44 ปี บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ กล่าวว่า เขาพร้อมจะขยายพันธมิตรการเมืองของฝ่ายรัฐบาลปัจจุบัน พร้อมสัญญาที่จะจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่พำนักในญี่ปุ่น โคอิซูมิเป็นสมาชิกพรรค LDP คนที่ 5 และน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำพรรคในการเลือกตั้งวันที่ 4 ต.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการคัดเลือกผู้ที่จะมาแทนที่นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ ที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง จากการสำรวจล่าสุดของสื่อระบุว่า โคอิซูมิ และ ซานาเอะ ทากาอิจิ อดีตรัฐมนตรีกิจการภายในประเทศ เป็นตัวเก็งชนะการเลือกตั้ง แซงหน้า โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี, โทชิมิตสึ โมเตกิ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และทาคายูกิ โคบายาชิ อดีตรัฐมนตรีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โคอิซูมิกล่าวในการแถลงข่าวว่า พรรค LDP กำลังเผชิญวิกฤติ โดยเขาจะผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเป็นลำดับความสำคัญสูงสุด และทำให้ค่าจ้างเติบโตเร็วกว่าค่าครองชีพ โดยตั้งเป้าให้ค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านเยน (ราว 6,800 ดอลลาร์) ภายในปีงบประมาณ 2573 เขายังกล่าวว่า จะเร่งแก้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง แรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย การซื้อที่ดินโดยชาวต่างชาติที่ไม่ได้พำนักในญี่ปุ่น และชาวต่างชาติที่ใช้ระบบประกันสุขภาพไม่ถูกต้อง ซึ่งประเด็นเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นอย่างมากในการเลือกตั้งสภาสูงเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา และช่วยให้พรรคฝ่ายค้านขนาดเล็กอย่าง ซันเซโตะ ที่ใช้สโลแกน "ญี่ปุ่นต้องมาก่อน" ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น การเลือกตั้งหัวหน้า LDP เกิดขึ้น หลังอิชิบะประกาศเมื่อต้นเดือนว่า เขาจะลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการเลือกตั้งระดับชาติ โดยการรณรงค์หาเสียงจะเริ่มในวันจันทร์นี้ รายงานระบุว่า โคอิซูมิเป็นผู้โน้มน้าวให้อิชิบะยอมลาออก ทั้งนี้ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีเกษตร ป่าไม้ และประมงในเดือนพ.ค. เขาได้รับความสนใจจากสาธารณะจากการพยายามแก้ปัญหาราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การขึ้นเป็นผู้นำพรรค LDP คนใหม่ไม่ได้เป็นการรับประกันว่า จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีทันที เพราะพรรคร่วมรัฐบาล LDP-โคเมโตะ ไม่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ผู้ชนะจึงต้องผ่านการโหวตในสภา โดยจะมีผู้สมัครฝ่ายค้านลงแข่งเช่นกัน รัฐบาลเสียงข้างน้อยจำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากฝ่ายค้านในการผ่านงบประมาณและกฎหมาย ทำให้พรรค LDP ซึ่งครองอำนาจแทบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2498 ต้องพิจารณาหาทางดึงการสนับสนุนจากฝ่ายค้านเพื่อรักษาอำนาจ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิพลิกปิดลบ 257.62 จุด หลัง BOJ ประกาศขาย ETF ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวพลิกปิดลบในวันนี้ (19 ก.ย.) สวนทางกับช่วงเช้าที่ดัชนีพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างวัน โดยนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาหลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศว่าจะเริ่มขายกองทุน ETF ที่เคยซื้อไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 45,045.81 จุด ลดลง 257.62 จุด หรือ -0.57% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนประกาศแผนรักษาเสถียรภาพการเติบโตภาคอุตสาหกรรมเบาสำหรับปี 68-69 ทางการจีนเผยแผนการ 2 ปีเพื่อรักษาเสถียรภาพการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมเบา (light industry) โดยมุ่งเป้าเสริมแกร่งบทบาทของอุตสาหกรรมในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง สำนักข่าวซินหัวรายงานวันนี้ (19 ก.ย.) ว่า แผนการสำหรับปี 2568 และ 2569 ได้ระบุ 15 ภารกิจสำคัญ ซึ่งครอบคลุมการปรับปรุงอุปทาน กระตุ้นการบริโภค รักษาขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ พัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรม และเสริมแรงขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาคุณภาพสูง ส่วนมาตรการสำคัญของแผนการนี้ ได้แก่ การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้วิเคราะห์ความต้องการผู้บริโภค การสร้างตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ในด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การดูแลผู้สูงอายุ การดูแลเด็กเล็ก ของใช้ภายในบ้าน และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตลอดจนยกระดับการออกแบบและผลิตสินค้าด้วย AI รวมถึงสนับสนุนรูปแบบการค้าต่างประเทศใหม่ ๆ เช่น อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน นอกจากนี้ จีนยังได้เปิดตัวมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพสำหรับ 10 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เหล็กกล้า โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร ยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเบา และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทั้งในเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ (อินโฟเควสท์)
จีนส่งออกแม่เหล็กแร่หายากพุ่งสูงสุดในรอบ 7 เดือน หลังผ่อนคลายมาตรการควบคุม ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนในวันนี้ (20 ก.ย.) ระบุว่า การส่งออกแม่เหล็กแร่หายากของจีนในเดือนส.ค. อยู่ที่ 6,146 เมตริกตัน เพิ่มขึ้น 10.2% จากเดือนก.ค. และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.4% การส่งออกเพิ่มขึ้น หลังจากจีนทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ และยุโรปเพื่อเร่งการส่งออกและผ่อนคลายมาตรการควบคุมที่จีนเคยบังคับใช้ในเดือนเม.ย. เพื่อตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ ปริมาณการส่งออกแม่เหล็กแร่หายากของจีนปรับตัวขึ้นในเดือนส.ค.เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของการส่งออกแร่สำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า หลังจากจีนจำกัดการส่งออกในเดือนเม.ย. อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามประเทศ การส่งออกไปยังสหรัฐฯ จำนวน 590 ตันนั้น ลดลง 4.7% จากเดือนก.ค. และลดลง 11.8% จากเดือนส.ค.ของปีก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
ต่างชาติทะลักเข้าจีนแบบฟรีวีซ่า พุ่ง 52% ใน 8 เดือนแรก สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีน (NIA) เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ว่า จีนมียอดชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศจีนโดยไม่ต้องขอวีซ่าจำนวนทั้งสิ้น 15.89 ล้านคนในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค. ปี 2568 เพิ่มขึ้น 52.1% เมื่อเทียบรายปี สำนักงานฯ ระบุว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองตามชายแดนได้ตรวจสอบการเดินทางเข้า-ออกของชาวต่างชาติรวม 51.27 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 27.8% เมื่อเทียบรายปี โดยจำนวนการเดินทางเข้าประเทศจีนแบบฟรีวีซ่าคิดเป็น 62.1% ของจำนวนการเดินทางเข้าประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ ช่วง 8 เดือนแรกจีนมีจำนวนการเดินทางเข้า-ออกประเทศรวมทั้งสิ้น 460 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 14.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีนให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงขั้นตอนต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางข้ามพรมแดนสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติต่อไป (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 11.57 จุด เหตุขาดปัจจัยใหม่ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (19 ก.ย.) เนื่องจากขาดปัจจัยชี้นำใหม่ ๆ โดยตลาดปรับตัวลงต่อจากวานนี้ ซึ่งนักลงทุนขายทำกำไรหลังดัชนีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,820.09 จุด ลดลง 11.57 จุด หรือ -0.30% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดทรงตัว จับตาทรัมป์คุยสีจิ้นผิงวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดแทบไม่ขยับในวันนี้ (19 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันนี้ เวลา 09.00 น.ตามเวลาสหรัฐฯ หรือ 20.00 น.ตามเวลาไทย โดยจะเป็นการหารือระหว่างผู้นำทั้งสองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 26,545.10 จุด เพิ่มขึ้น 0.25 จุด หรือ +0.00% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
ฟิลิปปินส์เล็งขยายเวลาห้ามนำเข้าข้าวอีก 15-30 วัน หลังราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้น ฟรานซิสโก ทิว ลอเรล รัฐมนตรีเกษตรฟิลิปปินส์กล่าวเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ว่า ฟิลิปปินส์กำลังพิจารณาขยายเวลาระงับการนำเข้าข้าวออกไปอีก 15 ถึง 30 วัน หลังจากราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวดีขึ้น ก่อนหน้านี้ เฟอร์ดินานด์ โรมัลเดซ มาร์กอส ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้สั่งห้ามนำเข้าข้าวเป็นเวลา 60 วัน ตั้งแต่เดือนก.ย.ถึงต.ค. เพื่อปกป้องเกษตรกรท้องถิ่นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวสูงสุด ลอเรลระบุว่า กระทรวงเกษตรจะเสนอคำแนะนำต่อมาร์กอสภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้ว่าจะขยายเวลาระงับการนำเข้าข้าวหรือไม่ โดยเขาระบุเสริมว่า จากข้อมูลเบื้องต้น เขามีแนวโน้มจะแนะนำให้ขยายเวลาระงับการนำเข้าข้าวออกไปอย่างน้อย 15 ถึง 30 วัน ข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่า ราคาข้าวเปลือกสดปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ 8-10 เปโซ (0.14-0.17 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อกิโลกรัม ก่อนเริ่มมาตรการห้ามนำเข้า มาอยู่ที่ 17 เปโซ (0.29 ดอลลาร์สหรัฐ) ในบางพื้นที่ของมินดาเนา และ 13-14 เปโซ (0.22-0.24 ดอลลาร์สหรัฐ) ในหลายจังหวัดที่ทำการปลูกข้าวจำนวนมาก ลอเรลระบุว่า ต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกอยู่ที่ราว 12-14 เปโซ (0.21-0.24 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อกิโลกรัม (อินโฟเควสท์)
สหรัฐฯ ใช้สิทธิวีโต้ ปัดตกร่างมติ UNSC เปิดทางมนุษยธรรมในกาซา เมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) สหรัฐอเมริกาได้ใช้สิทธิยับยั้ง (วีโต้) เพื่อคว่ำร่างมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่ต้องการให้อิสราเอลยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดและเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่กาซาได้โดยทันที สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เนื้อหาในร่างมติยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดยิงในกาซาอย่างถาวรโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้กลุ่มฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ ปล่อยตัวประกันทั้งหมดอย่างให้เกียรติโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข ร่างมตินี้เสนอโดยสมาชิกไม่ถาวร 10 ชาติ และได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้นถึง 14 จาก 15 เสียงในที่ประชุม แต่ในฐานะสมาชิกถาวร สหรัฐฯ ได้ใช้สิทธิวีโต้ ทำให้ร่างมติดังกล่าวต้องตกไป (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ขู่อัฟกานิสถานเจอแน่ หากไม่ยอมคืน "ฐานทัพบากราม" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่า "สิ่งเลวร้าย" จะเกิดขึ้นกับอัฟกานิสถาน หากไม่ยอมคืนฐานทัพอากาศบากราม (Bagram Airbase) ให้กับสหรัฐฯ และไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะส่งทหารเข้าไปยึดฐานทัพคืน ทั้งนี้ ฐานทัพบากรามเคยเป็นฐานที่มั่นหลักของกองทัพสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน หลังเกิดเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2544 จนกระทั่งสหรัฐฯ ถอนทหารออกไปในปี 2564 ซึ่งเป็นการเปิดทางให้กลุ่มตาลีบันเข้ายึดครองฐานทัพแห่งนี้ รวมถึงโค่นล้มรัฐบาลที่สหรัฐฯ หนุนหลัง และกลับเข้ายึดอำนาจได้ในที่สุด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 ก.ย.) ทรัมป์ประกาศว่า "เราต้องการฐานทัพนั้นคืน" โดยให้เหตุผลว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพราะอยู่ใกล้กับจีน อย่างไรก็ตาม ซากีร์ จาลาล เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอัฟกานิสถาน โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า "อัฟกานิสถานและสหรัฐฯ ควรหันมาพูดคุยกัน โดยไม่จำเป็นต้องให้สหรัฐฯ กลับมาตั้งฐานทัพในประเทศอีก" ล่าสุดทรัมป์โพสต์ผ่าน Truth Social ในวันเสาร์ (20 ก.ย.) ว่า "หากอัฟกานิสถานไม่คืนฐานทัพอากาศบากรามให้กับผู้สร้างฐานทัพ นั่นคือ สหรัฐอเมริกา สิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้น" นอกจากนี้ เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ว่าจะส่งทหารสหรัฐฯ เข้าไปยึดฐานทัพคืนหรือไม่ ทรัมป์ไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่กล่าวว่า "เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้" เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทั้งในปัจจุบันและในอดีตต่างออกมาเตือนว่า การเข้ายึดฐานทัพอากาศบากรามอาจกลายเป็นเหมือนการรุกรานอัฟกานิสถานอีกครั้ง และอาจต้องใช้กำลังพลมากกว่า 10,000 นาย รวมถึงการติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูงจำนวนมาก ซึ่งใช้งบประมาณมหาศาล (อินโฟเควสท์)
กลุ่มฮูตีในเยเมนยิงขีปนาวุธ-ส่งโดรนโจมตีอิสราเอล ปชช.หลายล้านหลบภัยวุ่น กลุ่มฮูตีในเยเมนยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงพิสัยไกลและส่งโดรน 3 ลำเข้าโจมตี 3 เมืองในอิสราเอลเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ยาห์ยา ซาเรีย โฆษกของกลุ่มฮูตี แถลงผ่านช่อง al-Masirah TV ของกลุ่มฮูตี โดยระบุว่า ขีปนาวุธดังกล่าวมุ่งเป้าไปยังเป้าหมายทางทหารในเมืองจาฟฟา (เทลอาวีฟ) ขณะที่โดรนทั้ง 3 ลำโจมตีเป้าหมายในเมืองเบียร์ชีบาและเมืองท่าเอลัต พร้อมกับระบุว่า เมืองเอลัตจะยังคงถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ด้านกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) แถลงว่า โดรนลำหนึ่งได้โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเอลัต ทำให้ประตูโรงแรมได้รับความเสียหาย ขณะที่ขีปนาวุธและโดรนลำอื่น ๆ ถูกสกัดไว้ได้ โดยไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต สื่ออิสราเอลรายงานว่า การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้สัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นทั่วตอนกลางของอิสราเอล รวมถึงในเขตมหานครเทลอาวีฟ ส่งผลให้ประชาชนหลายล้านคนต้องหาที่หลบภัย สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่มฮูตี ซึ่งควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเยเมน ได้เปิดฉากโจมตีอิสราเอลนับตั้งแต่สงครามในฉนวนกาซาปะทุขึ้นเมื่อเดือนต.ค. 2566 ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีพื้นที่ที่กลุ่มฮูตียึดครอง กลุ่มฮูตีกล่าวว่าการโจมตีมีเป้าหมายเพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวปาเลสไตน์ พร้อมกับเรียกร้องให้ยุติสงครามและยุติการปิดล้อมฉนวนกาซา (อินโฟเควสท์)
อิสราเอลโจมตีทางอากาศฉนวนกาซานับร้อยจุด รุกคืบยึดกาซาซิตี กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) แถลงในวันเสาร์ (20 ก.ย.) ว่า กองทัพอากาศได้โจมตีเป้าหมายประมาณ 100 จุดทั่วฉนวนกาซาในช่วงหนึ่งวันที่ผ่านมา โดยเป้าหมายส่วนหนึ่งคือโครงสร้างพื้นฐานใต้ดิน คลังอาวุธ และกลุ่มนักรบติดอาวุธ ขณะเดียวกัน กองกำลังภาคพื้นดินของ IDF ก็ได้ขยายปฏิบัติการในกาซาซิตี โดยเข้ารื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร เช่น อุโมงค์ สิ่งปลูกสร้างที่ถูกวางกับระเบิด สถานที่ปฏิบัติการของกลุ่มฮามาส และจุดซุ่มยิงของพลซุ่มยิง โดยกองกำลังตรวจพบอาวุธ และได้ทำการสังหารกลุ่มนักรบติดอาวุธของฮามาสในพื้นที่ IDF ระบุด้วยว่า กองกำลังได้รื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและสังหารกลุ่มนักรบติดอาวุธในพื้นที่ตอนเหนือและตอนใต้ของฉนวนกาซา รวมถึงในเมืองข่านยูนิสและราฟาห์ สำนักข่าว WAFA ของทางการของปาเลสไตน์รายงานในวันเสาร์ว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเสียชีวิตอย่างน้อย 34 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกราว 200 คน จากการโจมตีของอิสราเอล ทั้งนี้ หน่วยงานสาธารณสุขของฉนวนกาซายืนยันว่า นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลรวมทั้งสิ้น 65,208 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 166,271 ราย (อินโฟเควสท์)
อิรักประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ตั้งเป้าลดการพึ่งพาน้ำมันภายใน 25 ปี มุฮัมมัด ชิยาอ์ อัลซูดานี นายกรัฐมนตรีอิรัก ได้ประกาศวิสัยทัศน์ว่าด้วยการพัฒนาแห่งชาติในวันเสาร์ (20 ก.ย.) พร้อมกับย้ำว่าอิรัก "ไม่สามารถพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพียงอย่างเดียวในฐานะรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจได้อีกต่อไป" แถลงการณ์ระบุว่า นายกรัฐมนตรีอิรักได้เข้าร่วมพิธีเปิดตัววิสัยทัศน์ "Iraq Vision 2050 for Development and the Future" โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล นักการทูต และตัวแทนภาคเอกชนเข้าร่วมงาน วิสัยทัศน์ดังกล่าวมุ่งสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาน้ำมัน และยกระดับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนผ่านการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ตัวอย่างโครงการสำคัญ ได้แก่ การผลักดันให้อิรักเป็นศูนย์กลางการขนส่ง เพื่อรองรับ 20% ของการค้าระหว่างเอเชียกับยุโรปผ่านทางท่าเรืออัลฟาว (Al-Faw Grand Port) รวมถึงโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน "Development Road" ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานมากถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง วิสัยทัศน์ใหม่ยังมุ่งเป้าไปที่โครงการด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม เพื่อพึ่งพาตนเองด้านอาหาร น้ำ และพลังงานให้ได้ 70% โดยหลังจากนี้จะมีการจัดทำแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนา และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติในลำดับถัดไป (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 300 จุด ขายทำกำไรฉุดตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 300 จุด โดยได้รับผลกระทบจากแรงขายทำกำไร ขณะที่ตลาดขาดปัจจัยใหม่ ๆ ในการกระตุ้นแรงซื้อจากนักลงทุน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,626.23 ลบ 387.73 จุด หรือ 0.47% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 4.29 จุด พักตัวรอปัจจัยใหม่ รับแรงขายหุ้นรายตัวกลาง-ใหญ่กดดัน จับตานโยบายรัฐบาล SET ปิดวันนี้ที่ 1,292.72 จุด ลดลง 4.29 จุด (-0.33%) มูลค่าซื้อขายราว 47,981.93 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้พักตัวต่อเนื่องจากวานนี้ หลังรับรู้ปัจจัยบวกไปแล้วทั้งการเมืองในประเทศ-เฟดลดดอกเบี้ย ทำให้ดัชนีพักรอปัจจัยใหม่ ขณะที่มีแรงขายหุ้นขนาดกลาง-หุ้นใหญ่บางตัวสลับออกมากดดัน แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดแกว่งไซด์เวย์ต่อเนื่อง ให้แนวต้าน 1,300 จุด แนวรับ 1,285 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,292.72 จุด ลดลง 4.29 จุด (-0.33%) มูลค่าซื้อขายราว 47,981.93 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงและเคลื่อนไหวแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับต่ำสุด 1,292.41 จุด และสูงสุด 1,302.49 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 223 หลักทรัพย์ ลดลง 230 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 205 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 51,902 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 51,902 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขาย สูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 9,344 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,507 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 302 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.15% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 2-4 bps. ในตราสารระยะยาว สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 302 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 302 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 7-2 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.00% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ในขณะที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 33,000 ราย สู่ระดับ 231,000 ราย ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 241,000 ราย สำหรับ Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ปรับเพิ่มขึ้น 7,918 ล้านบาท จาก 890,346 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 898,264 ล้านบาท (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.84 กลับมาแข็งค่าจากช่วงเช้าสอดคล้องภูมิภาค-ราคาทอง คาดกรอบสัปดาห์หน้า 31.75-32.00 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 31.84 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 31.92 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบ 31.82 - 31.94 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวตามทิศทางราคาทองในตลาดโลก ขณะที่ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา ส่วนปัจจัยในประเทศต้องรอดูว่ารัฐบาลจะมีนโยบายเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกหรือไม่ "บาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับค่าเงินภูมิภาค และเป็นไปตามทิศทางราคาทองในตลาดโลก" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันจันทร์ไว้ที่ 31.75 - 32.00 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ธนาคารกลางจีนประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) จีน
ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนส.ค.จากเฟดชิค สหรัฐฯ