• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 66.27 จุด ทำนิวไฮ หุ้นเทคหนุนตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (22 ก.ย.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันวันที่ 3 เนื่องจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหนุนตลาด ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,381.54 จุด เพิ่มขึ้น 66.27 จุด หรือ +0.14%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,693.75 จุด เพิ่มขึ้น 29.39 จุด หรือ +0.44% และ Nasdaq ปิดที่ 22,788.98 จุด เพิ่มขึ้น 157.50 จุด หรือ +0.70% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 4 เซนต์ กังวลข่าวอิรักเพิ่มส่งออกน้ำมัน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (22 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่า อิรัก ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้เพิ่มการส่งออกน้ำมัน ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 4 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 62.64 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 66.57 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า หลังนักลงทุนซึมซับความเห็นจนท.เฟด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (22 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนซึมซับการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งรวมถึงสตีเฟน มิแรน หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟด ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.31% แตะที่ 97.339 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 147.73 เยน จากระดับ 147.96 เยนในวันศุกร์ (19 ก.ย.) และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.7925 ฟรังก์ จากระดับ 0.7955 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3821 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3776 ดอลลาร์แคนาดา (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $69.3 ทำนิวไฮ รับความหวังเฟดเดินหน้าหั่นดบ. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ (22 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์  ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 69.3 ดอลลาร์ หรือ 1.87% ปิดที่ 3,775.10 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยิลด์ไร้ทิศทาง จับตาถ้อยแถลง "พาวเวล", ดัชนี PCE อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวไร้ทิศทาง ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในสัปดาห์นี้ ณ เวลา 20.33 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.127% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 4.758% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      อังกฤษเล็งยกเว้นค่าวีซ่าบุคลากรทักษะสูง สวนทางสหรัฐฯ ขึ้นค่าธรรมเนียมกระฉูด หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กำลังพิจารณามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อดึงดูดบุคลากรทักษะสูงเข้าสู่ประเทศและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สวนทางกับสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศเรียกเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B  สื่ออังกฤษรายงานระบุว่า คณะทำงานของสตาร์เมอร์กำลังจัดทำมาตรการเพื่อดึงดูดบุคลากรคุณภาพจากต่างประเทศ เช่น นักวิทยาศาสตร์ อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล อย่างไรก็ดี สำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังยังไม่ยืนยันหรือแสดงความเห็นใด ๆ ต่อรายงานข่าวดังกล่าว ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีขึ้นหลังสหรัฐฯ ประกาศเข้มกฎการเข้าเมือง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามปรับค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B สำหรับบริษัทต่างชาติจากหลักพันดอลลาร์เป็น 100,000 ดอลลาร์ เพื่อคัดเลือกเฉพาะบุคลากรทักษะสูงที่จำเป็นจริง ๆ และป้องกันการแทนที่แรงงานอเมริกัน (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ กลุ่มรถยนต์ร่วงฉุดตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันจันทร์ (22 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มบริษัทผลิตรถยนต์ แม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นก็ตาม  ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 553.40 จุด ลดลง 0.72 จุด หรือ -0.13% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,830.11 จุด ลดลง 23.48 จุด หรือ -0.30%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,527.05 จุด ลดลง 112.36 จุด หรือ -0.48% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,226.68 จุด เพิ่มขึ้น 10.01 จุด หรือ +0.11% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 10.01 จุด หุ้นกลุ่มเหมืองแร่หนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเล็กน้อยในวันจันทร์ (22 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่พุ่งขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการร่วงของหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ ขณะที่นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและถ้อยแถลงจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,226.68 จุด เพิ่มขึ้น 10.01 จุด หรือ +0.11% (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 447.85 จุด ทำนิวไฮ ขานรับศึกชิงหัวหน้าพรรค LDP เปิดฉาก ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกในวันนี้ (22 ก.ย.) ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยตลาดขานรับความหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ออกมา หลังการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรครัฐบาลญี่ปุ่นเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 45,493.66 จุด เพิ่มขึ้น 447.85 จุด หรือ +0.99% หุ้นที่ปรับตัวขึ้นนำโดยหุ้นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันและถ่านหิน และกลุ่มเครื่องมือชั่งตวงวัด (อินโฟเควสท์)
      จีน
      แบงก์ชาติจีนคงดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีและ 5 ปีตามคาด ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3.0% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3.5% ในวันนี้ (22 ก.ย.) สวนทางกับธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง การตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย LPR ในวันนี้ เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าทางการจีนจะชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ท่ามกลางการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าจะมีข้อมูลหลายรายการที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความอ่อนแอของเศรษฐกิจก็ตาม (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 8.49 จุด รับ "สี-ทรัมป์" คุยชื่นมื่น, หุ้นซัพพลายเออร์ Apple พุ่ง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (22 ก.ย.) หลังจากมีสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยภาวะการซื้อขายได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทซัพพลายเออร์ของ Apple ซึ่งช่วยชดเชยแรงขายหุ้นกลุ่มการเงินที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,828.58 จุด เพิ่มขึ้น 8.49 จุด หรือ +0.22% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 200.96 จุด จับตาพายุไต้ฝุ่น, เงินเฟ้อสหรัฐฯ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (22 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ที่ร่วงลง ขณะที่นักลงทุนรอดูข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาสถานการณ์พายุไต้ฝุ่น "รากาซา" (Ragasa) อย่างใกล้ชิด ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 26,344.14 จุด ลดลง 200.96 จุด หรือ -0.76% (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      UNDP คาดภาษีสหรัฐฯ เสี่ยงฉุดส่งออกเวียดนามสูญ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หนักสุดในอาเซียน โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประเมินว่า มาตรการของสหรัฐฯ ที่เก็บภาษีสินค้านำเข้า 20% สำหรับสินค้าเวียดนามตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. อาจทำให้เวียดนามสูญเสียมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงสุดถึง 20% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในอาเซียน ข้อมูลการค้าของสหรัฐฯ ระบุว่า เวียดนามเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 6 ของโลกมายังสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าการส่งออกแตะ 1.365 แสนล้านดอลลาร์ สินค้าส่วนใหญ่ผลิตโดยโรงงานของบริษัทอเมริกันและบริษัทข้ามชาติ รวมถึงซัพพลายเออร์ของบริษัทเหล่านั้น  ฟิลิป เชลเลเกนส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ UNDP เตือนว่า หากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงอันเนื่องมาจากภาษีนำเข้า การเรียกเก็บภาษีที่ 20% อาจฉุดมูลค่าการส่งออกเวียดนามลดลงกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเกือบหนึ่งในห้าของมูลค่าการส่งออกต่อปี รายงานของ UNDP ระบุว่า เวียดนามได้รับผลกระทบหนักที่สุดในอาเซียน โดยมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ อาจลดลงสูงสุดถึง 19.2% ซึ่งเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ย 9.7% ของภูมิภาค ขณะที่ไทยอาจลดลง 12.7% มาเลเซีย 10.4% และอินโดนีเซีย 6.4% นอกจากนี้ มาตรการภาษีอาจฉุด GDP เวียดนามราว 5% แม้ผลกระทบเต็มรูปแบบอาจใช้เวลาหลายปีจึงจะเห็นชัด โดย UNDP ชี้ว่า เวียดนามยังสามารถบรรเทาผลกระทบได้ด้วยการที่ผู้ส่งออกบางส่วนดูดซับต้นทุน ขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น และกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ (อินโฟเควสท์)
      อินโดฯประกาศขยายเวลายกเว้น VAT สำหรับภาคอสังหาฯ ถึงปี 2569 กระทรวงประสานงานด้านเศรษฐกิจประกาศว่า รัฐบาลอินโดนีเซียได้ขยายเวลาการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ออกไปจนถึงปี 2569 มาตรการดังกล่าวครอบคลุมการซื้อบ้านใหม่ที่มีราคาสูงสุดไม่เกิน 2 พันล้านรูเปียห์ (121,000 ดอลลาร์) หรือราว 3,845,000 บาท นอกจากนี้ สำหรับบ้านที่มีมูลค่าระหว่าง 2 พันล้านถึง 5 พันล้านรูเปียห์ (121,000-302,000 ดอลลาร์) การยกเว้นภาษีจะครอบคลุมเฉพาะส่วนแรก 2 พันล้านรูเปียห์ ขณะที่ส่วนที่เหลือจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม "การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระนี้จะมีผลบังคับใช้ต่อไปจนถึงปี 2569" นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ กล่าว มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568–2569 ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      สหราชอาณาจักร-แคนาดา นำทัพ G7 รับรองรัฐปาเลสไตน์ ชาติพันธมิตรขานรับ สหราชอาณาจักร (UK) และแคนาดาประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ (21 ก.ย.) นับเป็นสองชาติแรกในกลุ่มประเทศ G7 ที่ตัดสินใจเช่นนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อกดดันอิสราเอลที่กำลังยกระดับการโจมตีกาซาซิตี สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า หลังจากนั้นไม่นาน ออสเตรเลียและโปรตุเกสก็ได้ประกาศรับรองตามมา ขณะเดียวกัน คาดว่าฝรั่งเศสซึ่งเป็นสมาชิก G7 อีกชาติ จะดำเนินรอยตามในเร็ว ๆ นี้ ท่ามกลางสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงและยอดพลเรือนเสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้นในฉนวนกาซา โดยสถานการณ์ความขัดแย้งดำเนินมาเกือบสองปีแล้วนับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีกลุ่มฮามาส แต่ยังคงไร้วี่แววที่จะมีการหยุดยิงในเร็ววัน นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของสหราชอาณาจักร โพสต์วิดีโอผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า "ความหวังเรื่องทางออกสองรัฐกำลังริบหรี่ แต่เราจะปล่อยให้แสงสว่างนี้ดับไปไม่ได้" อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกา พันธมิตรสำคัญของอิสราเอล ยังคงสงวนท่าทีต่อเรื่องนี้  ในวันนี้ (22 ก.ย.) สหประชาชาติจะจัดการประชุมนานาชาติ ณ สำนักงานใหญ่ในนครนิวยอร์ก เพื่อหารือเกี่ยวกับการคลี่คลายความขัดแย้งด้วยแนวทางสองรัฐ ในทางกลับกัน ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ของปาเลสไตน์ ได้แสดงความยินดี โดยกล่าวว่าการรับรองนี้จะเปิดทางให้ "รัฐปาเลสไตน์สามารถอยู่เคียงข้างกับรัฐอิสราเอลได้อย่างสันติ ปลอดภัย และเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน" ส่วนญี่ปุ่น สมาชิก G7 อีกชาติ แม้จะย้ำจุดยืนสนับสนุนแนวทางสองรัฐมาโดยตลอด แต่ทาเคชิ อิวายะ รัฐมนตรีต่างประเทศ ยืนยันเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ว่า ญี่ปุ่นยังไม่มีแผนจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในขณะนี้ ปัจจุบัน ทั่วโลกมีประเทศที่ให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์แล้วประมาณ 150 ประเทศ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ดิ่งกว่า 400 จุด พิษวีซ่า H-1B ทุบตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียดิ่งลงกว่า 400 จุด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมสำหรับการยื่นขอวีซ่า H-1B สู่ระดับ 100,000 ดอลลาร์ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 82,159.97 ลบ 466.26 จุด หรือ 0.56% (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      สทนช.ปรับแผนลดการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์ จับตาฝนโค้งสุดท้ายปลายเดือน ก.ย. นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ สทนช.ได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกรมอุตุนิยมวิทยา ประเมินสถานการณ์ฝนแล้วพบว่า พายุไต้ฝุ่น "รากาซา (RAGASA)" มีแนวโน้มจะเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ในวันนี้ จากนั้นจะเคลื่อนตัวตามแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน ลงสู่อ่าวตังเกี๋ย และจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนก่อนที่ขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 25-26 ก.ย.68 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ อิทธิพลของพายุนี้จะทำให้ร่องมรสุมและมรสุมที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ช่วงวันที่ 22 ก.ย.- 1 ต.ค.68 เกิดร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคอีสานตอนบน ประกอบกับมรสุมมีกำลังปานกลาง อาจทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักเพิ่มขึ้น จึงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักบริเวณพื้นที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี โดยที่ประชุมจึงได้ร่วมกันพิจารณาเป็นรายลุ่มน้ำ ดังนี้ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันมีการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาที่อัตรา 2,200 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที ซึ่งขณะนี้ยังส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดชัยนาท จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบโดยการคงอัตราการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาในอัตรานี้โดยไม่เพิ่มขึ้นอีก ประกอบกับฝนที่จะตกในช่วงต่อไปจะไม่ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มสูงมากนัก ขณะที่สถานการณ์น้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขณะนี้มีปริมาณน้ำคิดเป็น 76% ของความจุเก็บกัก ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ที่ประชุมเห็นควรให้ปรับแผนเพิ่มการระบายน้ำจากเดิมอัตรา 500 ลบ.ม./วินาที เป็น 650 ลบ.ม./วินาที โดยทยอยปรับเพิ่มตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.68 ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสภาวะน้ำล้นตลิ่งในช่วงตลิ่งต่ำบางพื้นที่ในจังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับสถานการณ์ลุ่มน้ำชี พบว่าปริมาณน้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำมากถึง 78% ของความจุเก็บกัก และจากสถานการณ์ฝนคาดว่าจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำมาเพิ่มมากขึ้นอีกอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของตัวเขื่อน ในวันนี้ คณะกรรมการลุ่มน้ำชีได้ประชุมร่วมกันและมีมติให้ กฟผ. ปรับแผนการระบายน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จากเดิมระบายน้ำไม่เกิน 25 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.)/วัน เป็นระบายน้ำไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม./วัน โดยต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำซึ่งเป็นความร่วมมือของหน่วยงานในทุกจังหวัดของลุ่มน้ำชีในการช่วยลำเลียงน้ำลงสู่จังหวัดอุบลราชธานีก่อนไหลลงแม่น้ำโขงอย่างประณีตและส่งผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดร่วง 10.18 จุดรับแรงขายทำกำไร Valuation แพงสวนทางเศรษฐกิจโตต่ำ รอลุ้น GDP-PCE สหรัฐ SET ปิดวันนี้ที่ 1,282.54 จุด ลดลง 10.18 จุด (-0.79%) มูลค่าซื้อขาย 31,595.35 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยปิดต่ำสุดของวันรับแรงขายทำกำไรหลังตลาดขึ้นมาจน Valuation แพงขณะที่ GDP ไทยยังโตต่ำ ซ้ำไร้ไม่มีปัจจัยใหม่หนุน สัปดาห์นี้ตลาดรอตัวเลข GDP ไตรมาส 2/68 และดัชนี PCE ของสหรัฐ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนวโน้มพรุ่งนี้คาดตลาดเหวี่ยงซึมลง ให้กรอบแนวรับแรก 1,280 จุด ถัดไป 1,272 จุด ส่วนแนวต้าน 1,288 จุด  ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,282.54 จุด ลดลง 10.18 จุด (-0.79%) มูลค่าซื้อขาย 31,595.35 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงและเคลื่อนไหวแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับต่ำสุด 1,282.54 จุด และสูงสุด 1,296.42 จุด  ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 128 หลักทรัพย์ ลดลง 356 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 167 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 63,171 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 63,171 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 21,577 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,435 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 7,690 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.15% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากวันก่อนหน้า สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 7,690 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 7,690 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) เนื่องจากแนวโน้มดอลลาร์ที่แข็งค่ามากขึ้น หลังมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ทั้งนี้ ตลาดติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการขั้นต้น อียูและอังกฤษ เดือนก.ย. ในวันพรุ่งนี้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.80/81 แกว่งกรอบแคบ รอปัจจัยใหม่หนุนทิศทาง คาดกรอบพรุ่งนี้ 31.75-31.95 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 31.80/81 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดที่ระดับ 31.84 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบ 31.78-31.87 บาท/ดอลลาร์ เงินบาททรงตัวจากช่วงเช้า ตลาดรอติดตามความคิดเห็นจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ ประกอบกับรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคา PCE เดือนส.ค. และตัวเลข GDP ไตรมาส 2/68 ช่วงปลายสัปดาห์ "ปัจจัยที่ยังทำให้เงินบาททรงตัว คือวันนี้ราคาทองคำที่พุ่งทะลุ 3,700 ดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่า ทำให้บาทที่ปกติต้องอ่อนค่ายังทรงตัว" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 31.75 - 31.95 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
               
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จาก HCOB อียู                           
      ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จาก HCOB อียู                           
      ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/2568  สหรัฐฯ         
      ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จาก S&P Global สหรัฐฯ         
      ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จาก S&P Global สหรัฐฯ         

       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      09
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.