• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      ADP เผยจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐ +54,000 เดือนส.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 54,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 75,000 ตำแหน่ง หลังจากพุ่งขึ้น 104,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. นอกจากนี้ ADP เปิดเผยว่า ตัวเลขค่าจ้างเพิ่มขึ้น 4.4% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากเพิ่มขึ้น 4.4% เช่นเดียวกันในเดือนก.ค. (อินโฟเควสท์)  
      สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 8,000 ราย สู่ระดับ 237,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 231,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 2,500 ราย สู่ระดับ 231,000 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 1.94 ล้านราย (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐเผยขาดดุลการค้าสูงกว่าคาดในเดือนก.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 32.5% สู่ระดับ 7.83 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.57 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 5.91 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ การนำเข้าพุ่งขึ้น 5.9% สู่ระดับ 3.588 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.3% สู่ระดับ 2.805 แสนล้านดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
      EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น สวนทางคาดการณ์ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.0 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 3.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 300,000 บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ISM เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐสูงกว่าคาดในเดือนส.ค. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.0 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. จากระดับ 50.1 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 50.9 ดัชนีภาคบริการยังคงปรับตัวสูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของภาคบริการ ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่ (อินโฟเควสท์)
      เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐขยายตัว 3.0% ใน Q3/68 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 3.0% ในไตรมาส 3/2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 และขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 2 เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งต่อไปในวันที่ 10 ก.ย. (อินโฟเควสท์)
      ผลสำรวจชี้นักลงทุนสหรัฐส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นตลาดหุ้นช่วง 6 เดือนข้างหน้า ผลสำรวจของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 43.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 39.4% ในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.0% ส่วนนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 32.7% ลดลงจากระดับ 34.6% ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 37.5% นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวน 23.9% มีมุมมองที่เป็นกลางต่อทิศทางตลาดหุ้น ลดลงจากระดับ 25.0% ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.5% (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์วอนศาลฎีกาเร่งรับคำร้อง หลังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาตรการภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ศาลฎีกาเร่งรับคำร้องและกลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่เขาประกาศใช้กับประเทศทั่วโลกนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อเรียกร้องดังกล่าวมีขึ้นในช่วงค่ำวันพุธ (3 ก.ย.) เพียง 5 วันหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้ โดยคณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 4 เสียง ตัดสินว่า ผู้นำสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ค.ศ. 1977 คำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลอุทธรณ์ทำให้นโยบายการค้าซึ่งถือเป็นวาระหลักของรัฐบาลทรัมป์ต้องตกอยู่ในความไม่แน่นอน สำนักข่าวเอ็นบีซี นิวส์ เผยแพร่เอกสารที่ได้รับจากฝ่ายโจทก์ในคดีนี้ว่า ปธน.ทรัมป์กำลังขอให้ศาลฎีกาพิจารณาการอุทธรณ์ของเขาในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ และขอให้ศาลประกาศคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรในเวลาไม่นานหลังจากนั้น "การชะลอคำตัดสินไปจนถึงเดือนมิ.ย. 2569 อาจมีผลต่อภาษีศุลกากรที่ได้มีการจัดเก็บไปแล้วมูลค่า 7.50 แสนล้านดอลลาร์ - 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการยกเลิกมาตรการเหล่านี้ในภายหลังอาจทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมาก" ปธน.ทรัมป์ระบุในเอกสารดังกล่าว โดยปกติแล้ว ศาลฎีกาจะใช้เวลาพิจารณาคดีความในลักษณะดังกล่าวเป็นเวลานานจนถึงช่วงต้นฤดูร้อนปีหน้า (อินโฟเควสท์)
      จับตา "ทรัมป์" ใช้ดาบสอง! หากศาลฎีกาคว่ำมาตรการ "ภาษีทรัมป์" นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา คาดการณ์ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป แม้ศาลฎีกาสหรัฐมีคำพิพากษาให้มาตรการดังกล่าวเป็นโมฆะ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐมีคำวินิจฉัยว่า มาตรการภาษีส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ "มิชอบด้วยกฎหมาย" ส่งผลให้ปธน.ทรัมป์ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาสหรัฐเพื่อให้พิจารณาคดีดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยหวังว่าศาลฎีกาจะกลับคำตัดสินดังกล่าว ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ โดยระบุว่า ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 "หากศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ เราคาดว่ามาตรการภาษีศุลกากรก็จะยังคงถูกนำมาใช้ผ่านทางการใช้อำนาจตามกฎหมายอื่น" นายสตีเฟน จูนู นักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุในรายงาน โดยคาดว่าปธน.ทรัมป์จะยังคงเดินหน้าเรียกเก็บภาษีศุลกากรตามมาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 และมาตรา 338 ของกฎหมายภาษีศุลกากร Smoot-Hawley ปี 1930 "นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังสามารถหวนกลับไปใช้แนวทางเดิมในขณะที่ปธน.ทรัมป์ดำรงตำแหน่งในสมัยแรก โดยการใช้มาตรา 232 และ 301" นายจูนูกล่าว รายงานของแบงก์ ออฟ อเมริกา สอดคล้องกับโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งระบุว่า ปธน.ทรัมป์ยังคงมีช่องทางตามกฎหมายอื่น ๆ ที่สามารถใช้เพื่อเรียกเก็บภาษีได้ ได้แก่การใช้มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าสหรัฐ รวมทั้งมาตรา 301, มาตรา 232 และมาตรา 338 ทั้งนี้ มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ไม่จำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างเป็นทางการ จึงอาจเป็นช่องทางรวดเร็วที่สุดในการหลีกเลี่ยงอุปสรรคจากคำตัดสินของศาล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 350.06 จุด ข้อมูลแรงงานซบหนุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังมีข้อมูลเพิ่มเติมบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ชะลอตัวลง ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,621.29 จุด เพิ่มขึ้น 350.06 จุด หรือ +0.77%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,502.08 จุด เพิ่มขึ้น 53.82 จุด หรือ +0.83% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,707.69 จุด เพิ่มขึ้น 209.97 จุด หรือ +0.98% หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร พุ่งขึ้น 2.25% และ 1.12% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลง 0.16% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 49 เซนต์ หลังสต็อกน้ำมันดิบพุ่ง-กังวลโอเปกเพิ่มผลิต สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความวิตกกังวลว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมวันอาทิตย์นี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 49 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 63.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 61 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 66.99 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้อย่างใกล้ชิด หลังข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ชะลอตัวลง ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.21% แตะที่ระดับ 98.348 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 148.56 เยน จากระดับ 147.97 เยนในวันพุธ (3 ก.ย.) ขณะเดียวกันก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8063 ฟรังก์ จากระดับ 0.8040 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3829 ดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3797 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1644 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1662 ดอลลาร์ในวันพุธ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3426 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3442 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $28.8 นักลงทุนขายขายทำกำไรหลังราคาทำนิวไฮ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางตลาดแรงงานและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 28.80 ดอลลาร์ หรือ 0.79% ปิดที่ 3,606.70 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ร่วง หลังเผยจ้างงานอ่อนแอ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ณ เวลา 19.55 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.190% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.868% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะเดียวกันแรงกดดันในตลาดพันธบัตรที่ผ่อนคลายลงก็ช่วยพยุงตลาดด้วย ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 550.09 จุด เพิ่มขึ้น 3.31 จุด หรือ +0.61% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,698.92 จุด ลดลง 20.79 จุด หรือ -0.27%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,770.33 จุด เพิ่มขึ้น 175.53 จุด หรือ +0.74% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,216.87 จุด เพิ่มขึ้น 38.88 จุด หรือ +0.42% หุ้นกลุ่มสื่อและกลุ่มโทรคมนาคมนำตลาดด้วยการปรับขึ้นราว 1.9% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 38.88 จุด กลุ่มแบงก์-คอนซูมเมอร์หนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและกลุ่มธนาคาร ขณะที่นักลงทุนประเมินรายงานผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ 9,216.87 จุด เพิ่มขึ้น 38.88 จุด หรือ +0.42% หุ้นค้าปลีกได้แรงหนุนจากหุ้น Currys ที่พุ่งขึ้น 15.6% หลังผู้ค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้ารายนี้เปิดเผยว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 3% ในช่วงฤดูร้อน (17 สัปดาห์สิ้นสุดปลายเดือนส.ค.) อีกทั้งยังประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 50 ล้านปอนด์ (68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) หุ้นค้าปลีกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น JD Sports Fashion, Frasers และ Next ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นขยับขึ้น โดยหุ้น Tesco เพิ่มขึ้น 1.8% หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้น 1.2% โดยหุ้น NatWest เพิ่มขึ้น 1.5%, Barclays พุ่ง 2.2% และ Lloyds บวก 2.1% ขณะที่มีรายงานว่า พนักงานราว 3,000 คนหรือราว 5% ของ Lloyds ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ถูกประเมินผลงานต่ำสุดนั้น อาจถูกพิจารณาปลดออกจากงาน หุ้นกลุ่มสื่อสารก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดย Airtel Africa และ Auto Trader เพิ่มขึ้นราว 2.3% ส่วน Rightmove พุ่งขึ้น 2.9% ในทางตรงกันข้าม หุ้นเหมืองแร่โลหะมีค่าปรับตัวลงตามราคาทองคำที่อ่อนตัว โดยหุ้น Endeavour Mining ลดลง 1.7% และหุ้น Hochschild Mining ร่วง 3.5% ขณะที่หุ้นเหมืองแร่อุตสาหกรรมก็ปรับลงเช่นกัน โดยหุ้น Anglo American ลดลง 1.2% (อินโฟเควสท์)   
      ญี่ปุ่น
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่ง 641.38 จุด ขานรับคาดการณ์กลุ่ม AI โตแกร่ง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันนี้ (4 ก.ย.) โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ท่ามกลางความคาดหวังว่าภาคปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 42,580.27 จุด เพิ่มขึ้น 641.38 จุด หรือ +1.53% หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในวันนี้นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มโลหะที่ไม่มีส่วนผสมของเหล็ก และกลุ่มบริษัทประกัน (อินโฟเควสท์)  
      จีน
      จีนเก็บภาษีไฟเบอร์ออปติกจากสหรัฐฯ หลังพบเลี่ยงมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด จีนเริ่มเก็บภาษีเส้นใยแก้วนำแสงที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม หลังการสอบสวนเป็นเวลา 6 เดือนพบว่า บริษัทสหรัฐฯ พยายามเลี่ยงมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดของจีน กระทรวงพาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์ว่า อัตราภาษีสำหรับสายใยแก้วนำแสงชนิดโหมดเดี่ยวแบบ cut-off shifted อยู่ระหว่าง 33.3% - 78.2% และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ตามเวลากรุงปักกิ่ง ไปจนถึงวันที่ 21 เม.ย. 2571 แถลงการณ์ระบุว่า จากการสอบสวนพบผู้ผลิตและส่งออกสายใยแก้วนำแสงจากสหรัฐฯ เปลี่ยนรูปแบบการค้าเพื่อหลบเลี่ยงภาษีเดิม จึงถือเป็นการละเมิดกฎต่อต้านการทุ่มตลาดของจีน โดยบริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ คอร์นิ่ง (Corning) ที่ต้องจ่ายภาษีในอัตรา 37.9%, โอเอฟเอส ฟิเทล (OFS Fitel) ในอัตรา 33.3% และดรากา คอมมิวนิเคชันส์ อเมริกาส์ (Draka Communications Americas) สูงสุดที่ 78.2% นอกจากนี้ กระทรวงฯ ระบุในแถลงการณ์อีกฉบับที่เผยแพร่ในวันนี้ว่า นับเป็นครั้งแรกที่จีนดำเนินการสอบสวนกรณีเลี่ยงมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (anti-circumvention) พร้อมย้ำว่ากระบวนการเป็นไปอย่างเปิดเผย โปร่งใส และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งนี้ อัตราภาษีที่เพิ่งประกาศใช้ดังกล่าวเป็นอัตราเดียวกับที่จีนเรียกเก็บกับใยแก้วนำแสงชนิดโหมดเดี่ยวแบบ dispersion unshifted ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2566 และจะมีผลจนถึงเดือนเม.ย. 2571 เช่นกัน (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดร่วง 1.25% วิตกจีนออกมาตรการสกัดตลาดร้อนแรง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สามในวันนี้ (4 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) กำลังพิจารณาใช้มาตรการชะลอความร้อนแรงของตลาดหุ้น ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,765.88 จุด ลดลง 47.68 จุด หรือ -1.25% ตลาดหุ้นจีนร่วงลงหลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า คณะกรรมการ CSRC กำลังพิจารณาใช้มาตรการชะลอความร้อนแรงของตลาดหุ้น ซึ่งรวมถึงการควบคุมการซื้อขายเก็งกำไร หลังจากตลาดหุ้นจีนซึ่งมีมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.ปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 10% ในเดือนส.ค. เนื่องจากมีเม็ดเงินไหลเข้าจำนวนมาก ซึ่งทำให้ทางการจีนวิตกกังวลว่าตลาดจะอยู่ในภาวะร้อนแรงเกินไป (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 284.92 จุด วิตกจีนออกมาตรการคุมตลาดหุ้น ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดปรับตัวลงเป็นวันที่สามติดต่อกันในวันนี้ (4 ก.ย.) โดยนักลงทุนเกิดความกังวลหลังจากมีรายงานว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) กำลังพิจารณาใช้มาตรการชะลอความร้อนแรงของตลาดหุ้นจีน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,058.51 จุด ลดลง 284.92 จุด หรือ -1.12% (อินโฟเควสท์)  
      เอเชีย และอื่นๆ
      แบงก์ชาติมาเลย์มีมติคงดอกเบี้ยที่ 2.75% ชี้เศรษฐกิจยังโตต่อ-เงินเฟ้อต่ำ ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายข้ามคืน (OPR) ไว้ที่ 2.75% ในการประชุมวันนี้ (4 ก.ย.) ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งก่อนเมื่อเดือนก.ค. BNM ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี แถลงการณ์ของ BNM ระบุว่า ท่าทีด้านนโยบายการเงินในปัจจุบันนั้น "เหมาะสมและเอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ท่ามกลางเสถียรภาพด้านราคา" พร้อมอธิบายว่าการลดดอกเบี้ยเมื่อเดือนก.ค. นั้นเป็นมาตรการเชิงรุกเพื่อประคองแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับแนวโน้มในปี 2569 นั้น ธนาคารกลางคาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจ้างงาน การเพิ่มขึ้นของค่าจ้าง และนโยบายช่วยเหลือด้านรายได้ของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม BNM ยอมรับว่าแนวโน้มดังกล่าวยังเผชิญความไม่แน่นอนและความเสี่ยงจากการชะลอตัวของการค้าโลก ความเชื่อมั่นที่อ่อนแอ และปริมาณการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจต่ำกว่าคาดการณ์ ปัจจุบัน BNM คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจมาเลเซียในปีนี้จะขยายตัวในกรอบ 4.0%-4.8% ซึ่งลดลงจากประมาณการเดิมที่ 4.5%-5.5% เนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้าและความไม่แน่นอนด้านกำแพงภาษี โดยเศรษฐกิจในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 4.4% เทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับไตรมาสแรก ด้านอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.9% (อินโฟเควสท์)
      เกาหลีใต้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนก.ค.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังส่งออกแกร่ง ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ว่า เกาหลีใต้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนก.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่งและรายได้จากหุ้นที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของเกาหลีใต้อยู่ที่ 1.078 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการเกินดุลต่อเนื่องติดต่อกันเดือนที่ 27 ส่วนในช่วง 7 เดือนแรกของปี เกาหลีใต้มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดโดยรวมอยู่ที่ 6.015 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 4.921 หมื่นล้านดอลลาร์ รายงานของ BOK เกาหลีใต้เกินดุลการค้าสินค้า 1.027 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนก.ค. หลังจากการส่งออกปรับตัวขึ้น 2.3% สู่ระดับ 5.978 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าลดลง 0.9% สู่ระดับ 4.951 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ขาดดุลด้านการบริการ 2.14 พันล้านดอลลาร์ โดยมีสาเหตุหลักจากความต้องการเดินทางไปต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น (อินโฟเควสท์)
      อินเดียหั่นภาษีสินค้ากว่าร้อยรายการ หวังกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ บรรเทาผลกระทบภาษีทรัมป์ นิรมาลา สิธารามาน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอินเดีย ประกาศลดภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคกว่าร้อยรายการ เพื่อกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รมว.คลังอินเดียแถลงต่อสื่อมวลชนว่า คณะกรรมการภาษีสินค้าและบริการ (GST) ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีจากทุกรัฐ ได้อนุมัติปรับลดภาษีสินค้าจำเป็นและปรับโครงสร้างภาษีให้ง่ายขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ภาษี GST ถูกวิจารณ์ว่ามีความซับซ้อนและมีหลายอัตรา คณะกรรมการจึงอนุมัติให้เหลือเพียง 2 อัตรา ได้แก่ 5% และ 18% จากปัจจุบัน 4 อัตรา รายการสินค้าที่ลดภาษี เช่น ยาสีฟันและแชมพู ลดจาก 18% เหลือ 5% ส่วนรถยนต์ขนาดเล็ก เครื่องปรับอากาศ และโทรทัศน์ ลดจาก 28% เหลือ 18% อย่างไรก็ดี รัฐบาลกลางและรัฐบาลแต่ละรัฐคาดว่าจะสูญเสียรายได้รวมประมาณ 4.8 แสนล้านรูปี (ราว 5.49 พันล้านดอลลาร์) จากการลดภาษีครั้งนี้ ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. หรือตรงกับวันแรกของเทศกาลนวราตรี รายงานระบุว่า การลดภาษีครั้งนี้ ประกอบกับการลดภาษีบุคคลที่ประกาศเมื่อเดือนก.พ. คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในอินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวเกินคาดถึง 7.8% ในช่วงไตรมาส 2/2568 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex บวกเพียง 150 จุด หลังพุ่งเกือบ 900 จุดช่วงแรก ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นเพียง 150 จุด หลังพุ่งขึ้นเกือบ 900 จุดในช่วงแรก โดยได้ปัจจัยหนุนจากการปรับลดอัตราภาษีสินค้าและบริการ (GST) ของอินเดีย ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,718.01 บวก 150.30 จุด หรือ 0.19% หุ้นกลุ่มยานยนต์พุ่งขึ้นนำตลาดในวันนี้ (อินโฟเควสท์)  
      ไทย
      เงินเฟ้อ ส.ค. หดตัว -0.79%YoY ต่อเนื่องเดือนที่ 5 ใกล้เคียงตลาดคาด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ส.ค.68 อยู่ที่ 100.14 ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน -0.79% (YoY) ขณะที่ตลาดคาด -0.7 ถึง -0.8% โดยอัตราเงินเฟ้อปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ปัจจัยสำคัญจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะผักสด ผลไม้สด และไข่ไก่ เนื่องจากอุปทานในตลาดเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานลดลงจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามสถานการณ์ราคาในตลาดโลก และค่ากระแสไฟฟ้าจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองของภาครัฐ "เงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากสถานการณ์คล้ายกับเดือนก่อน แต่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 เงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องมากถึง 13 เดือน" น.ส.ณัฐิยา สุจินดา รองผู้อำนวยการ สนค.กล่าว ทั้งนี้ส่งผลให้ CPI เฉลี่ย 8 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ส.ค.68) ขยายตัว 0.08% (อินโฟเควสท์)
      "ชัยเกษม" แคนดิเดทนายกฯ เพื่อไทยตั้งโต๊ะแถลงให้สัญญาพร้อมยุบสภาทันที หากได้รับโหวตนายกฯ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ตั้งโต๊ะแถลงพร้อมด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย นายชูศักดิ์ ศิรินิล นางสาวจิราพร สินธุไพร และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ โดยยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยตอบรับข้อเสนอทุกข้อของพรรคประชาชน และหากได้รับการลงคะแนนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะยุบสภาทันที โดยไม่ต้องรอเวลาถึง 4 เดือน เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน เข้าสู่การเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตยต่อไป "ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า นี่คือสัญญาที่ทำไว้ต่อพี่น้องประชาชน และท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลจะปฏิบัติตามข้อตกลงนี้โดยไม่มีข้อเปลี่ยนแปลง ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมใด ๆ" (อินโฟเควสท์)  
      "ภูมิธรรม" รับร่างพ.ร.ฎ.ยุบสภาถูกตีกลับ เหตุมีประเด็นข้อกม. ย้ำชัดเจตนาคืนอำนาจให้ปชช. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กเป็นแถลงการณ์ 2 ฉบับ เพื่อชี้แจงในประเด็นร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร และการเดินหน้าตามครรลองประชาธิปไตย ดังนี้ นายภูมิธรรม ได้ชี้แจงในประเด็นร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ช่วงที่การเมืองยังสับสนว่า รัฐบาลได้ดำเนินการจัดทำร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร และส่งให้สำนักงานองคมนตรีพิจารณาแล้วเมื่อเย็นวันที่ 2 ก.ย.68 ต่อมาได้รับแจ้งจากสำนักงานองคมนตรีว่ายังมีประเด็นข้อกฎหมายที่มีการโต้แย้งและยังไม่เป็นข้อยุติ โดยเฉพาะประเด็นอำนาจของรองนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในการถวายคำแนะนำ จึงยังไม่เห็นสมควรนำร่าง พ.ร.ฎ.ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในเวลานี้ รัฐบาลเคารพในขั้นตอนและหลักนิติธรรมทุกประการ โดยจะนำกลับมาทบทวนและพิจารณาเพื่อให้เกิดความเหมาะสมถูกต้อง แต่ขอย้ำชัดว่าเจตนารมณ์ของรัฐบาลคือการคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด (อินโฟเควสท์)
      "ทักษิณ" โผล่ดอนเมือง บินสิงคโปร์-ทนายเชื่อกลับไทยไปศาลตามนัด 9 ก.ย. แหล่งข่าวจากสนามบินดอนเมือง ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และเจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานไทย ได้เข้าตรวจสอบ เอกสารของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังพบจะเดินทางออกนอกประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว MJet และได้ยื้อเวลาสักระยะหนึ่ง โดยนายทักษิณ ได้ให้เหตุผลเดินทางเพื่อไปพบเพื่อนนักธุรกิจ รายงานข่าวจากสนามบินดอนเมือง เผยว่า นายทักษิณ ได้ใช้เครื่องบินส่วนตัว MJet บินไปปลายทางที่สิงคโปร์ มีผู้โดยสาร 5 คน เครื่องออกจากดอนเมืองเมื่อเวลา 18.35 น. ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายทักษิณ ปฏิเสธไม่ทราบเรื่องที่นายทักษิณ ถูกเจ้าหน้าที่กักตัวที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ส่วนกรณีที่ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งการบังคับโทษในคดีไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในวันที่ 9 ก.ย.นั้น นายวิญญัติ เชื่อว่านายทักษิณจะเดินทางไปศาลตามนัด สำหรับกรณีที่ศาลอาญามีคำสั่งห้ามนายทักษิณเดินทางออกนอกราชอาณาจักรตามสัญญาปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อศาลมีคำพิพากษายกฟ้องแล้วก็ถือว่าข้อห้ามดังกล่าวถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อีกทั้งทนายความได้แจ้งสื่อว่าจะยื่นคำร้องให้ศาลอาญายกเลิกข้อห้ามดังกล่าวอีกครั้งถึงแม้คำพิพากษาที่ออกมาจะมีผลให้ยกเลิกข้อห้ามดังกล่าวแล้วก็ตาม (อินโฟเควสท์)
      ผู้จัดการตลาดฯ ระบุต่างชาติชินการเมืองไทย ศก.ยังเดินต่อ หวั่น G-Token และ Bond Connect สะดุด นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าว่า จากการที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศที่ผ่านมา และในงาน Thailand Focus 2025 เมื่อปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่านักลงทนต่างชาติคุ้นเคยกับการเมืองไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงกระทันหัน ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ ในทางกลับกัน เศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าได้ต่อ โดยเศรษฐกิจไทยถือเป็นเศรษฐกิจใหม่ในอาเซียน แม้อายุรัฐบาลจะสั้น แต่การเมืองจะไม่เป็นอุปสรรคกับตลาดทุน "ความไม่แน่อนทางการเมืองเริ่มมานานแล้ว วันนี้ชัดเจนขึ้น ที่ Fund Flow เข้ามา เพราะมองเศรษฐกิจไทยยังน่าสนใจ เขามอง Valuation ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ที่ยังมี upside และ didvided วันนี้กลับเข้ามาซื้อ" ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ส่วนความเสี่ยงด้านการเมือง ตลาดหุ้นคาดหวังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต้องการเห็นนโนบายที่ชัดเจน ขณะที่หุ้น IPO เชื่อว่าน่าจะมีหุ้นที่น่าสนใจเข้ามาภายในปีนี้หรืออย่างช้าก็ปีหน้า หลังจากเห็นความชัดเจนการเมือง นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ก็ยังเดินหน้าโครงการ Jump+ ซึ่งขณะนี้มีบจ.ที่เข้าร่วมแล้ว 35 บริษัท อย่างไรก็ดี โครงการ G-Token และ โครงการ Bond Connect Plartform จะเดินหน้าต่ออย่างไร หากมีการเปลี่ยนรัฐบาล โดยโครงการ G-Token ยังไม่เห็นความชัดเจน ก็ต้องรีบประสานกับกระทรวงคลัง ว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่ ส่วนโครงการ Bond Connect Plartform ตลาดฯอยากจะผลักดันต่อ นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองขณะนี้มีความชัดเจนมากขึ้น รอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบาย ซึ่งก็สบายใจได้เพราะงบประมาณรายจ่ายปี 69 ได้ผ่านสภาแล้ว รัฐบาลใหม่ก็จะมีเครื่องมือทางคลังกระตุ้นเศรษฐิจให้เดินหน้าได้ โดยปัจจัยเสี่ยงในครึ่งปีหลัง เรื่องการส่งออก แต่ก้มีข้อดีที่ภาครัฐมีงบมาสนับสนุน (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 6.76 จุดขายทำกำไรหุ้นใหญ่กดดันหลังรับรู้ปัจจัยการเมือง พรุ่งนี้ลุ้นโหวตนายกฯ SET ปิดวันนี้ที่ 1,252.55 จุด ลดลง 6.76 จุด (-0.54%) มูลค่าซื้อขาย 44,813.45 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีปรับตัวลง ถูกกดดันจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ โดยก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อเนื่องรับความคาดหวังการเมืองในประเทศมีความชัดเจน ซึ่งตลาด Price in ประเด็นดังกล่าวแล้วจึงมีขายทำกำไรออกมา ประกอบกับตลาดหุ้นไทยมี P/E ที่เริ่มแพง แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดดัชนีแกว่งในกรอบรอติดตามการโหวตเลือกนายกฯ โดยให้กรอบแนวรับ 1,240 จุด และแนวต้าน 1,265 จุด (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.34 แกว่งแคบ จับตาโหวตนายกฯ คนใหม่พรุ่งนี้ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.34 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.39 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 32.27-32.36 บาท/ดอลลาร์ ผลกระทบจากการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค หรือเงินเฟ้อของไทย มีค่อนข้างจำกัด ขณะที่สกุลเงินในภูมิภาควันนี้เคลื่อนไหวแบบผสม ทั้งอ่อนค่าและแข็งค่า สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามคืนนี้ คือ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค. จาก ADP, ดัชนีภาคบริการเดือนส.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.45 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย.) คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 80,815 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 80,815 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 16,030 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,937 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 196 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.12% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน (อินโฟเควสท์)  
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      • การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนก.ค. ญี่ปุ่น
      • ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ค. เยอรมนี 
      • ยอดค้าปลีกเดือนก.ค อังกฤษ.
      • ราคาบ้านเดือนส.ค.จากฮาลิแฟกซ์ อังกฤษ
      • ดุลการค้าเดือนก.ค. ฝรั่งเศส  
      • ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) ยุโรป
      • ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค. สหรัฐฯ 

       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.