• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตร +22,000 เดือนส.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 75,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 4.2% ในเดือนก.ค. นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ค.เป็นเพิ่มขึ้น 79,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 73,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 38,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ขณะที่ภาครัฐมีการจ้างงานลดลง 16,000 ตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 3.7% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี และเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด อยู่ที่ระดับ 62.3% (อินโฟเควสท์)
      ปธ.เฟดนิวยอร์กคาดลดดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป หากเศรษฐกิจสอดคล้องเป้าหมาย จอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก กล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐกิจนิวยอร์ก (Economic Club of New York) ในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หากภาวะเศรษฐกิจเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ในปัจจุบันว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปีหน้า วิลเลียมส์กล่าวว่า การกำหนดนโยบายการเงินในปัจจุบันของเฟดอยู่ในระดับ "คุมเข้มเล็กน้อย" ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสมเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่แนวโน้มในวันข้างหน้านั้น หากเป้าหมาย Dual Mandate ของเฟดมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ก็เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยไปสู่ระดับที่เป็นกลางมากขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยเขาไม่ได้ระบุว่าเฟดควรจะปรับลดเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ทั้งนี้ เป้าหมาย Dual Mandate ของเฟด คือการจ้างงานที่ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพและอัตราเงินเฟ้อที่เคลื่อนตัวสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% วิลเลียมส์ยังกล่าวในการประชุมว่า เฟดกำลังเผชิญกับการรักษาสมดุลเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่กระตุ้นให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเป็นเวลานานขึ้น ในขณะเดียวกันเฟดก็ต้องแน่ใจว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่ถูกตรึงอยู่ในระดับสูงจนส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน วิลเลียมส์เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่เฟดคนท้าย ๆ ที่มีกำหนดแสดงความเห็นต่อสาธารณะก่อนที่เฟดจะเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 16-17 ก.ย. ตลาดคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับปัจจุบัน 4.25%-4.50% ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อพยุงตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง แม้เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงและเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากร (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์สั่งยกเว้นภาษีนำเข้าให้คู่ตกลงการค้า บังคับใช้ทันที 8 ก.ย.นี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งบริหารเมื่อวันศุกร์ (5 ก.ย.) เพื่อเปิดทางให้มีการยกเว้นภาษีนำเข้าบางส่วนแก่ประเทศคู่ค้าที่บรรลุข้อตกลงด้านการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เช่น นิกเกิล ทองคำ และโลหะอื่น ๆ รวมถึงสารประกอบทางเภสัชภัณฑ์และสารเคมีภัณฑ์ โดยมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00:01 น. ของวันจันทร์ (8 ก.ย.) ในช่วง 7 เดือนแรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์เดินหน้าผลักดันการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ เพื่อปรับโครงสร้างระบบการค้าโลก ลดการขาดดุลการค้า และกดดันให้ประเทศคู่ค้ายอมอ่อนข้อในการเจรจา คำสั่งล่าสุดได้กำหนดหมวดหมู่สินค้ามากกว่า 45 ประเภทที่จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ หากประเทศคู่ค้าสามารถทำข้อตกลงกรอบความร่วมมือเพื่อลดภาษีตามกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติมาตรา 232 คำสั่งดังกล่าวยังทำให้โครงสร้างภาษีของสหรัฐฯ สอดคล้องกับพันธกรณีในข้อตกลงกรอบความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว เช่น ข้อตกลงกับญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป  ทั้งนี้ การยกเว้นภาษีขึ้นอยู่กับขอบเขตและมูลค่าทางเศรษฐกิจของพันธกรณีที่ประเทศคู่ค้ามีต่อสหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน ตลอดจนผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ได้ทีถล่ม "พาวเวล" หลังสหรัฐเผยตลาดแรงงานวูบหนัก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social วันนี้ แสดงความไม่พอใจครั้งใหม่ต่อการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซา ทั้งนี้ ในการโพสต์ข้อความใน Truth Social ปธน.ทรัมป์มักเรียกนายพาวเวลว่า "นายสายเกินไป" (Too Late) "'นายสายเกินไป' เจอโรม พาวเวล ควรลดดอกเบี้ยนานมาแล้ว และตามเคย เขาเป็นคนที่ 'สายเกินไป'" ปธน.ทรัมป์ระบุ (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์จ่อใช้กำแพงภาษีบริษัทชิปที่ไม่ย้ายฐานผลิตเข้าสหรัฐฯ ขู่ตั้งอัตรา "สูงพอสมควร" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ว่าเตรียมใช้มาตรการกำแพงภาษีกับบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทุกรายที่ไม่ยอมย้ายฐานการผลิตเข้ามาตั้งในสหรัฐฯ พร้อมส่งสัญญาณว่าอัตราภาษีจะอยู่ในระดับที่ "สูงพอสมควร" เพื่อบีบให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต้องตัดสินใจ ในการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำร่วมกับบรรดาผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทรัมป์ระบุว่า เรื่องนี้ได้หารือกันแล้ว และจะดำเนินการในไม่ช้า "เราจะตั้งกำแพงภาษีกับบริษัทที่ไม่เข้ามาลงทุนในประเทศ... แต่หากพวกเขาย้ายเข้ามา สร้างโรงงาน หรือมีแผนที่จะเข้ามา ก็จะไม่มีการเก็บภาษี" ทรัมป์กล่าว พร้อมย้ำว่า "ถ้าไม่เข้ามา ก็ต้องเสียภาษี"ทรัมป์ยังได้ยกตัวอย่าง โดยกล่าวพาดพิงถึง ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิ้ล (Apple) ซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยว่า "อย่าง ทิม คุก ผมว่าเขาน่าจะสบายใจได้" ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่แอปเปิ้ลเพิ่งประกาศเพิ่มงบลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 6 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิปจากเอเชีย ทั้ง TSMC ของไต้หวัน, ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (Samsung Electronics) และเอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) ของเกาหลีใต้ ต่างก็ได้ประกาศแผนการลงทุนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ ไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งนี้ นโยบายกำแพงภาษีถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทรัมป์ใช้กดดันทางการเมืองและเจรจาต่อรองผลประโยชน์ทางการค้า ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์เคยเปรยไว้ว่าอาจตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์สูงถึง 100% สำหรับบริษัทที่ไม่ยอมย้ายฐานการผลิต อย่างไรก็ตาม การใช้กำแพงภาษีของทรัมป์กำลังเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย หลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่ประกาศใช้กับประเทศทั่วโลกนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้เร่งพิจารณาเพื่อคงอำนาจตามกฎหมายปี 2520 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีในสถานการณ์ฉุกเฉิน (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์ลงนามคำสั่งทำตามข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) เพื่อบังคับใช้ข้อตกลงทางการค้าที่รัฐบาลได้ทำไว้กับญี่ปุ่นเมื่อเดือนก.ค. อย่างเป็นทางการ คำสั่งดังกล่าวซึ่งได้รับการเผยแพร่โดยทำเนียบขาว ระบุว่า สหรัฐฯ จะลดภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่นเหลือ 15% จากปัจจุบันที่ 27.5% ตามที่ตกลงกันไว้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ลดลงอาจมีผลบังคับใช้กับรถยนต์ญี่ปุ่นอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์หน้า เนื่องจากทำเนียบขาวระบุว่า การลดอัตราภาษีจะมีผลภายใน 7 วันหลังจากคำสั่งดังกล่าวได้เผยแพร่ในประกาศของรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวยังมอบสิทธิพิเศษภายใต้นโยบายภาษีตอบโต้ ดังที่สหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในข้อตกลงทวิภาคีเมื่อวันที่ 22 ก.ค. โดยสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นที่มีอัตราภาษีศุลกากรเดิมอยู่ที่ 15% ขึ้นไปจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ขณะที่ภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าอื่น ๆ จะถูกจำกัดไว้ที่ 15% คำสั่งนี้ได้รับการประกาศออกมาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่เรียวเซ อากาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในฐานะหัวหน้าผู้เจรจาการค้าของญี่ปุ่น เดินทางมาถึงกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจารอบที่ 10 กับทีมการค้าของทรัมป์ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้ารถยนต์และการปฏิบัติพิเศษตามข้อตกลง เพื่อเป็นการตอบแทนคำมั่นสัญญาของญี่ปุ่นที่จะลงทุนอย่างหนักในสหรัฐฯ ในการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของปธน.ทรัมป์ สินค้าส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จึงถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 15% แทนที่จะเป็น 24-25% ดังที่เคยถูกขู่ไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นให้คำมั่นว่าจะทุ่มเม็ดเงินลงทุนในสหรัฐฯ สูงถึง 5.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้ข้อตกลงการค้าเดือนก.ค. โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า เม็ดเงินดังกล่าวเป็นการลงทุน เงินกู้ และการค้ำประกันเงินกู้จากสถาบันการเงินที่รัฐบาลให้การสนับสนุน (อินโฟเควสท์)
      ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ สั่งห้ามทรัมป์ตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศ ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ปฏิเสธคำร้องของรัฐบาลทรัมป์ที่จะระงับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ระบุว่า ประธานาธิบดีไม่สามารถตัดงบช่วยต่างประเทศหลายพันล้านดอลลาร์ด้วยตนเองได้ และสั่งให้รัฐบาลต้องใช้เงินตามโครงการที่รัฐสภาอนุมัติไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นตัดสินให้รัฐบาลใช้เงินช่วยเหลือต่างประเทศประมาณ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ก่อนที่อำนาจอนุมัติของรัฐสภาจะหมดอายุในเดือนก.ย.นี้ รัฐบาลทรัมป์พยายามระงับเงิน 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (USAID) ด้วยวิธีที่เรียกว่า "pocket rescission" ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางงบประมาณของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ใช้ในการระงับหรือยกเลิกงบประมาณบางส่วนโดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ศาลยืนยันว่าการขอยกเลิกงบประมาณเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เงินช่วยเหลือจะต้องถูกใช้จ่าย เว้นแต่รัฐสภาจะยับยั้ง ทั้งนี้ เงินช่วยเหลือนี้มีไว้สำหรับโครงการต่างประเทศ การรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ และส่งเสริมประชาธิปไตย โดยศาลระบุว่า การตัดสินดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้เงินช่วยเหลือถูกใช้ก่อนหมดอายุ และป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีข้ามขั้นตอนของรัฐสภา (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์จ่อลงนามคำสั่ง เปลี่ยนชื่อ "กระทรวงกลาโหม" เป็น "กระทรวงการสงคราม" วันนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในวันนี้ (5 ก.ย.) เพื่อเปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหม กลับไปใช้ชื่อเดิมในอดีตว่า "กระทรวงการสงคราม" เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า คำสั่งดังกล่าวจะอนุญาตให้ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในสังกัด สามารถใช้ชื่อตำแหน่งและชื่อหน่วยงานใหม่ เช่น "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงคราม" ในการสื่อสารและเอกสารราชการได้ทันที พร้อมกันนี้ยังสั่งการให้เฮกเซธไปดำเนินการเสนอแก้กฎหมายเพื่อให้การเปลี่ยนชื่อมีผลถาวรต่อไป แม้การเปลี่ยนชื่อกระทรวงจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่พรรครีพับลิกันของทรัมป์ก็ครองเสียงข้างมากแบบปริ่มน้ำในทั้งสองสภา และที่ผ่านมาบรรดาแกนนำพรรคก็แทบไม่เคยคิดจะขวางแนวคิดริเริ่มใด ๆ ของทรัมป์ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เคยใช้ชื่อว่า "กระทรวงการสงคราม" มาก่อน จนกระทั่งปี 2492 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐสภาได้ปฏิรูปโครงสร้างโดยรวมกองทัพบก เรือ และอากาศเข้าไว้ด้วยกัน นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า การเปลี่ยนชื่อเป็น "กระทรวงกลาโหม" ในครั้งนั้น ก็เพื่อส่งสัญญาณว่าในยุคปรมาณู สหรัฐฯ มุ่งเน้นการป้องกันและยับยั้งสงครามมากกว่าการรุกราน อย่างไรก็ตาม เสียงวิจารณ์ระบุว่าแผนการนี้ไม่เพียงแต่จะสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาลในการแก้ไขป้ายและหัวจดหมายของหน่วยงานทหารทั่วโลก แต่ยังเป็นเรื่องไม่จำเป็นที่เบี่ยงเบนความสนใจของเพนตากอนโดยใช่เหตุ ดังเช่นความพยายามของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่จะเปลี่ยนชื่อฐานทัพ 9 แห่งเพื่อลบชื่อนายพลฝ่ายสมาพันธรัฐ ก็มีค่าใช้จ่ายประเมินไว้ถึง 39 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่เฮกเซธจะสั่งยกเลิกโครงการดังกล่าวไปเมื่อต้นปีนี้ ตัวทรัมป์เองเคยเปรยถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนมิ.ย. โดยให้เหตุผลว่าชื่อเดิมถูกเปลี่ยนไปเพียงเพื่อให้มัน "ถูกต้องทางการเมือง" และเมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์ก็ได้กล่าวว่า "เราจะทำเลย ผมมั่นใจว่าสภาจะเห็นด้วย ... กลาโหมมันฟังดูตั้งรับเกินไป เราอยากจะตั้งรับได้ แต่ก็ต้องรุกเป็นด้วยถ้าจำเป็น" (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ-ยุโรปตึงเครียดอีก หลัง EU สั่งปรับกูเกิลหลายพันล้านดอลล์ ทรัมป์ขู่ตอบโต้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่เมื่อวันศุกร์ (5 ก.ย.) ว่า จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมกับสหภาพยุโรป (EU) หลังจาก EU สั่งปรับบริษัทกูเกิล (Google) เป็นเงิน 2.95 พันล้านยูโร หรือ 3.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ทันทีหลังคำตัดสินของ EU ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า "วันนี้ยุโรปปรับกูเกิล บริษัทอเมริกันรายใหญ่ เป็นเงิน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งควรเป็นเงินที่จะใช้ลงทุนและสร้างงานในสหรัฐฯ โดยตรง เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม และผู้เสียภาษีอเมริกันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น" ทรัมป์ระบุเสริมว่า ตามที่เคยพูดไว้แล้ว รัฐบาลของเขาจะไม่ยอมให้การกระทำที่เลือกปฏิบัตินี้เกิดขึ้น และเขาอาจต้องเริ่มกระบวนการตามมาตรา 301 เพื่อยกเลิกบทลงโทษที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทอเมริกันผู้เสียภาษี EU ประกาศปรับกูเกิลเกือบ 3.5 พันล้านดอลลาร์ โดยระบุว่า กูเกิลใช้อำนาจผูกขาดในตลาดโฆษณาออนไลน์ให้ตัวเองได้เปรียบคู่แข่ง และสั่งให้บริษัทหยุดพฤติการณ์เหล่านี้ โดยนับเป็นครั้งที่ 4 ที่ EU สั่งปรับกูเกิลหลายพันล้านยูโรในคดีต่อต้านการผูกขาด เทเรซา ริเบรา ผู้กำกับดูแลด้านการต่อต้านการผูกขาดของคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า "การตัดสินใจวันนี้แสดงให้เห็นว่า กูเกิลใช้ตำแหน่งการครองตลาดด้านเทคโนโลยีโฆษณาในทางที่ทำร้ายผู้เผยแพร่โฆษณา นักโฆษณา และผู้บริโภค" กูเกิลประกาศว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้   ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎระเบียบด้านดิจิทัลของ EU เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือบ่อยครั้งระหว่างการเจรจาการค้าระหว่าง EU กับรัฐบาลทรัมป์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 220.43 จุด กังวลเศรษฐกิจอ่อนแอ ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงในวันศุกร์ (5 ก.ย.) หลังนักลงทุนประเมินระหว่างความกังวลด้านเศรษฐกิจกับความหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลังการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า การจ้างงานของสหรัฐฯ อ่อนแอลงอย่างมากในเดือนส.ค. ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,400.86 จุด ลดลง 220.43 จุด หรือ -0.48%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,481.50 จุด ลดลง 20.58 จุด หรือ -0.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,700.39 จุด ลดลง 7.30 จุด หรือ -0.03% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดร่วงกว่า 2% แนวโน้มดีมานด์ลด-อุปทานเพิ่มฉุดราคา สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันศุกร์ (5 ก.ย.) หลังรายงานการจ้างงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอทำให้แนวโน้มความต้องการพลังงานลดลง ขณะที่อุปทานอาจเพิ่มขึ้นอีกหลังการประชุมของกลุ่มโอเปกและพันธมิตรในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.54% ปิดที่ 61.87 ดอลลาร์/บาร์เรล  ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.49 ดอลลาร์ หรือ 2.22% ปิดที่ 65.50 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า หลังข้อมูลจ้างงานต่ำคาดหนุนเฟดลดดอกเบี้ย สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (5 ก.ย.) หลังข้อมูลจ้างงานเดือนส.ค.ต่ำกว่าคาด ซึ่งสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอ และทำให้ตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.59% แตะที่ระดับ 97.765 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง 1.3% เก็งเฟดลดดอกเบี้ยหลังข้อมูลจ้างงานต่ำคาด สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันศุกร์ (5 ก.ย.) หลังข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอช่วยเพิ่มความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเอื้อต่อการลงทุนในทองคำ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 46.60 ดอลลาร์ หรือ 1.29% ปิดที่ 3,653.30 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ร่วงหลุด 4.1% หลังเผยจ้างงานอ่อนแอ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงหลุดระดับ 4.1% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ณ เวลา 22.34 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.070% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.781% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ กังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯอ่อนแอ ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (5 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงิน เนื่องจากนักลงทุนกลับมาระมัดระวังมากขึ้น หลังข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้เกิดความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 549.21 จุด ลดลง 0.88 จุด หรือ -0.16% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,674.78 จุด ลดลง 24.14 จุด หรือ -0.31%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,596.98 จุด ลดลง 173.35 จุด หรือ-0.73% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,208.21 จุด ลดลง 8.66 จุด หรือ -0.09% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 8.66 จุด กลุ่มแบงก์-พลังงานร่วงกดดันตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (5 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร ขณะที่นักลงทุนทำการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ 9,208.21 จุด ลดลง 8.66 จุด หรือ -0.09% (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      ค่าจ้างที่แท้จริงญี่ปุ่นก.ค. ปรับขึ้น 0.5% บวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า ค่าจ้างที่แท้จริงในเดือนก.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 7 เดือน รายงานระบุว่า ค่าจ้างในรูปตัวเงิน (Nominal wages) ซึ่งเป็นรายรับเฉลี่ยต่อเดือนของแรงงานรวมเงินเดือนพื้นฐานและค่าล่วงเวลา เพิ่มขึ้น 4.1% สู่ระดับ 419,668 เยน (2,800 ดอลลาร์สหรัฐ) และเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 43 แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการขยายตัว 7.9% ของรายรับพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโบนัส โดยอยู่ที่ 128,618 เยน อย่างไรก็ดี ราคาผู้บริโภคซึ่งใช้เป็นตัวคำนวณค่าจ้างยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเติบโตขึ้น 3.6% ในเดือนก.ค. มีสาเหตุหลักจากราคาข้าวและอาหารอื่น ๆ ที่สูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันต่อค่าจ้างที่แท้จริง ซึ่งเป็นมาตรวัดกำลังซื้อของผู้บริโภค ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ข้อมูลอีกชุดหนึ่งจากกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารระบุว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยครัวเรือนที่มีสมาชิกตั้งแต่สองคนขึ้นไปมีการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 305,694 เยน สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่น (อินโฟเควสท์)
      การใช้จ่ายครัวเรือนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 1.4% ฟื้นตัวติดต่อกันสามเดือน กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่น เปิดเผยในวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนญี่ปุ่นในเดือนก.ค.ปรับตัวขึ้น 1.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม ข้อมูลของกระทรวงฯ ระบุว่า ครัวเรือนที่มีสมาชิกตั้งแต่สองคนขึ้นไป ใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 305,694 เยน (2,063 ดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน การใช้จ่ายเฉลี่ยของภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.ค. เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนปรับตัวขึ้นมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ ในขณะที่การใช้จ่ายด้านอาหารปรับตัวลดลงท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ โดยระบุว่าการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังไม่แข็งแกร่งนัก สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่น ถือเป็นมาตรวัดการบริโภคในภาคเอกชนของญี่ปุ่น (อินโฟเควสท์)
      หุ้นบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นพุ่งเช้านี้ รับข่าวทรัมป์ลงนามคำสั่งลดภาษีนำเข้า หุ้นบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นพุ่งขึ้นในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นโตเกียวช่วงเช้าวันนี้ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อบังคับใช้ข้อตกลงการปรับลดอัตราภาษีรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่นลงเหลือน 15% จากระดับ 27.5% เพื่อแลกกับการที่ญี่ปุ่นจะลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของสหรัฐฯ เป็นมูลค่ารวม 5.50 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หุ้นกลุ่มบริษัทรถยนต์ที่คำนวณในดัชนี Topix พุ่งขึ้น 2.8% ในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 1 เดือน โดยหุ้นมาสด้า มอเตอร์ (Mazda Motor) และและหุ้นนิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor Co.) พุ่งขึ้นกว่า 5% ขณะที่หุ้นโตโยต้า มอเตอร์ (Toyota Motor) พุ่งขึ้น 3.5% นักวิเคราะห์จากบริษัทเรย์ไลแอนท์ โกลบอล แอดไวเซอร์ส (Rayliant Global Advisors) ข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นบริษัทผลิตรถยต์ของญี่ปุ่น และมีแนวโน้มที่จะทำให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถชิงส่วนแบ่งในตลาดได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากต่างชาติ ทั้งนี้ บริษัทผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการภาษีตอบโต้ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้เมื่อเดือนเม.ย. โดยดัชนีหุ้นบริษัทผลิตรถยต์ญี่ปุ่นร่วงลงกว่า 6% ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศมาตรการดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 เม.ย. (อินโฟเควสท์)
      นายกฯ ญี่ปุ่นประกาศตัดสินใจลาออก เซ่นพิษแพ้เลือกตั้งสว. นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ประกาศตัดสินใจลาออกแล้วในวันนี้ (7 ก.ย.) ซึ่งมีขึ้นหนึ่งวันก่อนที่พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) จะตัดสินใจว่าจะมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคหรือไม่ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า พรรค LDP มีแผนรวบรวมรายชื่อจากสมาชิกรัฐสภาในวันจันทร์ (8 ก.ย.) เพื่อตัดสินใจว่าจะจัดการเลือกตั้งประธานพรรคก่อนกำหนดเดิมในปี 2570 ท่ามกลางกระแสกดดันให้อิชิบะแสดงความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของพรรคร่วมรัฐบาลในการเลือกตั้งวุฒิสภาเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อิชิบะตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ แม้กระทั่งจากผู้สนับสนุนใกล้ชิด หลังจากที่อิชิบะเคยประกาศว่าจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป โดยให้เหตุผลสำคัญประการหนึ่งว่า เขายังมีภารกิจในการเจรจาประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ให้ลุล่วง เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (1 ก.ย.) อิชิบะเผยว่าจะตัดสินอนาคตทางการเมืองของตนในเวลาที่เหมาะสม แต่ยังย้ำความตั้งใจที่จะอยู่ต่อเพื่อตามนโยบาย แม้ผู้ช่วยใกล้ชิดบางคนเตรียมลาออกจากตำแหน่งสำคัญในพรรค  สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของนายกฯ อิชิบะนั้นเริ่มขึ้นเมื่อเดือนก.ย. ปีก่อน และจะสิ้นสุดลงในปี 2570 (อินโฟเควสท์)
      "อิชิบะ" ยัน ดีลภาษีสหรัฐฯ ไม่เกี่ยวศึกชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค LDP นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ยืนยันวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในข้อตกลงภาษีทวิภาคีนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับกระแสกดดันให้มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ก่อนกำหนด เพื่อหาคนมาแทนที่เขา สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ท่าทีของนายกฯ อิชิบะมีขึ้นหลังจากที่พรรค LDP พ่ายแพ้การเลือกตั้งวุฒิสภาอย่างยับเยินเมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องจากภายในพรรคให้นายกฯ อิชิบะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ล่าสุด เคซูเกะ ซูซูกิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในคณะของนายกฯ อิชิบะเอง ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคก่อนกำหนด นับเป็นสมาชิกรัฐบาลคนแรกที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ซูซูกิ ซึ่งเป็นสมาชิกในกลุ่มของอดีตนายกฯ ทาโร อาโซ ได้เขียนในบล็อกส่วนตัวว่า "พรรคจำเป็นต้องกลับมาเป็นหนึ่งเดียวและเรียกความเชื่อมั่นคืนมา" โดยก่อนหน้านี้ อาโซเองก็ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคโดยเร็ว เช่นเดียวกับ โทชิอากิ เอ็นโด อดีตประธานสภาทั่วไปของพรรค ทั้งนี้ ภายหลังความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง นายกฯ อิชิบะเคยประกาศว่าจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป โดยให้เหตุผลสำคัญประการหนึ่งว่า เขายังมีภารกิจในการเจรจาประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ให้ลุล่วง  สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของนายกฯ อิชิบะนั้นเริ่มขึ้นเมื่อเดือนก.ย. ปีก่อน และจะสิ้นสุดลงในปี 2570 (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากเป็นประวัติการณ์ หนุนโอกาส BOJ ขึ้นดอกเบี้ย รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเฉลี่ย 6.3% เป็น 1,121 เยนต่อชั่วโมง (7.56 ดอลลาร์) ซึ่งทำสถิติเพิ่มขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ และยังเป็นปัจจัยหนุนโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป กระทรวงแรงงานญี่ปุ่นประกาศในวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า จังหวัดต่าง ๆ ของญี่ปุ่นจะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำโดยเฉลี่ย 66 เยนต่อชั่วโมงในปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งเป็นการปรับขึ้นค่าแรงมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บสถิติในปี 2521 โดยการปรับขึ้นค่าแรงครั้งใหม่จะมีผลในเดือนต.ค.นี้ ทั้งนี้ การขยับขึ้นค่าแรงดังกล่าวคาดว่าจะสร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้า เนื่องจากผู้ประกอบการมีแนวโน้มผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค แต่ขณะเดียวกันก็จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน ซึ่งเป็นวงจรที่ BOJ พยายามผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคของญี่ปุ่นขยายตัวแตะหรือสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ BOJ ตลอดกว่า 3 ปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลล่าสุดอยู่ที่ 3.1% ขณะที่ BOJ เพิ่งปรับเพิ่มมุมมองเงินเฟ้อเกินความคาดหมาย ทำให้นักลงทุนต่างประเมินความเป็นไปได้เกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไป ทากูยะ โฮชิโนะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยไดอิจิไลฟ์ ชี้ว่า ธุรกิจที่พึ่งพาพนักงานรายชั่วโมงจำนวนมากอย่างร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และการขึ้นค่าแรงอาจทำให้เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป ซึ่งจะผลักดันให้ BOJ เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่ง 438.48 จุด ขานรับทรัมป์เซ็นคำสั่งดีลการค้าสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ (5 ก.ย.) ขานรับความกังวลเรื่องกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่คลี่คลายลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร รับรองข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะส่งผลให้ภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 43,018.75 จุด เพิ่มขึ้น 438.48 จุด หรือ +1.03% (อินโฟเควสท์)
      จีน
      จีนสวนกลับ EU อัดภาษีเนื้อหมูนำเข้าสูงสุด 62.4% ตอบโต้ปมรถ EV มีผล 10 ก.ย.นี้ รัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเบื้องต้นกับเนื้อหมูและชิ้นส่วนอื่น ๆ ของหมูจากสหภาพยุโรป (EU) ในวันนี้ (5 ก.ย.) โดยเรียกเก็บในอัตราสูงสุดถึง 62.4% ถือเป็นการเอาคืนอย่างเป็นรูปธรรม หลังจาก EU ตั้งกำแพงภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ข้อพิพาททางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น แถลงการณ์จากกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ผลการไต่สวนเบื้องต้นชี้ชัดว่ามีการทุ่มตลาดจริง และสร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมสุกรในประเทศ จึงอนุมัติให้มีการเรียกเก็บภาษีตั้งแต่ 15.6% ถึง 62.4% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย.เป็นต้นไป การไต่สวนดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว และเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าเป็นการตอบโต้มาตรการของฝั่งยุโรป โดยการตัดสินใจครั้งนี้ดับความหวังของผู้ผลิตในยุโรป โดยเฉพาะในสเปน เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์ก ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเนื้อหมูรายใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ จากที่ก่อนหน้านี้บรรดาผู้ผลิตต่างคาดหวังว่าการที่จีนยอมขยายเวลาไต่สวนออกไป อาจเป็นสัญญาณของการประนีประนอมในศึกภาษีรถ EV ทั้งนี้ การส่งออกเนื้อหมูจาก EU ไปยังจีนนั้น มีสัดส่วนที่สำคัญเป็นชิ้นส่วนอื่น ๆ เช่น หูหมู จมูกหมู และขาหมู ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงในวัฒนธรรมอาหารจีน แต่ไม่ได้รับความนิยมในประเทศอื่น ดังนั้น หากจีนตั้งกำแพงภาษี ผู้ส่งออกในยุโรปจะหาตลาดใหม่รองรับสินค้าเหล่านี้ได้ยากมาก  อย่างไรก็ดี มาตรการนี้ยังเป็นเพียงคำสั่งเบื้องต้น และยังพอมีช่องให้เจรจาต่อรองได้ ก่อนที่การไต่สวนฉบับสมบูรณ์จะสิ้นสุดในเดือนธ.ค. โดยที่ผ่านมาจีนเคยใช้แนวทางลักษณะนี้มาแล้ว เช่น การขยายเวลาไต่สวนกรณีเมล็ดคาโนลาจากแคนาดา แม้จะประกาศใช้ภาษีเบื้องต้นไปแล้วก็ตาม เพื่อเปิดทางให้การเจรจายังดำเนินต่อไปได้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 46.64 จุด หุ้นกลุ่มเทคฯพุ่งหนุนตลาด ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (5 ก.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเป็นปัจจัยหนุนตลาดให้ฟื้นตัวหลังจากที่ร่วงลงเมื่อวานนี้ ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต 3,812.51 จุด เพิ่มขึ้น 46.64 จุด หรือ +1.24% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดพุ่ง 359.47 จุด คาดเฟดลดดอกเบี้ยเดือนนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ (5 ก.ย.) ขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ หลังมีข้อมูลบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงาน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,417.98 จุด พุ่งขึ้น 359.47 จุด หรือ +1.43%  (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      เวียดนามส่งออกพุ่ง 14.5% ในเดือนส.ค. แม้เผชิญภาษีสหรัฐฯ 20% รัฐบาลเวียดนามเปิดเผยข้อมูลล่าสุดในวันนี้ (6 ก.ย.) ว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกเพิ่มขึ้น 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 3.0596 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.9% อยู่ที่ 2.9197 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 1.399 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับเดือนส.ค. การส่งออกของเวียดนามเพิ่มขึ้น 14.5% เมื่อเทียบปีก่อน แตะ 4.339 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นตัวเลขการค้าครั้งแรกหลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้า 20% ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.7% อยู่ที่ 3.967 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เวียดนามมียอดเกินดุลการค้าเดือนส.ค. อยู่ที่ 3.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เวียดนามมีมูลค่าการค้ารวมกับสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนม.ค.-ส.ค. อยู่ที่ 9.91 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การค้ากับจีนอยู่ที่ 1.179 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเวียดนามพึ่งพาวัตถุดิบและอุปกรณ์จากจีนมากในการผลิตอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ฮานอยว่า ความตึงเครียดทางการค้าระดับโลก รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการทหาร กำลังส่งผลกระทบต่อการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุนภาครัฐเริ่มชะลอตัว พร้อมเตือนแรงกดดันต่อเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลทางเศรษฐกิจระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบปีก่อน ขณะที่ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 10.6% และดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 3.24% เวียดนามตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ 8.3-8.5% และเงินเฟ้อเป้าหมายอยู่ในช่วง 4.5-5% ซึ่งนายกรัฐมนตรีจิ๋งห์ยอมรับว่าเป้าหมายการเติบโตปีนี้เป็นเรื่องท้าทาย แต่ย้ำว่าประเทศต้องพยายามให้บรรลุเป้าหมาย (อินโฟเควสท์)
      อินเดียเล็งค้ำประกันสินเชื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกฝ่าวิกฤติภาษีสหรัฐฯ สูงสุด 50% มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากอินเดียเมื่อเดือนก่อน ส่งผลกระทบหนักต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องประดับ และอาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีอัตรากำไรเพียง 3-5% โดยผู้ประกอบการในเมืองติรุปปูร์, โนอิดา และสุรัตต้องหยุดสายการผลิต ทำให้เกิดการเลิกจ้างแรงงานจำนวนมากในรัฐทมิฬนาดูและคุชราตซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เอส.ซี. รัลฮาน ประธานสมาพันธ์ผู้ส่งออกสินค้าอินเดีย (FIEO) เปิดเผยว่า ราว 55% ของการส่งออกสินค้าอินเดียไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ กำลังเสียเปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากเวียดนาม จีน และบังกลาเทศ ส่งผลให้แรงงานหลายพันคนถูกเลิกจ้าง สหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 50% โดยรวมถึงการเก็บภาษีเพิ่มอีก 25% จากการที่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า ไปจนถึงสารเคมี โดยมาตรการดังกล่าวถือว่าเป็นหนึ่งในภาษีที่สูงที่สุดภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และได้สร้างแรงกดดันต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์นี้ นีร์มาลา สิทธารามัน รัฐมนตรีคลังแถลงเมื่อวันศุกร์ (5 ก.ย.) ว่า รัฐบาลเตรียมออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ แม้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด แต่แหล่งข่าวรัฐบาลระบุว่า หนึ่งในแนวทางคือการให้ค้ำประกันสินเชื่อสำหรับเงินกู้ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและผู้ส่งออกให้มีสภาพคล่องมากขึ้น (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ลบ 7 จุด ซื้อขายผันผวน ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลงเล็กน้อยในวันนี้ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,710.76 ลบ 7.25 จุด หรือ 0.01% (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      โปรดเกล้าฯ "อนุทิน ชาญวีรกูล" เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แล้ว เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้อัญเชิญพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีมายังที่ทำการพรรคภูมิใจไทย และอ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 จากนั้นนายอนุทินได้ถวายความเคารพพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เปิดกรวยกระทงดอกไม้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้วถวายบังคม 3 ครั้ง ทำความเคารพพระบรมสาทิสลักษณ์อีกครั้ง จากนั้นได้กล่าวน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยขอถวายสัตย์ว่าจะมุ่งมั่นปฎิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและมีคุณธรรมให้สมกับที่ไว้วางพระราชหฤทัย เพื่อความผาสุกของประชาชนชาวไทย และความวัฒนาสถาพรของประเทศชาติตามพระราชปณิธานและเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 12.25 จุดแรงเก็งกำไรรับการเมืองชัดเจนได้ "อนุทิน" นั่งนายกฯ จับตาประชุมเฟดกลางเดือน SET ปิดวันนี้ที่ 1,264.80 จุด เพิ่มขึ้น 12.25  จุด (+0.98%) มูลค่าซื้อขาย 51,657.81 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นตอบรับความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ หลังที่ประชุมสภา ฯ มีมติเห็นชอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เกิดแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเมือง แนวโน้มในสัปดาห์หน้าคาดดัชนีแกว่งไซด์เวย์ อาจมีจังหวะทำกำไรและแรงขายกลุ่มธนาคาร จากการขึ้นเครื่องหมาย XD โดยให้กรอบแนวรับ 1,240 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,264.80 จุด เพิ่มขึ้น 12.25 จุด (+0.98%) มูลค่าซื้อขาย 51,657.81 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวขึ้น โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,255.71 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,270.31 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 358 หลักทรัพย์ ลดลง 115 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 172 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 51,276 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 51,276 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 6,816 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 484 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 274 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.11% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้า 1-2 bps. ในตราสารระยะยาวสำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 274 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 274 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) รายงานการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ประจำเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 54,000 ตำแหน่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 75,000 ตำแหน่ง สำหรับ Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ปรับลดลง 1,926 ล้านบาท จาก 882,232 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 880,306 ล้านบาท ทั้งนี้ตลาดติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค. ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.19 แข็งค่าสุดในภูมิภาค หลังการเมืองชัดได้นายกฯคนใหม่ ให้กรอบสัปดาห์หน้า 32.10-32.30 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.19 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.28 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทปิดแข็งค่าสุดในภูมิภาค เคลื่อนไหวตามราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลง หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้แล้ว สำหรับคืนนี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม คือการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ นักบริหารเงิน คาดว่า วันจันทร์เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.10 - 32.30 บาท/ดอลลาร์  (อินโฟเควสท์)
       
       
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนก.ค. ญี่ปุ่น                        
      ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) ญี่ปุ่น                        
      ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนส.ค. จีน        
      การคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคเดือนส.ค. สหรัฐฯ   
       
       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.