• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      เฟดเผยผลสำรวจชี้ชาวอเมริกันกังวลมากขึ้นต่อตลาดแรงงาน ผลการสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ประจำเดือนส.ค.พบว่า ชาวอเมริกันมีความกังวลต่อตลาดแรงงาน ท่ามกลางความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานใหม่ นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่าผู้บริโภคมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสถานะทางการเงินในปัจจุบัน ขณะที่คาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตยังคงทรงตัว ทั้งนี้ ผลการสำรวจบ่งชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากเชื่อว่าการหางานใหม่จะยากขึ้นหากพวกเขาประสบภาวะตกงาน โดยความน่าจะเป็นที่คาดว่าจะหางานใหม่ได้ในกรณีดังกล่าวอยู่ที่ 44.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556 และลดลงจาก 50.7% ในเดือนก.ค. นอกจากนี้ ผู้บริโภคเพิ่มความวิตกเกี่ยวกับการว่างงานในอนาคต เช่นเดียวกับความกังวลต่อความเสี่ยงที่จะตกงาน โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 14.5% ระบุว่ามีโอกาสตกงาน สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 14% แนวโน้มที่ย่ำแย่ในการจ้างงานดังกล่าว ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่สะท้อนถึงปัญหาในตลาดแรงงาน ขณะที่ข้อมูลของรัฐบาลที่เผยแพร่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนของอัตราการขยายตัวของการจ้างงาน พร้อมกับการปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนก่อน ๆ ลงอย่างมาก (อินโฟเควสท์)
      "สแตนชาร์ด" คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยแรง 0.5% เดือนนี้ หลังตัวเลขจ้างงานอ่อนแอ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (Standard Chartered) คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาถึง 0.5% ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะปรับลดลงเพียง 0.25% โดยสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปรับเพิ่มน้ำหนักต่อการคาดการณ์หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอในเดือนส.ค. สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดระบุว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนส.ค.ที่อ่อนแอเกินคาดจะเปิดทางให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 0.50% ในการประชุมเดือนนี้ อย่างไรก็ดี สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด คาดว่าเฟดอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมเดือนก.ย. เมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง (อินโฟเควสท์)
      ขุนคลังสหรัฐฯ เตือนรัฐบาลอาจต้องคืนเงินมหาศาล หากศาลฎีกาคว่ำภาษีทรัมป์ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับการรับรองจากศาลฎีกาสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่า หากศาลมีคำตัดสินให้เป็นโมฆะ กระทรวงการคลังอาจต้องคืนเงินจำนวนมหาศาลประเทศผู้นำเข้าที่จ่ายภาษีให้กับสหรัฐฯ แล้ว  เบสเซนต์ให้สัมภาษณ์ในรายการ "Meet the Press" ของสำนักข่าว NBC เมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ว่า หากคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมาไม่เป็นผลตามที่คาด รัฐบาลอาจต้องคืนเงินราวครึ่งหนึ่งของภาษีที่เรียกเก็บมาแล้ว ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลังอย่างหนัก แต่ก็ย้ำว่า หากศาลมีคำสั่งก็ต้องปฏิบัติตาม เบสเซนต์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากการพิจารณาคดีล่าช้า ยอดภาษีที่เก็บแล้วอาจสูงถึง 7.5 แสนล้านถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แฃะการคืนเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้อาจสร้างส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้ โดยคณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 4 เสียง ตัดสินว่า ผู้นำสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ค.ศ. 1977 โดยศาลได้อนุญาตให้มาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์ยังคงบังคับใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ 14 ต.ค. เพื่อให้รัฐบาลทรัมป์มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ต่อมาในวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ศาลฎีกาเร่งรับคำร้องและกลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่เขาประกาศใช้กับประเทศทั่วโลกนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยปธน.ทรัมป์ได้ยื่นเอกสารต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลพิจารณาการอุทธรณ์ของเขาในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ และขอให้ศาลประกาศคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรในเวลาไม่นานหลังจากนั้น "การชะลอคำตัดสินไปจนถึงเดือนมิ.ย. 2569 อาจมีผลต่อภาษีศุลกากรที่ได้มีการจัดเก็บไปแล้วมูลค่า 7.50 แสนล้านดอลลาร์ - 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการยกเลิกมาตรการเหล่านี้ในภายหลังอาจทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมาก" ปธน.ทรัมป์ระบุในเอกสารดังกล่าว ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ใช้ข้อกฎหมาย IEEPA ในการกำหนดมาตรการภาษีนำเข้าในอัตราสูงต่อประเทศคู่ค้า โดยประกาศให้การขาดดุลของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ เป็นวาระฉุกเฉินของชาติ (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์ร้องบ.ต่างชาติจ้างและฝึกแรงงานอเมริกัน หลังบุกจับแรงงานในโรงงานฮุนได ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทต่างชาติที่ลงทุนในสหรัฐฯ จ้างและฝึกแรงงานชาวอเมริกัน พร้อมเคารพกฎหมายด้านคนเข้าเมือง หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บุกจับแรงงานในโรงงานฮุนได มอเตอร์ (Hyundai Motor) ในรัฐจอร์เจีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่า "หลังจากปฏิบัติการตรวจค้นแรงงานต่างชาติที่โรงงานแบตเตอรีฮุนไดในจอร์เจีย ผมขอเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติทุกแห่งที่ลงทุนในสหรัฐฯ เคารพกฎหมายด้านคนเข้าเมืองของเรา" พร้อมเสริมว่า "เรายินดีต้อนรับการลงทุนและเราสนับสนุนให้คุณนำคนเก่งที่มีความสามารถมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกอย่างถูกกฎหมาย … เราขอเพียงให้คุณจ้างและฝึกแรงงานอเมริกัน" ก่อนหน้านี้ ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวว่า จะตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ยืนยันว่าไม่ได้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ นอกจากนี้ เขายังเสนอแนวคิดว่าอาจอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตจากต่างชาติเข้ามาช่วยฝึกแรงงานอเมริกัน  รายงานระบุว่า รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังประสานเพื่อนำแรงงานเกาหลีราว 300 คนกลับประเทศ หลังจากที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ควบคุมตัวคนงานราว 475 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีใต้ เมื่อวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) โดยถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (DHS) นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ยังแสดงความเสียใจต่อการจับกุมแรงงาน และการเผยแพร่ภาพและวิดีโอการจับกุมแรงงานเกาหลีหลายร้อยคนที่โรงงาน ที่แสดงภาพแรงงานที่ถูกใส่โซ่ตรวนที่ข้อมือ เอว และข้อเท้า ขณะถูกนำตัวออกไป กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีระบุในแถลงการณ์เมื่อช่วงดึกของวันเสาร์ที่ผ่านมา (6 ก.ย.) ว่า พาร์ค ยุน-จู รองรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับอัลลิสัน ฮุกเกอร์ รองรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายการเมือง โดยกล่าวว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สองประเทศพยายามผลักดันความไว้วางใจและความร่วมมือระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ พาร์ค ยุน-จู ยังได้ขอให้ฮุกเกอร์รับรองว่าจะมีการแก้ไขปัญหานี้อย่างยุติธรรมและรวดเร็ว พร้อมย้ำว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของบริษัทของเราที่ลงทุนในสหรัฐฯ และสิทธิผลประโยชน์ของพลเมืองของเรา ไม่ควรถูกละเมิดอย่างไม่เป็นธรรมในระหว่างการบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 114.09 จุด รับความหวังเฟดหั่นดอกเบี้ยกระตุ้นศก. ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบรอดคอม (Broadcom) ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,514.95 จุด เพิ่มขึ้น 114.09 จุด หรือ +0.25%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,495.15 จุด เพิ่มขึ้น 13.65 จุด หรือ +0.21% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,798.70 จุด เพิ่มขึ้น 98.31 จุด หรือ +0.45% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 39 เซนต์ หลังโอเปกพลัสเพิ่มผลิตเล็กน้อย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียงเล็กน้อยในเดือนต.ค. นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบของรัสเซียเพิ่มเติม ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ หรือ 0.63% ปิดที่ 62.26 ดอลลาร์/บาร์เรล  ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.79% ปิดที่ 66.02 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยหลังจ้างงานซบเซา สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (8 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.32% แตะที่ระดับ 97.454 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $24.10 ทำนิวไฮ เก็งเฟดหั่นดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เนื่องจากข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 24.10 ดอลลาร์ หรือ 0.66% ปิดที่ 3,677.40 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ร่วง หลังเผยจ้างงานอ่อนแอ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ณ เวลา 20.14 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.061% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.732% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      ส่งออกเยอรมนีเดือนก.ค.หดตัวสวนทางคาดการณ์ แต่ภาคอุตสาหกรรมยังโตแกร่ง สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยในวันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ยอดส่งออกหดตัวลง 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.1% อย่างไรก็ดี ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับขยายตัว 1.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.0% ส่วนยอดนำเข้าลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้เยอรมนีมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 1.47 หมื่นล้านยูโร (1.723 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนก.ค. ซึ่งลดลงจากระดับ 1.54 หมื่นล้านยูโรในเดือนมิ.ย. และ 1.77 หมื่นล้านยูโรในเดือนก.ค.ปีที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
      วิกฤตการเมืองฝรั่งเศสร้อนระอุ หลังนายกฯ "ฟรองซัวส์ บายรู" จ่อเผชิญมติไม่ไว้วางใจ สื่อต่างประเทศรายงานว่า รัฐสภาฝรั่งเศสคาดการณ์ว่าจะลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรู ออกจากตำแหน่งในวันจันทร์นี้ (8 ก.ย.) หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 9 เดือน ซึ่งจะผลักดันให้ฝรั่งเศสชาติสมาชิกคนสำคัญของสหภาพยุโรปเข้าสู่ภาวะสุญญากาศทางการเมืองครั้งใหม่ และสร้างความหนักใจอย่างยิ่งให้แก่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นายกฯ บายรูตัดสินใจเสนอญัตติขอความไว้วางใจในรัฐบาลของตนเอง ซึ่งทำเอาแม้แต่พันธมิตรของเขาเองก็ไม่ทันตั้งตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อยุติภาวะชะงักงันที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนเกี่ยวกับแผนงบประมาณรัดเข็มขัด ที่ตั้งเป้าจะลดรายจ่ายเกือบ 4.4 หมื่นล้านยูโร (5.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อลดภาระหนี้สินของประเทศ พรรคฝ่ายค้านทุกพรรคต่างแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะลงมติคัดค้านรัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายกฯ บายรู ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรวบรวมเสียงสนับสนุนได้เพียงพอ เนื่องจากต้องการเสียงข้างมากจากสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 577 คน ตลอดการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นายกฯ บายรูไม่ได้แสดงท่าทีว่าเขาคาดหวังจะรอดพ้นจากมติครั้งนี้ไปได้ ตรงกันข้าม เขากลับตั้งคำถามว่า "ประเทศของเราเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่แล้วหรือยัง" หากการลงมติเป็นไปตามคาด บายรูจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสคนที่สองติดต่อกันที่ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยมติไม่ไว้วางใจ ต่อจากมิเชล บาร์เนียร์ ที่ถูกถอดถอนไปเมื่อเดือนธ.ค. ปีก่อนหลังอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน โดยบายรูถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ภายใต้การบริหารของปธน.มาครงนับตั้งแต่ปี 2560 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ตลาดปรับตัวรับการลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ ฝรั่งเศส ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) ขณะที่ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนปรับตัวรับการลงมติไม่ไว้วางใจซึ่งนำไปสู่การปลดนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของฝรั่งเศสในรอบ 3 ปี ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 552.04 จุด เพิ่มขึ้น 2.83 จุด หรือ +0.52% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,734.84 จุด เพิ่มขึ้น 60.06 จุด หรือ +0.78%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,807.13 จุด เพิ่มขึ้น 210.15 จุด หรือ +0.89% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,221.44 จุด เพิ่มขึ้น 13.23 จุด หรือ +0.14% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 13.23 จุด กลุ่มอุตสาหกรรม-แบงก์หนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันจันทร์ (8 ก.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มธนาคาร ขณะที่การปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มสินค้าบริโภคพื้นฐานและเฮลท์แคร์ถ่วงตลาด ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,221.44 จุด เพิ่มขึ้น 13.23 จุด หรือ +0.14% (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      ญี่ปุ่นปรับเพิ่มประมาณการ GDP Q2/68 เป็น 2.2% หลังการบริโภคภาคเอกชนแกร่ง สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (เดือนเม.ย.-มิ.ย.) ขยายตัว 2.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าขยายตัวเพียง 1% โดยได้แรงหนุนจากการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนที่แข็งแกร่งเกินคาด สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การเปิดเผย GDP ล่าสุดบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการขยายตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 แม้ว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ตาม ข้อมูลจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่า การอุปโภคบริโภคในภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลข GDP นั้น ปรับตัวขึ้น 0.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งดีกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น 0.2% โดยได้ปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายในการรับประทานอาหารนอกบ้าน และการซื้อซอฟต์แวร์เกม ส่วนการใช้จ่ายทางธุรกิจปรับตัวขึ้น 0.6% ลดลงจากการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น 1.3% ขณะที่การส่งออกสุทธิปรับตัวขึ้น 2% ไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการเบื้องต้น (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นเผยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.68 ล้านล้านเยนในเดือนก.ค. หดตัว 19.1% จากปีก่อน กระทรวงการคลังญี่ปุ่นแถลงวันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดประจำเดือนก.ค. ยังคงเกินดุลถึง 2.68 ล้านล้านเยน (1.81 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) แม้ตัวเลขดังกล่าวจะหดตัวลง 19.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อันเป็นผลพวงจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นจนบั่นทอนผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างแดน ประกอบกับภาคการส่งออกที่แผ่วลง สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด พบว่าดุลการค้าสินค้ายังคงขาดดุลที่ 1.894 แสนล้านเยน โดยมูลค่าการส่งออกซบเซาลง 4.9% เหลือ 9.01 ล้านล้านเยน โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และเหล็กกล้าที่ชะลอตัว ขณะที่ฝั่งนำเข้าก็ลดลง 7.4% อยู่ที่ 9.20 ล้านล้านเยน อานิสงส์จากราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง สำหรับดุลรายได้ขั้นปฐมภูมิ ซึ่งสะท้อนกำไรที่ญี่ปุ่นทำได้จากการลงทุนในต่างประเทศนั้น เกินดุลถึง 4.07 ล้านล้านเยน แต่ก็ลดลง 11.6% จากพิษเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นในเดือนดังกล่าว ส่วนดุลบริการยังคงเป็นตัวฉุด โดยขาดดุลเพิ่มจาก 5.81 แสนล้านเยน เป็น 6.95 แสนล้านเยน หลังค่าใช้จ่ายด้านทรัพย์สินทางปัญญาสูงขึ้น ขณะที่ดุลการท่องเที่ยวเกินดุลลดลงเล็กน้อยเหลือ 5.29 แสนล้านเยน สะท้อนว่าเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงมากกว่าที่คนญี่ปุ่นขนไปใช้จ่ายในต่างประเทศ เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังยอมรับว่า "เป็นการยาก" ที่จะประเมินผลกระทบจากกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แต่ชี้ว่า ภาษีของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิได้กัดเซาะมูลค่าการส่งออกยานยนต์และเหล็กกล้าของญี่ปุ่นไปอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ในเดือนก.ค. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าญี่ปุ่นราว 3.44 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.4% ขณะที่ชาวญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศ 1.21 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน (อินโฟเควสท์)
      "โทชิมิตสึ โมเตกิ" อดีตรมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น เตรียมลงชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค LDP โทชิมิตสึ โมเตกิ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น มีแผนลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) หลังนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 ก.ย.) อิชิบะตัดสินใจลาออกท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้เขาแสดงความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งวุฒิสภาเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาล สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า พรรครัฐบาลพ่ายแพ้อย่างยับเยินในสภาสูงเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่สูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งในปี 2567 ส่งผลให้พรรครัฐบาลกลายเป็นเสียงข้างน้อยในทั้งสองสภา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่การก่อตั้งพรรคในปี 2498 การประกาศลาออกของอิชิบะนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาหารือกับอดีตนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ชินจิโร โคอิซูมิ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนใกล้ชิด โดยคาดว่าทั้งคู่แนะนำให้เขาหลีกเลี่ยงความแตกแยกภายในพรรค ในการแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ อิชิบะระบุว่า เขาขอรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของพรรค LDP ในการเลือกตั้งวุฒิสภา พร้อมยืนยันว่าการลาออกครั้งนี้เป็นไปเพื่อหลีกเลี่ยงความแตกแยกภายในพรรคเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคล่วงหน้า ทั้งนี้ อิชิบะกล่าวว่า เขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของประชาชนได้ ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่ากลยุทธ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเน้นการเพิ่มค่าแรง ได้ออกดอกออกผลแล้ว (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่ง 625.06 จุด ขานรับ "อิชิบะ" ลาออก ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สามในวันนี้ (8 ก.ย.) หลังจากนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งจุดประกายความหวังในหมู่นักลงทุนว่าจะมีการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามาพลิกฟื้นประเทศ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 43,643.81 จุด เพิ่มขึ้น 625.06 จุด หรือ +1.45% (อินโฟเควสท์)
      จีน
      จีนส่งออกเดือนส.ค.โตต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เหตุดีมานด์ต่างประเทศชะลอตัว สำนักงานศุลกากรจีนรายงานในวันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ยอดส่งออกปรับตัวขึ้น 4.4% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.5% เนื่องจากอุปสงค์ในต่างประเทศอ่อนแอลง นอกจากนี้ ราคาที่ปรับตัวลงได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินค้าส่งออก  ส่วนยอดนำเข้าเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 1.3% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้า 1.02 แสนล้านดอลลาร์  ยอดนำเข้าของจีนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 หลังจากที่การนำเข้ากลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในเดือนมิ.ย. แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ซบเซา เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา จีนและสหรัฐฯ ได้ตกลงขยายเวลาพักรบด้านการค้าออกไปอีก 90 วัน ซึ่งทำให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าจีนยังคงอยู่ที่ประมาณ 55% และอัตราภาษีนำเข้าที่จีนเรียกเก็บจากสินค้าสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ 30% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 14.33 จุด รับ PBOC เล็งอัดฉีดเงินเข้าระบบ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันนี้ (8 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ให้คำมั่นว่าจะอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านหยวนเข้าสู่ระบบธนาคาร  ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,826.84 จุด เพิ่มขึ้น 14.33 จุด หรือ +0.38% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 215.93 จุด รับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (8 ก.ย.) หลังข้อมูลบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ อยู่ในภาวะอ่อนแอ ส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,633.91 จุด เพิ่มขึ้น 215.93 จุด หรือ +0.85% (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      S&P Global คาดราคาน้ำมันเบรนท์ร่วงแตะ 55 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ หากอุปทานล้นตลาด เดฟ เอิร์นสเบอร์เกอร์ ประธานร่วมของบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอล คอมโมดิตี อินไซต์ส (S&P Global Commodity Insights) คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันเบรนท์จะลดลงสู่ระดับประมาณ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล ภายในสิ้นปีนี้ เดฟแสดงความเห็นดังกล่าวในการประชุมปิโตรเลียม เอเชีย แปซิฟิก (Asia Pacific Petroleum Conference) ในวันนี้ (8 ก.ย.) โดยกล่าวว่า "หากเกิดภาวะอุปทานล้นตลาดในปริมาณมาก หากน้ำมันของรัสเซียยังคงไหลเข้าสู่ตลาด หากการเพิ่มน้ำมันในสต็อกหยุดลงและส่วนหนึ่งของน้ำมันเหล่านี้กลายเป็นสต็อกน้ำมันเชิงพาณิชย์ และหากเกิดภาวะ Contango เราก็อาจเห็นราคาน้ำมันร่วงลงต่ำกว่านั้น" ทั้งนี้ ภาวะ Contango หมายถึงราคาน้ำมันในตลาดส่งมอบล่วงหน้าพุ่งสูงกว่าราคาในตลาดสปอต ซึ่งบ่งชี้ถึงปริมาณน้ำมันจำนวนมากในตลาด  สัญญาน้ำมันเบรนท์ปรับตัวขึ้น 0.5% ในวันนี้ สู่ระดับ 65.84 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนต.ค. ในการประชุมเมื่อวานนี้ (7 ก.ย.) ซึ่งน้อยกว่าในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากคาดว่าความต้องการทั่วโลกจะอ่อนแอลง ทั้งนี้ โอเปกพลัสได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิต 547,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ย., เพิ่มกำลังการผลิต 548,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค. และปรับเพิ่มกำลังการผลิต 411,000 บาร์เรล/วันทั้งในเดือนพ.ค., เดือนมิ.ย. และเดือนก.ค. ก่อนหน้านี้ โอเปกพลัสได้ปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีเพื่อพยุงราคาน้ำมันในตลาด แต่ในปีนี้ โอเปกพลัสได้เริ่มเปลี่ยนแปลงท่าทีเพื่อกลับมาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดอีกครั้ง โดยได้เริ่มปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนเม.ย. ภายใต้แรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ได้เรียกร้องให้โอเปกปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันในตลาด (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์ส่งสัญญาณเตรียมคว่ำบาตรรัสเซียชุดใหม่ หลังเจรจายูเครนไม่คืบ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวในวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ว่า ทำเนียบขาวพร้อมที่จะดำเนินการคว่ำบาตรรัสเซียระยะที่ 2 ท่ามกลางการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติวิกฤตยูเครนที่ยังคงชะงักงัน ทรัมป์ยืนยันกับนักข่าวว่า เขาพร้อมที่จะเดินหน้ามาตรการคว่ำบาตรรอบที่สองกับรัสเซียแล้ว แต่ไม่ได้ขยายความเพิ่มเติมแต่อย่างใด สื่อต่างชาติรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงว่า ทรัมป์เริ่มมองว่าการเป็นคนกลางยุติความขัดแย้งในเร็ว ๆ นี้ หรือการที่ผู้นำรัสเซียและยูเครนจะได้เจอกันตัวต่อตัวนั้นเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ  ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังรัสเซียเปิดฉากโจมตีทางอากาศระลอกใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เปิดฉากสงคราม ถล่มยูเครนอย่างหนักหน่วงตลอดคืน ส่งผลให้เปลวเพลิงลุกไหม้เผาอาคารที่ทำการรัฐบาลใจกลางกรุงเคียฟ โดยทางการยูเครนเปิดเผยเมื่อวานนี้ (7 ก.ย.) ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 4 ราย ในจำนวนนี้มีทารกรวมอยู่ด้วย สร้างความเสียหายยับเยินทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ  ด้านยูเลีย สวืยรืยเดนโค นายกรัฐมนตรียูเครน ยืนยันว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทำเนียบรัฐบาลถูกโจมตี ถือเป็นการโจมตีเชิงสัญลักษณ์ที่ท้าทายใจกลางอำนาจซึ่งมีการป้องกันอย่างแน่นหนาที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง การโจมตีครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำภาพความสิ้นหวังทั้งในยูเครนและหมู่พันธมิตรว่าสงครามยังไม่มีทีท่าจะยุติลงโดยง่าย ในขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยังคงเมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องให้หยุดยิง และยิ่งได้ใจจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับจีน (อินโฟเควสท์)
      เวเนซุเอลายกระดับความปลอดภัยรัฐชายฝั่ง หลังสหรัฐฯ ส่งกองเรือประชิดทะเลแคริบเบียน เวเนซุเอลาเตรียมยกระดับความปลอดภัยให้กับรัฐชายฝั่ง 4 แห่ง และเกาะอีก 1 แห่ง ท่ามกลางความตึงเครียดที่ร้อนระอุขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ส่งกองกำลังมาประจำการในทะเลแคริบเบียน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของกองกำลังเวเนซุเอลาเกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดระหว่างเวเนซุเอลาและสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ โดยสหรัฐฯ ได้ส่งเรือรบอย่างน้อย 3 ลำและทหาร 4,000 นายไปทะเลแคริบเบียนตอนใต้ในเดือนส.ค. เพื่อปราบปรามแก๊งค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนี้  นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังได้โจมตีเรือที่อ้างว่ากำลังขนส่งยาเสพติดจากเวเนซุเอลา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 รายในช่วงต้นเดือนก.ย. วลาดิเมียร์ ปาดริโน โลเปซ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเวเนซุเอลาระบุในวิดีโอที่โพสต์มาจากบังเกอร์แห่งหนึ่งผ่านบัญชีอินสตาแกรมของเขาว่า ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ของเวนาซุเอลาสั่งระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่พร้อมปฏิบัติการไปยังรัฐซูเลีย, ฟัลกอน, นิววา เอสปาร์ตา, ซูเกร และเดลตา อามาคูโร เวเนซุเอลาได้ส่งเครื่องบินเจ็ตอย่างน้อยสองลำไปยังน่านน้ำสากล ซึ่งอยู่ในระยะของเรือรบสหรัฐฯ อย่างน้อยหนึ่งลำ โดยแม้ว่าเวเนซุเอลาจะยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการถึงการเคลื่อนตัวผ่านน่านฟ้าดังกล่าว แต่ปาดริโนกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ว่า กองทัพอากาศเวเนซุเอลากำลังปกป้องน่านฟ้าเวเนซุเอลาและลาดตระเวนในพื้นที่ดังกล่าว และเสริมว่า กองทัพเรือเวเนซุเอลายังคงประจำการตามแนวชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแอตแลนติกต่อไป ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า หากเครื่องบินของเวเนซุเอลาเป็นอันตรายต่อเรือของสหรัฐฯ เครื่องบินเหล่านั้นจะถูกยิงตก (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex บวกเพียง 76 จุด แรงขายช่วงท้ายถ่วงตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นเพียง 76 จุด โดยได้รับผลกระทบจากแรงขายในช่วงท้ายตลาด หลังดัชนีดีดตัวขึ้นในช่วงแรก ขานรับคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า  ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,787.30 บวก 76.54 จุด หรือ 0.09% (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      ธปท.ชี้บาทแข็งนำสกุลภูมิภาค เล็งหาช่องลดผลกระทบจากราคาทองต่อค่าเงิน น.ส.พิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% อยู่ในกลุ่มนำเงินสกุลเงินภูมิภาค โดยการเคลื่อนไหวแข็งค่าของสกุลเงินภูมิภาค และค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ จากการที่ผู้ร่วมตลาดคาดการณ์ว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่เงินบาทได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ผู้ช่วยผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า ในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง โดย ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ ธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการในการลดผลกระทบจากราคาทองคำต่อค่าเงินบาท ทั้งนี้ ภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน (อินโฟเควสท์)
      "คนละครึ่ง" มาแน่! ปลัดคลัง ขานรับพร้อมเริ่มโครงการได้เร็วสุด ต.ค.นี้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย เตรียมปัดฝุ่นนำโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนว่า หากรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนลงมา ก็พร้อมที่จะเดินหน้าโครงการได้เร็วสุดตั้งแต่เดือนต.ค.68 เนื่องจากระบบมีความพร้อมอยู่แล้ว โดยดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาด้านเทคนิคแต่อย่างใด ขณะที่ในเรื่องของงบประมาณก็เชื่อว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน โดยหากเริ่มโครงการในวันที่ 1 ต.ค.68 ก็จะใช้งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ได้ทันที ขณะเดียวกัน ยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่อีกราว 2.5 หมื่นล้านบาท ที่ก่อนหน้านี้โยกมาไว้ในงบกลาง ก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ และถือว่าตรงตามวัตถุประสงค์ด้วย สำหรับรายละเอียดการดำเนินโครงการคงยังไม่สามารถชี้แจงไปก่อนได้ เพราะต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาล แต่ในเชิงเทคนิค และงบประมาณ ยืนยันได้ว่ามีความพร้อมที่จะดำเนินการอย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดว่าจะเป็นการใช้จ่ายแบบ 50:50 หรือ 60:40 หรือ 70:30 นั้น ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล แต่ในแง่ของแพลตฟอร์มได้มีการสร้างไว้ให้รองรับการใช้จ่ายในรูปแบบ Co-Pay ที่จะเป็นสัดส่วนเท่าไรก็ได้ เพียงแต่ขณะนี้อาจจะเร็วไปที่จะตอบ เนื่องจากยังสามารถปรับรายละเอียดได้อีก เช่น ร้านค้า และประเภทสินค้า ที่จะเข้าร่วมโครงการได้ และจะเข้าร่วมในสัดส่วนเท่าไร รัฐบาลต้องการจะให้ใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไร ขณะที่ผลต่อระบบเศรษฐกิจนั้น นายลวรณ มองว่า ยังเร็วไปที่จะประเมินในตอนนี้ เพราะยังต้องพิจารณาจากรายละเอียดของโครงการก่อน เช่น ขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการด้วยว่ารัฐบาลจะใส่เม็ดเงินเข้าไปเท่าไร และให้ใช้จ่ายต่อวันเท่าไร (อินโฟเควสท์)
      มติ สว. เอกฉันท์รับหลักการ "ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ" หนุนเดินหน้ารถไฟฟ้า 20 บาท ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติเอกฉันท์ 155 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ... จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งต้องมีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่ที่ร่าง พ.ร.บ.มาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.นี้  ทั้งนี้ สำหรับการอภิปรายของ สว. มีทิศทางสนับสนุนการออกกฎหมายดังกล่าว พร้อมเสนอแนะให้นำการดำเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ มาพิจารณากำหนดเป็นกฎหมาย เพื่อให้การปฏิบัติเกิดประโยชน์กับประชาชน และมีประสิทธิภาพต่อการบริการ และยังเสนอแนะให้เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในการใช้บริการ เช่น การจ่ายเงินผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เป็นต้น ด้าน นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว. อภิปรายสนับสนุนและเสนอแนะว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสายที่รัฐบาลชุดที่แล้วประกาศว่าจะทำให้ได้ภายในเดือนพ.ย.นั้น ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง แต่เมื่อพิจารณาแล้วอาจทำไม่ทัน และภายใน 4 เดือนของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตนกังวลว่าจะทำทันหรือไม่ หากทำไม่ทันต้องยืดเป็นการเลือกตั้งสมัยหน้า เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาประสิทธิภาพของการทำกฎหมาย รวมถึงไม่ทำให้กฎหมายที่ต้องใช้ร่วมกันกับระบบตั๋วร่วม 3 ฉบับ จึงควรเป็น กมธ.ชุดเดียวกัน เพื่อให้ไม่มีปัญหาต่อการปฏิบัติ และทำนโยบาย 20 บาทตลอดสายทำได้จริง (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 1.31 จุด เก็งกำไรกลุ่มค้าปลีกรับ"คนละครึ่ง"สลับขาย Big Cap จากแรงกดดันบาทแข็งค่า SET ปิดวันนี้ที่ 1,266.11 จุด เพิ่มขึ้น 1.31 จุด (+0.10%) มูลค่าซื้อขาย 54,546.06 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวขึ้นดีก่อนย่อตัว เม็ดเงินไหลเข้ากลุ่มค้าปลีกรับความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ "คนละครึ่ง" สลับแรงขายหุ้นใหญ่กดดันตลาด โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และส่งออกรับผลกระทบบาทแข็งค่า แนวโน้มพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งในกรอบ เกาะติดเงินเฟ้อสหรัฐและโฉมหน้า ครม. ให้กรอบแนวรับ 1,255 จุด และแนวต้าน 1,280 จุด SET ปิดวันนี้ที่ 1,266.11 จุด เพิ่มขึ้น 1.31 จุด (+0.10%) มูลค่าซื้อขาย 54,546.06 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ดัชนีปรับขึ้นก่อนย่อตัว โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,264.79 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,276.15 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 278 หลักทรัพย์ ลดลง 195 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 182 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 77,480 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 77,480 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 14,410 ล้านบาท  2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ ซื้อสุทธิ 4,024 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 4,145 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.11% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 4,143 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 4,145 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 2 ล้านบาท ด้านปัจจัยต่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 75,000 ตำแหน่ง ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 87.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ วันที่ 16-17 ก.ย. นี้ ด้านรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของญี่ปุ่น (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.2% (YoY) ดีกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าขยายตัวเพียง 1% จากการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนที่แข็งแกร่งเกินคาด (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิดหลุด 32.00 มาที่ 31.89 แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปีนำภูมิภาค นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 31.89 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่องจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.11 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80 - 32.12 บาท/ดอลลาร์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าเนื่องจากตลาดคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ขณะที่ราคาทองในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีเงินทุนระหว่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรกว่า 4 พันล้านบาท "บาทปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่องจากหลายปัจจัยหนุน ส่งผลให้ทำนิวโลว์ในรอบ 4 ปี และแข็งค่าสุดในภูมิภาค" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 31.75 - 32.00 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
       
       
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนส.ค.จากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) สหรัฐฯ    
       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.