สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนี PPI +3.3% เดือนก.ค. สูงกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนก.ค.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 3.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.4% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนก.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% หลังจากปรับตัว 0.0% หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.7% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.9% จากระดับ 2.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนก.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% หลังจากปรับตัว 0.0% หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 224,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 750 ราย สู่ระดับ 221,750 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 15,000 ราย สู่ระดับ 1.95 ล้านราย (อินโฟเควสท์)
คาดผู้บริโภคมะกันเดือดร้อนอีก หลังทรัมป์ถอนคำสั่งไบเดน เลิกหนุนการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อวันพุธ (13 ส.ค.) ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้เพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหารว่าด้วยการส่งเสริมการแข่งขันในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนเคยประกาศใช้เมื่อปี 2564 การดำเนินการของทรัมป์จากพรรครีพับลิกันถือเป็นการรื้อถอนหนึ่งในนโยบายสำคัญของไบเดนจากพรรคเดโมแครต ซึ่งมุ่งปราบปรามการดำเนินธุรกิจที่ขัดต่อการแข่งขันในหลายภาคส่วน ตั้งแต่ภาคเกษตร อุตสาหกรรมยา ไปจนถึงตลาดแรงงาน กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แสดงความยินดีต่อการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โดยระบุว่ากำลังดำเนินนโยบาย America First Antitrust ที่มุ่งเน้นตลาดเสรี แทนแนวทางที่เรียกว่าเป็นข้อกำหนดที่มากเกินไปและเป็นภาระของรัฐบาลไบเดน พร้อมทั้งระบุว่ามีความคืบหน้าในการปรับกระบวนการทบทวนการควบรวมกิจการตามกฎหมาย Hart-Scott-Rodino (HSR) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกลับไปใช้ข้อตกลงยินยอมแบบกำหนดเป้าหมายและออกแบบอย่างเหมาะสมบ่อยครั้งขึ้น ทั้งนี้ ไบเดนได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อเดือนก.ค. 2564 เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามควบคุมรูปแบบการละเมิดโดยบริษัทขนาดใหญ่ ตั้งแต่การเก็บค่าธรรมเนียมสายการบินสูงเกินไป ไปจนถึงการควบรวมกิจการขนาดใหญ่ที่ทำให้ผู้บริโภคมีต้นทุนสูงขึ้น นโยบายดังกล่าวของไบเดนได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาวอเมริกัน และได้รับการสนับสนุนโดยเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงของรัฐบาลไบเดนหลายคน ซึ่งเคยทำงานร่วมกับหรือทำงานให้กับวุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน ผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งสำนักงานคุ้มครองทางการเงินแก่ผู้บริโภค (Consumer Financial Protection Bureau) ในสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ทรัมป์ได้โจมตีหน่วยงานดังกล่าวตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง พร้อมประกาศแผนลดจำนวนพนักงานลงถึง 90% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 11.01 จุด กังวล PPI สูงกว่าคาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,911.26 จุด ลดลง 11.01 จุด หรือ -0.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,468.54 จุด เพิ่มขึ้น 1.96 จุด หรือ +0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,710.67 จุด ลดลง 2.47 จุด หรือ -0.01% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก $1.31 รับความหวังเฟดหั่นดบ. จับตาซัมมิตทรัมป์-ปูติน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากมุมมองบวกที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังดีดตัวขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เตือนว่า รัสเซียจะเผชิญกับผลลัพธ์ที่รุนแรง หากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ปฏิเสธการทำข้อตกลงเพื่อยุติสงครามในยูเครน ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.31 ดอลลาร์ หรือ 2.09% ปิดที่ 63.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.21 ดอลลาร์ หรือ 1.84% ปิดที่ 66.84 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่า เก็งเฟดชะลอหั่นดอกเบี้ยหลัง PPI สูงเกินคาด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนมองว่าอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.43% แตะที่ระดับ 98.256 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $25.1 หลัง PPI สูงบั่นทอนความหวังเฟดหั่นดบ.แรง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 0.5% ในการประชุมเดือนก.ย. นอกจากนี้ ดัชนี PPI ที่สูงเกินคาดยังส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าและทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำเช่นกัน ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 25.1 ดอลลาร์ หรือ 0.74% ปิดที่ 3,383.20 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์พลิกดีดตัว หลังเผยดัชนี PPI สูงกว่าคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพลิกดีดตัวขึ้น หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ณ เวลา 20.07 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.250% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.829% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ภาคบริการหนุนเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรโตเกินคาด 0.3% ในไตรมาส 2/68 สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (ONS) รายงานตัวเลขประมาณการเบื้องต้นในวันนี้ (14 ส.ค.) ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 0.3% ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.1% หลังจากที่เติบโตถึง 0.7% ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบเป็นรายเดือน เศรษฐกิจขยายตัว 0.4% ในเดือนมิ.ย. หลังจากหดตัว 0.1% ในเดือนพ.ค. การชะลอตัวในช่วงสองเดือนแรกของไตรมาสเกิดจากการเร่งกิจกรรมเศรษฐกิจในเดือนก.พ.และมี.ค. เพื่อเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงภาษีอากรแสตมป์และภาษีนำเข้า รวมถึงแรงกดดันจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางธุรกิจ โดยภาษีอากรแสตมป์คือภาษีที่เก็บจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ สำหรับภาพรวมในไตรมาส 2 นั้น การเติบโตนำโดยภาคบริการ โดยมีการขยายตัวเด่นในกลุ่มการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เฮลท์แคร์ และการเช่ารถยนต์ รวมถึงภาคก่อสร้างที่เติบโตเช่นกัน แม้ภาคการผลิตโดยรวมหดตัวลงเล็กน้อย แต่การปรับปรุงข้อมูลแหล่งที่มาในเดือนเม.ย. ทำให้ภาพรวมดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า ในเดือนมิ.ย. ภาคบริการยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และยอดขายรถยนต์มีผลงานโดดเด่น ขณะที่ภาคการผลิตซึ่งกลับมาฟื้นตัวนั้น การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มกลาโหม-การเงินหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอากาศยานและการป้องกันประเทศ รวมถึงกลุ่มการเงิน ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 553.87 จุด เพิ่มขึ้น 3.02 จุด หรือ +0.55% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,870.34 จุด เพิ่มขึ้น 65.37 จุด หรือ +0.84%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,377.50 จุด เพิ่มขึ้น 191.91 จุด หรือ +0.79% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,177.24 จุด เพิ่มขึ้น 12.01 จุด หรือ +0.13% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 12.01 จุด กลุ่มการเงิน-ป้องกันประเทศหนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มป้องกันประเทศและกลุ่มการเงิน ขณะที่นักลงทุนประเมินข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,177.24 จุด เพิ่มขึ้น 12.01 จุด หรือ +0.13% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
สหรัฐฯ เตือน BOJ รับมือเงินเฟ้อช้าเกินไป ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยภายในสิ้นปี สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวกับ Bloomberg Television ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจาก BOJ ดำเนินการล่าช้าในการรับมือกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ซึ่งนับเป็นความคิดเห็นที่ชัดเจนที่สุดของเบสเซนต์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของญี่ปุ่น เบสเซนต์ระบุว่า ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ กำลังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ต่างประเทศ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนระยะยาวที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่นและเยอรมนี เบสเซนต์กล่าวว่า เขาได้พูดคุยกับ คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ และระบุเสริมว่า "นี่คือความคิดเห็นของผม ไม่ใช่ของเขา พวกเขาล่าช้าอยู่ ดังนั้นพวกเขาจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" แม้ไม่ได้ระบุว่าจะปรับขึ้นเมื่อใดก็ตาม ทั้งนี้ ความคิดเห็นของเบสเซนต์แตกต่างจากท่าทีของอุเอดะ ซึ่งปฏิเสธความเห็นที่ว่า BOJ ปรับขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป และอาจสายเกินไปในการสกัดกั้นเงินเฟ้อที่สูงเกินไป อุเอดะระบุว่า BOJ พร้อมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับขึ้นล่าช้าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เนื่องจากเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งเน้นที่ความต้องการภายในประเทศและค่าจ้างยังต่ำกว่าเป้าหมายของ BOJ การปรับนโยบายอย่างช้า ๆ ของ BOJ ถูกนักวิเคราะห์บางคนมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นและเงินเฟ้อโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น BOJ มีกำหนดประชุมนโยบายครั้งต่อไปในเดือนก.ย. ก่อนประชุมอีกครั้งในเดือนต.ค. ซึ่งจะมีการทบทวนคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรายไตรมาส เบสเซนต์ซึ่งดูแลการเจรจาด้านการค้าและอัตราแลกเปลี่ยนกับญี่ปุ่น ได้แสดงความชัดเจนหลายครั้งว่า เขาต้องการให้ BOJ ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ในรายงานด้านอัตราแลกเปลี่ยนต่อรัฐสภาเมื่อเดือนมิ.ย. กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า BOJ ควรปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดต่อเนื่อง เพื่อให้ค่าเงินเยนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่เยนอ่อนค่าอย่างผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ เบสเซนต์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิกเกอิว่า ค่าเงินจะปรับตัวได้ ตราบใดที่ BOJ มุ่งเน้นไปที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และการเติบโต อุเอดะกล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าเราล่าช้า หรือมีความเสี่ยงสูงที่จะล่าช้า" พร้อมระบุว่า แม้ค่าจ้างและเงินเฟ้อภาคบริการเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ใช่อัตราที่น่ากังวล ส่วนผลสำรวจที่มีการจัดทำขึ้นในเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดร่วง 625.41 จุด นลท.ขายทำกำไรหลังดัชนีทำนิวไฮ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงลงในวันนี้ (14 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากดัชนีนิกเกอิปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์สองวันติดต่อกัน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากเงินเยนที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดที่ระดับ 42,649.26 จุด ร่วงลง 625.41 จุด หรือ -1.45% (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 17.02 จุด จากแรงขายทำกำไร ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (14 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากดัชนีทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,666.44 จุด ลดลง 17.02 จุด หรือ -0.46% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 94.35 จุด จับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีน ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (14 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีนประจำเดือนก.ค. ที่จะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ได้แก่ ราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และอัตราว่างงาน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,519.32 จุด ลดลง 94.35 จุด หรือ -0.37% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
แบงก์ชาตินอร์เวย์ประกาศคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25% ตามคาด ธนาคารกลางนอร์เวย์ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25% ในวันนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ธนาคารกลางส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปภายในปีนี้ "หากเศรษฐกิจดำเนินไปตามที่คาดการณ์ไว้ เราก็จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปภายในปีนี้ แต่เรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินการในการประชุมเดือนกันยายน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับ" นางไอดา โวลเดน บาค ผู้ว่าการธนาคารกลางนอร์เวย์กล่าว ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางนอร์เวย์ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.25% ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปี พร้อมส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยในช่วงขาลง เนื่องจากแนวโน้มเงินเฟ้อมีทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนสู่ระดับ 4.00% และคาดว่าจะมีการปรับลดอีกครั้งในเดือนธันวาคมสู่ระดับ 3.75% (อินโฟเควสท์)
อินเดียขาดดุลการค้ามากเกินคาดในเดือนก.ค. หลังยอดนำเข้าพุ่ง ข้อมูลจากทางการอินเดียเผยให้เห็นว่า อินเดียขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในเดือนก.ค. เนื่องจากยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่ายอดส่งออก รายงานระบุว่า ยอดนำเข้าของอินเดียเพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 6.459 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ขณะที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 7.3% แตะที่ 3.724 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้อินเดียขาดดุลการค้า 2.735 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ตัวเลขขาดดุลดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. และเพิ่มขึ้นจากตัวเลขขาดดุลเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 1.878 หมื่นล้านดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
เวียดนามดอดซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในปีนี้ บริษัทบิ่ญเซิน รีไฟน์นิง แอนด์ ปิโตรเคมีคอลส์ (Binh Son Refining and Petrochemicals: BSR) ของเวียดนาม ได้ซื้อน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเทอร์มีเดียต (WTI) ส่งมอบเดือนพ.ย. ปริมาณ 1 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือเป็นการซื้อน้ำมันสหรัฐฯ ครั้งแรกของเวียดนามนับตั้งแต่เริ่มปี 2568 แหล่งข่าวระบุว่า BSR ซื้อน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดจากบริษัทเมอร์คิวเรีย (Mercuria) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทค้าพลังงานระดับโลก โดยความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท เพราะปกติแล้ว BSR จะใช้น้ำมันดิบจากภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานว่า บริษัทปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่ข้อมูลจากบริษัท Kpler แสดงให้เห็นว่า การนำเข้าน้ำมันดิบสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดของเวียดนามเกิดขึ้นเมื่อเดือนธ.ค. 2567 โดยปกติแล้ว เวียดนามจะซื้อน้ำมันดิบจากคูเวต บรูไน และลิเบียเป็นหลัก รายงานข่าวระบุด้วยว่า การซื้อน้ำมันครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากราคาน้ำมันจากตะวันออกกลางปรับตัวสูงขึ้น ทำให้น้ำมัน WTI มีราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น ทั้งนี้ เวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย ต่างให้คำมั่นที่จะซื้อน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง (อินโฟเควสท์)
รัสเซียย้ำจุดยืน ยูเครนต้องสละดินแดน-เลิกคิดเข้านาโต แลกยุติสงคราม รัสเซียยืนยันในวันพุธ (13 ส.ค.) ว่า จุดยืนของรัสเซียในการยุติสงครามในยูเครนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้กำหนดเงื่อนไขเมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ ยูเครนต้องถอนทหารทั้งหมดออกจากแคว้นต่าง ๆ ของยูเครนที่รัสเซียเข้าไปควบคุม และยูเครนต้องเลิกพยายามเข้าร่วมกลุ่มนาโต ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เตรียมประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดีปูติน ณ เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา ในวันศุกร์นี้ (15 ส.ค.) เพื่อหาทางยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทรัมป์ระบุว่าทั้งสองฝ่ายอาจต้องยอมสละดินแดนเพื่อแลกกับการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ปัจจุบัน รัสเซียควบคุมพื้นที่ราว 19% ของยูเครน ได้แก่ ดินแดนไครเมียทั้งหมด, แคว้นลูฮันสก์ทั้งหมด, มากกว่า 70% ของแคว้นโดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอน รวมถึงบางส่วนของแคว้นคาร์คีฟ ซูมี นิโคลาเยฟ และดนีโปรเปตรอฟสก์ รายงานอ้างว่า การสละดินแดนที่ทรัมป์กล่าวถึงนั้น หมายความว่ารัสเซียจะได้ครอบครองดินแดนไครเมียที่ผนวกไปตั้งแต่ปี 2557 รวมถึงภูมิภาคดอนบาส (ประกอบด้วยแคว้นลูฮันสก์และโดเนตสก์) แต่รัสเซียต้องถอนทหารออกจากแคว้นซาโปริซเซียและเคอร์ซอน ในเวลานั้น ปธน.ปูตินได้เสนอข้อเรียกร้องต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการที่ยูเครนต้องแจ้งรัสเซียอย่างเป็นทางการว่าจะละทิ้งความพยายามในการเข้าร่วมพันธมิตรทางทหารนาโตภายใต้การนำของสหรัฐฯ พร้อมกับรักษาความเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด นอกจากนี้ ยูเครนต้องให้การรับรองสิทธิและเสรีภาพของชาวรัสเซียในยูเครน ที่สำคัญคือ ยูเครนต้องถอนทหารออกจากแคว้นโดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอน ส่วนที่ยูเครนยังครอบครองอยู่ ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของแคว้นดังกล่าวถูกรัสเซียควบคุมเอาไว้ได้แล้ว และยูเครนต้องยอมรับ "ความจริง" ว่า ไครเมีย ลูฮันสก์ โดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอน เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแล้ว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดบวก ซื้อขายระมัดระวัง ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปิดในแดนบวก โดยนักลงทุนซื้อขายอย่างระมัดระวัง ขณะจับตาการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,597.66 บวก 57.75 หรือ 0.07% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดร่วง 10.76 จุดเผชิญแรงขายทำกำไรเข้าโหมดพักฐาน-หุ้นท่องเที่ยววูบ SET ปิดวันนี้ที่ 1,266.67 จุด ลดลง 10.76 จุด (-0.84%) มูลค่าซื้อขาย 56,938.83 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยปรับลงเข้าสู่โหมดพักฐานหลังหมดข่าวดี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ฟื้น โดยเฉพาะด้านท่องเที่ยว สะท้อนจากหุ้น AOT เจอเทขายหลังเปิดงบไตรมาส 2/68 น่าผิดหวัง และหุ้นหลายตัวผลประกอบการไม่สอดคล้องกับราคาหลัง valuation กลับมาสูง แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดยังพักตัวต่อ แนะติตดามดัชนี PPI และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ รวมทั้ง บจ.ทยอยแจ้งงบฯ Q2/68 ต่อไป ให้กรอบแนวรับ 1,255 จุด แนวต้าน 1,280 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,266.67 จุด ลดลง 10.76 จุด (-0.84%) มูลค่าซื้อขาย 56,938.83 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลง โดยทำระดับสูงสุด 1,283.55 จุด และต่ำสุด 1,266.05 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 127 หลักทรัพย์ ลดลง 402 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 123 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 99,743 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 99,743 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 14,770 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,555 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 3,908 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.2% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 3-6 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 5,048 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 3,908 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 1,140 ล้านบาท ด้านปัจจัยต่างประเทศ นายสก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แถลงว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 1.50% โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เดือนกันยายนนี้ ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของอียูและญี่ปุ่นประจำไตรมาส 2/2568 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ในคืนนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.35 อ่อนค่าจากช่วงเช้าตามราคาทองโลกย่อตัว ตลาดรอตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.35 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.26 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสม ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.23 - 32.40 บาท/ดอลลาร์ และวันนี้นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตร 5 พันล้านบาท "บาทปรับตัวอ่อนค่าตามราคาทองในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ตลาดรอปัจจัยใหม่เข้ามา" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.15 - 32.40 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการเบื้องต้น) ญี่ปุ่น
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
ราคาบ้านเดือนก.ค. จีน
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. จีน
ยอดค้าปลีกเดือนก.ค. จีน
การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนก.ค. จีน
อัตราว่างงานเดือนก.ค. จีน
ยอดค้าปลีกเดือนก.ค. สหรัฐฯ
ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนก.ค. สหรัฐฯ
ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนส.ค.จากเฟดนิวยอร์ก สหรัฐฯ
ยอดค้าปลีกเดือนก.ค. สหรัฐฯ
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. สหรัฐฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนส.ค.จากมหาวิทยาลึยมิชิแกน สหรัฐฯ
สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
สหรัฐเผยดัชนี PPI +3.3% เดือนก.ค. สูงกว่าคาดการณ์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนก.ค.ในวันนี้ ทั้งนี้ ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 3.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.4% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนก.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% หลังจากปรับตัว 0.0% หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.7% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.9% จากระดับ 2.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนก.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% หลังจากปรับตัว 0.0% หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. (อินโฟเควสท์)
สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 224,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 750 ราย สู่ระดับ 221,750 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 15,000 ราย สู่ระดับ 1.95 ล้านราย (อินโฟเควสท์)
คาดผู้บริโภคมะกันเดือดร้อนอีก หลังทรัมป์ถอนคำสั่งไบเดน เลิกหนุนการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อวันพุธ (13 ส.ค.) ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้เพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหารว่าด้วยการส่งเสริมการแข่งขันในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนเคยประกาศใช้เมื่อปี 2564 การดำเนินการของทรัมป์จากพรรครีพับลิกันถือเป็นการรื้อถอนหนึ่งในนโยบายสำคัญของไบเดนจากพรรคเดโมแครต ซึ่งมุ่งปราบปรามการดำเนินธุรกิจที่ขัดต่อการแข่งขันในหลายภาคส่วน ตั้งแต่ภาคเกษตร อุตสาหกรรมยา ไปจนถึงตลาดแรงงาน กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แสดงความยินดีต่อการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โดยระบุว่ากำลังดำเนินนโยบาย America First Antitrust ที่มุ่งเน้นตลาดเสรี แทนแนวทางที่เรียกว่าเป็นข้อกำหนดที่มากเกินไปและเป็นภาระของรัฐบาลไบเดน พร้อมทั้งระบุว่ามีความคืบหน้าในการปรับกระบวนการทบทวนการควบรวมกิจการตามกฎหมาย Hart-Scott-Rodino (HSR) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกลับไปใช้ข้อตกลงยินยอมแบบกำหนดเป้าหมายและออกแบบอย่างเหมาะสมบ่อยครั้งขึ้น ทั้งนี้ ไบเดนได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อเดือนก.ค. 2564 เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามควบคุมรูปแบบการละเมิดโดยบริษัทขนาดใหญ่ ตั้งแต่การเก็บค่าธรรมเนียมสายการบินสูงเกินไป ไปจนถึงการควบรวมกิจการขนาดใหญ่ที่ทำให้ผู้บริโภคมีต้นทุนสูงขึ้น นโยบายดังกล่าวของไบเดนได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาวอเมริกัน และได้รับการสนับสนุนโดยเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงของรัฐบาลไบเดนหลายคน ซึ่งเคยทำงานร่วมกับหรือทำงานให้กับวุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน ผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งสำนักงานคุ้มครองทางการเงินแก่ผู้บริโภค (Consumer Financial Protection Bureau) ในสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ทรัมป์ได้โจมตีหน่วยงานดังกล่าวตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง พร้อมประกาศแผนลดจำนวนพนักงานลงถึง 90% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 11.01 จุด กังวล PPI สูงกว่าคาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,911.26 จุด ลดลง 11.01 จุด หรือ -0.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,468.54 จุด เพิ่มขึ้น 1.96 จุด หรือ +0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,710.67 จุด ลดลง 2.47 จุด หรือ -0.01% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก $1.31 รับความหวังเฟดหั่นดบ. จับตาซัมมิตทรัมป์-ปูติน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากมุมมองบวกที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังดีดตัวขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เตือนว่า รัสเซียจะเผชิญกับผลลัพธ์ที่รุนแรง หากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ปฏิเสธการทำข้อตกลงเพื่อยุติสงครามในยูเครน ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.31 ดอลลาร์ หรือ 2.09% ปิดที่ 63.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.21 ดอลลาร์ หรือ 1.84% ปิดที่ 66.84 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่า เก็งเฟดชะลอหั่นดอกเบี้ยหลัง PPI สูงเกินคาด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนมองว่าอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.43% แตะที่ระดับ 98.256 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $25.1 หลัง PPI สูงบั่นทอนความหวังเฟดหั่นดบ.แรง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 0.5% ในการประชุมเดือนก.ย. นอกจากนี้ ดัชนี PPI ที่สูงเกินคาดยังส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าและทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำเช่นกัน ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 25.1 ดอลลาร์ หรือ 0.74% ปิดที่ 3,383.20 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
บอนด์ยีลด์พลิกดีดตัว หลังเผยดัชนี PPI สูงกว่าคาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพลิกดีดตัวขึ้น หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ณ เวลา 20.07 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.250% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.829% (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ภาคบริการหนุนเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรโตเกินคาด 0.3% ในไตรมาส 2/68 สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (ONS) รายงานตัวเลขประมาณการเบื้องต้นในวันนี้ (14 ส.ค.) ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 0.3% ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.1% หลังจากที่เติบโตถึง 0.7% ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบเป็นรายเดือน เศรษฐกิจขยายตัว 0.4% ในเดือนมิ.ย. หลังจากหดตัว 0.1% ในเดือนพ.ค. การชะลอตัวในช่วงสองเดือนแรกของไตรมาสเกิดจากการเร่งกิจกรรมเศรษฐกิจในเดือนก.พ.และมี.ค. เพื่อเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงภาษีอากรแสตมป์และภาษีนำเข้า รวมถึงแรงกดดันจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางธุรกิจ โดยภาษีอากรแสตมป์คือภาษีที่เก็บจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ สำหรับภาพรวมในไตรมาส 2 นั้น การเติบโตนำโดยภาคบริการ โดยมีการขยายตัวเด่นในกลุ่มการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เฮลท์แคร์ และการเช่ารถยนต์ รวมถึงภาคก่อสร้างที่เติบโตเช่นกัน แม้ภาคการผลิตโดยรวมหดตัวลงเล็กน้อย แต่การปรับปรุงข้อมูลแหล่งที่มาในเดือนเม.ย. ทำให้ภาพรวมดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า ในเดือนมิ.ย. ภาคบริการยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และยอดขายรถยนต์มีผลงานโดดเด่น ขณะที่ภาคการผลิตซึ่งกลับมาฟื้นตัวนั้น การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มกลาโหม-การเงินหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอากาศยานและการป้องกันประเทศ รวมถึงกลุ่มการเงิน ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 553.87 จุด เพิ่มขึ้น 3.02 จุด หรือ +0.55% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,870.34 จุด เพิ่มขึ้น 65.37 จุด หรือ +0.84%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,377.50 จุด เพิ่มขึ้น 191.91 จุด หรือ +0.79% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,177.24 จุด เพิ่มขึ้น 12.01 จุด หรือ +0.13% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 12.01 จุด กลุ่มการเงิน-ป้องกันประเทศหนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มป้องกันประเทศและกลุ่มการเงิน ขณะที่นักลงทุนประเมินข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,177.24 จุด เพิ่มขึ้น 12.01 จุด หรือ +0.13% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
สหรัฐฯ เตือน BOJ รับมือเงินเฟ้อช้าเกินไป ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยภายในสิ้นปี สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวกับ Bloomberg Television ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจาก BOJ ดำเนินการล่าช้าในการรับมือกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ซึ่งนับเป็นความคิดเห็นที่ชัดเจนที่สุดของเบสเซนต์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของญี่ปุ่น เบสเซนต์ระบุว่า ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ กำลังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ต่างประเทศ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนระยะยาวที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่นและเยอรมนี เบสเซนต์กล่าวว่า เขาได้พูดคุยกับ คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ และระบุเสริมว่า "นี่คือความคิดเห็นของผม ไม่ใช่ของเขา พวกเขาล่าช้าอยู่ ดังนั้นพวกเขาจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" แม้ไม่ได้ระบุว่าจะปรับขึ้นเมื่อใดก็ตาม ทั้งนี้ ความคิดเห็นของเบสเซนต์แตกต่างจากท่าทีของอุเอดะ ซึ่งปฏิเสธความเห็นที่ว่า BOJ ปรับขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป และอาจสายเกินไปในการสกัดกั้นเงินเฟ้อที่สูงเกินไป อุเอดะระบุว่า BOJ พร้อมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับขึ้นล่าช้าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เนื่องจากเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งเน้นที่ความต้องการภายในประเทศและค่าจ้างยังต่ำกว่าเป้าหมายของ BOJ การปรับนโยบายอย่างช้า ๆ ของ BOJ ถูกนักวิเคราะห์บางคนมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นและเงินเฟ้อโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น BOJ มีกำหนดประชุมนโยบายครั้งต่อไปในเดือนก.ย. ก่อนประชุมอีกครั้งในเดือนต.ค. ซึ่งจะมีการทบทวนคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรายไตรมาส เบสเซนต์ซึ่งดูแลการเจรจาด้านการค้าและอัตราแลกเปลี่ยนกับญี่ปุ่น ได้แสดงความชัดเจนหลายครั้งว่า เขาต้องการให้ BOJ ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ในรายงานด้านอัตราแลกเปลี่ยนต่อรัฐสภาเมื่อเดือนมิ.ย. กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า BOJ ควรปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดต่อเนื่อง เพื่อให้ค่าเงินเยนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่เยนอ่อนค่าอย่างผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ เบสเซนต์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิกเกอิว่า ค่าเงินจะปรับตัวได้ ตราบใดที่ BOJ มุ่งเน้นไปที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และการเติบโต อุเอดะกล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าเราล่าช้า หรือมีความเสี่ยงสูงที่จะล่าช้า" พร้อมระบุว่า แม้ค่าจ้างและเงินเฟ้อภาคบริการเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ใช่อัตราที่น่ากังวล ส่วนผลสำรวจที่มีการจัดทำขึ้นในเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดร่วง 625.41 จุด นลท.ขายทำกำไรหลังดัชนีทำนิวไฮ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงลงในวันนี้ (14 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากดัชนีนิกเกอิปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์สองวันติดต่อกัน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากเงินเยนที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดที่ระดับ 42,649.26 จุด ร่วงลง 625.41 จุด หรือ -1.45% (อินโฟเควสท์)
จีน
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 17.02 จุด จากแรงขายทำกำไร ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ (14 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากดัชนีทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,666.44 จุด ลดลง 17.02 จุด หรือ -0.46% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 94.35 จุด จับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีน ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (14 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีนประจำเดือนก.ค. ที่จะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ได้แก่ ราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และอัตราว่างงาน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,519.32 จุด ลดลง 94.35 จุด หรือ -0.37% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
แบงก์ชาตินอร์เวย์ประกาศคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25% ตามคาด ธนาคารกลางนอร์เวย์ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25% ในวันนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ธนาคารกลางส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปภายในปีนี้ "หากเศรษฐกิจดำเนินไปตามที่คาดการณ์ไว้ เราก็จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปภายในปีนี้ แต่เรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินการในการประชุมเดือนกันยายน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับ" นางไอดา โวลเดน บาค ผู้ว่าการธนาคารกลางนอร์เวย์กล่าว ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางนอร์เวย์ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.25% ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปี พร้อมส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยในช่วงขาลง เนื่องจากแนวโน้มเงินเฟ้อมีทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนสู่ระดับ 4.00% และคาดว่าจะมีการปรับลดอีกครั้งในเดือนธันวาคมสู่ระดับ 3.75% (อินโฟเควสท์)
อินเดียขาดดุลการค้ามากเกินคาดในเดือนก.ค. หลังยอดนำเข้าพุ่ง ข้อมูลจากทางการอินเดียเผยให้เห็นว่า อินเดียขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในเดือนก.ค. เนื่องจากยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่ายอดส่งออก รายงานระบุว่า ยอดนำเข้าของอินเดียเพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 6.459 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ขณะที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 7.3% แตะที่ 3.724 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้อินเดียขาดดุลการค้า 2.735 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ตัวเลขขาดดุลดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. และเพิ่มขึ้นจากตัวเลขขาดดุลเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 1.878 หมื่นล้านดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
เวียดนามดอดซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในปีนี้ บริษัทบิ่ญเซิน รีไฟน์นิง แอนด์ ปิโตรเคมีคอลส์ (Binh Son Refining and Petrochemicals: BSR) ของเวียดนาม ได้ซื้อน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเทอร์มีเดียต (WTI) ส่งมอบเดือนพ.ย. ปริมาณ 1 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือเป็นการซื้อน้ำมันสหรัฐฯ ครั้งแรกของเวียดนามนับตั้งแต่เริ่มปี 2568 แหล่งข่าวระบุว่า BSR ซื้อน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดจากบริษัทเมอร์คิวเรีย (Mercuria) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทค้าพลังงานระดับโลก โดยความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท เพราะปกติแล้ว BSR จะใช้น้ำมันดิบจากภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานว่า บริษัทปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่ข้อมูลจากบริษัท Kpler แสดงให้เห็นว่า การนำเข้าน้ำมันดิบสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดของเวียดนามเกิดขึ้นเมื่อเดือนธ.ค. 2567 โดยปกติแล้ว เวียดนามจะซื้อน้ำมันดิบจากคูเวต บรูไน และลิเบียเป็นหลัก รายงานข่าวระบุด้วยว่า การซื้อน้ำมันครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากราคาน้ำมันจากตะวันออกกลางปรับตัวสูงขึ้น ทำให้น้ำมัน WTI มีราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น ทั้งนี้ เวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย ต่างให้คำมั่นที่จะซื้อน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง (อินโฟเควสท์)
รัสเซียย้ำจุดยืน ยูเครนต้องสละดินแดน-เลิกคิดเข้านาโต แลกยุติสงคราม รัสเซียยืนยันในวันพุธ (13 ส.ค.) ว่า จุดยืนของรัสเซียในการยุติสงครามในยูเครนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้กำหนดเงื่อนไขเมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ ยูเครนต้องถอนทหารทั้งหมดออกจากแคว้นต่าง ๆ ของยูเครนที่รัสเซียเข้าไปควบคุม และยูเครนต้องเลิกพยายามเข้าร่วมกลุ่มนาโต ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เตรียมประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดีปูติน ณ เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา ในวันศุกร์นี้ (15 ส.ค.) เพื่อหาทางยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทรัมป์ระบุว่าทั้งสองฝ่ายอาจต้องยอมสละดินแดนเพื่อแลกกับการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ปัจจุบัน รัสเซียควบคุมพื้นที่ราว 19% ของยูเครน ได้แก่ ดินแดนไครเมียทั้งหมด, แคว้นลูฮันสก์ทั้งหมด, มากกว่า 70% ของแคว้นโดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอน รวมถึงบางส่วนของแคว้นคาร์คีฟ ซูมี นิโคลาเยฟ และดนีโปรเปตรอฟสก์ รายงานอ้างว่า การสละดินแดนที่ทรัมป์กล่าวถึงนั้น หมายความว่ารัสเซียจะได้ครอบครองดินแดนไครเมียที่ผนวกไปตั้งแต่ปี 2557 รวมถึงภูมิภาคดอนบาส (ประกอบด้วยแคว้นลูฮันสก์และโดเนตสก์) แต่รัสเซียต้องถอนทหารออกจากแคว้นซาโปริซเซียและเคอร์ซอน ในเวลานั้น ปธน.ปูตินได้เสนอข้อเรียกร้องต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการที่ยูเครนต้องแจ้งรัสเซียอย่างเป็นทางการว่าจะละทิ้งความพยายามในการเข้าร่วมพันธมิตรทางทหารนาโตภายใต้การนำของสหรัฐฯ พร้อมกับรักษาความเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด นอกจากนี้ ยูเครนต้องให้การรับรองสิทธิและเสรีภาพของชาวรัสเซียในยูเครน ที่สำคัญคือ ยูเครนต้องถอนทหารออกจากแคว้นโดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอน ส่วนที่ยูเครนยังครอบครองอยู่ ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของแคว้นดังกล่าวถูกรัสเซียควบคุมเอาไว้ได้แล้ว และยูเครนต้องยอมรับ "ความจริง" ว่า ไครเมีย ลูฮันสก์ โดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอน เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแล้ว (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดบวก ซื้อขายระมัดระวัง ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปิดในแดนบวก โดยนักลงทุนซื้อขายอย่างระมัดระวัง ขณะจับตาการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,597.66 บวก 57.75 หรือ 0.07% (อินโฟเควสท์)
ไทย
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดร่วง 10.76 จุดเผชิญแรงขายทำกำไรเข้าโหมดพักฐาน-หุ้นท่องเที่ยววูบ SET ปิดวันนี้ที่ 1,266.67 จุด ลดลง 10.76 จุด (-0.84%) มูลค่าซื้อขาย 56,938.83 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยปรับลงเข้าสู่โหมดพักฐานหลังหมดข่าวดี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ฟื้น โดยเฉพาะด้านท่องเที่ยว สะท้อนจากหุ้น AOT เจอเทขายหลังเปิดงบไตรมาส 2/68 น่าผิดหวัง และหุ้นหลายตัวผลประกอบการไม่สอดคล้องกับราคาหลัง valuation กลับมาสูง แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดยังพักตัวต่อ แนะติตดามดัชนี PPI และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ รวมทั้ง บจ.ทยอยแจ้งงบฯ Q2/68 ต่อไป ให้กรอบแนวรับ 1,255 จุด แนวต้าน 1,280 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,266.67 จุด ลดลง 10.76 จุด (-0.84%) มูลค่าซื้อขาย 56,938.83 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลง โดยทำระดับสูงสุด 1,283.55 จุด และต่ำสุด 1,266.05 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 127 หลักทรัพย์ ลดลง 402 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 123 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 99,743 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 99,743 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 14,770 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 1,555 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 3,908 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.2% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 3-6 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 5,048 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 3,908 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 1,140 ล้านบาท ด้านปัจจัยต่างประเทศ นายสก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แถลงว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 1.50% โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เดือนกันยายนนี้ ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของอียูและญี่ปุ่นประจำไตรมาส 2/2568 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ในคืนนี้ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.35 อ่อนค่าจากช่วงเช้าตามราคาทองโลกย่อตัว ตลาดรอตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.35 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.26 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบผสม ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.23 - 32.40 บาท/ดอลลาร์ และวันนี้นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตร 5 พันล้านบาท "บาทปรับตัวอ่อนค่าตามราคาทองในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ตลาดรอปัจจัยใหม่เข้ามา" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.15 - 32.40 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการเบื้องต้น) ญี่ปุ่น
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
ราคาบ้านเดือนก.ค. จีน
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. จีน
ยอดค้าปลีกเดือนก.ค. จีน
การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนก.ค. จีน
อัตราว่างงานเดือนก.ค. จีน
ยอดค้าปลีกเดือนก.ค. สหรัฐฯ
ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนก.ค. สหรัฐฯ
ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนส.ค.จากเฟดนิวยอร์ก สหรัฐฯ
ยอดค้าปลีกเดือนก.ค. สหรัฐฯ
การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. สหรัฐฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนส.ค.จากมหาวิทยาลึยมิชิแกน สหรัฐฯ
สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ