• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 226,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 219,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 500 ราย สู่ระดับ 220,750 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง พุ่งขึ้น 38,000 ราย สู่ระดับ 1.97 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2564 (อินโฟเควสท์)
      ผลสำรวจชี้นักลงทุนสหรัฐส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นตลาดหุ้นช่วง 6 เดือนข้างหน้า ผลสำรวจของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 43.2% เพิ่มขึ้นจากระดับ 33.0% ในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.0% ส่วนนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 34.9% ลดลงจากระดับ 40.3% ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 37.5%นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวน 21.9% มีมุมมองที่เป็นกลางต่อทิศทางตลาดหุ้น ลดลงจากระดับ 26.7% ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.5% (อินโฟเควสท์)
      เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐขยายตัว 2.5% ใน Q3/68 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.5% ในไตรมาส 3/2568 หลังจากเศรษฐกิจขยายตัว 3.0% ในไตรมาส 2 และหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งต่อไปในวันที่ 15 ส.ค. (อินโฟเควสท์)
      สื่อตีข่าว "คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์" ขึ้นแท่นตัวเก็งอันดับ 1 แทนที่ "พาวเวล" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเป็นสมาชิกถาวรของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ได้กลายเป็นผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานเฟดคนใหม่ รายงานระบุว่า นายวอลเลอร์ได้พบกับคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต่างก็ประทับใจในตัวเขา แม้ว่าเขายังไม่ได้พบกับปธน.ทรัมป์โดยตรง เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social แสดงความพึงพอใจต่อการที่นายวอลเลอร์และนางมิเชล โบว์แมน ซึ่งทั้งสองต่างก็เป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด ได้ลงมติสนับสนุนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 ก.ค. แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าว แม้ว่าปธน.ทรัมป์ต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลกลาง แต่เหตุผลของนายวอลเลอร์ในการเรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ยมาจากมุมมองที่ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์จะไม่ทำให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้น และตลาดแรงงานที่กำลังชะลอตัวควรได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว และนายเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด ซึ่งต่างก็สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน ยังคงอยู่ในรายชื่อผู้ที่มีโอกาสรับตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ (อินโฟเควสท์)
      จนท.เฟด 3 รายส่งสัญญาณหั่นดอกเบี้ยเดือนก.ย. กังวลจ้างงานชะลอตัว เจ้าหน้าที่ระดับสูง 3 คนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่ว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. แมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา ในวันพุธ (6 ส.ค.) ว่า เฟดอาจจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้การจ้างงานแย่ลงไปอีก ดาลีกล่าวว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอลง และหากตลาดชะลอตัวลงอีกก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเห็นว่าเฟดน่าจะต้องปรับนโยบายการเงินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ลิซา คุก หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟด กล่าวถึงตัวเลขจ้างงานเดือนก.ค. รวมถึงการปรับลดตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.และพ.ค. โดยระบุว่า การปรับแก้ตัวเลขจ้างงานดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติในช่วงพลิกผันทางเศรษฐกิจ ทางด้านนีล แคชคารี ประธานเฟดสาขามินนิแอโพลิส ให้สัมภาษณ์กับสื่อในวันเดียวกัน โดยเขาได้แสดงความกังวเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน พร้อมกับให้ความเห็นว่า ในระยะสั้น การเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอาจเป็นเรื่องที่เหมาะสม นอกจากนี้ แคชคารีคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งก่อนสิ้นปี 2568 (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์เดินเกมแรง ขู่รีดภาษีนำเข้าชิป 100% หากไม่ผลิตในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศในวันพุธ (6 ส.ค.) ว่า เขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์สูงถึง 100% แต่จะยกเว้นให้สำหรับบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนจะผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ทรัมป์กล่าวว่า เรากำลังจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงมากจากชิปและเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมเสริมว่า "แต่ข่าวดีสำหรับบริษัทอย่างแอปเปิ้ล (Apple) คือ หากคุณกำลังผลิตในสหรัฐฯ หรือให้คำมั่นอย่างแน่นอนว่าจะตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีนี้" ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยส่งสัญญาณว่าอาจเริ่มเก็บภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในเกือบทุกอุตสาหกรรม ได้เร็วที่สุดภายในสัปดาห์หน้า ท่าทีดังกล่าวสะท้อนความพยายามล่าสุดของทรัมป์ในการผลักดันให้บริษัทต่างชาติและบริษัทอเมริกันย้ายมาผลิตสินค้าในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่า บริษัทต้องมีสัดส่วนการผลิตในสหรัฐฯ มากเพียงใดจึงจะเข้าเกณฑ์ได้รับการยกเว้นภาษี ถ้อยแถลงของทรัมป์มีขึ้นไม่นานหลังจากที่เขาออกมาชื่นชมแอปเปิ้ล ซึ่งให้คำมั่นว่าจะลงทุนเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ภายใน 4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการขยายจากงบลงทุนก่อนหน้าที่เคยประกาศไว้ 5 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมชิปอย่าง ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (TSMC), อินวิเดีย (Nvidia) และโกลบอลฟาวน์ดรีส์ (GlobalFoundries) ต่างก็เคยให้คำมั่นแล้วว่าจะผลิตสินค้าบางส่วนในสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
      คาด "ภาษีทรัมป์" หนุนรายได้ภาษีศุลกากรสหรัฐสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน นายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า เขาคาดว่า3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว เนื่องจากสหรัฐได้ปรับเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าของหลายสิบประเทศ โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (7 ส.ค.) "หลังจากนี้ คุณจะได้รายได้จากภาษีชิปและเซมิคอนดักเตอร์ ได้จากภาษียา และจากสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย" นายลุตนิกกล่าวให้สัมภาษณ์ต่อ Fox Business Network ทั้งนี้ มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบหนึ่งศตวรรษ โดยประเทศคู่ค้าของสหรัฐต้องเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรระหว่าง 10%-50% นอกจากนี้ เมื่อวานนี้ ปธน.ทรัมป์ยังประกาศแผนการเก็บภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์สูงถึง 100% ยกเว้นสำหรับผู้ผลิตที่ให้คำมั่นว่าจะตั้งโรงงานผลิตในสหรัฐ และปธน.ทรัมป์ยังขู่ที่จะเรียกเก็บภาษียา ซึ่งจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 250% ในอนาคต "เป้าหมายของท่านประธานาธิบดี คือการทำให้การผลิตชิปเกิดขึ้นในอเมริกา" เขากล่าว พร้อมคาดการณ์ว่า แผนดังกล่าวจะนำไปสู่การลงทุนราว 1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการผลิตในประเทศ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 224.48 จุดจากแรงขายทำกำไร หุ้น Eli Lilly ร่วงฉุดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากดัชนีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นอีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ หลังจากผลการทดลองยาลดน้ำหนักของบริษัทออกมาน่าผิดหวัง ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,968.64 จุด ลดลง 224.48 จุด หรือ -0.51%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,340.00 จุด ลดลง 5.06 จุด หรือ -0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,242.70 จุด เพิ่มขึ้น 73.27 จุด หรือ +0.35% ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.15% ตามด้วยหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง 1.13% ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 1.05% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้น 0.73% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 47 เซนต์ ตลาดคาดซัมมิต "ทรัมป์-ปูติน" หนุนยุติสงครามยูเครน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) หลังทำเนียบเครมลินประกาศว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย จะพบปะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าการดำเนินการทางการทูตเช่นนี้อาจจะทำให้สงครามในยูเครนยุติลง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 47 เซนต์ หรือ 0.73% ปิดที่ 63.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.69% ปิดที่ 66.43 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่า รับข่าว "คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์" จ่อนั่งปธ.เฟดแทนพาวเวล สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) หลังจากสื่อรายงานว่า คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานเฟดคนใหม่ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.23% แตะที่ 98.4 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 147.56 เยน จากระดับ 147.07 เยนในวันพุธ (6 ส.ค.) ขณะเดียวกันก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8082 ฟรังก์ จากระดับ 0.8063 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3765 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3742 ดอลลาร์แคนาดา ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1622 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1663 ดอลลาร์ในวันพุธ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3410 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3363 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $20.3 รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย-เก็งเฟดหั่นดบ. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 20.3 ดอลลาร์ หรือ 0.59% ปิดที่ 3,453.70 ดอลลาร์/ออนซ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Zaner Metals กล่าวว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยิลด์ไร้ทิศทาง หลังภาษีทรัมป์เริ่มมีผลบังคับใช้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวไร้ทิศทางในวันนี้ หลังมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ ณ เวลา 20.21 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.236% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 4.809% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      BoE เสียงแตกประกาศหั่นดอกเบี้ย 0.25% สู่ 4.00% วันนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 5-4 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.00% ในการประชุมวันนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ กรรมการ MPC จำนวน 5 รายมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในวันนี้ ขณะที่ 4 รายมีมติคงอัตราดอกเบี้ย โดยกรรมการ MPC จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลง ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดีดตัวสูงกว่าคาดสู่ระดับ 3.6% ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 3.4% ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าเป้าหมายของ BoE ที่ระดับ 2% ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษหดตัวลง 0.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกระทั่งแตะระดับ 3.50% ในเดือนก.พ.2569 (อินโฟเควสท์)
      เยอรมนีเผยผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.ร่วงหนัก ขณะยอดส่งออกสูงเกินคาด สำนักงานสถิติเยอรมนี (Destatis) รายงานในวันนี้ (7 ส.ค.) ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.ร่วงลง 1.9% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2563 และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 0.5% ขณะเดียวกัน สำนักงานสถิติเยอรมนียังได้ปรับแก้ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.เป็นลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น 1.2% โดยให้เหตุผลว่าการปรับแก้ครั้งนี้มาจากการแก้ไขข้อมูลของสถานประกอบการในภาคยานยนต์ นอกจากนี้ สำนักงานสถิติเยอรมนีเปิดเผยว่า ยอดส่งออกในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% ส่วนยอดนำเข้าเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบรายเดือน ฟื้นตัวหลังจากที่ร่วงลง 3.9% ในเดือนพ.ค. และดีกว่ามากเมื่อเทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1% ทั้งนี้ เยอรมนีมียอดเกินดุลการค้าในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 1.49 หมื่นล้านยูโร (1.739 หมื่นล้านดอลลาร์) ลดลงจากระดับ 1.85 หมื่นล้านยูโรในเดือนพ.ค. และ 2.03 หมื่นล้านยูโรในเดือนมิ.ย. ของปี 2567 รายงานของสำนักงานสถิติระบุว่า เยอรมนีส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 2.4% และส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง 2.1% ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเดือนที่ 3 เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออกนั้น มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ เป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนีในปี 2567 ด้วยมูลค่าการค้าสินค้าระหว่างกันโดยรวม 2.53 แสนล้านยูโร (อินโฟเควสท์)
      Halifax เผยราคาบ้าน UK เดือนก.ค. พุ่งสูงสุดรอบ 6 เดือน ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ฮาลิแฟกซ์ (Halifax) ผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยในวันนี้ว่า ราคาบ้านในสหราชอาณาจักร (UK) เดือนก.ค. ปรับตัวขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยของประเทศเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าราคาบ้านจะปรับตัวขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนก.ค. หลังจากที่ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ราคาบ้านในเดือนก.ค. ปรับตัวขึ้น 2.4% ชะลอตัวลงจากอัตราการขยายตัวที่ 2.7% ในเดือนมิ.ย. ตลาดที่อยู่อาศัยของ UK เริ่มทรงตัว หลังจากผ่านพ้นภาวะเร่งซื้อบ้านก่อนที่มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบางกลุ่มจะสิ้นสุดลงในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันยอดขายให้ซบเซาลงในช่วงก่อนหน้านี้ หัวหน้าฝ่ายสินเชื่อที่อยู่อาศัยของฮาลิแฟกซ์ กล่าวว่า แม้จะยังคงมีความท้าทายสำหรับผู้ที่ต้องการขยับขยายที่อยู่หรือซื้อบ้านหลังแรก แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ทยอยปรับลดลงและค่าจ้างที่ยังคงเพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการซื้อบ้านปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ พร้อมกับเสริมว่า คาดว่าราคาบ้านจะค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นในระดับปานกลางอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ ด้านเนชั่นไวด์ (Nationwide) ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่ง เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนีราคาบ้านของบริษัทปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับความหวังการหยุดยิงในยูเครน ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นรายวันมากที่สุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงิน ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่หลากหลาย, มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่จะมีความคืบหน้าในการยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.05 จุด เพิ่มขึ้น 4.98 จุด หรือ +0.92% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,709.32 จุด เพิ่มขึ้น 74.29 จุด หรือ +0.97%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,192.50 จุด เพิ่มขึ้น 268.14 จุด หรือ +1.12% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,100.77 จุด ลดลง 63.54 จุด หรือ -0.69% ดัชนี STOXX 600 แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 2% แตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2553 ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มประกันภัยเพิ่มขึ้น 1.6% ทำนิวไฮ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 63.54 จุด หลัง BoE ลดดอกเบี้ยตามคาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศลดดอกเบี้ยตามคาด แต่การลงคะแนนเสียงที่ไม่เป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการสร้างความกังวลให้นักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 9,100.77 จุด ลดลง 63.54 จุด หรือ -0.69% (อินโฟเควสท์)  
      ญี่ปุ่น
      ญี่ปุ่นหั่นคาดการณ์ศก.ปีงบ 68 เหลือโต 0.7% จาก 1.2% เหตุภาษีสหรัฐฯ ฉุด รัฐบาลญี่ปุ่นปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งเริ่มต้นในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เหลือเพียง 0.7% จากประมาณการเดิมที่ 1.2% โดยให้เหตุผลว่า มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุนภาคธุรกิจ การคาดการณ์ล่าสุดอ้างอิงตามข้อตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงรถยนต์ ในอัตรา 15% โดยนำมาประกอบกับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ณ สิ้นเดือนก.ค. นอกจากนี้ในรายงานรอบครึ่งปีซึ่งรวบรวมโดยสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยังได้มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของการส่งออกในปีงบประมาณ 2568 ลงเหลือ 1.2% จากเดิมที่คาดไว้ 3.6% เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักอย่างยานยนต์จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีดังกล่าว ส่วนการลงทุนในภาคธุรกิจคาดว่าจะเติบโตเพียง 1.8% จากที่เคยคาดไว้ที่ 3.0% เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ มีแนวโน้มชะลอการขยายกำลังการผลิต ท่ามกลางแนวโน้มการส่งออกที่ซบเซาลง รัฐบาลระบุในรายงานว่า นอกจากอัตราเงินเฟ้อสูงที่กดดันการบริโภคภาคเอกชนแล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องจับตาความเสี่ยงขาลงจากผลกระทบของนโยบายภาษีสหรัฐฯ และปัจจัยอื่น ๆ สำหรับการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งของเศรษฐกิจญี่ปุ่น คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.0% ลดลงจากเดิมที่คาดไว้ 1.3% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นผู้บริโภค (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นเสนอขึ้นค่าจ้างข้าราชการเกือบ 4% สูงสุดในรอบ 34 ปี ตามเอกชนปรับขึ้นแรง สำนักงานบุคลากรแห่งชาติของญี่ปุ่นเสนอปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการเฉลี่ย 3.62% หรือ 15,014 เยน (ประมาณ 3,300 บาท) สำหรับปีงบประมาณปัจจุบันที่สิ้นสุด ณ เดือนมี.ค. 2569 ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นเงินเดือนสูงสุดในรอบ 34 ปี ข้อเสนอดังกล่าวถูกยื่นต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาญี่ปุ่น โดยจะเป็นการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งแรกที่เกินกว่า 3% นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2534 โดยสำนักงานฯ ระบุว่า การขึ้นค่าจ้างครั้งนี้จำเป็นเพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรในภาครัฐ หลังจากที่ภาคเอกชนปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ สำนักงานฯ ยังเสนอให้เพิ่มโบนัสประจำปีเป็นเทียบเท่า 4.65 เดือน จากเดิม 4.6 เดือน และถือเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันที่แนะนำให้ปรับขึ้นทั้งเงินเดือนและโบนัส หากเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอนุมัติ ข้าราชการที่มีอายุเฉลี่ย 41.9 ปี จะได้รับรายได้เฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้น 263,000 เยน แตะ 7,143,000 เยน สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อเสนอนี้มีขึ้นหลังจากค่าจ้างเฉลี่ยรายเดือนที่บริษัทชั้นนำในญี่ปุ่นปรับขึ้นมากกว่า 5% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนแรงงานและภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงสูง สำนักงานฯ จะตรวจสอบข้อมูลค่าจ้างของภาคเอกชนเป็นประจำทุกปี และแนะนำให้มีการปรับเงินเดือนให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานเพื่อปิดช่องว่างระหว่างค่าจ้างภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป สำนักงานฯ จะใช้ข้อมูลค่าจ้างของบริษัทขนาดใหญ่เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ เพื่อช่วยปรับสมดุลค่าจ้างระหว่างภาครัฐและเอกชน (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นเร่งสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้ารถยนต์-ชิ้นส่วนรถยนต์ตามที่ตกลงกันไว้ เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจและหัวหน้าคณะผู้เจรจาภาษีศุลกากรของญี่ปุ่นได้หารือกับโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ในวันพุธ (6 ส.ค.) โดยเรียกร้องให้ลุตนิกรีบปฏิบัติตามข้อตกลงลดภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด ทางการญี่ปุ่นระบุว่า ระหว่างการประชุมระยะเวลา 90 นาที ณ กรุงวอชิงตัน อาคาซาวะและลุตนิกได้ยืนยันถึงความสำคัญของข้อตกลงการค้าทวิภาคีเมื่อไม่นานมานี้ และความพยายามในการดำเนินการตามแผนอย่างต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ อาคาซาวะยังได้ขอให้ลุตนิกตรวจสอบให้แน่ใจว่า สหรัฐฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การหารือกับสมาชิกครม.สหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 9 มีขึ้นในเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บรรลุข้อตกลงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะลดอัตราภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าญี่ปุ่นลงเหลือ 15% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (7 ส.ค.) จากเดิมที่เคยขู่ไว้ที่ 25% โดยในเวลานั้น ทรัมป์ยังได้ตกลงที่จะลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นเหลือ 15% เพื่อแลกกับการทุ่มเม็ดเงินลงทุนอย่างมหาศาลในสหรัฐฯ ด้วย แต่ยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาชัดเจนว่าจะเริ่มดำเนินการเมื่อใด ทั้งนี้ อาคาซาวะมีกำหนดพำนักอยู่ในสหรัฐฯ จนถึงวันศุกร์นี้ (8 ส.ค.) และอาจพบปะหารือกับสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ด้วย (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดบวก 3 วันติด ขานรับผลประกอบการแกร่ง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในวันนี้ (7 ส.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนและการปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไร สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 41,059.15 จุด เพิ่มขึ้น 264.29 จุด หรือ +0.65% หุ้นที่ปรับตัวขึ้นนำตลาด ได้แก่ กลุ่มพลังงานไฟฟ้าและก๊าซ กลุ่มคลังสินค้าและบริการขนส่งท่าเรือ และกลุ่มธนาคาร (อินโฟเควสท์)
      จีน
      จีนส่งออกเดือนก.ค.พุ่งสูงกว่าคาด 7.2% นำเข้าพุ่งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี สำนักงานศุลกากรจีนรายงานในวันนี้ (7 ส.ค.) ว่า ยอดส่งออกเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 7.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.4% โดยการฟื้นตัวของยอดส่งออกจีน มีขึ้นในขณะที่การผ่อนผันมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะหมดอายุลงในวันที่ 12 ส.ค.นี้ การส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ร่วงลง 22% ในเดือนก.ค. หลังจากที่ลดลง 16% ในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี บริษัทจีนสามารถส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการส่งออกที่ลดลงไปยังสหรัฐฯ โดยยอดส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 9.3% ขณะที่ยอดส่งออกไปยัง 10 ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พุ่งขึ้นเกือบ 17% ส่วนยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 4.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี และแข็งแกร่งกว่าในเดือนมิ.ย.ที่ปรับตัวขึ้นเพียง 1.1% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้า 9.82 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ยอดนำเข้าเดือนก.ค.ของจีนสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 1% (อินโฟเควสท์)
      จีนเกินดุลการค้าอาเซียน 1.57 แสนล้านดอลลาร์ พุ่ง 40.6% ช่วง 7 เดือนแรก สำนักงานศุลกากรแห่งชาติของจีนรายงานว่า ปริมาณการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค. ปีนี้ เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นมูลค่ารวม 5.97 แสนล้านดอลลาร์ ข้อมูลระบุว่าการส่งออกของจีนไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้น 13.5% คิดเป็นมูลค่า 3.77 แสนล้านดอลลาร์ ในขณะที่การนำเข้าจากอาเซียนเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% โดยมีมูลค่า 2.20 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้จีนมีดุลการค้าเกินดุลกับอาเซียนอยู่ที่ 1.57 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 40.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 สำหรับเดือนก.ค.เพียงเดือนเดียว มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนอยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 5.2% จากเดือนมิ.ย. โดยการส่งออกของจีนลดลง 6.1% เหลือ 5.46 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าลดลง 3.5% เหลือ 3.14 หมื่นล้านดอลลาร์ ในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียน เวียดนามยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของจีน โดยในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมา มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศสูงถึง 1.61 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 11.2% การส่งออกของจีนไปเวียดนามเพิ่มขึ้น 20.7% เป็น 1.1 แสนล้านดอลลาร์ ในขณะที่การนำเข้าจากเวียดนามลดลง 5.1% เหลือ 5.09 หมื่นล้านดอลลาร์ มาเลเซียรองลงมาด้วยมูลค่าการค้ากับจีนที่ 1.16 แสนล้านดอลลาร์ และไทยตามมาเป็นอันดับสามที่ 8.94 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเจ็ดเดือนแรก อาเซียนเป็นหนึ่งในคู่ค้าต่างประเทศที่สำคัญของจีน นอกเหนือจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย โดยในปี 2566 การค้าของจีนกับอาเซียนลดลง 4.9% แต่ฟื้นตัวในปี 2567 โดยเพิ่มขึ้น 7.8% แตะระดับ 9.82 แสนล้านดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
      จีนส่งออกแร่หายากแผ่ว ยอดเดือนก.ค. ร่วง 23% สวนทางคำมั่นที่ให้ไว้กับสหรัฐฯ-ยุโรป ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีน (GAC) ที่เปิดเผยในวันนี้ (7 ส.ค.) ระบุว่า ยอดการส่งออกแร่หายาก (rare earth) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมไฮเทค ของจีนในเดือนก.ค. ได้ดิ่งลงถึง 23% หลังจากที่เพิ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปในเดือนมิ.ย. ตัวเลขการส่งออกแร่หายากของจีนถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด หลังจากที่รัฐบาลจีนเพิ่งบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ และยุโรป ว่าจะเพิ่มการส่งออกและผ่อนปรนระเบียบการขออนุญาตส่งออก อันเป็นมาตรการที่เคยออกมาเพื่อใช้ตอบโต้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ข้อมูลระบุว่า จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก ส่งออกไป 5,994.3 เมตริกตันในเดือนก.ค. ลดลง 23% จากเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นเดือนที่ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 อย่างไรก็ดี เป็นการยากที่จะลงความเห็นอย่างแน่ชัดจากข้อมูลที่เปิดเผยในคราวนี้ เนื่องจากข้อมูลยังไม่ได้จำแนกประเภทของแร่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบางรายการไม่ได้ถูกจำกัดการส่งออก อีกทั้งตัวเลขดังกล่าวมักมีความผันผวนสูงเป็นปกติ ทั้งนี้ จะมีการเปิดเผยข้อมูลฉบับเต็มที่ลงรายละเอียดมากขึ้น รวมถึงการส่งออกแม่เหล็กที่ผลิตจากแร่หายาก ในวันที่ 20 ส.ค. นี้ โดยแม่เหล็กดังกล่าวถือเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และการทหาร ซึ่งยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ และเยอรมนีได้พุ่งสูงขึ้นในเดือนที่แล้ว หากมองภาพรวม 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) ยอดส่งออกแร่หายากของจีนยังคงอยู่ที่ 38,563.6 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
      จีนเบรกนำเข้าถ่านหิน ยอดเดือนก.ค. ดิ่ง 23% เหตุผลผลิตในประเทศล้นตลาด สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GAC) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (7 ส.ค.) ว่า ยอดการนำเข้าถ่านหินของจีนในเดือนก.ค. ดิ่งลงอย่างหนักถึง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุสำคัญมาจากปริมาณถ่านหินที่ผลิตได้เองในประเทศมีมากจนล้นตลาด ทำให้ความต้องการนำเข้าจากต่างประเทศลดลง ทั้งนี้ ตัวเลขนำเข้าในเดือนก.ค. อยู่ที่ 35.61 ล้านเมตริกตัน ซึ่งแม้ลดลงจากปีก่อน แต่ก็ถือว่าฟื้นตัวขึ้นจากเดือนมิ.ย. ที่เคยทำสถิติต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งปัจจัยหนุนมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ประชาชนเปิดเครื่องปรับอากาศมากขึ้น และส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดี ตลาดกำลังจับตามองว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อลดกำลังการผลิตและแก้ปัญหาถ่านหินล้นตลาดหรือไม่ หลังจากที่สำนักงานพลังงานแห่งชาติ (NEA) ของจีนได้สั่งให้มีการเข้าตรวจสอบเหมืองถ่านหินใน 8 มณฑลเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา คำสั่งดังกล่าวส่งผลให้ราคาถ่านหินโค้ก (Coking Coal) พุ่งขึ้นจนชนเพดานราคาสูงสุดติดต่อกันหลายวัน จากการคาดการณ์ว่า การตรวจสอบดังกล่าวจะทำให้กิจการเหมืองหลายแห่งต้องหยุดชะงัก และกระทบต่อปริมาณผลผลิตในท้องตลาด นักวิเคราะห์จาก LSEG ระบุในบทวิเคราะห์ว่า "หาก NEA เดินหน้าตรวจสอบจริง ก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่ราคาถ่านหินในประเทศจะพุ่งขึ้น เพราะผลผลิตจะลดลง" "และเมื่อราคาในประเทศสูงขึ้น ก็จะจูงใจให้มีการนำเข้าถ่านหินจากต่างประเทศมากขึ้นเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา ซึ่งจะดันราคาถ่านหินในตลาดโลกให้สูงขึ้นตามไปด้วย" อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากบริษัท Kpler กลับมองต่างมุม โดยระบุในรายงานว่า คำสั่งของ NEA เป็นเพียงปัจจัยกระตุ้นราคาและยอดนำเข้าในระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในภาพรวมยังคงชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม (อินโฟเควสท์)
      จีนขยายเวลาสอบสวนนำเข้าเนื้อวัว 3 เดือน คลายกังวลซัพพลายเออร์ต่างชาติ กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศเมื่อวันพุธ (6 ส.ค.) ขยายระยะเวลาการสอบสวนการนำเข้าเนื้อวัวออกไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 26 พ.ย. ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลของซัพพลายเออร์ต่างชาติ ในช่วงที่อุตสาหกรรมจีนกำลังพยายามลดปริมาณสินค้าล้นตลาด รายงานระบุว่า การสอบสวนดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางภาวะชะลอตัวของความต้องการบริโภคในจีน ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าและบริโภคเนื้อวัวรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยกระทรวงฯ ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประเทศใดเป็นพิเศษ หากจีนตัดสินใจใช้มาตรการจำกัดการนำเข้า อาจส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย และบราซิล โดยก่อนหน้านี้จีนได้ระงับการนำเข้าจากสหรัฐฯ ไปแล้วบางส่วน ด้วยการไม่ต่ออายุการรับรองโรงงานแปรรูปเนื้อวัวหลายร้อยแห่งในสหรัฐฯ หลังใบอนุญาตหมดอายุเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ชี้แจงเหตุผลในการขยายเวลาสอบสวนว่า เป็นผลมาจากปริมาณงานจำนวนมากและความซับซ้อน พร้อมย้ำว่าจะเดินหน้าเจรจากับทุกฝ่าย เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางการค้าที่มีเสถียรภาพและเป็นธรรม ด้านอีวาน โรเจอร์ส เพย์ นักวิเคราะห์ด้านเกษตรกรรมจากบริษัททริเวียม ไชน่า (Trivium China) แสดงความเห็นว่า การขยายเวลานี้ทำให้จีนมีเวลาเพิ่มขึ้นในการประเมินว่าอุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถกลับมาทำกำไรได้เองหรือไม่โดยไม่ต้องใช้มาตรการปกป้อง ทั้งนี้ จีนนำเข้าเนื้อวัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 รวม 2.87 ล้านตัน ขณะที่ยอดนำเข้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1.3 ล้านตัน ลดลง 9.5% เมื่อเทียบรายปี (อินโฟเควสท์)
      UBS คาดอสังหาฯ จีนยังไม่ฟื้นจนถึงปลายปี 69 หลังยอดขายบ้านชะลอตัว ยูบีเอส กรุ๊ป เอจี (UBS Group AG) ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ประเมินว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะกลับมาฟื้นตัวนั้น ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ โดยระบุว่าการฟื้นตัวอาจล่าช้าออกไป หลังจากยอดขายที่อยู่อาศัยในจีนยังคงอ่อนแรงต่อเนื่องในไตรมาส 2/2568 จอห์น แลม หัวหน้าฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์จีนและฮ่องกงของยูบีเอสเคยประเมินไว้เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาว่า ราคาบ้านในเมืองชั้นนำของจีนจะทรงตัวได้ภายในต้นปี 2569 แต่ล่าสุดเขาเลื่อนการคาดการณ์ดังกล่าวออกไปเป็นช่วงกลางถึงปลายปี 2569 เว้นแต่ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แลมระบุว่า ความต้องการซื้อที่อ่อนแอทำให้การขายที่อยู่อาศัยต้องใช้เวลายาวนานขึ้น โดยในเดือนมี.ค. อัตราการหมุนเวียนสต็อกในเมืองระดับหนึ่ง (tier-one) ลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 14 เดือน ซึ่งเทียบเท่ากับระดับของปี 2558 ที่เป็นช่วงเริ่มต้นของวัฏจักรขาขึ้น แต่ภายในสิ้นเดือนมิ.ย. ตัวเลขดังกล่าวกลับเพิ่มขึ้นเป็น 20.7 เดือน ซึ่งสะท้อนว่าการดูดซับสต็อกบ้านในตลาดชะลอตัวลง แม้แต่ในเมืองใหญ่ที่มักเป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นตัว ด้านสถาบันการเงินระดับโลกยังมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับแนวโน้มของภาคอสังหาริมทรัพย์จีนซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนติดต่อกันมากกว่า 4 ปี โดยมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) คาดการณ์ว่ายอดขายจะยังคงอ่อนแอในไตรมาส 3 ขณะที่นักวิเคราะห์จากเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ (HSBC Holdings) มองว่าการฟื้นตัวมีความแตกต่างกันไป โดยเฉพาะบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของรัฐที่มีความสามารถในการกำหนดราคาและมีโครงการที่แข็งแกร่งในเมืองระดับบน จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวมากที่สุด (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวกเล็กน้อย นลท.ซึมซับข้อมูลการค้าจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ (7 ส.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนซึมซับข้อมูลการส่งออกของจีนที่แข็งแกร่งเกินคาด ตลอดจนสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้ารอบใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ในอัตรา 100% ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,639.67 จุด เพิ่มขึ้น 5.67 จุด หรือ +0.16% หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในวันนี้ ได้แก่ หุ้น China Northern Rare Earth พุ่งขึ้น 6%, หุ้น Foxconn Industrial บวก 3.9% และหุ้น Shenghe Resources ทะยานขึ้น 7.4% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 171 จุด ขานรับข้อมูลการค้าจีนแกร่ง ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ในวันนี้ (7 ส.ค.) หลังจากสำนักงานศุลกากรจีนรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 7.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.4% ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 4.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,081.63 จุด เพิ่มขึ้น 171.00 จุด หรือ +0.69% หุ้น New World Development พุ่งขึ้น 10.2%, หุ้น Sands China ทะยาน 5.0%, หุ้น Galaxy Entertainment เพิ่มขึ้น 3.4% และหุ้น China Resources Land บวก 3.2% (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      ฟิลิปปินส์มาแรง GDP Q2/68 โตเกินคาดแตะ 5.5% เทียบรายปี ทางการฟิลิปปินส์เปิดเผยในวันนี้ (7 ส.ค.) ว่า เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในไตรมาส 2/2568 เติบโตแข็งแกร่งเกินคาดที่ 5.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 5.4% และยังขยายตัวเร็วกว่าในไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ 5.4% ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาสแบบปรับค่าตามฤดูกาล เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ขยายตัว 1.5% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.3% อาร์เซนิโอ บาลิซากัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ แถลงข่าวว่า "ด้วยผลการดำเนินงานนี้ เรายังคงรักษาตำแหน่งหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ของเอเชีย" (อินโฟเควสท์)
      เกาหลีใต้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิ.ย. ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยในวันนี้ (7 ส.ค.) ว่า เกาหลีใต้มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของเกาหลีใต้อยู่ที่ 1.427 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้นจากระดับ 1.014 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นยอดเกินดุลรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และนับเป็นการเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 26 ติดต่อกัน โดยเกาหลีใต้สามารถรักษาระดับการเกินดุลได้ทุกเดือนนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566 เป็นต้นมา รายงานระบุว่า ดุลการค้าสินค้าเกินดุล 1.316 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. เนื่องจากยอดส่งออกขยายตัว 2.3% เมื่อเทียบรายปี มาอยู่ที่ 6.037 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดนำเข้าขยับขึ้นเพียง 0.7% มาอยู่ที่ 4.721 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ดุลบริการขาดดุล 2.53 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. โดยมีสาเหตุหลักจากความต้องการเดินทางไปต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ด้านบัญชีรายได้ปฐมภูมิ (Primary Income Account) ซึ่งติดตามค่าจ้างของแรงงานต่างชาติ เงินปันผลจากต่างประเทศ และรายได้จากดอกเบี้ย ขาดดุล 530 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) เกาหลีใต้มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมอยู่ที่ 4.937 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 4.016 หมื่นล้านดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
      แบงก์ชาติเกาหลีใต้ลุ้นลดดอกเบี้ยเดือนนี้ หลังเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ผ่านฉลุย เงินวอนของเกาหลีใต้แข็งค่าขึ้น 0.2% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลา 11.15 น. ตามเวลาโซลในวันนี้ (7 ส.ค.) ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) โดยบางส่วนคาดว่าในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนนี้ BOK จะคงอัตราดอกเบี้ย ส่วนอีกกลุ่มเชื่อว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% รี ชาง-ยง ผู้ว่าการ BOK เปิดเผยว่า ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ มีส่วนช่วยบรรเทาภาระสำคัญก่อนหน้าการประชุมกำหนดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 28 ส.ค.นี้ แม้เจ้าตัวไม่ได้ให้ความเห็นชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในการประชุมดังกล่าว แต่ยอมรับว่า BOK กำลังกลับเข้าสู่แนวทางผ่อนคลายอีกครั้ง หลังจากหยุดพักนโยบายนี้ไปนาน 2 เดือน ซึ่งตรงกับช่วงที่เกาหลีใต้กำลังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ รีกล่าวถึงข้อตกลงด้านภาษีว่าเป็นการเจรจาที่ดำเนินไปได้ดี และหากผลลัพธ์ออกมาในทางลบ ก็อาจส่งผลให้การตัดสินใจนโยบายการเงินเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการหารือกับ คู ยุน-ชอล รัฐมนตรีคลังซึ่งเดินทางมาเยือน BOK อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในวันนี้ รีเสริมว่า การเจรจาครั้งนี้เป็นภารกิจที่ยากในช่วงเวลาที่ท้าทาย พร้อมกล่าวชื่นชมความรวดเร็วของรัฐมนตรีคลังในการจัดการเรื่องดังกล่าว ด้านรัฐบาลของประธานาธิบดีอี แจ-มยอง สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้ในนาทีสุดท้ายเมื่อปลายเดือนก.ค. โดยกำหนดเพดานภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ไว้ไม่เกิน 15% ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงภาวะเลวร้ายที่อาจเผชิญภาษีเหมารวมถึง 25% ที่จะกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากการส่งออกมีสัดส่วนเกินกว่า 40% ของ GDP (อินโฟเควสท์)
      “โมดี" ลั่น ไม่ทอดทิ้งเกษตรกรอินเดีย สู้กำแพงภาษี 50% ของ "ทรัมป์" นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ประกาศจุดยืนชัดเจนวันนี้ (7 ส.ค.) ว่า จะไม่ยอมทอดทิ้งเกษตรกรของประเทศอย่างเด็ดขาด แม้จะต้อง "ชดใช้ด้วยราคาอันสูงลิ่ว" ก็ตาม ซึ่งเป็นการแสดงท่าทีครั้งแรก หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียเป็น 50% นายกฯ อินเดีย กล่าวว่า "สำหรับเรา ความผาสุกของเกษตรกรคือสิ่งสำคัญที่สุด ... อินเดียจะไม่มีวันยอมแลกความอยู่ดีกินดีของเหล่าเกษตรกร ภาคธุรกิจโคนม และชาวประมงเป็นอันขาด และผมรู้แก่ใจดีว่า เรื่องนี้อาจทำให้ผมต้องชดใช้ด้วยราคาอันสูงลิ่ว" การตัดสินใจของทรัมป์มีขึ้นในวันเดียวกัน โดยประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 25% ทำให้ภาษีโดยรวมที่เก็บจากสินค้าอินเดียพุ่งขึ้นไปถึง 50% ซึ่งนับเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ยังไม่ได้ประกาศใช้ภาษีในลักษณะเดียวกันกับจีน ซึ่งเป็นผู้จัดซื้อน้ำมันรายใหญ่ที่สุดจากรัสเซีย โดยเหล่าผู้สันทัดกรณีได้ให้ความเห็นว่า จีนรอดพ้นจากเรื่องนี้ไปได้ เพราะจีนมีอำนาจต่อรองสำคัญคือ แร่หายาก (rare earth) และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ที่อินเดียไม่มี อินเดียได้เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจต้องหันไปจับมือกับพันธมิตรรายอื่น เพื่อรับมือกับกำแพงภาษีของทรัมป์ ซึ่งได้สร้างความตึงเครียดทางการทูตระหว่างสองประเทศที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี มีรายงานว่า นายกฯ โมดีกำลังเตรียมเดินทางเยือนจีนเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 7 ปี ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการจัดทัพพันธมิตรใหม่ ในขณะที่ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ กำลังร้าวฉาน (อินโฟเควสท์)
      เม็กซิโกมุ่งขยายการค้ากับแคนาดา รับมือสหรัฐฯ รีดภาษี คลอเดีย เชนบาม ประธานาธิบดีเม็กซิโก เปิดเผยในวันพุธ (6 ส.ค.) ว่า เม็กซิโกกำลังหาทางขยายการค้าและการลงทุนร่วมกับแคนาดา นอกเหนือไปจากกรอบข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน "เรามีข้อตกลง USMCA อยู่แล้ว แต่เรายังคงต้องการการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากบริษัทในแคนาดา" ปธน.เชนบามกล่าวในการแถลงข่าวประจำวัน หลังจากประชุมร่วมกับอนิตา อนันด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแคนาดา และฟรองซัวส์-ฟิลิปป์ ชองปาญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแคนาดา ณ กรุงเม็กซิโกซิตี้ โดยปธน.เชนบามระบุว่าเป็นการประชุมที่ "ดีมาก" ผู้นำเม็กซิโกเปิดเผยว่า แคนาดาตกลงที่จะเพิ่มการลงทุนในเม็กซิโก ขยายการค้าโดยตรงระหว่างกัน และส่งเสริมด้านการศึกษา นอกจากนั้นยังมีการหารือในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเหมืองแคนาดาที่ดำเนินงานในเม็กซิโกและกฎระเบียบเพิ่มเติม ในระหว่างการเจรจาเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) "เราพูดคุยเกี่ยวกับบริษัทเหมืองและผลกระทบทั้งหมดที่บริษัทเหมืองของแคนาดามีต่อเม็กซิโก ตลอดจนความจำเป็นที่บริษัทเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดที่ระบุไว้ในรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม" ปธน.เชนบามกล่าว การประชุมครั้งนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา จะเดินทางเยือนเม็กซิโก แม้ยังไม่มีการประกาศกำหนดการที่แน่ชัด สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เม็กซิโกและแคนาดาต่างได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้ายานยนต์ อะลูมิเนียม และเหล็กกล้าจากนานาประเทศทั่วโลก แม้จะมีข้อตกลง USMCA ก็ตาม โดยข้อตกลงดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาทบทวนในปีหน้า (อินโฟเควสท์)
      ผู้ช่วยเครมลินยืนยัน "ปูติน-ทรัมป์" พบกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยประธานาธิบดีรัสเซีย เปิดเผยในวันนี้ (7 ส.ค.) ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะพบกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งจะนับเป็นการประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศนับตั้งแต่ปี 2564 สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์อ้างคำกล่าวของอูชาคอฟ ซึ่งระบุว่า "ตามข้อเสนอของฝ่ายอเมริกา ได้มีการบรรลุข้อตกลงที่จะจัดการประชุมทวิภาคีในระดับสูงสุดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งก็คือการพบกันระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะนี้เรากำลังเริ่มเตรียมการอย่างเป็นรูปธรรมร่วมกับฝ่ายอเมริกา" อย่างไรก็ตาม อูชาคอฟไม่ได้ระบุว่าการประชุมสุดยอดจะจัดขึ้นที่ใด ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินมีกำหนดการพบกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในวันนี้ โดยก่อนหน้านี้มีแหล่งข่าวระบุว่า UAE อาจเป็นสถานที่ที่เป็นไปได้ในการจัดประชุม (อินโฟเควสท์)
      เวียดนามสั่งตลาดหลักทรัพย์คุมเข้มการซื้อขายหุ้น หลังดัชนีพุ่งร้อนแรง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม (SSC) ได้สั่งการให้ตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกรรมการซื้อขายหุ้น หลังจากดัชนี VN Index ตลาดหุ้นเวียดนามทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงเมื่อไม่นานมานี้ แถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของ SSC ระบุว่า ตลาดหลักทรัพย์จำเป็นต้องจับตาการทำธุรกรรมที่มีส่วนทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างใกล้ชิด หรือธุรกรรมที่มีสัญญาณของกิจกรรม "ที่ผิดปกติ" นอกจากนี้ SSC ยังสั่งให้ตลาดหลักทรัพย์ประสานงานกับบริษัทรับฝากและชำระบัญชีหลักทรัพย์ของเวียดนาม (Vietnam Securities Depository and Clearing Corp.) เพื่อให้มั่นใจว่าการซื้อขาย การหักบัญชี และการชำระราคาหลักทรัพย์ จะดำเนินไปอย่างปลอดภัย มีเสถียรภาพ และราบรื่น นอกจากนี้ SSC ยังระบุด้วยว่า บริษัทหลักทรัพย์จำเป็นต้องเพิ่มการกำกับดูแลพนักงาน ซึ่งรวมถึงการห้ามพนักงานไม่ให้แนะนำการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ขัดต่อกฎหมาย และควรประสานงานเชิงรุกกับตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบการทำธุรกรรม และรายงานการกระทำผิดที่อาจเกิดขึ้นได้ คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่การเติบโตอย่างรวดเร็วของการซื้อขายรายย่อยในเวียดนามได้กระตุ้นให้ดัชนี VN Index พุ่งขึ้นถึง 25% ในปีนี้ ขณะที่ยอดสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (margin loans) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดปรับฐานอย่างรุนแรงหากความเชื่อมั่นของนักลงทุนย่ำแย่ลง (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งต่อเป็นเดือนที่ 6 กังวลภาษีทรัมป์-เหตุปะทะชายแดน-การเมืองไม่นิ่ง ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนก.ค.68 อยู่ที่ระดับ 51.7 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 31 เดือนนับตั้งแต่เดือน ม.ค.66 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 45.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 49.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 59.6 ซึ่งดัชนีฯ ทุกตัว ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 เช่นกัน สาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาล และการเมืองของไทย รวมทั้งสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงแล้วก็ตาม ซึ่งทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งตั้งแต่ต้นปี แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า และการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก นายธนวรรธน์ ระบุว่า จากการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนก.ค.นี้ ส่วนใหญ่มีความกังวลต่อเรื่องภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บกับสินค้าที่นำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งเป็นความกังวลที่มีอยู่ตลอดทั้งเดือน ก.ค. แต่หลังจากทราบผลว่าไทยเจรจากับสหรัฐฯ ได้อัตราภาษีที่ 19% ก็ทำให้ความกังวลคลี่คลายลง (อินโฟเควสท์)
      น้ำดี-อากาศหนุน!! ผลผลิตพืชสำคัญเพิ่มส่งผล GDP เกษตร Q2/68 พุ่ง 5.5% นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 2/68 (เม.ย.-มิ.ย.) ขยายตัวถึง 5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 67 ต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี 68 ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง ประกอบกับสภาพอากาศโดยทั่วไปเอื้ออำนวยต่อการเติบโตของพืชผล เกษตรกรจึงมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง รวมทั้งมีการบำรุงดูแลและเฝ้าระวังโรคมากขึ้น ส่งผลให้สาขาพืชซึ่งเป็นสาขาการผลิตหลักขยายตัวได้ดี และส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังสาขาบริการทางการเกษตร ขณะที่สาขาประมงและสาขาป่าไม้ขยายตัวจากความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น ส่วนสาขาปศุสัตว์มีทิศทางหดตัว สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรทั้งปี 68 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.0-3.0% เมื่อเทียบกับปี 67 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณฝนที่มากขึ้นและตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกตลอดปี ประกอบกับมีการดำเนินนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร รวมทั้งการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง อาทิ การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและยกระดับสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน การเฝ้าระวังโรคระบาดในพืชและสัตว์ (อินโฟเควสท์)
      "พิชัย" จี้รายอุตสาหกรรมสรุปผลกระทบภาษีทรัมป์ เร่งช่วยเพิ่มกลุ่มนอกบีโอไอ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า หลังจากมีความชัดเจนเรื่องอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่สหรัฐฯ จะเก็บกับสินค้านำเข้าจากไทยในอัตรา 19% แล้วนั้น ได้สั่งการให้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมเร่งสรุปรายละเอียดที่จะได้รับจากผลกระทบดังกล่าว ซึ่งแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงให้เร่งสรุปมาอย่างละเอียด และหลังจากนั้น จะลงไปนั่งคุยเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ และเยียวยาให้ตรงจุดมากที่สุด สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหลัก ๆ มี 2 ส่วน คืออุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย ก็จะมีกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเข้าไปรองรับอยู่แล้ว เพราะตามปกติรัฐบาลต้องช่วยให้อุตสาหกรรมเป้าหมายสามารถแข่งขันได้ ส่วนอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน คือ อุตสาหกรรมที่ไม่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ ซึ่งอยู่ระหว่างการเร่งพิจารณาว่ารัฐบาลจะให้ความช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง นายพิชัย ระบุว่า ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม จะได้รับผลกระทบที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มอาหารสำเร็จรูป, กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่บางกลุ่มอาจได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีกำไรค่อนข้างสูง จึงต้องสั่งการให้แต่ละกลุ่มไปจัดทำรายละเอียดมาเสนอว่าได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่ภาครัฐจะลงไปดูแลให้อย่างทั่วถึง พร้อมระบุว่า ภาคอุตสาหรรมของไทยจำเป็นต้องปรับตัว โดยเพิ่มขีดความสามารถในทุกมิติ เพื่อรองรับการแข่งขันในระยะยาว (อินโฟเควสท์)
      มติสภาฯ เลือก "ไชยา พรหมา" นั่งเก้าอี้รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในที่ประชุม หลังจากใช้เวลาดำเนินการนับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อนานกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว ปรากฎว่าหลังตรวจสอบแล้วมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ร่วมแสดงตนจำนวน 248 ราย ส่วนใหญ่เป็น สส.ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งถือว่าองค์ประชุมครบถ้วน หลังจากนั้น ที่ประชุมได้ดำเนินการเลือกรองประธานสภาฯ คนที่ 1 โดยมีสมาชิกได้เสนอชื่อ นายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย (พท.) เพียงคนเดียว ซึ่งนายไชยา ได้แสดงวิสัยทัศน์ว่าขอโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับรัฐสภา โดยรับปากจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ ได้สั่งปิดการประชุมทันที (อินโฟเควสท์)
      ตลท.ชี้เงินนอกไหลเข้า-โอกาสไทยปิดดีลภาษีสหรัฐ หนุน SET พุ่งแรง 14% ใน ก.ค.68 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 โดย SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 14% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่สูงกว่าตลาดส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ได้รับอานิสงส์จากเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าสู่ตลาด คาดการณ์ GDP ไทยเติบโตดีขึ้น และโอกาสที่ไทยจะมีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งนี้ การบรรลุข้อตกลงการค้าของอินโดนีเซียและเวียดนามกับสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือน ก.ค.68 โดยสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) อัตราใหม่จากทั้งสองประเทศที่ 19% และ 20% ตามลำดับ ได้สร้างบรรทัดฐานสำคัญในระดับภูมิภาค และส่งผลให้นักวิเคราะห์ประเมินว่ารัฐบาลไทยมีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐภายใต้เงื่อนไขที่ใกล้เคียงกัน ส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในระดับสูง ประกอบกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2568 ขยายตัว 2.2% จากประมาณการเดิมที่ 2.1% เป็นปัจจัยหลักให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท.กล่าวว่า การอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ในเดือน ก.ค.68 เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ดึงเงินลงทุนกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งเริ่มได้รับการจัดสรรพอร์ตใหม่จากกองทุนต่างชาติ ในส่วนของตลาดหุ้นไทย Valuation น่าสนใจ และแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทมักจะช่วยให้มีเงินทุนไหลเข้า และ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 14 วัน จาก 21 วันทำการในเดือนกรกฎาคม 2568 ส่งผลให้มียอดซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาซื้อสุทธิเดือนแรกตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 (อินโฟเควสท์)
      ไทย-กัมพูชา: ที่ประชุม GBC เห็นชอบข้อตกลงหยุดยิง-ใช้กลไกทวิภาคีคลี่คลายสถานการณ์ต่อเนื่อง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม และรักษาการ รมว.กลาโหม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญว่า การประชุมร่วมกันครั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาระดับนโยบายได้แสดงความจริงใจต่อมาตรการหยุดยิงที่ได้ตกลงกันไว้ การละเมิดการหยุดยิงที่กล่าวมาเป็นการดำเนินการโดยพลการ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ได้แก่ 1. ทั้งสองฝ่ายจะยึดมั่นหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ครอบคลุมอาวุธทุกประเภท และทั้งสองฝ่ายคงกำลังที่ตั้งเดิม ตั้งแต่วันที่ตกลงหยุดยิง (28 ก.ค. เวลา 24.00 น.) โดยจะไม่มีการเสริมกำลังเพิ่มเติมแต่อย่างใด 2. ให้มีคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ประกอบด้วย ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของประเทศอาเซียน ประจำประเทศไทย และกัมพูชา นำโดยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารมาเลเซีย เข้าไปสังเกตการณ์ในพื้นที่สม่ำเสมอ โดยไม่มีการข้ามแดน และมีการประสานงานใกล้ชิด กับคณะกรรมการ RBC และGBC ในแต่ละประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการละเมิดการหยุดยิงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 3. ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงการกระทำยั่วยุ ทั้งในทางทหาร และการให้ข้อมูลบิดเบือน หรือข่าวเท็จ เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศต่อการพูดคุยและหาทางออกอย่างสันติ 4. ทั้งสองฝ่าย จะปฏิบัติกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า จะเร่งเก็บและส่งร่างผู้เสียชีวิตกลับประเทศอย่างมีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี ส่วนการส่งกลับเชลยศึกตามหลักกฏหมายระหว่างปรเทศ ก็จะมีการส่งกลับทันที 5. ทั้งสองฝ่าย จะรักษาช่องทางพูดคุยและการใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ให้ลุกลามบานปลาย หลังจากนี้จะประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อประสานงานการปฏิบัติตามที่ได้ตกลงกัน และหลังจากนี้จะมีการประชุม GBC ในอีก 1 เดือนครั้งหน้าเพื่อติดตามความคืบหน้าตามผลประชุมครั้งนี้ (อินโฟเควสท์)
      คมนาคม เร่งดันโครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 วงเงิน 3 แสนลบ.เข้าครม. ก.ย.นี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทางระยะทางรวม 1,249 กิโลเมตร(กม.) มูลค่ารวมประมาณ 297,924 ล้านบาทว่า เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ในต้นเดือนก.ย. 68 หลังทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หารือกับรองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ และได้ข้อสรุปร่วมกัน และคาดว่า จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ในเดือนก.ย.68 รฟท.ได้แบ่งความสำคัญการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง เป็น 3 กลุ่ม โดย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 5 ด้าน คือ ความต้องการขนส่งผู้โดยสาร, ความต้องการขนส่งสินค้า, ความจุทาง, เศรษฐศาสตร์และการเงิน และยุทธศาสตร์และนโยบาย รวมถึงปัจจัยรองอีก 11 ด้าน เช่น ข้อมูลผลการคาดการ์จำนวนผู้โดยสาร, ข้อมูลสถิติผู้โดยสารปัจจุบัน, ข้อมูลผลการคาดการณ์ปริมาณสินค้า, การเชื่อมโยงโครงข่ายภายในประเทศและระหว่างประเทศ ความพร้อมในการดำเนินโครงการ เป็นต้น สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 มีเป้าหมายหลักคือการเปลี่ยนการขนส่งสินค้าจากทางถนนมาสู่ทางรางนอกจากนี้ยังจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางลงได้ถึง 30%เนื่องจากไม่ต้องรอหลีกขบวนรถทำให้ขบวนรถตรงต่อเวลามากขึ้นพร้อมทั้งยังช่วยลดอุบัติเหตุลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศเป็นโครงการที่จะยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น (อินโฟเควสท์)
      คลัง-พาณิชย์ จับมือขับเคลื่อนแผนงานทรัพย์สินทางปัญญาจริงจัง หวังสหรัฐฯ ถอดไทยพ้นบัญชี WL นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (คทป.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ 20 แห่ง ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนแผนพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาไทยในมิติต่าง ๆ เพื่อเสริมแกร่ง SMEs ดันเศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และงานสร้างสรรค์ รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุว่า "ทรัพย์สินทางปัญญา" คือ หนึ่งกลไกสำคัญของการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ เพราะนานาชาติต่างให้ความสำคัญกับการคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หากประเทศไทยมีระบบนิเวศด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ย่อมนำมาซึ่งการดึงดูดการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลก ทั้งนี้ ที่ประชุม คทป. ได้ร่วมกันกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานและติดตามผล ซึ่งหนึ่งในนโยบายสำคัญที่จะดำเนินการเร่งด่วน คือ การยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของไทย ภายใต้กรอบดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index: GII) โดยมีแนวทางขับเคลื่อน 6 ด้าน ดังนี้ 1. การใช้ประโยชน์งานวิจัยและการลงทุนด้านนวัตกรรม 2. การเพิ่มมูลค่านวัตกรรมด้วยความคิดสร้างสรรค์ และทรัพย์สินทางปัญญา 3. การพัฒนานวัตกรรมผ่านกลไกทางการเงินและตลาดทุน 4. การส่งเสริมการขยายผลและการใช้ประโยชน์นวัตกรรม 5. การพัฒนาวิสาหกิจฐานนวัตกรรมและกำลังคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ และ 6. การบริหารจัดการข้อมูลนวัตกรรม (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 0.68 จุด ตัดขายทำกำไรช่วงบ่ายลดเสี่ยง MSCI ปรับน้ำหนัก-เข้าใกล้วันหยุดยาว SET ปิดวันนี้ที่ 1,265.15 จุด เพิ่มขึ้น 0.68 จุด (+0.05%) มูลค่าซื้อขาย 60,459.25 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ภาคบ่ายรับแรงขายทำกำไรหลังดีดขึ้นมามาก คาดลดความเสี่ยงก่อนปรับดัชนี MSCI และก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของไทย แนะติดตาม MSCI จะเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยตามคาดหรือไม่ และ บจ.รายงานงบไตรมาส 2/68 ต่อไป ให้แนวต้าน 1,280 จุด และแนวรับ 1,250-1,240 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับขึ้นช่วงเช้าก่อนขายทำกำไรภาคบ่าย โดยทำระดับสูงสุด 1,280.78 จุด และต่ำสุด 1,260.31 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 244 หลักทรัพย์ ลดลง 182 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 226 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.31/32 ระหว่างวันผันผวนตามราคาทอง ก่อนกลับมาทรงตัวจากช่วงเช้า จับตาดอกเบี้ย BoE นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.31/32 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากเปิดตลาด เมื่อเช้าที่ระดับ 32.32 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.34 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค จากปัจจัยราคาทองคำในตลาดโลกที่วันนี้ค่อนข้างสวิงปรับตัวขึ้นลงแรง "วันนี้ราคาทองเคลื่อนไหวหวือหวา ขึ้นไปสูงสุดราว 3,397 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจังหวะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าลงมาที่ระดับ 32.35 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะมีจังหวะที่ราคาทองลงมาค่อนข้างแรง ทำให้บาทกลับมายืนเหนือ 32.30 บาท/ดอลลาร์ได้" นักบริหารเงิน ระบุ สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามคืนนี้ คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ของสหรัฐฯ และผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่ตลาดคาดว่าจะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.20 - 32.40 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 137,792 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 137,792 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุนที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 33,404 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ขายสุทธิ 2,519 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,402 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.26% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% (อินโฟเควสท์)
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      • การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
      • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงาน Summary of Opinions ญี่ปุ่น
      • ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น

       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.