• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยดัชนี CPI +2.7% เดือนก.ค. YoY แต่เงินเฟ้อพื้นฐานพุ่งสูงสุดรอบ 6 เดือน MoM กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนก.ค. ในวันนี้ (12 ส.ค.) โดยต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าได้ผลักดันให้เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.8% เล็กน้อย และทรงตัวจากระดับ 2.7% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.3% ในเดือนมิ.ย. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี เร่งตัวขึ้นจากระดับ 2.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และสูงกว่าระดับ 0.2% ในเดือนมิ.ย. ก่อนการเปิดเผยข้อมูล CPI ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากตัวเลขการจ้างงานออกมาอ่อนแอ โดยในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% อย่างไรก็ดี รายงานฉบับนี้เปิดเผยออกมาท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลเงินเฟ้อและการจ้างงานของรัฐบาล หลังจากมีการตัดลดงบประมาณและบุคลากรของสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ซึ่งนำไปสู่การระงับการเก็บข้อมูลบางส่วน (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์ประกาศชัด ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ สยบความปั่นป่วนในตลาดโลก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดเผยบนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียล เมื่อวานนี้ (11 ส.ค.) ว่า "ทองคำจะไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้า!" แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากเกิดความสับสนเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าการขึ้นภาษีครั้งล่าสุดจะมีผลกับทองคำแท่งบางประเภทหรือไม่ ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) รายงานโดยอ้างอิงจดหมายจากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ว่า สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีสำหรับการนำเข้าทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จดหมายดังกล่าวซึ่งลงวันที่ 31 ก.ค. ระบุว่า ทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และ 100 ออนซ์ ควรถูกจัดให้อยู่ในพิกัดศุลกากรที่ต้องเสียภาษี อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวได้ออกมาให้ข้อมูลในวันต่อมาว่า ทางรัฐบาลจะออกมาชี้แจงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาษีนำเข้าทองคำแท่ง หลังมีความสับสนเรื่องรหัสศุลกากรที่ส่งผลให้บางบริษัทต้องหยุดส่งทองคำแท่งไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะทองแท่งขนาดที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดสหรัฐฯ  (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์แต่งตั้ง "สตีเฟน มิแรน" กุนซือเศรษฐกิจคนสนิท นั่งบอร์ดเฟด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศแต่งตั้งเมื่อวานนี้ (7 ส.ค.) ให้ สตีเฟน มิแรน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาว เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เพิ่งว่างลง จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2569 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มิแรนถือเป็นกุนซือเศรษฐกิจคนสำคัญ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกำหนดนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในการดำรงตำแหน่งปธน.สมัยที่สองของทรัมป์ โดยเขาเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในช่วงปี 2563-2564  การแต่งตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อทดแทนตำแหน่งของเอเดรียนา คูเกลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟดที่ได้ลาออกไป อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวระบุว่าจะยังคงเดินหน้าสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้อย่างถาวรต่อไป  สำหรับคณะกรรมการเฟดประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 7 คน ซึ่งจะได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ และต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์ประกาศกร้าวคนไร้บ้านต้องออกจากวอชิงตัน ยกระดับปราบปรามอาชญากรรม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าวว่า คนไร้บ้านต้องย้ายออกจากกรุงวอชิงตัน พร้อมให้คำมั่นว่าจะปราบปรามอาชญากรรมในเมืองแห่งนี้ ทรัมป์ระบุผ่านโพสต์ในวันอาทิตย์ (10 ส.ค.) ว่า "คนไร้บ้านต้องย้ายออกทันที เราจะหาที่อยู่ให้ แต่ไกลจากเมืองหลวง ส่วนอาชญากรไม่ต้องไปไหน เราจะจับพวกคุณเข้าคุกที่พวกคุณควรอยู่" นอกจากนี้เขายังกล่าวในการแถลงข่าวในวันจันทร์ (11 ส.ค.) เกี่ยวกับแผนที่ต้องการจะทำให้เมืองปลอดภัยและน่าอยู่ขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อให้การจับกุมคนไร้บ้านง่ายขึ้น และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง ซึ่งรวมถึงจากตำรวจสวนสาธารณะสหรัฐฯ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด เอฟบีไอ (FBI) และสำนักงานตำรวจศาลสหรัฐฯ เข้าควบคุมสถานการณ์อาชญากรรมในพื้นที่กรุงวอชิงตัน ที่เขามองว่าอยู่ในระดับที่เกินการควบคุมโดยสิ้นเชิง ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากอดีตพนักงานวัย 19 ปีของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ถูกทำร้ายร่างกายจากความพยายามในการขโมยรถในกรุงวอชิงตัน โดยทรัมป์ระบายความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมโพสต์รูปเหยื่อที่เปื้อนเลือด (อินโฟเควสท์)
      เจพีมอร์แกนคาดเฟดลดดอกเบี้ยก.ย.นี้ หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอเกินคาด เจพีมอร์แกน (J.P. Morgan) คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมนโยบายเดือนก.ย. หลังจากพบสัญญาณความอ่อนแอในตลาดแรงงาน และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอชื่อกรรมการเฟดคนใหม่ ก่อนหน้านี้ เจพีมอร์แกนเคยคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในเดือนธ.ค.ปีนี้ แต่ในบันทึกล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) ระบุว่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้เฟดอาจต้องเร่งลดดอกเบี้ยลง โดยคาดว่าจะลดลง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ก่อนเฟดยุติวงจรการผ่อนคลายนโยบาย ไมเคิล เฟโรลี นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน มองว่า ในการประชุมครั้งต่อไป เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงของตลาดแรงงานกับเงินเฟ้อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการกำหนดทิศทางนโยบาย นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์ (Barclays) เห็นด้วยกับแนวโน้มดังกล่าว โดยประเมินว่าการแต่งตั้งวอลเลอร์จะช่วยลดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปฏิกิริยาของเฟดต่อข้อมูลเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดตราสารหนี้ระยะยาว ส่วนข้อมูลจาก FedWatch ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนประเมินว่า ขณะนี้มีโอกาสถึง 91.4% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 37.7% เมื่อสัปดาห์ก่อน (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ ยืนยันยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนจากสินค้าญี่ปุ่น-สหภาพยุโรป เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยันเมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) ว่า สินค้าจากญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะได้รับการยกเว้นไม่เก็บภาษีซ้อน (tariff stacking) หมายความว่า สหรัฐฯ จะไม่เพิ่มอัตราภาษีใหม่ 15% ทับซ้อนกับภาษีเดิมที่มีอยู่แล้ว การยืนยันนี้เกิดขึ้นหลังจากญี่ปุ่นแจ้งว่า สหรัฐฯ รับทราบว่าคำสั่งประธานาธิบดีเรื่องภาษีตอบโต้ที่เซ็นไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นผิดพลาดและไม่สะท้อนข้อตกลงการค้าที่สองประเทศทำไว้เมื่อ 22 ก.ค. อย่างถูกต้อง ขณะนี้สหรัฐฯ กำลังดำเนินการแก้ไขคำสั่งประธานาธิบดีให้สอดคล้องกับข้อตกลง โดยญี่ปุ่นจะได้รับการยกเว้นภาษีซ้อนตามข้อตกลงนี้ ซึ่งรวมถึงการลดภาษีนำเข้ารถยนต์จาก 27.5% เหลือ 15% หลังการเจรจา ญี่ปุ่นยังได้รับคำมั่นว่าจะได้รับเงินคืนภาษีส่วนเกินที่ถูกเก็บไปจากความผิดพลาดของคำสั่งประธานาธิบดี  ทั้งนี้ ข้อตกลงนี้ของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เป็นแบบอย่างให้สหภาพยุโรปซึ่งได้รับการลดภาษีและยกเว้นภาษีซ้อนในลักษณะเดียวกันภายใต้คำสั่งประธานาธิบดีเมื่อ 31 ก.ค. (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 483.52 จุด ตัวเลข CPI หนุนคาดเฟดหั่นดบ.เดือนหน้า (13 ส.ค. 68) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 1% ในวันอังคาร (12 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.ที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,458.61 จุด เพิ่มขึ้น 483.52 จุด หรือ +1.10%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,445.76 จุด เพิ่มขึ้น 72.31 จุด หรือ +1.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,681.90 จุด เพิ่มขึ้น 296.50 จุด หรือ +1.39% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 200.52 จุด นักลงทุนจับตาเงินเฟ้อ-การค้าจีน (11 ส.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (11 ส.ค.) ขณะที่การซื้อขายค่อนข้างเบาบาง เพราะนักลงทุนรอดูข้อมูลเงินเฟ้อที่จะประกาศในสัปดาห์นี้เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ทั้งยังจับตาดูความคืบหน้าด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนด้วย โดยนักลงทุนคาดว่าการปรับเปลี่ยนภายในธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อไม่นานมานี้ ประกอบกับสัญญาณความอ่อนแอของตลาดแรงงาน อาจผลักดันให้เฟดใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในช่วงปลายปีด้วยการปรับลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,975.09 จุด ลดลง 200.52 จุด หรือ -0.45%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,373.45 จุด ลดลง 16.00 จุด หรือ -0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,385.40 จุด ลดลง 64.62 จุด หรือ -0.30% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 206.97 จุด หุ้นเทคฯบวก-ความหวังลดดอกเบี้ยหนุนตลาด (8 ส.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (8 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นวันที่สองติดต่อกัน เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรวมถึงหุ้น Apple ปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,175.61 จุด เพิ่มขึ้น 206.97 จุด หรือ +0.47%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,389.45 จุด เพิ่มขึ้น 49.45 จุด หรือ +0.78% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,450.02 จุด เพิ่มขึ้น 207.32 จุด หรือ +0.98% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 79 เซนต์ กังวลดีมานด์ซบ-จับตาสต็อกน้ำมันดิบ (13 ส.ค. 68) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (12 ส.ค.) ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าความต้องการใช้น้ำมันจะชะลอตัวลงในช่วงฤดูการขับขี่ยานยนต์ในหน้าร้อนของสหรัฐฯ ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนก.ย. ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในวันนี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 79 เซนต์ หรือ 1.24% ปิดที่ 63.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 51 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 66.12 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก นักลงทุนจับตา "ทรัมป์-ปูติน" เจรจาสันติภาพยูเครน  (12 ส.ค. 68) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (11 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียในปลายสัปดาห์นี้เกี่ยวกับการยุติสงครามในยูเครน ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.13% ปิดที่ 63.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 4 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 66.63 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดทรงตัว ตลาดรอทรัมป์เจอปูตินเร็ว ๆ นี้ (8 ส.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดทรงตัวในวันศุกร์ (8 ส.ค.) ขณะที่ตลาดรอการพบปะกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้าระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แต่ราคาน้ำมันปรับลดลงมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้นับตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย. เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากภาษี ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ปิดทรงตัวที่ระดับ 63.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.24% ปิดที่ 66.59 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่า หลัง CPI หนุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ยเดือนหน้า (13 ส.ค. 68) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (12 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.ที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ ซึ่งทำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักต่อการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.43% แตะที่ระดับ 98.097 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่าเล็กน้อย ก่อนรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ (12 ส.ค. 68) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (11 ส.ค.) ก่อนที่จะมีการประกาศรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เวลา 19.30 น. ตามเวลาไทย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบ่งชี้แนวโน้มดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.3% แตะที่ 98.52 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่า นักลงทุนจับตาภาวะเศรษฐกิจ-ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ (8 ส.ค.) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (8 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาภาวะเศรษฐกิจและตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.22% แตะที่ 98.180 ดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 147.67 เยนในวันศุกร์ (8 ส.ค.) เพิ่มขึ้นจากระดับ 147.56 เยนในการซื้อขายวันพฤหัสบดี, ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ามาที่ 0.8077 ฟรังก์สวิส จาก 0.8082 ฟรังก์สวิส และดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าแตะ 1.3751 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.3765 ดอลลาร์แคนาดา (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบเล็กน้อย หลังสหรัฐฯ เผยดัชนี CPI (13 ส.ค. 68) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันอังคาร (12 ส.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.ที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในวันพฤหัสบดีนี้ (14 ส.ค.) เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 5.7 ดอลลาร์ หรือ 0.17% ปิดที่ 3,399.00 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ 2.48% ทรัมป์ยันไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อ (12 ส.ค. 68) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันจันทร์ (11 ส.ค.) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงว่า จะไม่มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่ง นอกจากนี้ นักลงทุนรอดูรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการประกาศในวันนี้ เวลา 19.30 น. ตามเวลาไทย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบ่งชี้แนวโน้มดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 86.6 ดอลลาร์ หรือ -2.48% ปิดที่ 3,404.7 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $37.60 รับข่าวสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่ง (8 ส.ค.) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (8 ส.ค.) แต่ลดช่วงบวกลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังมีรายงานว่าทำเนียบขาวเตรียมออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อชี้แจงจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อการเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่ง ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 37.60 ดอลลาร์ หรือ 1.09% ปิดที่ 3,491.30 ดอลลาร์/ออนซ์ สัญญาทองพุ่งทะลุระดับ 3,500 ดอลลาร์ แตะระดับ 3,534.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังมีรายงานว่า สหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อการนำเข้าทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ดีดตัว จับตาเศรษฐกิจ,เงินเฟ้อสหรัฐ (8 ส.ค.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาภาวะเศรษฐกิจและตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ณ เวลา 21.35 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.279% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.853% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      สมาคมโลหะมีค่าสวิสออกโรงขวางสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่ง สมาคมโลหะมีค่าแห่งสวิตเซอร์แลนด์ (ASFCMP) แสดงความกังวลต่อการที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อการนำเข้าทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม และ 100 ออนซ์ในอัตรา 39.6% โดยระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการนำเข้าทองคำจากทุกประเทศ ไม่เพียงแต่จากสวิตเซอร์แลนด์เพียงประเทศเดียว  นายคริสตอฟ ไวลด์ ประธาน ASFCMP ระบุในแถลงการณ์ว่า "พวกเรารู้สึกกังวลเป็นพิเศษต่อผลกระทบของภาษีดังกล่าวที่มีต่ออุตสาหกรรมทองคำ และตลาดซื้อขายทองคำกับสหรัฐ ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์" นอกจากนี้ ASFCMP ระบุว่า ภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์ทองคำไปยังสหรัฐ ไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอีกต่อไป หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) รายงานโดยอ้างอิงจดหมายจากสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ ระบุว่า สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัมในอัตรา 39.6% จากเดิมที่การนำเข้าทองคำแท่งเพื่อการลงทุนถือเป็นสินค้าปลอดภาษี (0%) การประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อการนำเข้าทองคำแท่งดังกล่าว มีสาเหตุจากการที่สำนักงานศุลกากรฯ ระบุให้ทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมและ 100 ออนซ์ถูกจัดให้อยู่ในหมวดรหัสศุลกากรที่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น FT ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการหลอมทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนจับตาประชุมสุดยอดรัสเซีย-สหรัฐฯ  (12 ส.ค. 68) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อยในวันจันทร์ (11 ส.ค.) โดยนักลงทุนชะลอการลงทุนรับการซื้อขายสัปดาห์ใหม่ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญ ทั้งการเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าและการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียในปลายสัปดาห์นี้เกี่ยวกับการยุติสงครามในยูเครน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.76 จุด ลดลง 0.32 จุด หรือ -0.06% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,698.52 จุด ลดลง 44.48 จุด หรือ -0.57% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,081.34 จุด ลดลง 81.52 จุด หรือ -0.34% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,129.71 จุด เพิ่มขึ้น 33.98 จุด หรือ +0.37% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับสหรัฐฯ-จีนขยายเวลาระงับเก็บภาษี (13 ส.ค. 68) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (12 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการขยายเวลาหยุดเก็บภาษีระหว่างสหรัฐฯ–จีน และความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่การร่วงลงของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ฉุดตลาด ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 547.89 จุด เพิ่มขึ้น 1.13 จุด หรือ +0.21% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,753.42 จุด เพิ่มขึ้น 54.90 จุด หรือ +0.71%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,024.78 จุด ลดลง 56.56 จุด หรือ -0.23% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,147.81 จุด เพิ่มขึ้น 18.10 จุด หรือ +0.20% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มแบงก์หนุนตลาด จับตารัสเซีย-ยูเครนหยุดยิง (11 ส.ค. 68) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (8 ส.ค.) มากที่สุดในรอบ 12 สัปดาห์ โดยได้แรงหนุนต่อเนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการหยุดยิงระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 547.08 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด หรือ +0.19% และปรับตัวขึ้น 2.2% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,743.00 จุด เพิ่มขึ้น 33.68 จุด หรือ +0.44%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,162.86 จุด ลดลง 29.64 จุด หรือ -0.12% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,095.73 จุด ลดลง 5.04 จุด หรือ -0.06% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มแบงก์หนุนตลาด จับตารัสเซีย-ยูเครนหยุดยิง (8 ส.ค.) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (8 ส.ค.) มากที่สุดในรอบ 12 สัปดาห์ โดยได้แรงหนุนต่อเนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการหยุดยิงระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 547.08 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด หรือ +0.19% และปรับตัวขึ้น 2.2% ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,743.00 จุด เพิ่มขึ้น 33.68 จุด หรือ +0.44%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,162.86 จุด ลดลง 29.64 จุด หรือ -0.12% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,095.73 จุด ลดลง 5.04 จุด หรือ -0.06% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 18.10 จุด ขานรับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย (13 ส.ค. 68) ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันอังคาร (12 ส.ค.) หลังตลาดหุ้นทั่วโลกขานรับตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งช่วยหนุนความหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,147.81 จุด เพิ่มขึ้น 18.10 จุด หรือ +0.20% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 33.98 จุด กลุ่มการเงินหนุนตลาด จับตาเจรจายูเครน (12 ส.ค. 68) ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันจันทร์ (11 ส.ค.) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มการเงิน ขณะที่นักลงทุนจับตาดูการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ รวมถึงความพยายามในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,129.71 จุด เพิ่มขึ้น 33.98 จุด หรือ +0.37% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 5.04 จุด นลท.ประเมิน BoE ลดดอกเบี้ย (11 ส.ค. 68) ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเล็กน้อยในวันศุกร์ (8 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งจุดกระแสความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อขึ้นมาอีกครั้ง และจับตาการเสนอชื่อชั่วคราวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับตำแหน่งว่างในคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,095.73 จุด ลดลง 5.04 จุด หรือ -0.06% แต่บวก 0.3% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 5.04 จุด นลท.ประเมิน BoE ลดดอกเบี้ย (8 ส.ค.) ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเล็กน้อยในวันศุกร์ (8 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งจุดกระแสความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อขึ้นมาอีกครั้ง และจับตาการเสนอชื่อชั่วคราวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับตำแหน่งว่างในคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,095.73 จุด ลดลง 5.04 จุด หรือ -0.06% แต่บวก 0.3% ในรอบสัปดาห์นี้ (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      BOJ ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยปลายปี หากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ไม่รุนแรง รายงานสรุปความคิดเห็นจากที่ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่เปิดเผยในวันนี้ (8 ส.ค.) ระบุว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจยุติท่าทีแบบ "รอดูสถานการณ์" (wait-and-see) ได้ภายในสิ้นปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถรับมือกับแรงกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อการเติบโตของญี่ปุ่น ถ้อยแถลงของกรรมการรายหนึ่งในการประชุมชี้ว่า BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อทยอยปรับนโยบายการเงินกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และต่อสู้กับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในการประชุมสองวันที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. BOJ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนเม.ย. เนื่องจากราคาสินค้าอาหารยังคงพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม BOJ ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ กรรมการ BOJ รายหนึ่งกล่าวว่า "ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 เดือนในการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถรับมือได้ดีกว่าที่คาด ผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจมีไม่มากนัก" คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ซึ่งเคยให้คำมั่นว่าจะทยอยถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินนั้น ยังคงแสดงความระมัดระวังต่อผลกระทบของภาษีของสหรัฐฯ แต่ระบุในการแถลงข่าวหลังการประชุมว่า BOJ จะเดินหน้าไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป คำกล่าวของเขามีขึ้น หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากมีความกังวลเพิ่มขึ้นว่า สินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นอาจไม่ได้รับการยกเว้นพิเศษจากภาษีตามที่เคยตกลงไว้ (อินโฟเควสท์)
      การใช้จ่ายภาคครัวเรือนญี่ปุ่นมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.3% โตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นรายงานในวันนี้ (8 ส.ค.) ว่า การใช้จ่ายภาคครัวเรือนปรับตัวสูงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือนมิ.ย. โดยเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการซื้อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น และค่าไฟที่พุ่งสูงในช่วงฤดูร้อน อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวสวนทางกับการใช้จ่ายด้านอาหารที่ปรับตัวลดลง รายงานระบุว่า ครัวเรือนที่มีสมาชิกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ใช้จ่ายเงินโดยเฉลี่ย 295,419 เยน (ราว 2,006 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน ตัวเลขนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ผลพวงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังไม่กระทบต่อการบริโภคในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ  เมื่อจำแนกตามหมวดหมู่ พบว่าค่าใช้จ่ายด้านการคมนาคมและการสื่อสารเพิ่มขึ้น 8.6% ซึ่งฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่การส่งมอบรถยนต์ชะลอตัวลงในเดือนมิ.ย. ปีก่อนหน้า จากการที่ค่ายรถยนต์บางแห่งระงับการผลิตเนื่องจากปัญหาด้านการรับรองมาตรฐาน  ค่าใช้จ่ายด้านอาหารปรับตัวลดลง 2.1% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน โดยมีสาเหตุหลักจากการใช้จ่ายเกี่ยวกับข้าวที่ลดลง 12.1% ส่วนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและน้ำประปาเพิ่มขึ้น 6.3% จากการใช้เครื่องปรับอากาศที่มากขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย ซึ่งรวมถึงค่าซ่อมแซม พุ่งขึ้น 11.6% สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่น แม้การใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น แต่รายได้ที่แท้จริงกลับสวนทาง โดยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนที่มีสมาชิกอย่างน้อย 2 คน หลังปรับตามเงินเฟ้อแล้ว ลดลง 1.3% เมื่อเทียบรายปี เหลือ 976,268 เยนต่อเดือน แต่ตัวเลขรายได้นี้ยังสูงกว่าเดือนก่อนหน้า เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากโบนัสฤดูร้อนที่สูงขึ้น (อินโฟเควสท์)
      บริษัทล้มละลายในญี่ปุ่นเดือนก.ค.พุ่งทะลุ 900 แห่ง สูงสุดในปีนี้ บริษัท โตเกียว โชโก รีเสิร์ช เปิดเผยในวันนี้ (8 ส.ค.) ว่า จำนวนบริษัทล้มละลายในญี่ปุ่นพุ่งสู่ระดับ 961 แห่งในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขรายเดือนสูงสุดของปีนี้ โดยบริษัทจำนวนมากได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น ข้อมูลระบุว่า ในบรรดาบริษัทที่ล้มละลาย ซึ่งมีหนี้สินอย่างน้อย 10 ล้านเยน (ราว 68,000 ดอลลาร์) มีบริษัท 75 แห่งที่ระบุว่าล้มละลายเพราะภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่ 41 แห่งเป็นเพราะปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น  เจ้าหน้าที่จากโตเกียว โชโก รีเสิร์ช ระบุว่า "ราคาอาหารและพลังงานที่สูงขึ้นไม่เพียงส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อกำไรของบริษัทด้วย" พร้อมกับชี้ให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จำนวนบริษัทล้มละลายเพราะภาวะเงินเฟ้ออาจเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต เมื่อจำแนกตามอุตสาหกรรม บริษัทล้มละลายในภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.8% จากปีที่แล้ว เป็น 112 แห่ง ขณะที่บริษัทล้มละลายในภาคบริการ ซึ่งรวมถึงร้านอาหาร เพิ่มขึ้นกว่า 10% เป็น 344 แห่ง อย่างไรก็ดี ตัวเลขหนี้สินรวมของบริษัทที่ล้มละลายปรับตัวลดลง 78.6% จากปีที่แล้ว สู่ระดับ 1.67 แสนล้านเยน (อินโฟเควสท์)
      กำไรสุทธิบริษัทญี่ปุ่นหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี เซ่นพิษภาษีทรัมป์ บริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวมีกำไรสุทธิรวมในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ลดลง 10.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยภาคการผลิตได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ผลสำรวจของบริษัทหลักทรัพย์ SMBC Nikko Securities ซึ่งเผยแพร่ในวันศุกร์ (8 ส.ค.) ระบุว่า ในภาคการผลิต กำไรสุทธิลดลงถึง 22.7% โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรกลขนส่ง เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ มีกำไรร่วงลงถึง 42.1% การวิเคราะห์นี้อิงจากรายงานผลประกอบการของบริษัท 823 แห่งที่เผยแพร่ข้อมูลภายในวันพฤหัสบดี คิดเป็นประมาณ 70% ของบริษัทที่อยู่บนกระดานบริษัทชั้นนำ (Prime Market) ของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ซึ่งปีงบประมาณสิ้นสุดในเดือนมี.ค. การแข็งค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับปีก่อน ยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดผลกำไรในอุตสาหกรรมการผลิต เช่น กลุ่มเครื่องจักร ที่มีกำไรสุทธิลดลง 10.7% ภาคเหล็กและเหล็กกล้ายังประสบภาวะขาดทุนจากการแข่งขันด้านราคากับสินค้าราคาถูกจากจีน อย่างไรก็ตาม กระแสความนิยมของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยหนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมชิปมีกำไรพุ่งขึ้น โดยบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำไรเพิ่มขึ้น 18.2% ขณะเดียวกัน บริษัทก่อสร้างมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10.6% จากการได้รับสัญญาก่อสร้างโรงงานผลิตชิปขนาดใหญ่  ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 30.4% จากยอดขายคอนโดมิเนียมหรูที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการปรับขึ้นค่าเช่าสำนักงาน (อินโฟเควสท์)
      นายกฯ ญี่ปุ่นยันไม่ลาออก ขณะพรรค LDP เตรียมหารือเลือกผู้นำใหม่ก่อนกำหนด นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ยืนยันเมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) ว่า จะยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่นต่อไป แม้เผชิญแรงกดดันให้ลาออก หลังพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) จัดการประชุมร่วมของสมาชิกสภาทั้งสองสภา เพื่อหารือถึงผลเลือกตั้งล่าสุดที่พรรครัฐบาลพ่ายแพ้ ภายหลังการประชุมร่วมซึ่งเปรียบเสมือนการประชุมใหญ่พรรคที่ใช้ตัดสินใจในประเด็นสำคัญ แกนนำพรรคเปิดเผยว่า คณะกรรมการเลือกตั้งของพรรคจะพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคก่อนกำหนด แม้เดิมทีจะมีกำหนดจัดในปี 2570 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติสำหรับพรรคที่ครองอำนาจมายาวนานนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แม้ที่ประชุมร่วมจะไม่มีอำนาจถอดถอนหัวหน้าพรรคโดยตรง แต่ตามข้อบังคับของ LDP หากมีเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาและผู้นำท้องถิ่นส่วนใหญ่ ก็สามารถกำหนดการเลือกตั้งผู้นำพรรคกลางสมัยได้ กระบวนการประเมินเสียงสนับสนุนจากสส. และสาขาท้องถิ่นเพื่อจัดเลือกตั้งฉุกเฉินน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนส.ค.นี้ หรือล่าช้ากว่านั้น ภายหลังจากที่พรรคเสร็จสิ้นการทบทวนผลการเลือกตั้งสภาสูงที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี  อิชิบะยังคงเผชิญแรงกดดันให้ลาออกจากทั้งภายในและภายนอกพรรค แต่เขาเน้นย้ำว่าต้องทำหน้าที่เพื่อประเทศต่อไป โดยกล่าวในที่ประชุมว่า เขายินดีรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกด้วยความจริงใจและถ่อมตน ภายหลังการประชุมราว 2 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะนำสิ่งที่ได้รับฟังไปพิจารณาอย่างจริงจัง ขณะที่เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ในการเลือกตั้งผู้นำพรรคก่อนกำหนด อิชิบะตอบเพียงว่าจะดำเนินการตามระเบียบของพรรคอย่างเหมาะสม (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่งเกือบ 900 จุด ทำนิวไฮ นักลงทุนคลายวิตกเรื่องภาษีสหรัฐฯ (12 ส.ค. 68) ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกเกือบ 900 จุดในวันนี้ (12 ส.ค.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยดัชนีนิกเกอิทะยานขึ้นกว่า 1,000 จุดในช่วงสั้น ๆ เพราะความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นั้นเริ่มคลี่คลายลงแล้ว สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 42,718.17 จุด เพิ่มขึ้น 897.69 จุด หรือ +2.15% ทำลายสถิติเดิมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 (อินโฟเควสท์)
      ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ (11 ส.ค.) เนื่องในวันภูเขา (Mountain Day) (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดพุ่ง 761.33 จุด รับ SoftBank ทะยาน คลายวิตกเรื่องภาษีสหรัฐฯ (8 ส.ค.) ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกติดต่อกันเป็นวันทำการที่ 4 ในวันนี้ (8 ส.ค.) โดยมีช่วงสั้น ๆ ที่ดัชนีพุ่งทะยานขึ้นกว่า 2% โดยได้แรงหนุนจากหุ้นใหญ่อย่าง ซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป (SoftBank Group) ที่ทะยานขึ้นขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ประกอบกับความกังวลเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่คลี่คลายลง สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 41,820.48 จุด เพิ่มขึ้น 761.33 จุด หรือ +1.85% (อินโฟเควสท์)
      จีน
      เงินเฟ้อจีนซบต่อเนื่อง หลัง CPI ทรงตัว - PPI ลดแรง 3.6% ในเดือนก.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนก.ค. ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ สะท้อนผลกระทบจากความต้องการภายในประเทศที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนด้านการค้าที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ราคาสินค้าหน้าประตูโรงงานลดลงติดต่อกันมากกว่า 2 ปีแล้ว โดยข้อมูลในวันนี้ (9 ส.ค.) บ่งชี้ให้เห็นว่าความพยายามในช่วงแรกเพื่อแก้ไขการแข่งขันด้านราคายังไม่ประสบผลสำเร็จ แรงกดดันจากภาวะเงินฝืดทำให้ทางการจีนพยายามจัดการกับปัญหาการผลิตเกินกำลังในอุตสาหกรรมหลัก อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมรอบล่าสุดดูเหมือนเป็นเพียงการลดทอนรูปแบบของการปฏิรูปด้านอุปทานครั้งใหญ่เมื่อสิบปีก่อน ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการยุติภาวะเงินฝืดในอดีต ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคเทียบรายปีในเดือนก.ค. ไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่คาดว่าจะลดลง 0.1% ราคาสินค้าประเภทอาหารลดลง 1.6% ในเดือนก.ค. หลังจากลดลง 0.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค. หลังลดลง 0.1% ในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาสินค้าประเภทอาหารและเชื้อเพลิงที่ผันผวน อยู่ที่ 0.8% ในเดือนก.ค. เทียบกับปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นจาก 0.7% ในเดือนมิ.ย.   ภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยอย่างยาวนานและความเปราะบางของข้อตกลงสงบศึกทางการค้ากับสหรัฐฯ กดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภคและกิจกรรมในภาคโรงงาน  นโยบายของรัฐบาลเน้นควบคุมการแข่งขันที่ไม่เป็นระเบียบในอุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมหลักอื่น ๆ มากกว่าการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทันที แต่บรรดานักวิเคราะห์มองว่ามาตรการนี้มีศักยภาพจำกัดในการกระตุ้นความต้องการขั้นสุดท้ายอย่างมาก ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 3.6% เทียบรายปีในเดือนก.ค. มากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะลดลง 3.3% โดยในเดือนมิ.ย. ดัชนี PPI ก็ลดลง 3.6% เช่นกัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2566 (อินโฟเควสท์)
      ยอดขายรถยนต์จีนเดือนก.ค. ชะลอตัว ค่ายไฮบริดดีมานด์ทรุด สวนทางรถ EV แท้ สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (CPCA) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (8 ส.ค.) ว่า ตลาดรถยนต์ในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดในเดือนก.ค. โดยยอดขายขยายตัวเพียง 6.9% ซึ่งลดลงอย่างมากจากอัตราการเติบโต 18.6% ในเดือนมิ.ย. ท่ามกลางการคุมเข้มสงครามราคาจากภาครัฐที่ส่งผลกระทบทั้งอุตสาหกรรม ปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตคือความต้องการรถยนต์ไฮบริดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายรวมของรถปลั๊กอินไฮบริดและไฮบริดแบบขยายระยะทาง (Extended-Range) หดตัวลง 3.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบตเตอรี่และสถานีชาร์จที่ทั่วถึงช่วยคลายความกังวลเรื่องระยะทางวิ่งของผู้บริโภค ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า 100% (EV) ได้รับความนิยมมากขึ้น เทรนด์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้เล่นในตลาดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบอย่าง Leapmotor, Xiaomi และ Xpeng ต่างทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนก.ค. สวนทางกับค่ายที่พึ่งพารถไฮบริดเป็นหลักอย่าง BYD และ Li Auto ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก BYD ซึ่งเป็นผู้นำตลาดและคู่แข่งคนสำคัญของ Tesla ได้รับผลกระทบอย่างจัง ยอดขายในจีนลดลง 12% นับเป็นการลดลง 3 เดือนติดต่อกัน ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) หดตัวจาก 35.4% เหลือเพียง 27.8% และยังมียอดการผลิตลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 17 เดือน อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกไปต่างประเทศที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดยังช่วยพยุงยอดส่งมอบทั่วโลกให้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 90 วัน ก่อนเส้นตายไม่กี่ชั่วโมง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วันแล้ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนจะกลับไปสูงถึงเลขหลักร้อย เดิมที ข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีกำหนดจะสิ้นสุดในวันนี้ (12 ส.ค.) เวลา 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก หรือ 11:01 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย คำสั่งดังกล่าวจึงช่วยยับยั้งไม่ให้อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนพุ่งสูงถึง 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯ พุ่งแตะ 125% ปัจจุบัน สินค้านำเข้าจากจีนต้องเสียภาษีในอัตรา 30% ซึ่งประกอบด้วยอัตราพื้นฐาน 10% และภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลอีก 20% ส่วนจีนก็ได้ลดอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ลงมาที่ 10% เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายเคยประกาศพักรบในข้อพิพาทการค้าหลังการเจรจาที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพ.ค. โดยตกลงระยะเวลา 90 วันสำหรับเจรจาต่อไป ก่อนจะพบกันอีกครั้งที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ปลายเดือนก.ค. แต่ไม่ได้ประกาศขยายเวลาพักรบการค้าเพิ่มเติม (อินโฟเควสท์)
      จีนสั่งเก็บภาษีคาโนลานำเข้าจากแคนาดา 75.8% เริ่ม 14 สิงหา อ้างตอบโต้การทุ่มตลาด จีนประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (anti-dumping) ชั่วคราวต่อเมล็ดคาโนลาที่นำเข้าจากแคนาดา โดยความขัดแย้งทางการค้านี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่แคนาดาประกาศเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเมื่อเดือนส.ค. ปีที่แล้ว กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุในแถลงการณ์ในวันนี้ (12 ส.ค.) ว่า อัตราภาษีชั่วคราวจะอยู่ที่ 75.8% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีนี้ (14 ส.ค.) เป็นต้นไป ทั้งนี้ จีนเป็นผู้นำเข้าคาโนลา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เรพซีด" (rapeseed) รายใหญ่ที่สุดของโลก และพึ่งพาการนำเข้าจากแคนาดาเกือบทั้งหมด การเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงลิ่วนี้จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้การนำเข้าจากแคนาดายุติลงโดยสิ้นเชิง กระทรวงพาณิชย์จีนให้เหตุผลว่า จากการสอบสวนที่เริ่มขึ้นเมื่อเดือนก.ย. ปี 2567 พบว่า ภาคเกษตรกรรมของแคนาดา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมคาโนลา ได้รับประโยชน์จากเงินอุดหนุน "จำนวนมหาศาล" และนโยบายพิเศษจากรัฐบาล นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนยังได้เปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดต่อแป้งถั่วของแคนาดา และเรียกเก็บภาษีชั่วคราวกับยางบิวทิลชนิดฮาโลเจนด้วย   นักวิเคราะห์กล่าวว่า การหาแหล่งนำเข้าอื่นมาทดแทนคาโนลาจากแคนาดาซึ่งมีปริมาณหลายล้านตันนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้อาจเป็นโอกาสสำหรับออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกคาโนลาอันดับสองของโลก และดูเหมือนว่าจะกลับมาส่งออกไปยังตลาดจีนได้อีกครั้ง โดยจะมีการส่งออกเพื่อทดสอบตลาดไม่กี่ล็อตในปีนี้ หลังจากที่การค้าหยุดชะงักไปนานหลายปี ทั้งนี้ ออสเตรเลียถูกกีดกันออกจากตลาดจีนมาตั้งแต่ปี 2563 โดยมีสาเหตุหลักมาจากกฎระเบียบของจีนที่ต้องการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเชื้อราในพืช (อินโฟเควสท์)
      จีนกลับมาเก็บ VAT ดอกเบี้ยพันธบัตรอีกครั้ง เริ่ม 8 ส.ค.นี้ จีนประกาศกลับมาจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากดอกเบี้ยพันธบัตรที่ออกใหม่โดยรัฐบาลและสถาบันการเงิน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันศุกร์นี้ (8 ส.ค.) เป็นต้นไป เพื่อยุติมาตรการยกเว้นภาษีที่ใช้มาอย่างยาวนาน และช่วยลดแรงกดดันด้านการคลังของประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น กระทรวงการคลังจีนประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า การยกเว้นภาษี VAT จะไม่มีผลกับดอกเบี้ยจากพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น และตราสารหนี้ภาคการเงินที่ออกตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจากพันธบัตรที่ออกก่อนหน้าวันดังกล่าว (รวมถึงพันธบัตรชุดย่อย) จะยังคงได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีต่อไปจนครบกำหนดไถ่ถอน Caitong Securities ประเมินว่า มาตรการนี้จะช่วยเพิ่มรายได้เข้ารัฐได้ราว 3.2 หมื่นล้านหยวน (4.46 พันล้านดอลลาร์) ในปี 2568 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.5 หมื่นล้านหยวนในปี 2569 และ 9.9 หมื่นล้านหยวนในปี 2570 โดยคำนวณจากอัตรา VAT ที่ 6% (อินโฟเควสท์)
      ไต้หวันเร่งคุยสหรัฐฯ หาทางลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่อัตรา 20% เฉิง ลี่ชวน รองนายกรัฐมนตรีไต้หวันกล่าวในวันนี้ (11 ส.ค.) ว่า รัฐบาลไต้หวันยังคงดำเนินการเจรจาเพื่อขออัตราภาษีนำเข้าที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์มากขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 20% กับสินค้าของไต้หวัน เฉิงเปิดเผยว่า การเจรจากับสหรัฐฯ ยังคงดำเนินอยู่ และรัฐบาลไต้หวันเตรียมที่จะรายงานความคืบหน้าดังกล่าวต่อรัฐสภา ขณะเดียวกัน ไต้หวันมุ่งหวังว่า จะสามารถเจรจาเรื่องภาษีควบคู่ไปกับการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ซึ่งกระทำภายใต้กฎหมายขยายการค้า (Trade Expansion Act) มาตรา 232 ปี 1962 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไต้หวันมากที่สุดเป็นอันดับหกของโลก โดย 90% ของการขาดดุลการค้านี้มาจากสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ โดยบริษัท TSMC ผู้ผลิตชิปตามสัญญารายใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตชิปให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia สำหรับอัตราภาษีที่จะใช้กับสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ไต้หวันส่งออกไปยังสหรัฐฯ นั้น จะมีการกำหนดภาษีในกลุ่มอุตสาหกรรมแยกต่างหากโดยสหรัฐฯ และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา รองนายกรัฐมนตรีเฉิงย้ำว่า เป้าหมายของไต้หวันคือการได้อัตราภาษีที่ดีขึ้นและสมเหตุสมผลกว่าปัจจุบันจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าใหม่นี้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 18.37 จุด รับข่าวสหรัฐฯ-จีนเลื่อนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า (12 ส.ค. 68) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (12 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐฯ และจีนได้ขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างกัน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดตลาดที่ระดับ 3,665.92 จุด เพิ่มขึ้น 18.37 จุด หรือ +0.50% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 12.4 จุด นลท.จับตาจีน-สหรัฐฯ  (11 ส.ค. 68) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (11 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนเฝ้าจับตาดูว่า ระยะเวลาการสงบศึกด้านภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯและจีนจะขยายออกไปหลังเส้นตายวันที่ 12 ส.ค. ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดตลาดที่ระดับ 3,647.6 จุด เพิ่มขึ้น 12.4 จุด หรือ 0.34% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 4.54 จุด นลท.รอดูข้อมูลเงินเฟ้อ (8 ส.ค.) ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดขยับลงในวันนี้ (8 ส.ค.) หลังปิดแดนบวกมา 4 วันติดต่อกัน ขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสำคัญเพื่อประเมินสุขภาพเศรษฐกิจของประเทศ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดตลาดที่ระดับ 3,635.13 จุด ลดลง 4.54 จุด หรือ -0.12% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวกเล็กน้อย นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจ-ผลประกอบการ (12 ส.ค. 68) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ (12 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐฯ และจีนได้ขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างกัน แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีอิทธิพลไม่มากนัก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้ว ซึ่งขณะนี้นักลงทุนหันไปจับตาการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ แทน ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,969.68 จุด เพิ่มขึ้น 62.87 จุด หรือ +0.25% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 47.99 จุด จับตาเส้นตายสงครามภาษีจีน-สหรัฐฯ (11 ส.ค. 68) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (11 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการขยายเส้นตายการเรียกเก็บภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,906.81 จุด เพิ่มขึ้น 47.99 จุด หรือ +0.19% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 222.81 จุด จับตาข้อมูลเงินเฟ้อจีน (8 ส.ค.) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (8 ส.ค.) หลังปิดแดนบวกต่อเนื่อง 4 วัน ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จีนจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. ในวันเสาร์นี้ (9 ส.ค.) โดยตลาดคาดการณ์ว่า CPI จะลดลงเล็กน้อยจากอุปสงค์ที่ยังอ่อนแอ ขณะที่ PPI จะปรับตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ว่ายังคงเผชิญกับภาวะเงินฝืด ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,858.82 จุด ลดลง 222.81 จุด หรือ -0.89% (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      WTO หั่นคาดการณ์การค้าสินค้าโลกปี 69 เหลือโต 1.8% เหตุสหรัฐฯ ขึ้นภาษี องค์การการค้าโลก (WTO) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของการค้าสินค้าโลกในปี 2569 เหลือ 1.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.5% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้าเมื่อไม่นานนี้ที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบโดยรวมต่อแนวโน้มการค้าโลก   สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สหรัฐฯ บังคับใช้ภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงขึ้นเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าของสหรัฐฯ และการส่งออกของคู่ค้าสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลัง (กรกฎาคม-ธันวาคม) ของปี 2568 และในปี 2569 องค์การฯ คาดการณ์ว่าการค้าสินค้าโลกจะเติบโต 0.9% ในปี 2568 เปลี่ยนจากตัวเลขที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนเมษายนว่าจะหดตัว 0.2% หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ภาษีตอบโต้ และมีการระงับภาษีบางรายการชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน องค์การฯ ระบุว่าแนวโน้มการเติบโตที่ปรับใหม่นี้ส่วนใหญ่มีปัจจัยมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ล่วงหน้า แต่ย้ำว่าการคาดการณ์นี้ยังคงต่ำกว่าตัวเลขประมาณการก่อนบังคับใช้ภาษีที่ 2.7% อย่างมาก หากพิจารณาตามภูมิภาค เศรษฐกิจเอเชียจะยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเชิงบวกที่สำคัญที่สุดต่อการเติบโตของการค้าสินค้าโลกในปี 2568 ขณะที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือจะมีส่วนชะลอการเติบโตของการค้าโลกทั้งในปี 2568 และ 2569  เอ็นโกซี โอคอนโจ-อิเวียลา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวว่าความไม่แน่นอนด้านภาษียังคงส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจ การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างความปั่นป่วนมากที่สุดในสภาพแวดล้อมการค้าโลก (อินโฟเควสท์)
      ไต้หวันทุบสถิติ ยอดเกินดุลการค้าสหรัฐฯ 7 เดือนแรกปี 68 แซงหน้ายอดรวมทั้งปี 67 ยอดเกินดุลการค้าของไต้หวันกับสหรัฐฯ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ได้พุ่งทะลุสถิติของทั้งปี 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากกระแสความนิยมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกได้กระตุ้นความต้องการผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีของไต้หวัน กระทรวงการคลังไต้หวันเปิดเผยในแถลงการณ์วันศุกร์ (8 ส.ค.) ว่า การจัดส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นเกือบ 63% จากปีก่อนหน้า สู่ระดับ 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าของไต้หวันกับชาติเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค. พุ่งขึ้นเป็นเกือบ 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าสถิติรายปีที่ทำไว้ในปี 2567 แล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐฯ ได้ประกาศกำแพงภาษี 20% ต่อสินค้าจากไต้หวัน และเมื่อวันพุธ (6 ส.ค.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาประกาศแผนเก็บภาษีนำเข้าชิปจากต่างประเทศสูงถึง 100% แต่จะยกเว้นให้สำหรับบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนจะผลิตสินค้าในสหรัฐฯ โดยยกตัวอย่างแอปเปิ้ล (Apple) ว่าจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษี เพราะมีการลงทุนในประเทศ (อินโฟเควสท์)
      กัมพูชาแจง เก็บภาษี 0% สินค้าสหรัฐฯ ยกเว้นสินค้ามือสอง กัมพูชาประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้ว่า สินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ จะไม่ถูกเก็บภาษีศุลกากร ยกเว้นสินค้าใช้แล้ว เช่น รถยนต์มือสอง จะยังคงอยู่ภายใต้อัตราภาษีเดิม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดดังกล่าวหลังจากที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในวันนี้ (8 ส.ค.) รัฐบาลกัมพูชาได้เผยแพร่กฎหมายรอง (Sub-Decree) ว่าด้วยการบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า อัตราภาษีศุลกากร 0% จะมีผลบังคับใช้กับสินค้าใหม่ที่มีต้นกำเนิดจากสหรัฐฯ และนำเข้าโดยตรงมายังกัมพูชา และอัตราภาษีที่ 0% ไม่ครอบคลุมถึงสินค้าใช้แล้ว เมียส สก เสนสาน โฆษกกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังกัมพูชา กล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะ พนมเปญ โพสต์ ว่า คลิปวิดีโอและโพสต์ตามโซเชียลมีเดียที่อ้างว่า รถยนต์มือสองจากสหรัฐฯ จะไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้านั้นไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ สินค้าที่กัมพูชานำเข้าจากสหรัฐฯ ได้แก่ รถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์เทคโนโลยี ยาและเวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์และสินค้าเกษตร รวมถึงวัสดุก่อสร้าง ในขณะที่สินค้าส่งออกหลักของกัมพูชาไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า สินค้าด้านการเดินทาง จักรยาน ยางรถจักรยาน และสินค้าเกษตร มาตรการดังกล่าวเป็นผลมาจากการเจรจาทางการค้าระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย. รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าจากกัมพูชาในอัตราสูงถึง 49% แต่หลังจากการเจรจาทวิภาคีอย่างเข้มข้น สหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราภาษีสินค้ากัมพูชาลงมาเหลือ 36% และสุดท้ายลงมาอยู่ที่ 19% สื่อกัมพูชารายงานว่า การได้ลดภาษีลงอย่างมากดังกล่าวทำให้กัมพูชาถูกมองว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการเจรจากับสหรัฐฯ และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมทั้งดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอนาคต ข้อมูลจากกรมศุลกากรและสรรพสามิต (GDCE) ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ อยู่ที่ 5.69 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25.7% โดยการส่งออกอยู่ที่ 5.52 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25.6% และการนำเข้าอยู่ที่ 164.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดลบ 368.48 จุด หุ้นการเงินฉุดตลาด-จับตาเงินเฟ้อ (12 ส.ค. 68) ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปิดลบในวันนี้ (12 ส.ค.) โดยถูกกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มการเงิน ขณะที่นักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สำคัญของสหรัฐฯ และอินเดีย ทั้งนี้ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,235.59 จุด ลดลง 368.48 จุด หรือ -0.46% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ปิดบวก ขานรับข่าวทรัมป์-ปูตินเจรจายุติสงคราม (11 ส.ค.) ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียปิดบวกในวันนี้ (11 ส.ค.) โดยบรรยากาศการซื้อขายโดยรวมได้รับแรงหนุนจากความหวังว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะคลี่คลายลง รวมถึงการที่ มิเชล โบว์แมน รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันเสาร์ (9 ส.ค.) โดยคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,604.08 จุด เพิ่มขึ้น 746.29 จุด หรือ +0.93% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ลบกว่า 700 จุด ร่วงติดต่อกัน 6 สัปดาห์ (8 ส.ค.) ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 700 จุด และเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงขาลงที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2563 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย รวมทั้งผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทจดทะเบียน (อินโฟเควสท์)
      ไทย
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 6.08 จุดรับแรงขายทำกำไร-Fund Flow ชะลอ-รอลุ้นผล กนง.สัปดาห์หน้า (8 ส.ค.) SET ปิดวันนี้ที่ 1,259.07 จุด ลดลง 6.08 จุด (-0.48%) มูลค่าซื้อขาย 51,232.32 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามภูมิภาค กระแส fund flow เริ่มชะลอ และมีแรงขายทำกำไรหลัง valuation หุ้นไทยแพงขึ้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของไทยยังไม่เปลี่ยนแปลง สัปดาห์หน้าอาจจะมีลุ้น fund flow ไหลกลับระยะสั้นอยู่ จากการเก็งผลประชุมกนง. ที่คาดว่าจะมีมติลดดอกเบี้ย จึงแนะนำให้ติดตามผลประชุมที่จะส่งผลต่อแนวโน้มสัปดาห์หน้า รวมถึงให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ และบจ.ที่เหลือทยอยประกาศงบการเงินไตรมาส 2/68 โดยให้แนวต้าน 1,280 จุด และแนวรับ 1,200 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ที่ 1,259.07 จุด ลดลง 6.08 จุด (-0.48%) มูลค่าซื้อขาย 51,232.32 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งในแดนลบทั้งวันเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับสูงสุด 1,266.01 จุด และต่ำสุด 1,253.24 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 215 หลักทรัพย์ ลดลง 245 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 188 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 134,656 ล้านบาท (8 ส.ค.)  สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 134,656 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 57,796 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 25 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 440 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.26% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน ภาพรวมของตลาดในวันนี้   Yield Curve ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 440 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 440 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 5-4 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.00% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่รายงานตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 226,000 ราย สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 219,000 ราย สำหรับ Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ปรับเพิ่มขึ้น 2,612 ล้านบาท จาก 891,460 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 894,072 ล้านบาท ทั้งนี้ตลาดติดตามการประชุม กนง ในสัปดาห์หน้า (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.36 อ่อนค่าตามภูมิภาค สัปดาห์หน้าจับตาประชุมกนง.-ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ (8 ส.ค.) นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.36 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.28 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.26-32.37 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทอ่อนค่าตามทิศทางสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ขณะที่ระหว่างวันยังไม่มีปัจจัยใหม่ ประกอบกับใกล้ช่วงวันหยุดยาว 4 วัน  "วันนี้เงินบาทแกว่งแคบ อ่อนค่าตามภูมิภาค ยังไม่มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ คืนนี้" นักบริหารเงิน ระบุ ทั้งนี้ สัปดาห์หน้าฝั่งสหรัฐฯ จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค. ส่วนฝั่งไทย ตลาดจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งรอบนี้ ในวงการตลาดเงินมีความเห็นเป็น 2 ทาง ว่ามีโอกาสทั้งลดดอกเบี้ย และคงดอกเบี้ย นักบริหารเงิน คาดว่า สัปดาห์หน้าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.45 บาท/ดอลลาร์  (อินโฟเควสท์)
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ                     
       
       
       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.