• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      ดอกเบี้ยมีพลิก! คาดเฟดหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งรวดที่เหลือปีนี้ หลังจ้างงานซบ นักลงทุนพากันคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอ ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 63.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค. และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. (อินโฟเควสท์)
      ทั่วโลกจับตาประชุมแจ็กสันโฮล 21-23 ส.ค. บ่งชี้ทิศทางดอกเบี้ยเฟด นักลงทุนทั่วโลกจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในเดือนนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้จะมีขึ้นในวันที่ 21-23 ส.ค. ในหัวข้อ "Labor Markets in Transition: Demographics, Productivity, and Macroeconomic Policy" หรือ "ตลาดแรงงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน: โครงสร้างประชากร, ประสิทธิภาพการผลิต และนโยบายเศรษฐกิจมหภาค" โดยมีธนาคารกลางสหรัฐสาขาแคนซัส ซิตี้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ทั้งนี้ การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในการประชุมธนาคารกลางที่มีระยะเวลายาวนานที่สุดในโลก โดยการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลมีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 50 ปี ซึ่งผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก จะเดินทางเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงิน และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ สำหรับในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันศุกร์ที่ 22 ส.ค. เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์เตรียมตั้งผู้ว่าเฟด-หัวหน้าสำนักสถิติแรงงานคนใหม่ ปูทางกำหนดนโยบายศก. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในวันอาทิตย์ (3 ส.ค.) ว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขาจะประกาศแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ แทนเอเดรียนา คูเกลอร์ ซึ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ รวมทั้งจะแต่งตั้งหัวหน้าสำนักสถิติแรงงาน (BLS) คนใหม่ด้วย โดยคาดว่าการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทั้งสองตำแหน่งนี้จะเปิดโอกาสให้ทรัมป์สามารถหาบุคคลที่จะมาทำตามนโยบายเศรษฐกิจของเขาได้ เฟดแถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 ส.ค.) ว่า เอเดรียนา คูเกลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดเตรียมลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ซึ่งจะเปิดทางให้ปธน.ทรัมป์แต่งตั้งบุคคลใหม่เข้าสู่คณะกรรมการเฟดได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเชื่อกันว่าผู้ที่ได้รับเลือกจะมีแนวคิดที่สอดคล้องกับทรัมป์ในเรื่องการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ตามวาระปกติ คูเกลอร์มีกำหนดดำรงตำแหน่งจนถึงเดือนม.ค. 2569 แต่การตัดสินใจลาออกครั้งนี้ทำให้ตำแหน่งว่างลงก่อนเวลา ซึ่งกลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับปธน.ทรัมป์ในการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ส่วนแผนการประกาศแต่งตั้งหัวหน้า BLS คนใหม่นั้น มีขึ้นหลังจากปธน.ทรัมป์สั่งปลด เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ กรรมาธิการ BLS ในสังกัดกระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ ภายหลังจากกระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่อ่อนแลงมากกว่าคาด โดยส่วนหนึ่งมาจากการปรับลดการประเมินตัวเลขในเดือนพ.ค.และมิ.ย.ลงอย่างมาก ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวหาว่า เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ ปลอมแปลงตัวเลขการจ้างงาน แต่ก็ไม่มีการให้หลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์-คาร์นีย์เตรียมนัดคุย หลังสหรัฐฯ รีดภาษีแคนาดาอ่วม 35% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา อาจหารือกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาถึง 35% สำหรับสินค้าที่อยู่นอกข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) โดมินิก เลอบลังก์ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านการค้าระหว่างแคนาดา-สหรัฐฯ กล่าวว่า การหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ และเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ยอมรับว่า ยังไม่ถึงจุดที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงกันได้ในประเด็นผลประโยชน์ร่วมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี เขายังคงเชื่อมั่นว่าทั้งสองฝ่ายมีโอกาสบรรลุข้อตกลงเพื่อลดแรงกดดันจากภาษีดังกล่าวได้ เลอบลังก์ยังเสริมว่า คาดว่าคาร์นีย์และทรัมป์จะได้พูดคุยกันภายในไม่กี่วันข้างหน้า พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าการเจรจาครั้งนี้จะนำไปสู่ความชัดเจนมากขึ้นในด้านการลงทุน และอาจเปิดทางให้ลดภาษีบางส่วนลงได้ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาเป็น 35% จากเดิม 25% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 ส.ค.) โดยให้เหตุผลว่า แคนาดาไม่ให้ความร่วมมืออย่างเพียงพอในการควบคุมการลักลอบนำเข้าเฟนทานิลและยาเสพติดผิดกฎหมายอื่น ๆ อีกทั้งยังตอบโต้มาตรการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มุ่งรับมือภัยคุกคามที่ไม่ปกติและร้ายแรงต่อประเทศ ด้านคาร์นีย์ยืนยันว่า แคนาดามีส่วนเกี่ยวข้องกับเฟนทานิลที่เข้าสู่สหรัฐฯ เพียง 1% เท่านั้น และรัฐบาลแคนาดากำลังเร่งดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสกัดการลักลอบดังกล่าวอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง (อินโฟเควสท์)
      จนท.ทำเนียบขาวซัดอินเดียกรณีซื้อน้ำมันรัสเซีย ชี้เท่ากับหนุนสงครามยูเครน สตีเฟน มิลเลอร์ รองหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า การที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียเท่ากับเป็นการช่วยจัดหาทุนสำหรับการทำสงครามในยูเครน โดยการแสดงความเห็นดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเพิ่มแรงกดดันให้อินเดียยุติการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย มิลเลอร์ หนึ่งในที่ปรึกษาคนใกล้ชิดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (3 ส.ค.) ว่า สิ่งที่ปธน.ทรัมป์พูดอย่างชัดเจนคือ ไม่อาจยอมรับได้ที่อินเดียจะยังคงจัดหาเงินทุนให้สงครามครั้งนี้ด้วยการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย พร้อมเสริมว่า หลายคนคงตกใจเมื่อรู้ว่า อินเดียแทบจะอยู่ในระดับเดียวกับจีนในแง่ปริมาณการซื้อน้ำมันรัสเซีย นี่คือข้อเท็จจริงที่น่าประหลาดใจอย่างมาก ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นคำวิจารณ์ที่รุนแรงที่สุดจากรัฐบาลทรัมป์ที่มีต่ออินเดีย แม้ว่าอินเดียเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก อย่างไรก็ดี สถานทูตอินเดียประจำกรุงวอชิงตันยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใด ๆ ขณะที่แหล่งข่าวรัฐบาลอินเดียยืนยันเมื่อวันเสาร์ (2 ส.ค.) ว่า อินเดียจะเดินหน้าซื้อน้ำมันจากรัสเซียต่อไปแม้จะเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" กล่าวหาอินเดียซื้อน้ำมันรัสเซีย ก่อนขายต่อฟันกำไรประเทศอื่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social วันนี้ โดยขู่ที่จะปรับขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากอินเดีย พร้อมกับกล่าวหาว่าอินเดียซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย และนำไปขายต่อเพื่อทำกำไรจากประเทศอื่น "อินเดียไม่เพียงแต่กำลังซื้อน้ำมันจำนวนมากจากรัสเซียเท่านั้น แต่ยังนำน้ำมันส่วนใหญ่ที่ซื้อนั้นไปขายต่อในตลาดเปิดเพื่อทำกำไรมหาศาล พวกเขาไม่สนใจเลยว่ามีชาวยูเครนจำนวนมากแค่ไหนที่ถูกสังหารโดยเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย ด้วยเหตุนี้ ผมจะขึ้นภาษีศุลกากรอย่างมากที่อินเดียต้องจ่ายให้แก่สหรัฐ ขอบคุณที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้!!!" ปธน.ทรัมป์ระบุ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 585.06 จุด รับคาดการณ์เฟดหั่นดอกเบี้ยเดือนก.ย. ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ (4 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อหลังจากดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างหนักในวันศุกร์ (1 ส.ค.) นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. หลังมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,173.64 จุด เพิ่มขึ้น 585.06 จุด หรือ +1.34%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,329.94 จุด เพิ่มขึ้น 91.93 จุด หรือ +1.47% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,053.58 จุด เพิ่มขึ้น 403.45 จุด หรือ +1.95% ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีดีดตัวขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อหลังจากดัชนีร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ ภายหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด และยังได้ปรับลดการประเมินตัวเลขจ้างงานในเดือนพ.ค.และเดือนมิ.ย. ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารพุ่งขึ้น 2.6% ตามด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 2.15% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง 0.44% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ $1.04 หลังโอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิต สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (4 ส.ค.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนก.ย. นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด หลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอลง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.04 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 66.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 91 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 68.76 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์อ่อนค่า คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยหลังจ้างงานอ่อนแอ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (4 ส.ค.) หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ต่ำกว่าคาดในเดือนก.ค. และได้ปรับลดการประเมินตัวเลขจ้างงานทั้งในเดือนพ.ค.และเดือนมิ.ย. ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน 0.36% แตะที่ระดับ 98.786 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 146.95 เยน จากระดับ 147.85 เยนในวันศุกร์ (1 ส.ค.) และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3784 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3817 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8082 ฟรังก์ จากระดับ 0.8081 ฟรังก์ ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1566 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1526 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3276 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3227 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $26.6 เก็งเฟดหั่นดอกเบี้ยหลังจ้างงานอ่อนแอ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันจันทร์ (4 ส.ค.) โดยตลาดยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 26.6 ดอลลาร์ หรือ 0.78% ปิดที่ 3,426.40 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)  
      บอนด์ยีลด์ร่วงใกล้หลุด 4.2% หลังเผยจ้างงานซบเซา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวลงใกล้หลุดระดับ 4.2% หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่ซบเซา ณ เวลา 19.41 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.202% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.806% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปฟื้นตัวปิดบวก กลุ่มธนาคารหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันจันทร์ (4 ส.ค.) โดยดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ หลังหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นช่วยชดเชยแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นสวิสที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อัตราสูงถึง 39% ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 540.60 จุด เพิ่มขึ้น 4.81 จุด หรือ +0.90% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,632.01 จุด เพิ่มขึ้น 85.85 จุด หรือ +1.14%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,757.69 จุด เพิ่มขึ้น 331.72 จุด หรือ +1.42% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,128.30 จุด เพิ่มขึ้น 59.72 จุด หรือ +0.66% ตลาดหุ้นหลัก ๆ ในภูมิภาคส่วนใหญ่ฟื้นตัวจากการร่วงหนักเมื่อวันศุกร์ ยกเว้นตลาดหุ้นสวิส ซึ่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าและรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ ตลาดหุ้นสวิตเซอร์แลนด์ได้รับผลกระทบ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง และองค์กรอุตสาหกรรมเตือนว่ามีความเสี่ยงที่ตำแหน่งงานหลายหมื่นตำแหน่งอาจได้รับผลกระทบ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 59.72 จุด หุ้นแบงก์-เหมืองแร่หนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันจันทร์ (4 ส.ค.) โดยดีดตัวขึ้นจากแรงขายเมื่อวันศุกร์ และได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 9,128.30 จุด เพิ่มขึ้น 59.72 จุด หรือ +0.66% ดัชนี FTSE 100 ฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงแรงที่สุดในรอบเกือบ 4 เดือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น 2.3% หลังศาลฎีกาอังกฤษมีคำตัดสินพลิกคำพิพากษาเดิมในคดีค่าคอมมิชชันจากการจัดไฟแนนซ์รถยนต์ ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเงินชดเชยที่บางฝ่ายเคยประเมินว่าจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านปอนด์เริ่มคลี่คลาย หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าปรับขึ้นมากที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเพิ่มขึ้น 2.6% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ส่วนหุ้นกลุ่มอากาศยานและอาวุธป้องกันประเทศก็ปรับขึ้น 1.8% (อินโฟเควสท์)   
      ญี่ปุ่น
      ยอดส่งออกสินค้าเกษตรญี่ปุ่นพุ่ง 15.5% ครึ่งปีแรก หลังขยายตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (4 ส.ค.) ว่า ยอดส่งออกสินค้าเกษตร ประมง และป่าไม้ของญี่ปุ่นในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย. 2568 เพิ่มขึ้น 15.5% จากปีที่แล้ว สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.097 แสนล้านเยน (5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยได้รับแรงหนุนจากยอดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ยอดส่งออกสินค้าเกษตรของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้ว แต่พลิกฟื้นจนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากญี่ปุ่นได้ขยายช่องทางการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ หลังจากที่จีนห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น เนื่องจากกังวลเรื่องการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ นอกจากนี้ ยอดส่งออกสินค้าเกษตรของญี่ปุ่นยังได้รับแรงหนุนจากจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นที่ขยายกิจการในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ซูเปอร์มาร์เก็ตในต่างประเทศก็จำหน่ายอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายเพิ่มยอดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารทะเลสู่ระดับ 2 ล้านล้านเยนในปี 2568 หลังจากที่ยอดส่งออกในปี 2567 เติบโต 3.6% จากปีก่อนหน้า ทำสถิติใหม่ที่ 1.51 ล้านล้านเยน (อินโฟเควสท์)
      "อิชิบะ" ลั่นเตรียมถก "ทรัมป์" จี้สหรัฐฯ ลดภาษีรถยนต์ตามสัญญา นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ประกาศในวันนี้ (4 ส.ค.) ว่า จะกดดันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้เร่งทำตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะลดภาษีรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลงการค้าที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังคงเปราะบาง ภายใต้ข้อตกลงที่บรรลุเมื่อเดือนก่อน สหรัฐฯ จะลดภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์จากญี่ปุ่นลงจาก 25% เหลือ 15% ทว่าข้อตกลงดังกล่าวยังไม่มีการระบุกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อใด สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยเรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาการค้าของญี่ปุ่นชี้ว่า กระบวนการลักษณะเดียวกันกับสหราชอาณาจักรยังใช้เวลา "มากกว่าหนึ่งเดือน" ความไม่แน่นอนนี้ได้สร้างแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักให้กับนายกฯ อิชิบะ ซึ่งกำลังเผชิญเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งแม้กระทั่งจากคนในพรรคของตนเอง หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งวุฒิสภาครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่แล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่นายกฯ อิชิบะจะต้องสร้างผลงานด้านดีลการค้าให้เป็นรูปธรรม ในการประชุมรัฐสภาวันนี้ พรรคฝ่ายค้านได้วิพากษ์วิจารณ์นายกฯ อิชิบะที่ไม่สามารถทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรได้ นายกฯ อิชิบะได้ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า การยืนกรานที่จะร่างเอกสารที่เป็นทางการอาจทำให้การลดภาษีล่าช้าออกไป "นั่นคือสิ่งที่เรากลัวที่สุด" เขากล่าว พร้อมทั้งระบุว่าทรัมป์เป็นคู่เจรจาที่คาดเดายาก "เขาไม่ใช่คู่เจรจาที่ทำตามขนบ และพร้อมจะฉีกทุกกฎเกณฑ์ " นายกฯ อิชิบะย้ำจุดยืนว่า เขา "ไม่ลังเลแม้แต่น้อย" ที่จะเปิดโต๊ะเจรจาโดยตรงกับทรัมป์ เพื่อให้มั่นใจว่าสหรัฐฯ จะปฏิบัติตามข้อตกลง "จากนี้ไป ทั้งสองประเทศจะต้องเริ่มทำตามสิ่งที่ตกลงกันไว้ ซึ่งเป็นงานที่ยากกว่าการเจรจาให้ได้ข้อตกลงเสียอีก" (อินโฟเควสท์)
      รัฐบาลญี่ปุ่นจ่ออัดฉีดงบฯ เพิ่ม สู้ผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ที่ยังยืดเยื้อ นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น เปิดเผยในวันนี้ (4 ส.ค.) ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาจัดทำงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นท่ามกลางอนาคตการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ยังเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ที่เพิ่งบรรลุไปเมื่อเดือนก่อนจะช่วยลดภาษีสินค้าญี่ปุ่นได้ในที่สุด แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่ากำแพงภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก จะถูกปรับลดลงเมื่อใด หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งวุฒิสภาอย่างราบคาบเมื่อเดือนก่อน บรรดาพรรคฝ่ายค้านจึงยิ่งกดดันให้รัฐบาลผสมเสียงข้างน้อยของนายกฯ อิชิบะเพิ่มการใช้จ่ายและปรับลดภาษีการขายทั่วประเทศ หากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้า คาดว่าจะมีการยื่นร่างงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในเดือนก.ย. นี้ นักวิเคราะห์คาดว่าแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวอาจมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านเยน (6.768 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่ม และจะยิ่งทำให้งบประมาณประจำปีนี้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 115.5 ล้านล้านเยนพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยปัจจุบัน งบประมาณเกือบ 1 ใน 4 ถูกนำไปใช้ชำระหนี้เดิมอยู่แล้ว แรงกดดันให้เพิ่มการใช้จ่ายนี้ทำให้นายกฯ อิชิบะต้องตกที่นั่งลำบาก ขณะที่พรรคฝ่ายค้านเรียกร้องให้หั่นภาษีการขาย 10% โดยอ้างถึงปัญหาราคาอาหารแพงที่กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่นายกฯ อิชิบะยังคงสงวนท่าที เนื่องจากภาษีดังกล่าวเป็นรายได้สำคัญสำหรับสวัสดิการสังคมในประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดร่วง 508.90 จุด กังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว หลังตัวเลขจ้างงานอ่อนแอ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงลงในวันนี้ (4 ส.ค.) หลังตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งจุดชนวนความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัว โดยในช่วงหนึ่งของการซื้อขาย ดัชนีนิกเกอิร่วงลงแรงกว่า 2% สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,290.70 จุด ร่วงลง 508.90 จุด หรือ -1.25% หุ้นลบนำตลาด ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มบริการ (อินโฟเควสท์)  
      จีน
      ผู้เชี่ยวชาญคาดจีนอาจต้องลดผลิตทองแดง หลังเจอปัญหาขาดแคลนแร่ทองแดง เซี่ยงไฮ้ เมทัลส์ มาร์เก็ต (Shanghai Metals Market - SMM) คาดการณ์ว่า โรงถลุงทองแดงของจีนอาจกำลังเผชิญจุดเปลี่ยน เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแร่ทองแดงที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น กำลังส่งผลให้โรงถลุงทองแดงเหล่านี้ต้องลดกำลังการผลิตลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนก็กำลังเร่งรณรงค์แก้ไขปัญหาการผลิตล้นตลาดในหลายภาคส่วนอุตสาหกรรม SMM เปิดเผยการสำรวจโรงถลุงทองแดงรายเดือน โดยคาดการณ์ว่าผลผลิตทองแดงของจีนในเดือนส.ค.จะอยู่ที่ 1.168 ล้านตัน ลดลง 0.5% จากระดับสูงสุดที่ทำไว้ในเดือนก.ค. และคาดว่าผลผลิตจะลดลงอีกในเดือนก.ย. ข้อมูลของ SMM ยังระบุด้วยว่า ปริมาณแร่ทองแดงเข้มข้นที่ท่าเรือของจีนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในปีนี้ โดยอยู่ที่เพียง 560,000 ตัน ทำให้โรงถลุงต้องลดกำลังการผลิตลง และคาดว่าผลผลิตจะลดลงอีกในเดือนก.ย. เนื่องจากโรงถลุง 5 แห่งที่มีกำลังการผลิตรวมกัน 900,000 ตัน จะปิดเพื่อซ่อมบำรุง นอกจากนี้ โรงถลุงทองแดงยังคงขาดทุนอย่างหนัก แต่ค่าธรรมเนียมที่โรงงานเรียกเก็บสำหรับการแปรรูปแร่ทองแดงเข้มข้น (concentrate) ก็เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าโรงถลุงอาจเริ่มปรับกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณแร่ที่หาได้ ที่ผ่านมานั้น โรงถลุงทองแดงของจีนต่างก็เพิ่มกำลังการผลิตจนทำให้ผลผลิตทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันหลายเดือน แม้ตลาดวัตถุดิบเผชิญภาวะตึงตัวและความสามารถในการทำกำไรลดน้อยลงก็ตาม อย่างไรก็ดี การเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าวอาจกำลังถึงขีดจำกัด ประกอบกับรัฐบาลจีนมีความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาการแข่งขันที่สร้างความเสียหายและการผลิตมากเกินไปที่ส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินฝืด (อินโฟเควสท์)
      จีนเตือนภัยฉุกเฉินหลายพื้นที่ทั่วประเทศ หลังฝนตกหนัก-น้ำท่วมสูง ฝนตกหนักสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ของจีน โดยส่งผลให้ถนนพังถล่ม มีการอพยพประชาชน และมีความเสี่ยงจากน้ำท่วมมากขึ้น ขณะที่ทางการได้เพิ่มระดับการรับมือเหตุฉุกเฉินและแจ้งเตือนภัยว่าอาจมีฝนตกหนักเพิ่มเติมแล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน ฝนตกหนักทำให้ถนนพังถล่ม 54 สาย และต้องอพยพประชาชนกว่า 300 คนในอำเภอเฟิงไคและหวยจี๋ในเมืองจ้าวชิ่งช่วงสุดสัปดาห์ ด้านข้อมูลอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ปริมาณน้ำฝนสูงสุดในตำบลหนานเฟิงของเมืองจ้าวชิ่งอยู่ที่ 258.7 มิลลิเมตร และมีการประกาศเตือนภัยระดับสีแดง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดสำหรับพายุฝนฟ้าคะนองในทั้งสองอำเภอเมื่อเช้าวันอาทิตย์ (3 ส.ค.) เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินถูกส่งลงพื้นที่เพื่อซ่อมแซมถนนที่เสียหาย ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มที่อาจเกิดขึ้น โดยคาดว่าจะมีฝนตกลงมาอีกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า กระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินระบุว่า มีการส่งคณะทำงานไปยังมณฑลกวางตุ้งเพื่อสนับสนุนงานควบคุมน้ำท่วมแล้ว ขณะเดียวกัน ทางการกวางตุ้งเริ่มใช้มาตรการรับมือเหตุฉุกเฉินระดับ 4 เพื่อเตรียมรับมือฝนตกหนัก โดยคาดว่าพื้นที่บางส่วนของเมืองและอำเภอชายฝั่งทางตะวันออกของกวางตุ้งและบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงทางตอนใต้จะเผชิญฝนตกหนักผิดปกติ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 23.36 จุด ฟื้นตัวจากสัปดาห์ก่อน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดดีดตัวขึ้นในวันนี้ (4 ส.ค.) หลังร่วงลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้ว โดยภาวะการซื้อขายในวันแรกของสัปดาห์ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศและกลุ่มธนาคาร ขณะเดียวกัน ตลาดกำลังรอความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อตกลงสงบศึกทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 ส.ค.นี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,583.31 จุด เพิ่มขึ้น 23.36 จุด หรือ +0.66% หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศปรับตัวขึ้น 2.2% หุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1% และหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ขยับขึ้น 0.4% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 225.64 จุด รับความหวังจีน-สหรัฐฯ บรรลุดีลภาษี ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทะยานขึ้นในวันนี้ (4 ส.ค.) โดยนักลงทุนมีมุมมองบวกเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงด้านภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หลังจากที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันศุกร์ (1 ส.ค.) ว่า เขาเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ กำลังอยู่ในเส้นทางที่อาจนำไปสู่ข้อตกลงกับจีน และเขารู้สึกมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับทิศทางในอนาคต ก่อนที่ข้อตกลงพักสงครามภาษี 90 วันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะหมดอายุในวันที่ 12 ส.ค.นี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,733.45 จุด เพิ่มขึ้น 225.64 จุด หรือ +0.92% (อินโฟเควสท์)  
      เอเชีย และอื่นๆ
      ยอดส่งออกเกาหลีใต้ส่อร่วง 3% ใน Q3/68 ผลกระทบสหรัฐฯ รีดภาษีนำเข้า 15% ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งเกาหลีใต้ (KEXIM) คาดการณ์ว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้จะลดลงราว 3% ในไตรมาส 3/2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อการค้าและอุตสาหกรรมทั่วโลก สถาบันวิจัยเศรษฐกิจต่างประเทศของ KEXIM คาดการณ์ว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. จะอยู่ที่ประมาณ 1.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงราว 3% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว KEXIM ระบุว่า การคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ผลลัพธ์เชิงบวกจากคำสั่งซื้อสินค้าคงคลังล่วงหน้าในช่วงครึ่งปีแรกกำลังจางหายไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงภาษีศุลกากร โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ในอัตรา 15% จากเดิมที่เคยขู่ว่าจะเก็บในอัตรา 25% แลกกับการที่เกาหลีใต้ต้องลงทุนมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่จาก KEXIM คาดการณ์ว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะเด่นชัดมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงภาษีศุลกากรแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการค้าในอนาคตอาจทำให้การส่งออกที่ซบเซานั้น ดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ (อินโฟเควสท์)
      รมว.อุตฯ เกาหลีใต้ยังห่วง กำแพงภาษี 15% ของสหรัฐฯ กระทบผู้ส่งออก คิม จองกวาน รัฐมนตรีอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ ระบุในวันนี้ (4 ส.ค.) ว่า แม้จะบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ แล้ว แต่ยังคงมีความกังวลว่าอัตราภาษี 15% อาจบั่นทอนความสามารถในการทำกำไรของผู้ส่งออก ในการประชุมร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจและนักวิชาการ คิมยอมรับว่าข้อตกลงภาษีศุลกากรดังกล่าว ซึ่งสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ในอัตรา 15% แลกกับการที่เกาหลีใต้ต้องลงทุนมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ นั้น ได้ช่วยให้เกาหลีใต้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไปได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวยังไม่มีการลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ "อัตราภาษี 15% ที่สูงเป็นประวัติการณ์นี้ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในประเทศที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)" คิมกล่าว คิมเสริมว่า รัฐบาลจะเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อสรุปรายละเอียดของแผนการลงทุนดังกล่าว โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทเกาหลีใต้และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ คิมระบุว่า ไม่ว่าผลของข้อตกลงนี้จะเป็นเช่นไร เกาหลีใต้จำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อรับมือกับ "นิวนอร์มัล" (new normal) ของกระแสชาตินิยมที่ทวีความรุนแรงขึ้นในเวทีการค้าโลก (อินโฟเควสท์)
      ฟิลิปปินส์เล็งระงับนำเข้าข้าวชั่วคราว หวังพยุงราคาสินค้าเกษตรในประเทศ รัฐบาลฟิลิปปินส์อาจพิจารณาระงับการนำเข้าข้าวเป็นการชั่วคราว เพื่อปกป้องเกษตรกรภายในประเทศ โดยกระทรวงเกษตรได้เสนอแผนดังกล่าวและยังเรียกร้องให้ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าข้าว แต่ยังไม่กำหนดกรอบเวลาและเงื่อนไขใด ๆ สำนักงานสื่อสารประจำทำเนียบประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เปิดเผยในวันนี้ (4 ส.ค.) ว่า คณะรัฐมนตรีจะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ระหว่างการเยือนอินเดียในสัปดาห์นี้ รายงานระบุว่า ข้อเสนอนี้มีขึ้นในช่วงที่อุปทานข้าวโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวในเอเชียปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี ซึ่งแม้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาหารของผู้บริโภค แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้กับเกษตรกรในหลายประเทศ ก่อนหน้านี้ ฟรานซิสโก ติอู ลอเรล จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เคยเสนอให้จำกัดปริมาณการนำเข้าข้าวต่อปีไม่เกิน 20% ของระดับปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า การนำเข้าที่สูงกระทบต่อราคาข้าวในประเทศและอาจทำให้โรงสีท้องถิ่นจำนวนมากต้องปิดกิจการ (อินโฟเควสท์)
      โกลด์แมนแซคส์คงคาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์ แต่เตือนอุปสงค์น้ำมันเสี่ยงลดลง โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ได้คงตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์ไว้ที่ระดับเฉลี่ย 64 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาสที่ 4/2568 และ 56 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 2569 อย่างไรก็ตาม โกลด์แมน แซคส์ มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้ราคาน้ำมันแตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้เบื้องต้น โกลด์แมน แซคส์ ระบุในรายงานเมื่อวานนี้ (3 ส.ค.) ว่า "แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่ออุปทานน้ำมันรัสเซียและอิหร่านที่ถูกคว่ำบาตร ทำให้ราคาน้ำมันมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวสูงขึ้น" ปธน.ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ว่า เขาจะเริ่มใช้มาตรการลงโทษรัสเซีย เช่น การเก็บภาษีนำเข้า 100% จากประเทศคู่ค้าของรัสเซีย หากรัสเซียไม่ยุติสงครามในยูเครนภายใน 10-12 วัน ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเส้นตายเดิมที่ 50 วัน ขณะเดียวกันโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันเฉลี่ยต่อปีที่ 800,000 บาร์เรล/วันในช่วงปี 2568-2569 มีความเสี่ยงที่จะลดลงจากระดับดังกล่าว โดยมีสาเหตุมาจากการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ, การที่สหรัฐฯ ขู่ว่าจะใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) กับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลง ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ข้อมูลที่อ่อนแอบ่งชี้ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจเสี่ยงที่เผชิญภาวะถดถอยภายใน 12 เดือนข้างหน้า (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่งกว่า 400 จุด เก็งเฟดลดดอกเบี้ย ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นกว่า 400 จุด โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,018.72 บวก 418.81 จุด หรือ 0.52 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)  
      ไทย
      พิษภาษีทรัมป์! ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจก.ค.ทรุด หลังแรงฉุดจากภาคผลิตเพื่อส่งออก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนก.ค.68 ลดลงมาอยู่ที่ 45.8 จากระดับ 48.6 ในเดือนมิ.ย. ตามการลดลงในทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะด้านการผลิตและผลประกอบการ โดยความเชื่อมั่นภาคการผลิตปรับลดลงในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก อันเป็นผลจากการเริ่มบังคับใช้มาตรการ Reciprocal tariffs ในวันที่ 1 ส.ค.68 ซึ่งแม้จะมีการขยาย grace period แล้ว แต่การขนส่งทางเรือไปสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาการขนส่งขั้นต่ำ 30 วัน ทำให้ธุรกิจจำนวนมาก ไม่สามารถจัดส่งสินค้าไปถึงท่าเรือสหรัฐฯ ได้ทันตามกำหนดเวลา ส่งผลให้ความเชื่อมั่นด้านการผลิตปรับลดลงมาก นำโดยกลุ่มผลิตพลาสติก อาหาร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติก ทูน่ากระป๋อง และเครื่องปรับอากาศ อย่างไรก็ดี กลุ่มผลิตชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ ยังเป็นกลุ่มที่ความเชื่อมั่นอยู่เหนือระดับ 50 ได้ ตามผลดีของ data center และวัฎจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อ โดยเฉพาะ semiconductors และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนความเชื่อมั่นภาคที่มิใช่การผลิต ปรับลดลงจากเดือนก่อนในเกือบทุกหมวดธุรกิจ นำโดยกลุ่มการค้าที่ความเชื่อมั่นปรับลดลงในเกือบทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะด้านปริมาณการค้าสินค้าอุปโภคบริโภค ตามกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอ ยกเว้นกลุ่มโรงแรม และร้านอาหารที่ความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ตามผลดีของโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" ของภาครัฐ ที่ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 และต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัญหา safety concern (อินโฟเควสท์)
      ไทยเร่งเพิ่มดีกรีล้างบาง "สินค้าสวมสิทธิ์" หลังสหรัฐฯ ปิดดีลภาษี-จับตาเข้ม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ภายหลังไทยและสหรัฐฯ ได้มีข้อตกลงเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งที่ต้องเร่งพิจารณาต่อ คือ เรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ผ่านทาง (transshipment) ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ แสดงความกังวลค่อนข้างมาก โดยในส่วนของไทย หลังจากนี้ต่อไป มองว่าจะต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มวดมากขึ้น ซึ่งได้มอบหมายให้กรมศุลกากร เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าที่ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดในไทยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสินค้าขาเข้าเพื่อจะมาทำการผลิตในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลต่อตัวรายได้ของกรมศุลกากร โดยยังไม่ได้ประเมินว่ารายได้จะหายไปเท่าไร แต่ไม่อยากให้มองหรือให้ความสำคัญแค่เรื่องรายได้ที่จะปรับลดลงเพียงอย่างเดียว โดยอยากชี้ให้เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวนั้นช่วยทำให้การค้าขายกับสหรัฐฯ มีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยทำให้สามารถจัดเก็บภาษีอื่น ๆ ได้มากขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นในมิติต่าง ๆ ด้วย สำหรับกระบวนการหลังจากนี้ จะต้องส่งเรื่องให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบก่อน ซึ่งอาจจะไม่ทันในวันที่ 5 ส.ค.นี้ และหลังจากนั้นจะต้องมีการรายงานต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาระหว่างประเทศที่จะต้องให้สภาฯ ผ่านความเห็นชอบด้วย ทั้งนี้ ปัญหาของไทยในเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ คือ การติดตามและการกำกับดูแลที่อาจจะยังไม่เข้มข้นเท่าที่ควร ดังนั้นจะต้องมาพิจารณาเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมา ไทยอาจจะเน้นอำนวยความสะดวก เนื่องจากไทยอยากได้เรื่องการลงทุน (อินโฟเควสท์)
      ผู้เลี้ยงหมูฯ ส่งเสียงถึงรัฐบาลขอคำมั่นไม่เปิดเสรีนำเข้าในการเจรจาภาษีทรัมป์รอบถัดไป นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เพื่อขอให้รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่มีการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐฯ และไม่มีแผนที่จะเจรจาในครั้งต่อไป โดยเนื้อหาระบุว่า ตามที่รัฐบาลเปิดเผยหลังการเจรจาว่า สหรัฐอเมริกา ประกาศเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าจากไทย ที่อัตรา 19% และเปิดเสรีสินค้าให้กับสหรัฐฯ นับหมื่นรายการ และจากคำถามตามสื่อสาธารณะทั่วไป นายพิชัย ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจา เปิดเผยว่าสุดท้ายของการเจรจาอาจมีการเปิดตลาดสินค้าสุกรให้กับสหรัฐฯ หรือไม่? ปัจจุบัน ภาคปศุสัตว์ให้ความร่วมมืออย่างดีกับการรองรับวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ผลิตในประเทศ ในระดับราคาที่เกษตรกรไม่ขาดทุน แม้ว่าระดับราคาดังกล่าว จะทำให้ต้นทุนการผลิตภาคปศุสัตว์ และสุกรสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ราคาผลผลิตสินค้าปศุสัตว์และสุกรให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในด้านการจำกัดราคาในช่วงที่เกินต้นทุน โดยเกษตรกรจะมีการบริหารจัดการกันเองในช่วงที่ราคาขายต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งมีลักษณะนี้มาตลอด นายสิทธิพันธ์ กล่าวว่า ปริมาณการผลิตสุกร และความต้องการบริโภคในประเทศ อยู่ในระดับที่มีส่วนเกินผลผลิตอยู่ในระดับหนึ่ง และยังคงต้องดูแลบริหารจัดการ Supply ส่วนเกิน เพื่อรักษาระดับราคาให้มีเสถียรภาพ ให้ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยสามารถประกอบอาชีพต่อได้ กลุ่มผู้เลี้ยงสุกร 12 รายใหญ่ จึงได้ร่วมลงนามทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่จะไม่เพิ่มปริมาณการผลิตสุกรให้สอดคล้องกับการบริโภคภายในประเทศ (อินโฟเควสท์)
      ไทย-สหรัฐ เตรียมออกแถลงการณ์ร่วมบรรลุข้อตกลงภาษี ก่อนเปิดรับฟังความเห็น ชงครม.-สภาฯ ไฟเขียว นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ว่า ภายหลังจากสหรัฐฯ ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่จะจัดเก็บกับสินค้านำเข้าจากไทยในอัตรา 19% ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 เป็นต้นไป และคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษได้เห็นชอบข้อตกลงร่วมระหว่างไทย-สหรัฐฯ ไปแล้วนั้น ขณะนี้ ไทยอยู่ระหว่างจัดทำแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ และลงนามร่วมกัน เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่าทั้ง 2 ประเทศเห็นชอบในหลักการ ที่จะทำงานร่วมกันต่อไปในเรื่องภาษีตอบโต้ หลังจากนั้น รอให้สหรัฐฯ นัดเวลาเจรจารายละเอียดของประเด็นต่าง ๆ และนำไปสู่การจัดทำเป็นความตกลงระหว่างกัน แต่ก่อนที่ไทยจะลงนามความตกลงดังกล่าว จะนำรายละเอียดต่าง ๆ ที่เจรจาแล้วมาหารือ และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน จากนั้นจะขอความเห็นชอบจากครม.อีกครั้ง รวมถึงรัฐสภาตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนข้อกังวลของเกษรตรกรผู้เลี้ยงสุกร รวมถึงภาคประชาสังคมกรณีที่ไทยจะต้องแก้ไขกฎหมาย หรือกฎ ระเบียบต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามที่เจรจากับสหรัฐฯได้ เช่น หากจะนำเข้าเนื้อหมู ที่สหรัฐฯ ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยง ขณะที่กฎหมายของไทยห้ามใช้เด็ดขาด และห้ามไม่ให้มีสิ่งปนเปื้อนในเนื้อหมู และผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดนั้น นายฉันทวิชญ์ กล่าวว่า จะต้องมีการเจรจากับสหรัฐฯ ก่อน และนำข้อมูลรายละเอียดของการเจรจา มาหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในประเทศต่อไป อย่างไรก็ดี ยืนยันว่า ขณะนี้ไทย-สหรัฐฯ เพียงเห็นชอบในหลักการร่วมกัน ยังไม่ได้ข้อสรุปสุดท้าย และยังไม่มีอะไรที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย เพราะยังต้องมีการเจรจาในรายละเอียดอีกมาก ก่อนที่จะทำเป็นความตกลงที่มีผลทางกฎหมาย (อินโฟเควสท์)
      "หมอมิ้ง" ปัดข่าวนายกฯ ชิงลาออก ชี้ส่งหนังสือแจงศาลรธน.ปมคลิปเสียงแล้ว ยันเจตนาบริสุทธิ์ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาปมคลิปเสียงสนทนาเรื่องปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลังจากได้มีการขยายเวลาเป็นครั้งที่ 2 เรียบร้อยแล้ว โดยอยู่ระหว่างนำส่งศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ในเรื่องของข้อเท็จจริงและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงข้อกฏหมาย ทางพรรคเพื่อไทยได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และในคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีได้แก้ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่พูดถึงจริยธรรมอย่างชัดเจน โดยคำชี้แจงได้อธิบายถึงความบริสุทธิ์ใจ ความตั้งใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ต้องการให้ประเทศพ้นวิกฤตในเรื่องความรุนแรง ซึ่งถือเป็นเจตนาสำคัญ รวมถึงทางทหารที่ได้ชี้แจงต่อทูต และที่กระทรวงต่างประเทศชี้แจงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และสถานการณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ คลี่คลาย แต่มีความพยายามทำให้เกิดความรุนแรง ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นผู้นำต้องปรึกษากับฝ่ายทหาร กองทัพ และสภาความมั่นคงแห่งชาติอย่างรอบคอบ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้เราคาดการณ์ว่าเจตนารมณ์ของเราถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม ก็ขอให้รอคำตัดสินของศาล พร้อมกันนี้ยังปฏิเสธกระแสข่าวนายกรัฐมนตรีอาจตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง "ไม่มี เราดำเนินการตามกฏหมาย และยืนยันความถูกต้องของเรา" นพ.พรหมินทร์ กล่าว ส่วนคดีอาญานั้น หากมีการร้องที่ใดก็ต้องไปแก้ข้อกล่าวหา แต่ยืนยันเจตนารมย์ว่าไม่มีอะไรผิด (อินโฟเควสท์)
      เก้าอี้รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ร้อน! "กล้าธรรม" เปิดศึกชิง "เพื่อไทย" จากกรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งถอดถอนออกจากตำแหน่ง สส.เชียงราย และถูกเพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากกระทำผิดรัฐธรรมนูญ กรณีโยกงบประมาณลงพื้นที่เลือกตั้งของตัวเอง ทำให้นายพิเชษฐ์ต้องพ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ด้วย ซึ่งต้องมีการจัดการเลือกใหม่ โดยล่าสุด พรรคกล้าธรรม เตรียมเสนอชื่อนายสะถิระ เผือกประพันธ์ สส.ชลบุรี ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยถือว่าตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ยืนยันโควต้ารองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นของพรรคเพื่อไทย ส่วนกรณีที่พรรคกล้าธรรมเตรียมเสนอชื่อนั่งโควต้าตำแหน่งนี้ นายวิสุทธ์ มั่นใจว่า กรณีดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล แม้เสียงของรัฐบาลจะอยู่ในสถานะปริ่มน้ำก็ตาม ส่วนรายชื่อที่พรรคเพื่อไทยเตรียมไว้ ต้องรอผลสรุปจากที่ประชุมพรรคเพื่อไทยในวันพรุ่งนี้ตอนเย็น ซึ่งต้องมีการโหวตกันภายในพรรคและให้เป็นมติของที่ประชุมพรรค (อินโฟเควสท์)
      ไทย-กัมพูชา: ธอส. พักหนี้ให้ลูกค้าในพื้นที่ชายแดน/กยศ. ระงับหนี้ให้ทหารกล้า นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. มีความห่วงใยประชาชน ที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา จึงได้ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมครอบคลุมลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะ NPL ผ่าน "มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์พิพาทชายแดนไทย - กัมพูชา" จำนวน 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 สำหรับลูกค้าที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร หรือหลักประกันได้รับความเสียหายทั้งหลัง จนไม่สามารถพักอาศัยได้ โดยเดือนที่ 1-12 ได้รับอัตราดอกเบี้ย 0% พร้อมปลอดการผ่อนชำระเงินงวด จากนั้นให้ผ่อนชำระอัตราดอกเบี้ย 0.01% ตลอดระยะเวลาคงเหลือ มาตรการที่ 2 สำหรับลูกค้าที่บาดเจ็บสาหัส หรือหลักประกันได้รับความเสียหาย สามารถประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี โดยเดือนที่ 1 - 12 ได้รับอัตราดอกเบี้ย 0% พร้อมปลอดการผ่อนชำระเงินงวด เดือนที่ 13 - 60 ได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.01% และผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อผ่อนชำระครบกำหนดแล้ว ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมของลูกค้าก่อนใช้มาตรการนี้ มาตรการที่ 3 สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ ให้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี โดยเดือนที่ 1 - 6 ได้รับอัตราดอกเบี้ย 0% และผ่อนชำระเงินงวด 1,000 บาท โดยนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด เดือนที่ 7 - 12 ได้รับอัตราดอกเบี้ย 1% ผ่อนชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน บวก 100 บาท และเมื่อผ่อนชำระครบกำหนดแล้ว ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมของลูกค้าก่อนใช้มาตรการนี้ (อินโฟเควสท์)
      BOI เปิด 2 มาตรการใหม่! "เครดิตภาษี" รับมือกติกาใหม่ภาษีโลก-ส่งเสริมสตาร์ทอัพกลุ่ม Deep Tech นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้เห็นชอบการแก้ไข พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ.2560 ที่อยู่ภายใต้บีโอไอ เพื่อเพิ่มเครื่องมือสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไป เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และจูงใจให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง บีโอไอจึงเสนอปรับแก้กฎหมายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ที่อยู่ภายใต้บีโอไอ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ในรูปแบบเครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credit: QRTC) ซึ่งเป็นเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนตามแนวทางที่ OECD ยอมรับเพื่อให้ประเทศไทยมีเครื่องมือดึงดูดการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ สามารถรักษาฐานการผลิตในอุตสาหกรรมเป้าหมายควบคู่กับการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ ๆ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับเครดิตภาษี (QRTC) เป็นการอนุญาตให้นำเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เช่น การวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง การยกระดับมาตรฐาน การลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และความยั่งยืน ไปใช้คำนวณเป็นเครดิต ซึ่งเครดิตดังกล่าวสามารถนำไปใช้ชำระภาษีต่าง ๆ แทนเงินสด เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีส่วนเพิ่ม หรือภาษีอากรอื่นตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และหากผู้ได้รับการส่งเสริมใช้เครดิตภาษีนั้นแล้ว แต่ยังมีคงเหลือ สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ภายใน 4 ปี ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด (อินโฟเควสท์)
      ก.พลังงาน เดินหน้าตั้งบอร์ด PDP ชุดใหม่ ยกระดับพลังงานสะอาด โปร่งใส เป็นธรรม น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เตรียมแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ เพื่อยกระดับการจัดการพลังงานของประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความต้องการใช้พลังงานของประชาชนในอนาคต โดยเฉพาะจากภาคประชาชนและพลังงานหมุนเวียน โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดทำแผน PDP ที่มีความโปร่งใส เป็นอิสระ และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะข้อมูลจากการเปิดรับฟังความเห็นต่อร่างแผน PDP 2024 เมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ที่มีข้อเสนอแนะสำคัญหลายประเด็น เช่น สัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสม ความพร้อมของโครงข่ายไฟฟ้า การเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคต ตลอดจนความเร่งด่วนในการบรรจุเทคโนโลยีพลังงานใหม่อย่าง SMR เข้าสู่ระบบ ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ยังได้ชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 ถึงแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากภาคประชาชนและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยยืนยันว่า แผน PDP ชุดใหม่นี้จะให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดเป็นลำดับแรก พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน และสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายในการผลักดันโรงไฟฟ้าชุมชนขนาดเล็ก เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทในการผลิตพลังงานได้จริง และกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนพลังงานของประเทศในอนาคต ทั้งนี้ คาดว่าแผน PDP ฉบับใหม่จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และจะถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการยกระดับระบบพลังงานไทย (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 11.07 จุดขึ้นมาดีกว่าคาดรีบาวด์ระยะสั้นตามภูมิภาค-หวัง Fund Flow ไหลเข้า SET ปิดวันนี้ที่ 1,229.40 จุด เพิ่มขึ้น 11.07 จุด (+0.91%) มูลค่าซื้อขาย 44,358.92 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ขึ้นมาดีกว่าคาด ภาพรวมรีบาวด์ระยะสั้นใกล้เคียงกับภูมิภาคฟื้น รวมทั้งคาดหวังกระแส Fund Flow แนะติดตาม บจ.รายงานงบ Q2/68 และครึ่งเดือนหลังติดตามการเมืองไทย ช่วงนี้ตลาดให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเป็นพิเศษ โดยเฉพาะดัชนี PMI ภาคบริการ โดยให้กรอบแนวรับ 1,220-1,215 จุด แนวต้าน 1,238 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีผันผวนในกรอบช่วงเช้าก่อนปรับขึ้นช่วงบ่าย โดยทำระดับสูงสุด 1,231.11 จุด และต่ำสุด 1,212.68 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 193 หลักทรัพย์ ลดลง 255 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 203 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.43/45 แข็งค่าต่อเนื่องสอดคล้องภูมิภาค คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.35-32.55 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.43/45 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.50/52 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหว Sideway down ในกรอบ 32.43 - 32.52 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทเคลื่อนไหวตามราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า ทั้งนี้ เงินบาทยังเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาค สำหรับคืนนี้ยังไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.35 - 32.55 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 57,684 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 57,684 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 1,204 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 798 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 447 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.3% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02% (อินโฟเควสท์)  
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุม ญี่ปุ่น 
      • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.ค.จาก Jibun Bank ญี่ปุ่น 
      • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ค.จากไฉซิน จีน
      • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.ค.จาก HCOB ฝรั่งเศส
      • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.ค.จาก HCOB เยอรมนี
      • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.ค.จาก HCOB ยุโรป
      • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.ค.จาก S&P Global อังกฤษ
      • ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
      • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.ค.จาก S&P Global สหรัฐฯ
      • ดัชนีภาคบริการเดือนก.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) สหรัฐฯ

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.