• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Edutainment
      3. กลยุทธ์ Hedging กับการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ

      กลยุทธ์ Hedging กับการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ

      กลยุทธ์ Hedging กับการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ

      กองทุนรวมต่างประเทศ หรือ Foreign Investment Funds (FIF)ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในหมู่นักลงทุนไทย เนื่องจากเปิดโอกาสให้เข้าถึงโอกาสการลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มการกระจายความเสี่ยง และโอกาสในการสร้างผลตอบแทน

      อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโอกาสที่น่าสนใจเหล่านี้ อีกปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนไทยต้องไม่ลืมคำนึงถึง คือ “ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” (FX risk) เนื่องจากกองทุน FIF ที่จัดตั้งในประเทศไทยจำเป็นต้องรายงานมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเป็นสกุลเงินบาท
       
      ดังนั้น ไม่ว่าผลการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศจะออกมาดีเพียงใด สุดท้ายผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจริง ก็ยังขึ้นอยู่กับว่าค่าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าในช่วงเวลานั้นมากน้อยเพียงใดด้วย

      ค่าเงินกับผลตอบแทนของ FIF
      ผลกระทบของค่าเงินต่อการลงทุน FIF นั้นไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด เพื่อความเข้าใจง่าย ขอให้เริ่มมองจากภาพใหญ่ 2 ข้อนี้ คือ
      1. ถ้าเงินบาท “แข็งค่า“ ผลตอบแทนในช่วงนั้นเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะ ”ได้น้อยลง“
      2. ถ้าเงินบาท ”อ่อนค่า“ ผลตอบแทนในช่วงนั้นเมื่อแปลงกลับมาจะ “ได้มากขึ้น”

      ตัวอย่างการคำนวน (แบบคร่าว ๆ)
      - สมมติว่า หุ้นสหรัฐฯ ทำกำไรได้ 5% ในเดือนใดเดือนหนึ่ง และในช่วงเดียวกันนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าจาก 36 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 35 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นประมาณ 2.8%
      - ผลตอบแทนของกองทุนหุ้นสหรัฐฯ จะได้ 5% หักบาทแข็งค่าออก 2.8% เหลือกำไรสุทธิราว 2.2%

      จากข้างต้นจะเห็นว่า แม้สินทรัพย์ต่างประเทศทำกำไรได้ถึง 5% แต่สุดท้ายเมื่อนำกลับมาเป็นเงินบาท ผลตอบแทนจริงจะเหลือเพียง 2.2% เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากเงินบาทอ่อนค่า ผลตอบแทนที่นักลงทุนไทยได้รับก็อาจสูงกว่าผลตอบแทนจริงของสินทรัพย์ต่างประเทศได้เช่นกัน

      “FX Hedging” เครื่องมือป้องกันความผันผวน
      ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวนนี้ FIF หลายกองทุนมักจะเลือกใช้ “กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน” (Hedging) ซึ่งโดยทั่วไปคือการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (forward contracts) กับธนาคารพาณิชย์คู่สัญญา เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าไปในอนาคต ซึ่งระดับการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินของแต่ละกองทุนจะขึ้นอยู่กับ “Hedge Ratio” หรือสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (ดูได้จาก factsheet ของกองทุน) เช่น
      • Hedge Ratio = 0% (Unhedged) หมายถึง ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเลย ผลตอบแทนจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง หรืออ่อนอย่างเต็มที่
      • Hedge Ratio = 50% (Partial Hedge) หมายถึง มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินครึ่งหนึ่งของพอร์ต ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยังมีความเสี่ยงค่าเงินอยู่
      • Hedge Ratio = 100% (Fully Hedged) หมายถึง ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเต็มจำนวน ซึ่งผลตอบแทนจะสะท้อนเฉพาะสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่เท่านั้น ไม่ขึ้นกับค่าเงิน

      ตัวอย่าง: หุ้นสหรัฐฯ ทำผลตอบแทน 5% ขณะที่เงินบาทแข็งค่าประมาณ 3% เทียบดอลลาร์
      • กรณีที่ไม่ Hedge เลย (0%) จะได้ผลตอบแทนประมาณ 2% (หุ้นได้ 5% หักบาทแข็ง 3% เหลือสุทธิราว 2%)
      • กรณีที่ Hedge 50% จะได้ผลตอบแทนประมาณ 3.5% (หุ้นได้ 5% หักบาทแข็ง มีผลกึ่งหนึ่ง 1.5% เหลือสุทธิราว 3.5%) 
      • กรณีที่ Hedge เต็ม 100% ได้ผลตอบแทนเต็ม +5% (ไม่มีหักผลของบาทแข็ง)

      จะสังเกตได้ว่า Hedging สามารถลดความผันผวนของผลตอบแทนได้จริง แต่ก็แลกมากับการที่นักลงทุนอาจ “พลาดโอกาส” หากเงินบาทเป็นทิศทางอ่อนค่า ซึ่งในกรณีนั้น กองทุนที่ไม่ Hedge จะได้ผลตอบแทนมากกว่า

      ต้นทุนของกลยุทธ์ Hedging
      อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้ คือ “Hedging ไม่ได้ฟรี” เนื่องจากราคาของการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (forward contracts) จะขึ้นอยู่กับ “อัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต” ซึ่งแปรผันได้จากหลายปัจจัย โดยปัจจัยที่มักมีอิทธิพลมากที่สุด คือ “ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย” ของสองสกุลเงิน เช่น
      • ถ้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ สูงกว่าไทย นักลงทุนจะมีต้นทุนที่ต้องจ่ายในการทำ Hedging จากการแปลงสกุลเงิน USD กลับมาเป็น THB
      • ต้นทุน Hedging สามารถประมาณได้เท่ากัน (แบบคร่าวๆ) คือ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ หักด้วยอัตราดอกเบี้ยของไทย
      ตัวอย่าง:
      - ดอกเบี้ยสหรัฐฯ = 5% ต่อปี
      - ดอกเบี้ยไทย  = 2% ต่อปี
      - ต้นทุน Hedging  ≈ 3% ต่อปี

      ดังนั้น ถึงแม้ว่า Hedging จะช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนกองทุนจากค่าเงินได้ แต่ก็สามารถทำให้ผลตอบแทนสุทธิลดลงได้เช่นกัน หากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงมาก ต้นทุน Hedging ก็อาจสูงตามจนกดผลตอบแทนของกองทุนที่มี Hedge Ratio สูงๆ ให้ได้ผลตอบแทนต่ำกว่ากองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเลย

      “อย่าลืมตรวจสอบ” ก่อนลงทุน FIF
      ก่อนการตัดสินใจลงทุน FIF นักลงทุนควรตรวจทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ดูผลตอบแทนย้อนหลังหรือธีมการลงทุนเท่านั้น
      1. นโยบาย Hedging ของกองทุน → ทำหรือไม่ทำ Hedging
      2. สัดส่วน Hedge ratio → ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ (0%, 50%, 70% หรือเต็มจำนวน) ซึ่งข้อมูลนี้ดูได้จาก Factsheet ที่เปิดเผยต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
      3. ต้นทุน Hedging ปัจจุบัน → ประเมินได้จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่ลงทุนกับไทย

      บทสรุป
      การเลือกตลาดหรือธีมที่ใช่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการลงทุน FIF แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องไม่ละเลยคือการทำความเข้าใจนโยบาย Hedging ของแต่ละกองทุน ทั้งด้านสัดส่วน Hedge ratio และต้นทุนการป้องกันความเสี่ยง เพราะทั้งหมดนี้ ต่างมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่จะได้รับจริง

      คำเตือน : ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน 

      ผู้เขียน : เขมรัฐ ทรงอยู่
      รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
      บลจ.กรุงไทย
       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      19
      December
      2025
      ของขวัญสำหรับนักลงทุนจากลุงใจดี กับช่วงเวลาแห่ง “Santa Claus Rally”
      Read more
      News Demo
      12
      December
      2025
      Dollar Smile Theory พฤติกรรมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจสุดขั้ว
      Read more
      News Demo
      04
      December
      2025
      Gold Demand ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังความต้องการทองคำของโลก
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.