กลยุทธ์ Hedging กับการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ
กองทุนรวมต่างประเทศ หรือ Foreign Investment Funds (FIF)ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในหมู่นักลงทุนไทย เนื่องจากเปิดโอกาสให้เข้าถึงโอกาสการลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มการกระจายความเสี่ยง และโอกาสในการสร้างผลตอบแทน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโอกาสที่น่าสนใจเหล่านี้ อีกปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนไทยต้องไม่ลืมคำนึงถึง คือ “ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” (FX risk) เนื่องจากกองทุน FIF ที่จัดตั้งในประเทศไทยจำเป็นต้องรายงานมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเป็นสกุลเงินบาท
ดังนั้น ไม่ว่าผลการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศจะออกมาดีเพียงใด สุดท้ายผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจริง ก็ยังขึ้นอยู่กับว่าค่าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าในช่วงเวลานั้นมากน้อยเพียงใดด้วย
ค่าเงินกับผลตอบแทนของ FIF
ผลกระทบของค่าเงินต่อการลงทุน FIF นั้นไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด เพื่อความเข้าใจง่าย ขอให้เริ่มมองจากภาพใหญ่ 2 ข้อนี้ คือ
1. ถ้าเงินบาท “แข็งค่า“ ผลตอบแทนในช่วงนั้นเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะ ”ได้น้อยลง“
2. ถ้าเงินบาท ”อ่อนค่า“ ผลตอบแทนในช่วงนั้นเมื่อแปลงกลับมาจะ “ได้มากขึ้น”
ตัวอย่างการคำนวน (แบบคร่าว ๆ)
- สมมติว่า หุ้นสหรัฐฯ ทำกำไรได้ 5% ในเดือนใดเดือนหนึ่ง และในช่วงเดียวกันนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าจาก 36 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 35 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นประมาณ 2.8%
- ผลตอบแทนของกองทุนหุ้นสหรัฐฯ จะได้ 5% หักบาทแข็งค่าออก 2.8% เหลือกำไรสุทธิราว 2.2%
จากข้างต้นจะเห็นว่า แม้สินทรัพย์ต่างประเทศทำกำไรได้ถึง 5% แต่สุดท้ายเมื่อนำกลับมาเป็นเงินบาท ผลตอบแทนจริงจะเหลือเพียง 2.2% เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากเงินบาทอ่อนค่า ผลตอบแทนที่นักลงทุนไทยได้รับก็อาจสูงกว่าผลตอบแทนจริงของสินทรัพย์ต่างประเทศได้เช่นกัน
“FX Hedging” เครื่องมือป้องกันความผันผวน
ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวนนี้ FIF หลายกองทุนมักจะเลือกใช้ “กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน” (Hedging) ซึ่งโดยทั่วไปคือการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (forward contracts) กับธนาคารพาณิชย์คู่สัญญา เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าไปในอนาคต ซึ่งระดับการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินของแต่ละกองทุนจะขึ้นอยู่กับ “Hedge Ratio” หรือสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (ดูได้จาก factsheet ของกองทุน) เช่น
• Hedge Ratio = 0% (Unhedged) หมายถึง ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเลย ผลตอบแทนจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง หรืออ่อนอย่างเต็มที่
• Hedge Ratio = 50% (Partial Hedge) หมายถึง มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินครึ่งหนึ่งของพอร์ต ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยังมีความเสี่ยงค่าเงินอยู่
• Hedge Ratio = 100% (Fully Hedged) หมายถึง ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเต็มจำนวน ซึ่งผลตอบแทนจะสะท้อนเฉพาะสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่เท่านั้น ไม่ขึ้นกับค่าเงิน
ตัวอย่าง: หุ้นสหรัฐฯ ทำผลตอบแทน 5% ขณะที่เงินบาทแข็งค่าประมาณ 3% เทียบดอลลาร์
• กรณีที่ไม่ Hedge เลย (0%) จะได้ผลตอบแทนประมาณ 2% (หุ้นได้ 5% หักบาทแข็ง 3% เหลือสุทธิราว 2%)
• กรณีที่ Hedge 50% จะได้ผลตอบแทนประมาณ 3.5% (หุ้นได้ 5% หักบาทแข็ง มีผลกึ่งหนึ่ง 1.5% เหลือสุทธิราว 3.5%)
• กรณีที่ Hedge เต็ม 100% ได้ผลตอบแทนเต็ม +5% (ไม่มีหักผลของบาทแข็ง)
จะสังเกตได้ว่า Hedging สามารถลดความผันผวนของผลตอบแทนได้จริง แต่ก็แลกมากับการที่นักลงทุนอาจ “พลาดโอกาส” หากเงินบาทเป็นทิศทางอ่อนค่า ซึ่งในกรณีนั้น กองทุนที่ไม่ Hedge จะได้ผลตอบแทนมากกว่า
ต้นทุนของกลยุทธ์ Hedging
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้ คือ “Hedging ไม่ได้ฟรี” เนื่องจากราคาของการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (forward contracts) จะขึ้นอยู่กับ “อัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต” ซึ่งแปรผันได้จากหลายปัจจัย โดยปัจจัยที่มักมีอิทธิพลมากที่สุด คือ “ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย” ของสองสกุลเงิน เช่น
• ถ้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ สูงกว่าไทย นักลงทุนจะมีต้นทุนที่ต้องจ่ายในการทำ Hedging จากการแปลงสกุลเงิน USD กลับมาเป็น THB
• ต้นทุน Hedging สามารถประมาณได้เท่ากัน (แบบคร่าวๆ) คือ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ หักด้วยอัตราดอกเบี้ยของไทย
ตัวอย่าง:
- ดอกเบี้ยสหรัฐฯ = 5% ต่อปี
- ดอกเบี้ยไทย = 2% ต่อปี
- ต้นทุน Hedging ≈ 3% ต่อปี
ดังนั้น ถึงแม้ว่า Hedging จะช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนกองทุนจากค่าเงินได้ แต่ก็สามารถทำให้ผลตอบแทนสุทธิลดลงได้เช่นกัน หากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงมาก ต้นทุน Hedging ก็อาจสูงตามจนกดผลตอบแทนของกองทุนที่มี Hedge Ratio สูงๆ ให้ได้ผลตอบแทนต่ำกว่ากองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเลย
“อย่าลืมตรวจสอบ” ก่อนลงทุน FIF
ก่อนการตัดสินใจลงทุน FIF นักลงทุนควรตรวจทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ดูผลตอบแทนย้อนหลังหรือธีมการลงทุนเท่านั้น
1. นโยบาย Hedging ของกองทุน → ทำหรือไม่ทำ Hedging
2. สัดส่วน Hedge ratio → ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ (0%, 50%, 70% หรือเต็มจำนวน) ซึ่งข้อมูลนี้ดูได้จาก Factsheet ที่เปิดเผยต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
3. ต้นทุน Hedging ปัจจุบัน → ประเมินได้จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่ลงทุนกับไทย
บทสรุป
การเลือกตลาดหรือธีมที่ใช่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการลงทุน FIF แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องไม่ละเลยคือการทำความเข้าใจนโยบาย Hedging ของแต่ละกองทุน ทั้งด้านสัดส่วน Hedge ratio และต้นทุนการป้องกันความเสี่ยง เพราะทั้งหมดนี้ ต่างมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่จะได้รับจริง
คำเตือน : ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน : เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย