คู่มือวางแผนการเงินครบทุกช่วงวัย
จากเริ่มต้นทำงาน…สู่การเกษียณอย่างมั่นคง
การวางแผนทางการเงินไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบได้ทันที แต่เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตาม life-style เป้าหมายการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละบุคคล ซึ่งมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ การเข้าใจสิ่งเหล่านี้จึงถือเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบพอร์ตการลงทุนและการออมที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเองได้
เนื้อหาต่อไปนี้จะช่วยสรุปแนวทางที่ง่ายและชัดเจนสำหรับมนุษย์เงินเดือน ที่อยากเริ่มต้นการออมควบคู่การลงทุน ผ่านการอธิบายเหตุผลและกลยุทธ์ที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยดังนี้
ช่วงอายุ 20s: วางรากฐานและใช้ประโยชน์จาก “เวลา”
วัยเริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นช่วงที่พอร์ตการลงทุนยังมีขนาดเล็ก ความผันผวนที่เกิดขึ้นจึงอาจไม่กระทบมากนัก ในขณะเดียวกัน การรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น เช่น ลงทุนในหุ้นมากกว่า 70–80% อาจเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตระยะยาว เพราะยังมีเวลารอการฟื้นตัวของตลาดหลังจากวิกฤติต่าง ๆ ได้ โดยวิธีการดังนี้
• สร้างเงินออมฉุกเฉิน ที่มีเงินสดสำรอง 3–6 เดือน เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
• เริ่มลงทุนตั้งแต่เนิ่น ๆ ในหุ้นหรือกองทุนรวมที่เน้นสัดส่วนการลงทุนในหุ้น เพื่อให้ผลของดอกผลทบต้น (compounding effect) ได้เริ่มทำงาน ซึ่งถือว่ายังไม่เสี่ยงมากเกินไป สำหรับพอร์ตการลงทุนที่ยังมีขนาดเล็ก
• หลีกเลี่ยงการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสูงกว่าผลตอบแทนที่สร้างได้จากพอร์ตการลงทุน เพราะจะทำให้การออมเพื่อการลงทุนชะงักได้
• สร้างรายได้เสริม โดยใช้พลังงานและเวลาของวัยนี้ในการหารายได้เพิ่มและพัฒนาทักษะใหม่ ๆ อีกทั้ง ยังช่วยให้ผลของการเก็บเงินและ compounding effect ทำงานเร็วขึ้น
ช่วงอายุ 30s: การสร้างความมั่นคงและการสะสมทุน
เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น และมีภาระครอบครัวรวมถึงที่อยู่อาศัยเริ่มชัดเจนขึ้น จึงควรเน้นสร้างความสมดุลระหว่างการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับการขยายพอร์ต โดยการ
• ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่ โดยอาจลงทุนในกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อลดหย่อนภาษีและสะสมเงินเพื่อเกษียณไปพร้อมกัน
• กระจายพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มสัดส่วนของตราสารหนี้, REITs, ทองคำ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาหุ้นเพียงอย่างเดียว
• เริ่มต้นสร้าง Passive Income โดยอาจพิจารณาหุ้นปันผล กองทุนอสังหาฯ หรือทรัพย์สินที่มีโอกาสสร้างรายได้สม่ำเสมอ
• บริหารความเสี่ยงผ่านประกันภัย ประกันชีวิต และประกันสุขภาพ ซึ่งจะช่วยปกป้องฐานะการเงินจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด และป้องกันไม่ให้แผนการลงทุนระยะยาวพังลงมา
ช่วงอายุ 40s: เพิ่มประสิทธิภาพและปกป้องพอร์ต
ในช่วงวัยนี้ รายได้เริ่มอยู่ในระดับสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งการศึกษาบุตร ผ่อนบ้าน และค่าใช้จ่ายครอบครัว ดังนั้นพอร์ตจึงควรมุ่งเน้นความมั่นคงมากขึ้น โดยการ
• ปรับสมดุลพอร์ต โดยอาจลดสัดส่วนหุ้นลงบางส่วน เพิ่มตราสารหนี้และกองทุนรวมตลาดเงินเพื่อคงเสถียรภาพ หรืออาจพิจารณาสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ให้กระแสเงินสดมั่นคงมาเสริมอีกทางหนึ่ง
• เร่งออมเพื่อการเกษียณ โดยใช้การออม/การลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่ เพราะเวลาก่อนเกษียณเหลือน้อยลง
• วางแผนทำบัญชี ควบคุมค่าใช้จ่ายครอบครัว และควรวางแผนจัดการค่าใช้จ่ายที่มีขนาดใหญ่อย่างมีระบบ เช่น การศึกษาบุตร
• ศึกษาและทบทวนพอร์ตเป็นระยะ โดยประเมินทุก 1–2 ปีเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและเป้าหมายส่วนตัว เนื่องจากขนาดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้อาจจะมีมูลค่ารวมถึง 1 ใน 3 ของเงินที่เก็บออมเพื่อใช้หลังเกษียณ
ช่วงอายุ 50s และหลังเกษียณ การเปลี่ยนจากการสะสมสู่การใช้ประโยชน์
ควรปรับเป้าหมายจากการสะสมไปสู่การปกป้องและนำผลตอบแทนมาใช้จ่าย โดยเน้นรายได้ที่มั่นคงและลดความเสี่ยง ดังนี้
• เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสด และ passive income เช่น พันธบัตร หุ้นปันผลสูง และ REITs เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายประจำ
• บางรายอาจต้องการทำงานอยู่ถึงแม้จะเกษียณแล้ว ก็ควรทำงานด้วยรูปแบบงานที่มีความยืดหยุ่น แต่ยังสามารถหาประโยชน์จากทักษะที่สั่งสมมาได้ เช่น ที่ปรึกษา หรือฟรีแลนซ์ เพื่อรักษารายได้และลดแรงกดดันต่อเงินออม
• วางแผนภาษีจากการรับเงิน/การขายกองทุน RMF หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อลดภาระภาษีและสอดคล้องกับเป้าหมายการใช้จ่ายหลังจากนี้
• บริหารสภาพคล่อง ควรสำรองเงินสดหรือสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น หรือทองคำ เพื่อรับมือค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด
กลยุทธ์ง่าย ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้น DCA ในกองทุนผสมจาก KTAM
หากยังไม่แน่ใจว่าจะลงทุนอย่างไร การใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) ด้วยการลงทุนในจำนวนเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นหนึ่งในคำตอบที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุน ซึ่งกลยุทธ์ DCA นี้ จะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวน ทั้งยังช่วยสร้างวินัยทางการเงิน และช่วยให้ไม่ต้องกังวลกับการจับจังหวะตลาด โดยได้แนะนำกลุ่มกองทุน “มั่ง มี ศรี สุข” ซึ่งเป็นกองทุนประภท Fund of Funds ที่ใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบ Asset Allocation กระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก
กลุ่มกองทุน “มั่ง มี ศรี สุข” (ความเสี่ยงระดับ 5)
เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (กองทุนปลายทาง) ทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV โดยกองทุนปลายทางดังกล่าวมีนโยบายลงทุนทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ ทรัพย์สินทางเลือก และ / หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นใดตามที่ กฎหมาย ก.ล.ต. กําหนด ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งไม่เกินร้อยละ 79 ของ NAV โดยสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ มูลค่าของทรัพย์สินที่กองทุนลงทุน อาจมีความเคลื่อนไหวไปตามสภาวะตลาดในขณะนั้น ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าหรือมากกว่าอัตราผลตอบแทนที่กําหนดเป็นตัวชี้วัดได้ โดยระยะเวลาลงทุนที่เหมาะสมควรเป็นการลงทุนในระยะกลาง-ยาว
1. ช่วงอายุ 20s: แนะนำ DCA กองทุน KTMUNG
กองทุนเปิดกรุงไทยมั่งคั่ง (KTMUNG) เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง* ประมาณการสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 75% ตราสารหนี้ 15% ตราสารทางเลือก 10% เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการเติบโตระยะยาว
2. ช่วงอายุ 30s: DCA กองทุน KTMEE
กองทุนเปิดกรุงไทยมีทรัพย์ (KTMEE) เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง* แต่ยังคงเน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเป็นหลัก ประมาณการสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 50% ตราสารหนี้ 40% ตราสารทางเลือก 10% เหมาะสำหรับผู้ที่ยังต้องการการเติบโต พร้อมลดความเสี่ยงจากความผันผวนของหุ้น
3. ช่วงอายุ 40s: DCA กองทุน KTSRI
กองทุนเปิดกรุงไทยศรีสิริ (KTSRI) เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง* โดยเน้นสัดส่วนหุ้นไม่เกินครึ่งหนึ่งของพอร์ต ช่วยให้ความเสี่ยงและความผันผวนลดลง ประมาณการสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 25% ตราสารหนี้ 65% ตราสารทางเลือก 10% เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความผันผวน และเตรียมพร้อมสู่แผนการเงินหลังวัยเกษียณ
4. ช่วงอายุ 50s: DCA ในกองทุน KTSUK
กองทุนเปิดกรุงไทยสุขใจ (KTSUK) เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ* โดยเน้นลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้เป็นสัดส่วนหลักของกองทุน ประมาณการสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 10% ตราสารหนี้ 80% ตราสารทางเลือก 10% เหมาะสำหรับผู้ที่ใกล้เกษียณหรือเน้นรักษาเงินต้นเป็นหลัก
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของกองทุนข้างต้นเป็นกรอบการลงทุนโดยเฉลี่ยระยะยาวซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุนได้
หมายเหตุ *ไม่ใช่ระดับความเสี่ยงตามผลประเมิน Suitability Test
5. หลังอายุ 55 ปี การเปลี่ยนผ่านสู่ความมั่นคงเต็มรูปแบบ
เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 55 ปีขึ้นไป ผู้ลงทุนพิจารณาปรับพอร์ตใหญ่อีกครั้ง โดยทยอยขายกองทุนผสมที่ถืออยู่ โดยเฉพาะตัวที่มีหุ้นเยอะ แล้วย้ายไปลงทุนในกองทุนความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งการทยอยขายในปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดี ก็อาจจะช่วยล็อกผลตอบแทนรวม (lock-in gains) ไว้ในระดับที่น่าพอใจ
ด้วยกลยุทธ์นี้ พอร์ตจะมีเสถียรภาพสูงสุด สามารถวางแผนเพื่อกระจายความเสี่ยงได้ง่าย พร้อมโอกาสสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอสำหรับวัยเกษียณ
สรุป: ทำไม DCA กับกองทุนตามช่วงวัยจึงเป็นแนวทางที่ดี
- สอดคล้องกับวัฏจักรชีวิต: ปรับพอร์ตให้เหมาะกับศักยภาพการรับความเสี่ยงในแต่ละช่วงอายุ
- สร้างวินัยในการออม: ลงทุนสม่ำเสมอป้องกันการใช้จ่ายเกินจำเป็น
- ลดความเครียดจากตลาด: ไม่ต้องคอยจับจังหวะตลาด
- สร้างเสถียรภาพเมื่อใกล้เกษียณ: ลดสัดส่วนหุ้นลงเพื่อปกป้องพอร์ต
- ทางออกที่มั่นคงหลังอายุ 55 ปี: ย้ายไปกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อรักษาเงินต้นและความมั่นคงของชีวิตหลังเกษียณ
ข้อคิดส่งท้าย
สุดท้ายนี้ ต้องไม่ลืมว่าผู้ลงทุนแต่ละคนมีระดับการรับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน บางคนสบายใจกับความผันผวนสูง บางคนชอบความมั่นคงมากกว่า ดังนั้นกลยุทธ์ในบทความนี้จึงเป็นเพียง “แนวทาง” ไม่ใช่ “สูตรตายตัว”
หากผู้ลงทุนรู้จักตัวเองดีพอ ก็สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนตามอายุที่ควรปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริงของตัวเองได้เสมอ จุดสำคัญคือ ควรทำให้แผนการเงินนั้น “ใช้งานได้จริง” และ “สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตระยะยาว”
คำเตือน : กองทุนนี้มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือจะได้รับกำไรจาก อัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน : เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย