• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านสูงกว่าคาดในเดือนมิ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 4.6% สู่ระดับ 1.321 ล้านยูนิตในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.290 ล้านยูนิต ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 1.397 ล้านยูนิตในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.390 ล้านยูนิต (อินโฟเควสท์)
      ม.มิชิแกนเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงกว่าคาดในเดือนก.ค. ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 61.8 ในเดือนก.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 61.4 จากระดับ 60.7 ในเดือนมิ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ  ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 5.0%   นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.6% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 4.0% (อินโฟเควสท์)
      ต่างชาติรุกซื้อบอนด์สหรัฐฯ อีกครั้งในเดือนพ.ค. หลังเทขายเดือนเม.ย.เหตุวิตกภาษีทรัมป์ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ว่า ต่างชาติถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.045 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. จากระดับ 9.013 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. และเพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว  ทั้งนี้ นับเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่ต่างชาติถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นมูลค่าสูงกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประเทศต่าง ๆ ยกเว้นจีน ได้หันมาถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ลดการถือครองลงในเดือนเม.ย. ต่างชาติเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวม 1.46 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ต่างจากในเดือนเม.ย.ที่เทขายออกมา 4.08 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากมาตรการภาษีที่ไม่แน่นอนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความปั่นป่วนในตลาด โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรเพื่อเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์ทรุดตัวลง อีกทั้งทำให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ตกอยู่ในความผันผวน  ข้อมูลของกระทรวงการคลังระบุว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้ถือพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด โดยอยู่ที่ 1.135 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนสหราชอาณาจักรถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 2 โดยถือครองเพิ่มขึ้นแตะระดับ 8.094 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 8.077 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. ส่วนจีนซึ่งเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่อันดับ 3 ได้ลดการถือครองพันธบัตรลงสู่ระดับ 7.563 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2552 และลดการถือครองติดต่อกันเดือนที่ 4 (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" ฟาด "พาวเวล" อีกครั้ง ฉุนไม่ลดดอกเบี้ยเหลือ 1% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social วันนี้ โดยเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย  ทั้งนี้ ในการโพสต์ข้อความใน Truth Social ปธน.ทรัมป์มักเรียกนายพาวเวลว่า "นายสายเกินไป" (Too Late) " "นายสายเกินไป" และเฟด กำลังทำร้ายตลาดที่อยู่อาศัยด้วยการใช้อัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาว ซื้อบ้านได้ยากมาก เขาเป็นหนึ่งในคนที่ผมแต่งตั้งแล้วสร้างความผิดหวังมากที่สุด ขณะที่ "โจ ไบเดน" เห็นว่าเขาแย่แค่ไหน แต่ก็ยังแต่งตั้งเขาอีกครั้ง และคณะกรรมการเฟดก็ไม่ทำอะไรเลยเพื่อหยุดยั้ง "คนหัวทึบ" คนนี้ไม่ให้ทำร้ายประชาชนจำนวนมาก ซึ่งคณะกรรมการเฟดเองก็ต้องรับผิดชอบด้วย!"   "เศรษฐกิจสหรัฐกำลังไปได้สวย เงินเฟ้อก็ต่ำมาก เราควรมีดอกเบี้ยแค่ 1% เท่านั้น ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยได้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ผมพูดไม่ออกเลยว่า "นายสายเกินไป" โง่แค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่มากสำหรับประเทศของเรา!" ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความใน Truth Social (อินโฟเควสท์)
      ผู้ว่าการเฟดหนุนหั่นดอกเบี้ยเดือนนี้ กังวลตลาดแรงงานอ่อนแอกระทบศก. คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ เพื่อพยุงตลาดแรงงาน หลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอลง วอลเลอร์กล่าวในงานเสวนาซึ่งมันนี มาร์เก็ตเทียร์ส (Money Marketeers) จัดขึ้นที่นครนิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ว่า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้เป้าหมายของเฟด และความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นนั้นเป็นไปอย่างจำกัด เฟดจึงไม่ควรรอให้ตลาดแรงงานย่ำแย่ลงก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ วอลเลอร์กล่าวว่า เขาเชื่อว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 29-30 ก.ค.นี้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเขามองว่าตลาดแรงงานมีความเสี่ยงที่จะอ่อนแอลงลงอีก ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่เพียงพอในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ วอลเลอร์กล่าวว่า การคาดการณ์เงินเฟ้อยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งค่าจ้างยังปรับตัวขึ้นไม่เร็วนัก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า การจ้างงานภาคเอกชนในเดือนมิ.ย.ชะลอตัวลง เช่นเดียวกับการขยายตัวของค่าจ้าง แม้ว่าอัตรารว่างงานปรับตัวลงเล็กน้อยก็ตาม โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ การวิเคราะห์ตลาดแรงงานมีความซับซ้อนเนื่องจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ได้ดำเนินการกวาดล้างผู้อพยพเข้าเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่แรงงานต่างด้าวในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก การแสดงความเห็นของวอลเลอร์ สอดคล้องกับที่มิเชล โบว์แมน รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของเฟดได้ส่งสัญญาณเปิดกว้างในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้เช่นกัน (อินโฟเควสท์)
      รมว.คลังเตือนทรัมป์ไม่ควรปลดพาวเวล หวั่นผลกระทบเศรษฐกิจ-การเมือง สื่อท้องถิ่นสหรัฐฯ รายงานว่า สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้เตือนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ให้สั่งปลดเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก่อนครบวาระในกลางปีหน้า โดยชี้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบทั้งในตลาดการเงิน และสร้างปัญหาทางกฎหมายและการเมืองที่ไม่เคยมีมาก่อน แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดระบุว่า เบสเซนต์เตือนว่า การปลดพาวเวลก่อนครบวาระอาจทำให้ตลาดมีปฏิกิริยาไม่ดี และกระทบต่อความมั่นคงของระบบการเงิน อีกทั้ง เบสเซนต์ยังมองว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ ซึ่งทำให้การปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น รายงานระบุว่า ท่าทีของเบสเซนต์แตกต่างจากที่ปรึกษาคนอื่นๆ ของทรัมป์ ซึ่งในช่วงหลังได้เพิ่มความรุนแรงในการวิจารณ์พาวเวลอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะกรณีโครงการปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดมูลค่ากว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ก็ดี การปลดประธานเฟดก่อนครบวาระถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และอาจก่อให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายรุนแรงจนต้องยกขึ้นสู่ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ทั้งนี้ ทำเนียบขาวและกระทรวงการคลังยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อรายงานดังกล่าว (อินโฟเควสท์)
      สภาล่างสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายตัดงบช่วยเหลือต่างชาติ-สื่อสาธารณะ ตามใบสั่งทรัมป์ วันนี้ (18 ก.ค.) สภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายตัดลดงบประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับสื่อสาธารณะและความช่วยเหลือต่างประเทศ ตามข้อเสนอของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวได้ถูกส่งไปยังทำเนียบขาวเพื่อรอการลงนามแล้ว ที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเฉียดฉิว 216 ต่อ 213 เสียง โดยร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นฉบับที่ผ่านการแก้ไขจากวุฒิสภา ซึ่งได้ยกเว้นการตัดงบประมาณราว 400 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการป้องกันเอชไอวี/เอดส์ระดับโลก (PEPFAR) ไว้ ในการลงมติครั้งนี้ มีสมาชิกสภาฯ จากพรรครีพับลิกันเพียง 2 คนที่โหวตสวนมติพรรค สส.ที่สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวมองว่า ทางสภาได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อตัดรายจ่ายสิ้นเปลือง โดยเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่สู่เสถียรภาพทางการคลัง ขณะที่ผู้คัดค้านแย้งว่า การตัดงบครั้งนี้บั่นทอนความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของคนในชาติและทำลายซอฟต์พาวเวอร์ของอเมริกาในเวทีโลก และจะทำให้ชาวอเมริกันในชนบทเข้าถึงข้อมูลฉุกเฉินผ่านวิทยุสาธารณะได้ยากขึ้น การลงมติครั้งนี้ล่าช้าไปหลายชั่วโมง เนื่องจากความขัดแย้งภายในพรรครีพับลิกันเอง เกี่ยวกับประเด็นการเปิดเผยเอกสารของเจฟฟรีย์ เอปสตีน นักการเงินผู้ฉาวโฉ่และผู้กระทำผิดทางเพศซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เพื่อให้การลงมติเดินหน้าต่อได้ พรรครีพับลิกันจึงยื่นมติแยกต่างหากเพื่อเรียกร้องให้อัยการสูงสุดเปิดเผยเอกสารดังกล่าว แต่มตินี้กลับถูกแกนนำเดโมแครตวิจารณ์ว่า เป็นเพียงแถลงการณ์ที่ไร้ผลในทางปฏิบัติ นี่นับเป็นครั้งที่สองที่ร่างกฎหมายนี้ผ่านสภาผู้แทนฯ ด้วยคะแนนเสียงที่สูสี โดยเมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ร่างฯ ฉบับเดิมเคยผ่านไปได้ด้วยคะแนน 214-212 เสียง ทำให้ครั้งนี้พรรครีพับลิกันตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักที่จะต้องผ่านร่างฉบับแก้ไขของวุฒิสภาให้ได้ภายในวันนี้ มิฉะนั้นรัฐบาลทรัมป์จะถูกบังคับให้ต้องใช้จ่ายงบประมาณก้อนนี้ตามกฎหมายเดิม งบประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกตัดไป คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด 6.8 ล้านล้านดอลลาร์ โดยพรรครีพับลิกันอ้างว่า งบช่วยเหลือต่างชาติถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง ส่วนงบสื่อสาธารณะ 1 พันล้านดอลลาร์ก็สนับสนุนสื่อที่มีอคติต่อฝ่ายอนุรักษนิยม ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) วุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมายนี้ด้วยคะแนน 51-48 เสียง โดยมีวุฒิสมาชิกจากรีพับลิกันเพียง 2 คนที่คัดค้าน (อินโฟเควสท์)
      "พาวเวล" ร่อนจดหมายชี้แจงรัฐบาลทรัมป์ ปมใช้งบปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ส่งจดหมายถึงรัสเซล วอจ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและงบประมาณ (OMB) ในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการใช้งบประมาณที่สูงในการปรับปรุงอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดในกรุงวอชิงตัน โดยพาวเวลกล่าวว่าโครงการบูรณะอาคารสำนักงานใหญ่ของเฟดมีขอบเขตงานที่กว้างขวาง และเกี่ยวข้องกับการยกระดับความปลอดภัยหลายด้าน รวมถึงการกำจัดสารที่เป็นอันตราย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วอจได้กล่าวหาว่าพาวเวลกำกับดูแลการปรับปรุงอาคารที่ "หรูหราฟุ่มเฟือย" และมีค่าใช้จ่ายสูง พร้อมเรียกร้องคำตอบจากพาวเวลเกี่ยวกับคำถามหลายชุดเกี่ยวกับโครงการนี้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นโจมตีล่าสุดจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้ พาวเวลระบุในจดหมายที่ส่งถึงวอจว่า "เรียนคุณวอจ ... อาคารทั้งสองหลังจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมโครงสร้างที่สำคัญและการปรับปรุงอื่น ๆ เพื่อให้เป็นสถานที่ทำงานที่ปลอดภัย สุขภาพดี และมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการกำจัดแร่ใยหินและการปนเปื้อนสารตะกั่ว การเปลี่ยนระบบเก่าทั้งหมด เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา ระบบทำความร้อน ระบายอากาศและเครื่องปรับอากาศ รวมถึงระบบตรวจจับและระงับอัคคีภัย" ทั้งนี้ พาวเวลกล่าวว่า งบประมาณของโครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติประจำปีโดยคณะกรรมการเฟด และผู้ตรวจการของเฟดสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนและรายละเอียดอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ (อินโฟเควสท์)
      ทรัมป์ลงนามกฎหมายกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ฉบับแรกของสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามในกฎหมาย Guiding and Establishing National Innovation for U.S. Stablecoins Act (GENIUS Act) ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของสหรัฐฯ ที่กำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ โดยพิธีลงนามจัดขึ้นที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนมิ.ย. และผ่านสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยทรัมป์ซึ่งสนับสนุนกฎหมายนี้มาโดยตลอด ได้เข้าแทรกแซงเพื่อเกลี้ยกล่อมให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนจากพรรครีพับลิกันโหวตเห็นชอบกับร่างกฎหมายนี้ ทรัมป์กล่าวว่า GENIUS Act สร้างกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจนและเรียบง่าย เพื่อปลดล็อกศักยภาพมหาศาลของสเตเบิลคอยน์ที่อ้างอิงค่าเงินดอลลาร์ นี่อาจเป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีการเงินครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่อินเทอร์เน็ตถือกำเนิด ตามกฎหมายนี้ สเตเบิลคอยน์ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ผูกค่าไว้กับเงินดอลลาร์หรือสกุลเงินที่รัฐบาลออก จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และสำนักงานกำกับดูแลสกุลเงิน (OCC) นอกจากนี้ ผู้ออกสเตเบิลคอยน์ต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์สำรองเป็นประจำ ซึ่งประกอบด้วยเงินสด เงินฝากกระแสรายวัน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และ สินทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติอื่น ๆ ทรัมป์ยังระบุว่า เขาต้องการผลักดันให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางคริปโทเคอร์เรนซีของโลก โดยการใช้สเตเบิลคอยน์จะช่วยเพิ่มความต้องการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดอัตราดอกเบี้ย และรักษาสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก ปัจจุบัน สเตเบิลคอยน์ที่อ้างอิงค่าเงินดอลลาร์มีมูลค่าตลาดรวมราว 2.50 แสนล้านดอลลาร์ และส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นสินทรัพย์กลางในการซื้อขาย หรือใช้เป็นเครื่องมือเข้าถึงเงินดอลลาร์ในประเทศที่ประสบภาวะเงินเฟ้อรุนแรงหรือปัญหาทางการเงิน (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 142.30 จุด วิตกข่าวทรัมป์จ่อรีดภาษี EU 15-20% ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (18 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากตลาดฟื้นตัวจากแรงกดดันระยะสั้นที่เกิดจากรายงานของไฟแนนเชียลไทมส์ ซึ่งระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลักดันให้มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป (EU) ในอัตราสูง รายงานของไฟแนนเชียลไทมส์ระบุว่า รัฐบาลทรัมป์กำลังเตรียมเก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำที่ 15% ถึง 20% ในการทำข้อตกลงกับ EU ส่งผลให้ตลาดร่วงลงก่อนฟื้นตัวบางส่วนในเวลาต่อมา ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,342.19 จุด ลดลง 142.30 จุด หรือ -0.32%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,296.79 จุด ลดลง 0.57 จุด หรือ -0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,895.66 จุด เพิ่มขึ้น 10.01 จุด หรือ +0.05% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 20 เซนต์ ตลาดประเมินข่าวศก.สหรัฐฯ-EU คว่ำบาตรรัสเซีย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันศุกร์ (18 ก.ค.) ท่ามกลางปัจจัยข่าวเศรษฐกิจและประเด็นภาษีของสหรัฐฯ ที่ผสมผสานกัน รวมถึงความกังวลด้านอุปทานน้ำมัน หลังสหภาพยุโรป (EU) ประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมจากกรณีสงครามในยูเครน ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 67.34 ดอลลาร์/บาร์เรล  ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 24 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 69.28 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่า ตลาดเก็งเฟดลดดอกเบี้ย-จับตาภาษีทรัมป์ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (18 ก.ค.) แต่ยังคงปรับตัวขึ้นได้ในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนจับตาท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ท่ามกลางสัญญาณว่าภาษีนำเข้าอาจเริ่มเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงวิจารณ์ เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.26% แตะที่ระดับ 98.481 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $13 อานิสงส์ดอลล์อ่อน-แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (18 ก.ค.) เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจยังคงหนุนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 13.00 ดอลลาร์ หรือ 0.39% ปิดที่ 3,358.30 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
      บอนด์ยีลด์ร่วง นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ณ เวลา 21.14 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.437% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 5.001% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      EU อนุมัติมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดใหม่ ลดเพดานราคาน้ำมัน, มุ่งเป้าภาคธนาคาร สหภาพยุโรป (EU) บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดที่ 18 ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยครอบคลุมการปรับลดเพดานราคาน้ำมันดิบของรัสเซีย และขยายขอบเขตการคว่ำบาตรไปยังภาคส่วนสำคัญอื่น ๆ เพื่อลดขีดความสามารถในการทำสงครามของรัสเซียต่อยูเครน เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า มาตรการนี้ "กำลังโจมตีหัวใจของเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย" โดยมุ่งเป้าไปที่ภาคธนาคาร พลังงาน และอุตสาหกรรมทหาร พร้อมเสริมว่ามาตรการนี้รวมถึงการปรับลดเพดานราคาน้ำมัน แต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ EU คนใดระบุชัดเจนถึงระดับของเพดานราคาใหม่ อย่างไรก็ดี สื่อต่างประเทศรายงานอ้างแหล่งข่าวทางการทูตว่า มาตรการใหม่นี้จะลดเพดานราคาน้ำมันดิบของรัสเซียจาก 60 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ราว 45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาด โดยมีจุดประสงค์เพื่อจำกัดรายได้จากการขายน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจและงบประมาณที่ใช้ในการทำสงคราม นอกจากนี้ ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ EU คว่ำบาตรโรงกลั่นน้ำมันในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท Rosneft ผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียด้วย ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากสโลวาเกียประกาศพร้อมสนับสนุนแพ็กเกจนี้ หลังจากที่เคยใช้สิทธิยับยั้ง (Veto) มาแล้วถึง 6 ครั้ง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการยุติการพึ่งพาก๊าซรัสเซีย โดยนายกรัฐมนตรี โรเบิร์ก ฟิโก ของสโลวาเกีย ซึ่งยังคงพึ่งพาก๊าซรัสเซียอย่างมาก กล่าวว่า ตัวเลือกในการเจรจาได้หมดลงแล้ว และการขัดขวางต่อไปจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ พร้อมเผยด้วยว่า EU ได้ให้คำมั่นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแก่สโลวาเกีย เกี่ยวกับแผนการยุติการใช้ก๊าซรัสเซียเพื่อแลกกับการสนับสนุน ด้านเดนิส ชมีฮาล รัฐมนตรีกลาโหมยูเครน ขานรับมาตรการคว่ำบาตรชุดที่ 18 ของ EU โดยกล่าวว่า "ทุกมาตรการกัดกร่อนขีดความสามารถในการทำสงครามของผู้รุกราน" (อินโฟเควสท์)
      ปธ.แบงก์ชาติเยอรมนีเตือน ภาษีสหรัฐฯ เสี่ยงทำเศรษฐกิจประเทศถดถอย โยอาคิม นาเกิล ประธานธนาคารกลางเยอรมนี หรือบุนเดสแบงก์ กล่าวในวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ว่า ภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) ในอัตราที่สูงขึ้นนั้น อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี  เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปและเม็กซิโก ในอัตรา 30% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศการตัดสินใจดังกล่าว ธนาคารกลางเยอรมนีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเผชิญกับภาวะชะงักงันในปี 2568 ก่อนที่จะเติบโตเล็กน้อยที่ 0.7% ในปี 2569 อย่างไรก็ตาม นาเกิลเตือนว่า อัตราภาษีที่สูงขึ้นอาจทำให้แนวโน้มดังกล่าวแย่ลงอย่างมาก โดยสื่อท้องถิ่นรายงานคำกล่าวของเขาว่า "ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่ว่าเยอรมนีจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2568" และเสริมว่า ภาษีที่สูงขึ้นอาจลดโอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตในปี 2569 ธนาคารกลางเยอรมนีระบุในรายงานประจำเดือนที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (16 ก.ค.) ว่า เศรษฐกิจของเยอรมนียังคงแสดงสัญญาณอ่อนแอให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยถึงแม้ว่างบประมาณปี 2568 ของรัฐบาลกลางเยอรมนีจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่น แต่ธนาคารกลางเยอรมนีระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจล่าช้าออกไป เนื่องจากความไม่แน่นอนภายนอกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยคุกคามจากอุปสรรคทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรง (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: ตลาดหุ้นยุโรปทรงตัว นักลงทุนจับตาผลประกอบการ-นโยบายภาษีสหรัฐ ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันศุกร์ (18 ก.ค.) เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นเฮลท์แคร์ขนาดใหญ่ถูกชดเชยด้วยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ หลังการซื้อขายในสัปดาห์นี้เป็นไปอย่างคึกคักท่ามกลางกระแสการประกาศผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ทั่วยุโรป ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 547.00 จุด ลดลง 0.03 จุด หรือ -0.01% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,822.67 จุด เพิ่มขึ้น 0.67 จุด หรือ +0.01%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,289.51 จุด ลดลง 81.42 จุด หรือ -0.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,992.12 จุด เพิ่มขึ้น 19.48 จุด หรือ +0.22% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 19.48 จุด ขานรับแนวโน้มลดดอกเบี้ย-ผลประกอบการแกร่ง ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ในวันศุกร์ (18 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนมองข้ามความกังวลทางเศรษฐกิจและหันไปจับตาทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ขณะที่รายงานผลประกอบการเชิงบวกของหลายบริษัทช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,992.12 จุด เพิ่มขึ้น 19.48 จุด หรือ +0.22% และปรับตัวขึ้น 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้ (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่น
      ญี่ปุ่นเผย Core CPI เดือนมิ.ย.เพิ่ม 3.3% เหตุราคาอาหารแพงขึ้น กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารเปิดเผยในวันนี้ (18 ก.ค.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของญี่ปุ่นในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสาเหตุหลักมาจากราคาอาหารที่สูงขึ้น ดัชนีเงินเฟ้อดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าหรือเท่ากับเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มาตั้งแต่เดือนเม.ย. 2565 อย่างไรก็ตาม อัตราการปรับขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วประเทศซึ่งไม่รวมอาหารสดที่มีความผันผวนนั้น ชะลอตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน หลังจากปรับตัวขึ้น 3.7% ในเดือนพ.ค.เนื่องจากราคาพลังงานลดลง  ดัชนี Core-core CPI ซึ่งไม่รวมทั้งพลังงานและอาหารสด เพื่อสะท้อนแนวโน้มราคาในระยะยาว เพิ่มขึ้น 3.4% ในเดือนมิ.ย. สำหรับราคาอาหาร (ไม่รวมอาหารสด) พุ่งขึ้น 8.2% เพิ่มขึ้นจาก 7.7% ในเดือนพ.ค. ขณะที่ราคาพลังงานเพิ่มขึ้น 2.9% ชะลอตัวจาก 8.1% ในเดือนพ.ค. สำหรับหมวดสินค้าอื่น ๆ นั้น ราคาสินค้าใช้ทนในครัวเรือนเพิ่มขึ้น 2.5% (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นเร่งถกสหรัฐฯ หวังปิดดีลเลี่ยงภาษีทรัมป์ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. เรียวเซ อากาซาวะ หัวหน้าผู้เจรจาภาษีของญี่ปุ่น เปิดเผยในวันนี้ (19 ก.ค.) ว่า เขาจะเดินทางไปกรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้าเพื่อเข้าร่วมการเจรจาระดับรัฐมนตรีเพิ่มเติมกับสหรัฐฯ โดยญี่ปุ่นตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงภายในเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้า 25% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ และสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์หลังการพบปะกันที่กรุงโตเกียวเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) ว่า ทั้งสองประเทศมีโอกาสบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่ดีได้ แต่กระบวนการอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาด เบสเซนต์เน้นย้ำว่า ข้อตกลงที่มีคุณภาพสำคัญกว่าการเร่งให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว และยังเชื่อว่าข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นไปได้ นอกจากนี้ เบสเซนต์ยังโพสต์ข้อความบน X ระบุว่า เขาหวังที่จะเดินหน้าเจรจาอย่างเป็นทางการกับญี่ปุ่นต่อไปในอนาคต (อินโฟเควสท์)
      ญี่ปุ่นเปิดคูหาเลือกตั้งวุฒิสภา ขั้วรัฐบาลลุ้นรักษาเสียงข้างมาก ญี่ปุ่นเปิดให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในช่วงเช้าวันนี้ (20 ก.ค.) โดยมีผู้สมัครรวม 522 คน ท่ามกลางการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า วุฒิสภาญี่ปุ่นประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 248 คน โดยดำรงตำแหน่งวาระละ 6 ปี และมีการเลือกตั้งทุก 3 ปี เพื่อคัดเลือกสมาชิกครึ่งหนึ่งของสภา โดยการเลือกตั้งครั้งนี้เปิดให้ลงคะแนนรวม 125 ที่นั่ง ซึ่งรวมถึง 1 ที่นั่งที่จัดการเลือกตั้งซ่อมเพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง ปัจจุบัน พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และพรรคโคเมอิโตะ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล มีที่นั่งซึ่งยังไม่ครบวาระรวม 75 ที่นั่ง ส่งผลให้รัฐบาลต้องคว้าเพิ่มอย่างน้อย 50 ที่นั่งในครั้งนี้ เพื่อรักษาเสียงข้างมากในสภาที่มีทั้งหมด 248 ที่นั่ง แม้เป้าหมายดังกล่าวอาจดูไม่สูงนักเมื่อเทียบกับฐานเสียงเดิมของรัฐบาล แต่สถานการณ์กลับไม่ง่ายสำหรับนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากคะแนนนิยมตกต่ำ ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ทั้งเงินเฟ้อและมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนต.ค. 2657 ฝ่ายรัฐบาลเพิ่งสูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาที่มีอำนาจสูงสุด ส่งผลให้อิชิบะต้องจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปีของญี่ปุ่น ด้านสื่อท้องถิ่นวิเคราะห์ว่า หากรัฐบาลไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้อีกครั้ง อาจส่งผลให้ตำแหน่งของอิชิบะสั่นคลอน และเพิ่มความยากลำบากในการบริหารประเทศ ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งระบุว่า รัฐบาลผสมมีแนวโน้มสูญเสียที่นั่งให้แก่พรรคฝ่ายค้านขนาดเล็กและกลุ่มการเมืองหน้าใหม่ โดยประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาตลอดช่วงหาเสียง 17 วันที่ผ่านมา ได้แก่ นโยบายลดภาษีบริโภค และและนโยบายเกี่ยวกับชาวต่างชาติ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 82.08 จุด นลท.หวั่นผลเลือกตั้งสว. ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (18 ก.ค.) หลังนักลงทุนส่วนใหญ่ต่างชะลอการตัดสินใจซื้อขาย เพื่อจับตาดูการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาของญี่ปุ่นที่จะมีขึ้นช่วงสุดสัปดาห์นี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,819.11 จุด ลดลง 82.08 จุด หรือ -0.21% (อินโฟเควสท์)
      จีน
      อสังหาฯ จีนยังไม่ฟื้น! นักลงทุนเมิน หุ้นร่วง-ผลประกอบการดิ่ง ความเชื่อมั่นต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงอ่อนแอ นักลงทุนจำนวนมากเริ่มไม่คาดหวังการฟื้นตัวภายในปีนี้ หลังรัฐบาลจีนยังไม่ยอมอัดฉีดมาตรการกระตุ้นขนานใหญ่ โดยมอร์แกน สแตนลีย์ประเมินว่ายอดขายอสังหาฯ จะยังซบเซาในไตรมาส 3 และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาดทำให้โอกาสออกมาตรการกระตุ้นระยะสั้นลดน้อยลง ผลกระทบจากราคาบ้านที่ร่วงเร็วขึ้นในเดือนมิ.ย. และภาวะซบเซาต่อเนื่องยาวนานถึง 4 ปี ทำให้หลายฝ่ายยังมองไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัว นักลงทุนจำนวนมากจึงเคยฝากความหวังไว้กับข่าวลือเรื่องแพ็กเกจสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งเคยดันให้หุ้นผู้พัฒนาฯ พุ่งแรงที่สุดในรอบ 5 เดือนช่วงต้นเดือนก.ค. แต่ผู้เชี่ยวชาญในฮ่องกงระบุว่า มาตรการขนาดเล็กแทบไม่ช่วยให้ภาคอสังหาฯ ดีขึ้น กระแสข่าวลืออาจสร้างแรงซื้อระยะสั้น แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงเสียงคาดเดาในตลาด ข้อมูลจาก Bloomberg ยังชี้ให้เห็นว่าความสนใจของนักวิเคราะห์ต่อหุ้นอสังหาฯ ลดลงอย่างชัดเจน โดยนักวิเคราะห์ 6 จาก 20 รายที่เคยติดตามบริษัท China Vanke ผู้พัฒนารายใหญ่ของจีน ได้หยุดอัปเดตรายงานแล้ว ขณะที่ Vanke คาดการณ์ว่าจะขาดทุนครึ่งปีแรกของปี 2568 มากถึง 1.67 พันล้านดอลลาร์ ด้านนักลงทุนรายหนึ่งกล่าวว่า เขาหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นอสังหาฯ มาตั้งแต่ปี 2557 เพราะมองว่าความต้องการที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ได้รับการตอบสนองไปแล้ว และถึงแม้นโยบายของภาครัฐจะช่วยบรรเทาภาวะซบเซาได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำให้ตลาดกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ ฟันภาษีโหด เก็บเพิ่ม 93.5% แกรไฟต์แอโนดจากจีน ตอบโต้การทุ่มตลาด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ว่าจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping Tariff) ในอัตราเบื้องต้น 93.5% ต่อสินค้าแกรไฟต์เกรดแอโนด (Anode-grade Graphite) ที่นำเข้าจากประเทศจีน โดยกระทรวงฯ สรุปว่าสินค้าดังกล่าว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ถูกนำมาขายในสหรัฐฯ ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม กระทรวงฯ ได้กำหนดอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและอัตราการวางเงินสดค้ำประกัน (cash deposit rate) ไว้ในอัตราเดียวกันที่ 93.5% สำหรับผู้ผลิตจากจีนทุกราย โดยมาตรการดังกล่าวจะครอบคลุมสินค้านำเข้าในปี 2566 ซึ่งมีมูลค่ารวม 347.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสินค้าที่เข้าข่ายมาตรการนี้ คือแกรไฟต์เกรดแอโนดที่มีความบริสุทธิ์ของคาร์บอนไม่ต่ำกว่า 90% โดยน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นแกรไฟต์สังเคราะห์ แกรไฟต์ธรรมชาติ หรือแบบผสม นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวยังเป็นคนละส่วนกับการสอบสวนเรื่องการอุดหนุนโดยรัฐบาลจีน (Anti-subsidy) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีเบื้องต้นไปแล้วเมื่อวันที่ 20 พ.ค. โดยภาษีตอบโต้การอุดหนุนดังกล่าวถูกกำหนดไว้ที่ 6.55% สำหรับผู้ผลิตส่วนใหญ่ แต่พุ่งสูงกว่า 700% สำหรับบริษัทบางแห่ง อย่างไรก็ดี อัตราภาษีทั้งสองประเภทยังเป็นเพียงอัตราเบื้องต้นเท่านั้น โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะประกาศอัตราขั้นสุดท้ายในวันที่ 5 ธ.ค. 2568 (อินโฟเควสท์)
      จีนเผยการค้าและการลงทุนกับประเทศกลุ่ม BRI ยังเข้มแข็ง หลี่ เฉิงกัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ระบุในวันนี้ (18 ก.ค.) ว่า จีนมีการค้าและการลงทุนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งกับประเทศที่เข้าร่วมโครงการหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) หรือ BRI ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลี่กล่าวว่า มูลค่าการค้ารวมระหว่างจีนและประเทศที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นจาก 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 เป็น 3.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 4.7% ปริมาณดังกล่าวคิดเป็น 50.7% ของการค้าต่างประเทศทั้งหมดของจีนในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 45.3% ในปี 2564 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2564 จนถึงครึ่งแรกของปีนี้ การลงทุนสองทางระหว่างจีนและประเทศในโครงการ BRI มีมูลค่าสะสมมากกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการลงทุนที่ไหลเข้าสู่ประเทศในโครงการ BRI กว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และไหลเข้าสู่จีนกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ    นายหลี่กล่าวว่า โครงการ BRI มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ช่วยยกระดับการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรในท้องถิ่น โดยตั้งแต่ปี 2564 ถึงครึ่งแรกของปีนี้ สัญญาโครงการวิศวกรรมในต่างประเทศของจีนมียอดรวมสะสมเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเกิดใหม่และขยายขอบเขตความร่วมมือ จีนได้ลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการลงทุนกับประเทศในโครงการ BRI กว่า 50 ประเทศในภาคส่วนสำคัญ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจสีน้ำเงิน นอกจากนี้ ความร่วมมืออีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม (Silk Road) ยังได้ขยายไปยัง 36 ประเทศพันธมิตรแล้ว (อินโฟเควสท์)
      จีนค้านแคนาดาจำกัดนำเข้าเหล็ก ชี้ขัดกฎ WTO-กระทบสัมพันธ์การค้า สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โฆษกของกระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผยระหว่างตอบคำถามสื่อมวลชนเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) ว่า จีนไม่พอใจอย่างยิ่งและคัดค้านมาตรการจำกัดการนำเข้าเหล็กของรัฐบาลแคนาดาเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังของแคนาดาประกาศใช้ระบบโควตาภาษีสำหรับการนำเข้าเหล็กในวงกว้างขึ้น และจะเข้มงวดกับโควตาเดิมที่มีอยู่ เริ่มวันที่ 1 ส.ค. เพื่อตอบโต้ต่อภาษีเหล็กของสหรัฐฯ และการผลิตเหล็กส่วนเกินของโลก โดยจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มสำหรับการนำเข้าเกินโควตา และยังจะเก็บภาษีเพิ่ม 25% สำหรับการนำเข้าเหล็กจากทุกประเทศ ยกเว้นสหรัฐฯ ที่มีการหลอมและเทเหล็กในจีน โฆษกฯ ระบุว่ามาตรการดังกล่าวขัดต่อกฎระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) บั่นทอนระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และกระทบผลประโยชน์ของจีน โดยถือเป็นตัวอย่างของเอกภาพนิยมหรือการกระทำฝ่ายเดียวและการกีดกันทางการค้าอย่างชัดเจน โฆษกฯ เปิดเผยว่า ปัญหาในอุตสาหกรรมเหล็กของแคนาดามีสาเหตุหลักมาจากมาตรการภาษีฝ่ายเดียวที่สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนด แต่รัฐบาลแคนาดากลับหลีกเลี่ยงที่จะจัดการกับปัญหาหลักดังกล่าว และพยายามโยนความรับผิดชอบไปให้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ อย่างจีน ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่มีเหตุผล ขาดพื้นฐานทางกฎหมาย และจะส่งผลเสียต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าตามปกติระหว่างจีนกับแคนาดาอย่างรุนแรง  ทั้งนี้ จีนหวังให้แคนาดาแก้ไขการกระทำที่ผิดพลาดนี้โดยทันที และยกเลิกมาตรการจำกัดต่างๆ โดยยึดมั่นในหลักการของระบบการค้าพหุภาคี และรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าโดยรวมระหว่างสองประเทศ โดยจีนจะดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบริษัทจีนอย่างเต็มที่ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 17.66 จุด รับข่าวจีนคุมเข้มสงครามราคา ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (18 ก.ค.) หลังจากคณะผู้นำจีนให้คำมั่นว่าจะดำเนินการควบคุมการทำสงครามราคา โดยมีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินฝืดภายในประเทศดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,534.48 จุด เพิ่มขึ้น 17.66 จุด หรือ +0.50% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดบวก 326.71 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกในวันนี้ (18 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากดัชนี S&P500 และ Nasdaq ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดทำนิวไฮในวันพฤหัสบดี ขานรับความแข็งแกร่งของยอดค้าปลีกสหรัฐฯ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน  ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 24,825.66 จุด เพิ่มขึ้น 326.71 จุด หรือ +1.33% (อินโฟเควสท์)
      เอเชีย และอื่นๆ
      G20 เตือนเศรษฐกิจโลกเสี่ยงจากสงครามภาษีสหรัฐฯ หนุนความร่วมมือพหุภาคี รัฐมนตรีคลังจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจเกิดใหม่ 20 ชาติ (G20) แถลงเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับ "ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นและความท้าทายที่ซับซ้อน" ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ยังไม่คลี่คลาย การประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 ซึ่งจัดขึ้น 2 วันใกล้เมืองเดอร์บัน แอฟริกาใต้ ได้ออกแถลงการณ์ร่วม ซึ่งถือเป็นเอกสารลักษณะนี้ฉบับแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2567 โดย สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม ในแถลงการณ์ระบุว่า G20 "ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความร่วมมือพหุภาคีเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่มีอยู่และที่กำลังเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก" ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อผลกระทบด้านลบจากมาตรการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์   บรรดารัฐมนตรีคลังย้ำถึงความสำคัญขององค์การการค้าโลก (WTO) ในการผลักดันประเด็นด้านการค้า ขณะที่ผู้เข้าร่วมหลายคนแสดงความไม่พอใจต่อแนวทางการดำเนินการแบบฝ่ายเดียวของทรัมป์ โดยเตือนว่าอาจกระตุ้นให้เกิดกระแสกีดกันทางการค้ามากขึ้น แถลงการณ์ยังยืนยันว่า "กฎเกณฑ์ที่ได้รับการตกลงร่วมกันภายใต้ WTO เป็นส่วนสำคัญของระบบการค้าโลก" การประชุม G20 ครั้งนี้มีขึ้นในช่วงที่กำลังใกล้เส้นตายวันที่ 1 ส.ค. สำหรับการบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีการค้าที่เข้มงวดขึ้นของสหรัฐฯ ต่อประเทศคู่ค้า นับตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ทรัมป์ซึ่งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งเมื่อเดือนม.ค. ได้แจ้งประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับอัตราภาษี "ตอบโต้" แบบเฉพาะประเทศ ส่งผลให้หลายชาติเร่งเดินหน้าการเจรจาการค้าทวิภาคี (อินโฟเควสท์)
      แคนาดาลดพึ่งพาสหรัฐฯ เร่งเจรจาการค้ากับเมอร์โคซูร์-ทำข้อตกลงหลายประเทศ รัฐบาลแคนาดากำลังเร่งหาตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาทางการค้ากับสหรัฐฯ หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์แคนาดา (7.2733 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยแคนาดามีแผนขยายข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อเพิ่มโอกาสทางการส่งออก มานินเดอร์ ซิดฮู รัฐมนตรีการค้าระหว่างประเทศของแคนาดาเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ก.ค.) ว่า ทั้งแคนาดาและประเทศสมาชิกกลุ่มเมอร์โคซูร์ (Mercosur) แสดงความสนใจร่วมกันที่จะผลักดันการเจรจาการค้าให้คืบหน้า โดยเขาได้หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของบราซิลแล้ว และต่างมีท่าทีสนับสนุนแนวทางนี้ ด้านประธานาธิบดีลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิลเคยแสดงความตั้งใจตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมาว่า อยากเร่งให้เกิดการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างกลุ่มเมอร์โคซูร์และแคนาดา ซึ่งเมอร์โคซูร์ประกอบด้วยบราซิล อาร์เจนตินา ปารากวัย และอุรุกวัย และเคยมีการเจรจากับแคนาดาหลายครั้งในอดีต ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ และทีมงานยังคงอยู่ระหว่างการเจรจากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ภายในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ซึ่งอาจช่วยลดภาษีนำเข้าสินค้าของแคนาดา นอกจากกลุ่มเมอร์โคซูร์แล้ว ซิดฮูระบุว่า แคนาดายังให้ความสำคัญกับการหารือทางการค้ากับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยยอมรับว่าจีนเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ทั้งสองประเทศกำลังเจรจาอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับอัตราภาษีสินค้านำเข้า เช่น คาโนลา เนื้อวัว อาหารสัตว์เลี้ยง และสินค้าอีกหลายรายการ ขณะเดียวกัน เขามองว่าการปรับความสัมพันธ์กับอินเดียให้ดีขึ้นถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนการค้าในอนาคต ซิดฮูกล่าวว่า ปัจจุบันแคนาดามีข้อตกลงการค้าเสรี 15 ฉบับ ครอบคลุม 51 ประเทศ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภค 1.5 พันล้านคน และรัฐบาลตั้งเป้าเดินหน้าลงนามข้อตกลงเพิ่มเติมภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเขาเพิ่งลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับเอกวาดอร์ และข้อตกลงส่งเสริมการลงทุนกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ภายใน 2 เดือนแรกของการดำรงตำแหน่ง รวมถึงกำลังหารือกับกลุ่มประเทศอาเซียน และประเทศในอินโด-แปซิฟิกอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ (อินโฟเควสท์)
      อินโดนีเซียยังถกรายละเอียดดีลทรัมป์ หวังขอยกเว้นภาษีน้ำมันปาล์ม-นิกเกิล อินโดนีเซียยังคงอยู่ระหว่างเจรจารายละเอียดข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แม้ทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียลงเหลือ 19% จากเดิม 32% โดยอินโดนีเซียกำลังขอข้อยกเว้นภาษีสินค้าส่งออกบางประเภท เช่น น้ำมันปาล์มและนิกเกิล ซูซีวิโยโน โมเกียร์โซ เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสจากกระทรวงเศรษฐกิจอินโดนีเซีย กล่าวในวันนี้ (18 ก.ค.) ว่า ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขในรายละเอียด พร้อมระบุว่า อัตราภาษี 19% ที่ตกลงกันไว้จะถูกบวกเพิ่มจากอัตราภาษีในแต่ละหมวดสินค้าที่มีอยู่เดิม   โมเกียร์โซระบุว่า อินโดนีเซียได้ยื่นข้อเสนอให้สหรัฐฯ ยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าหลักอย่างโกโก้ ยางพารา น้ำมันปาล์มดิบ และนิกเกิล ขณะเดียวกัน สินค้าเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ จะได้รับการยกเว้นจากกฎข้อบังคับให้ผู้ผลิตใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบในประเทศ (local content) ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ด้วยสัดส่วนมากถึง 85% ของน้ำมันปาล์มนำเข้าทั้งหมดในปี 2567 ในข้อตกลงดังกล่าว อินโดนีเซียยังตกลงที่จะจัดซื้อเครื่องบินจากโบอิ้ง สำหรับใช้ในสายการบินประจำชาติการูด้า อินโดนีเซีย (Garuda Indonesia) รวมถึงให้เปอร์ตามินา (Pertamina) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของอินโดนีเซีย นำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ โดยอยู่ภายใต้การพิจารณาทางธุรกิจเป็นกรณีไป  ทั้งนี้ โมเกียร์โซระบุว่า สินค้าจากสหรัฐฯ ที่นำเข้าอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเกือบทั้งหมด ยกเว้นเพียงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเนื้อหมู รวมถึงมีการผ่อนปรนข้อกำหนดด้านโควตานำเข้าสำหรับสินค้าบางประเภทด้วย (อินโฟเควสท์)
      ฮามาสเสนอปล่อยตัวประกันทั้งหมดในฉนวนกาซา แลกข้อตกลงหยุดยิงถาวร กองพลน้อยอัล-กัสซัมของกลุ่มฮามาส ประกาศว่า ฮามาสเสนอข้อตกลงแบบเบ็ดเสร็จเพื่อปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัวในฉนวนกาซา โดยแลกกับการหยุดยิงอย่างสมบูรณ์ และการที่อิสราเอลถอนกำลังทหารออกจากฉนวนกาซาอย่างสิ้นเชิง นายอาบู โอเบดา โฆษกกองพลน้อยอัล-กัสซัม เปิดเผยว่า ฮามาสได้ยื่นข้อเสนอดังกล่าวจำนวนหลายครั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่รัฐบาลอิสราเอลยังคงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว นายโอเบดากล่าวหาว่า อิสราเอลได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และได้กลับมาเปิดฉากโจมตีฉนวนกาซาอีกครั้งในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา  เขาระบุว่า ฮามาสพร้อมรับมือกับการเผชิญหน้าที่ยืดเยื้อ โดยยุทธศาสตร์ในขณะนี้จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสูญเสียต่อกองกำลังอิสราเอล การโจมตีที่สร้างผลกระทบสูง และความพยายามลักพาตัวทหารเพิ่มเติม (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 500 จุด ผิดหวังผลประกอบการ ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียร่วงลงกว่า 500 จุด หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทในกลุ่มการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,757.73 ลบ 501.52 จุด หรือ 0.61% (อินโฟเควสท์)
      ไทย  
      นักวิชาการชี้หากไทยลดภาษีนำเข้า 0% ให้สหรัฐฯ อาจเหมือนหนีเสือปะจระเข้ นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การลดภาษีให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกาในอัตรา 0% และเปิดตลาดให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อาจทำให้มีการลดกำแพงภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ลงมาในระดับใกล้เคียงกับประเทศอาเซียน อย่างเช่นเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ได้ ทำให้ลดความรุนแรงของภาษีตอบโต้ทางการค้าที่ระดับ 36% ต่อภาคส่งออกไทย ผลกระทบต่อภาคส่งออกไทยจะลดลงมาได้ไม่ต่ำกว่า 9-10 เท่า กลุ่มสินค้าที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯในสัดส่วนสูงคิดเป็น 13-14% ของจีดีพีไทย หากไทยไม่ได้ลดภาษีจากระดับ 36% เลยจะทำให้มูลค่าส่งออกไทยสูญเสียหลายแสนล้านบาทในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ด้วยการลดภาษีนำเข้า 0% เพื่อแลกกับการลดภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจจะสร้างปัญหาอีกด้านหนึ่งมีผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในที่ปรับตัวไม่ได้แข่งขันไม่ได้และผลต่อตลาดแรงงาน และปัญหาอาจใหญ่กว่าหากไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบให้ดี หวั่นสินค้าสหรัฐฯ ทะลักเฉพาะสินค้าเกษตรสหรัฐฯ อาจเพิ่มกว่า 100% กระทบผู้ผลิตภายในรุนแรง ภาวะดังกล่าวจะซ้ำเติมสถานการณ์ที่ผู้ผลิตภายในต้องเผชิญสินค้าทุ่มตลาดจากจีนอยู่แล้ว ส่วนผลกระทบของภาษีทรัมป์ต่อตลาดแรงงานไทยโดยภาพรวมยังไม่รุนแรงและยังคงอยู่ในขอบเขตจำกัด โอกาสเกิดวิกฤตการจ้างงานเกิดขึ้นในเพียง 4 สาขา คือ การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กิจการก่อสร้างและกิจการที่พักแรม กิจการบริการอาหาร จากข้อมูลการเตือนภัยด้านแรงงานของกระทรวงแรงงาน พบว่า การประมาณการโอกาสเกิดวิกฤตการจ้างงานในระยะเวลา 4 ไตรมาสข้างหน้าอยู่ที่ 25.51% ขณะที่การว่างงานของผู้ที่เคยเป็นลูกจ้างเอกชนอยู่ในเหตุการณ์ปรกติ 84.09% และมีโอกาสเกิดวิกฤตการว่างงาน 5.35% ข้อมูลสถานการณ์การจ้างงานของกระทรวงแรงงานในไตรมาสแรกมีจำนวนผู้มีงานทำ 39.38 ล้านคน คิดเป็นลูกจ้างเอกชน 16.08 ล้านคน อัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.9% มีจำนวนผู้ว่างงาน 357,731 คน อย่างไรก็ตามการชะลอตัวลงของภาคส่งออก ภาคการผลิต ภาคการลงทุน จะทำให้อัตราการว่างงานโดยรวมในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มขึ้น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อส่งเสริมการจ้างงานช่วยบรรเทาปัญหาได้ระดับหนึ่ง (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 8.74 จุด ยืนเหนือ 1,200 รับแรงซื้อต่างชาติกลับเข้าตลาด เกาะติดเจรจาไทย-สหรัฐ SET ปิดวันนี้ที่ 1,206.58 จุด เพิ่มขึ้น 8.47 จุด (+0.71%) มูลค่าซื้อขาย 53,775.57 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นรับแรงซื้อต่างชาติกลับเข้าไทยด้วย valuation ไม่แพงและยัง laggard สร้าง momentum ให้ SET ไปต่อ แนวโน้มสัปดาห์หน้าแนะติดตามความคืบหน้าการเจรจาสหรัฐหลังไทยวางข้อเสนอใหม่ และการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ รวมถึงเก็งรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้แนวต้าน 1,231-1,240 จุด แนวรับ 1,200-1,190 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,206.58 จุด เพิ่มขึ้น 8.47 จุด (+0.71%) มูลค่าซื้อขาย 53,775.57 ล้านบาท   การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งผันผวนในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับสูงสุด 1,210.01 จุด และต่ำสุด 1,195.30 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 279 หลักทรัพย์ ลดลง 186 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 186 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 73,502 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 73,502 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 1,036 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ขายสุทธิ 301 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 455 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.36% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.03% ภาพรวมของตลาดในวันนี้  Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-2 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 455 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 455 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยต่างประเทศ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตา รายงานแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาส 2/2568 จะมีการขยายตัว 2.4% หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 ขณะที่รายงานตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 221,000 ราย ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 232,000 ราย สำหรับ Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ปรับลดลง 962 ล้านบาท จาก 890,181 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 889,219 ล้านบาท ทั้งนี้ตลาดติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.39 แข็งค่าสุดในภูมิภาค ให้กรอบสัปดาห์หน้า 32.30-32.60 จับตาเจรจาภาษีสหรัฐ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.39 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจาก เปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.44 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค โดยวันนี้บาทเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ ราคาทองในตลาดโลกและปรับตัวแข็งค่าสุดในภูมิภาค ระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบ 32.36 - 32.46 บาท/ดอลลาร์ “ระหว่างวันบาทแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ ในทิศทางแข็งค่า โดยวันนี้บาทปรับตัวแข็งค่าสุดในภูมิภาค" นักบริหารเงินฯ กล่าว    นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันจันทร์ไว้ที่ 32.30 - 32.60 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
       
       
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมิ.ย.จาก Conference Board สหรัฐฯ                    

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.