เหตุเกิดจาก “กำแพง”
กับคุณดารบุษบ์ ปภาพจน์
รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2562
การงัดข้อกันระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯกับแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรส
ในการบรรจุงบประมาณก่อสร้างกำแพงสหรัฐฯ-เม็กซิโกไว้ในงบประมาณ
จนส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนต้องปิดทำการลงเป็นระยะเวลายาวนาน
ที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยกันว่า “กำแพง” ที่ว่ามีดีเพียงใดกัน
จึงทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯดึงดันที่จะสร้างขึ้นให้ได้
อันที่จริงในประวัติศาสตร์ มีกำแพงที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกที่เรารู้จักกันดี
นั่นคือ กำแพงเมืองจีน และกำแพงเบอร์ลิน เราลองมาดูกันว่ากำแพงทั้ง 2 แห่ง
ที่ว่านี้มีประโยชน์ และคุ้มค่าเพียงใดเมื่อเทียบกับกำแพงของทรัมป์
กำแพงเมืองจีนมีระยะทางรวมกันทั้งสิ้น 21,196 กม.
หรือเท่ากับขับรถไปกลับแม่สาย – เบตง ประมาณ 5 รอบ
มีความสูงอยู่ในช่วง 5 – 8 ม. ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกัน
การรุกรานของชนเผ่าซยงหนู
ซึ่งตั้งรกรากอยู่ด้านเหนือของประเทศจีน และทำให้การเก็บภาษีสินค้าจากการ
เดินทางค้าขายตามเส้นทางสายไหมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงช่วยควบคุมการอพยพของผู้คนด้วย
แม้ว่ากำแพงเมืองจีน (ซึ่งสร้างด้วยเลือดเนื้อและน้ำตา ของคนหลายยุคหลายสมัย)
จะช่วยให้จีนรอดพ้นจากการรุกรานมาได้เป็นเวลานาน แต่ในที่สุดแล้ว
ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเข้ายึดครองของชนเผ่าแมนจูไปได้ เพราะแม้จะมีกำแพง
แต่หากขาดการบริหารจัดการประเทศที่ดี และความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
กำแพงที่แข็งแกร่ง ก็ถูกเปิดออกได้โดยขุนพลผู้แปรพักตร์นั่นเอง
สำหรับกำแพงเบอร์ลิน เป็นกำแพงที่สร้างขึ้นในยุคสงครามเย็น
เพื่อป้องกันการข้ามเขตแดนของคนเยอรมันตะวันออก
ไปยังเยอรมันตะวันตก โดยมีความยาวทั้งสิ้น 155 กม. และสูง 3.6 ม.
แม้จะมีระยะทางไม่ยาวนัก
แต่เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เพื่อขวางกั้นความพยายามหนีไปยังโลกเสรีโดยตรง
จึงต้องมีหอคอยสำหรับตรวจตราอีก 302 แห่ง
และมีการวางกับระเบิดไว้โดยรอบอีกถึง 55,000 ลูก
ยังไม่รวมทหารซึ่งได้รับอนุญาตให้ยิงคนที่พยายามข้ามพรมแดนได้ทันที
โดยตลอดระยะเวลา 28 ปี คาดว่ามีคนที่ประสบความสำเร็จในการ
หนีข้ามกำแพงกว่า 5 พันคน
(ในจำนวนนี้ เป็นการ์ดที่เฝ้ากำแพงถึง 1,300 คน)
และถูกฆ่าคากำแพงอีกประมาณ 192 – 239 คน โดยในที่สุดแล้ว
กำแพงแห่งความอัปยศนี้ก็ถูกทำลายลงอย่างราบคาบภายหลังการสิ้นสุด
ของสงครามเย็น นับได้ว่าเป็นกำแพงที่ใช้ต้นทุนมหาศาลในการสร้าง
และดูแลรักษา โดยไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับมนุษยชาติเลยก็ว่าได้
กลับมาที่กำแพงของประธานาธิบดีทรัมป์กันบ้าง
จริงๆแล้วสหรัฐฯและเม็กซิโกมีรั้วกั้นอยู่แล้วเป็นระยะทาง 1,044.46 กม.
ตาม พรบ. รั้วเพื่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
(Secure Fence Act of 2006)
ออกในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้ลูก โดยมีวัตถุประสงค์
ในการป้องกันผู้อพยพชาวเม็กซิโกเข้าประเทศเช่นเดียวกัน
มีต้นทุนในการสร้างประมาณ 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
และคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอีกประมาณ 1 พันล้านเหรียญฯ
ตลอด 20 ปีข้างหน้า ไม่นับรวมต้นทุนการลาดตระเวน
และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจจับ
ซึ่งรั้วที่ว่านี้ก็มิได้ทำให้ผู้อพยพลดละความพยายามแต่อย่างใด
โดยในระหว่างปี 2010 – 2015 มีรายงานการบุกรุกถึง 9,287 ครั้ง
และมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรั้วเป็นจำนวนเงินเฉลี่ย 784 เหรียญฯ
ต่อการบุกรุกแต่ละครั้ง
นอกจากนี้ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ได้ระบุว่าระหว่างปี 2006 – 2010 รั้วนี้สามารถลดจำนวนผู้อพยพ
ลงเพียง 0.6% หรือ 83,000 คนเท่านั้น
ทั้งยังส่งผลให้รายได้ของแรงงานอเมริกันที่จบมหาวิทยาลัยลดลง
4.35 เหรียญฯ/ปี ในขณะที่แรงงานอเมริกันที่มีการศึกษาต่ำกว่านั้น
ได้ประโยชน์เฉลี่ยเพียง 36 เซนต์/คนเท่านั้น
โดยการศึกษานี้พิจารณาทั้งผลกระทบโดยตรงจากการสร้างกำแพง
ที่มีผลต่อต้นทุนการอพยพ และผลกระทบโดยอ้อมที่มีต่อแรงงาน
ผ่านเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งสรุปได้ว่า
“ต้นทุนการสร้างกำแพงนั้นสูงกว่าประโยชน์ที่ได้รับ
แม้เมื่อพิจารณาถึงแรงงานอเมริกันที่ด้อยทักษะแล้วก็ตาม”
แค่รั้วยังไม่คุ้มขนาดนี้
แล้วกำแพงของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีระยะทางกว่า 3,200 กม.
สร้างด้วยเหล็กกล้า และมีความสูงเกือบ 17 เมตร
ยิ่งสร้างความสงกาให้กับผู้คนว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษให้กับ
เศรษฐกิจสหรัฐฯมากกว่ากัน
คงต้องจับตาดูกันต่อไป ว่ากำแพงนี้จะเป็นอีกหนึ่ง
ในหน้าประวัติศาสตร์ด้านใดต่อไปในอนาคต