กรณีที่ผู้ถือหน่วยลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนที่ถือน้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน ให้ถือว่าผู้ถือหน่วยลงทุนปฏิบัติผิดเงื่อนไข เหมือนกับการผิดเงื่อนไขแบบการขายคืนก่อนกำหนด โดยจะต้องชำระคืนภาระทางภาษีทุกประการ ถึงแม้จะยังไม่เคยใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก็ตาม
หมายเหตุ: ถ้าผู้ถือหน่วยทำการขายคืนหน่วยลงทุนโดยถือหน่วยลงทุนมากกว่า 7 ปีปฏิทิน แต่ไม่เคยใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ตั้งแต่ปีที่มีการลงทุน ถือว่าผู้ถือหน่วยปฏิบัติผิดเงื่อนไขและต้องชำระคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีตั้งแต่ปีที่มีสิทธิได้รับประโยชน์
หมายเหตุ: ถ้าผู้ถือหน่วยทำการขายคืนหน่วยลงทุนโดยถือหน่วยลงทุนมากกว่า 7 ปีปฏิทิน แต่ไม่เคยใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ตั้งแต่ปีที่มีการลงทุน ถือว่าผู้ถือหน่วยปฏิบัติผิดเงื่อนไขและต้องชำระคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีตั้งแต่ปีที่มีสิทธิได้รับประโยชน์
- ตอบตัวเองว่ายอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ในระดับสูง เนื่องจาก LTF จะไปลงทุนในหุ้น
- มีการจัดสรรเงินมาลงทุนโดยคำนึงถึงหลักการกระจายความเสี่ยง (asset allocation) มิใช่นำเงินลงทุนทั้งหมดที่มีมาลงทุนใน LTF
- พร้อมที่จะลงทุนในระยะยาว ไม่ต่ำกว่า 7 ปีปฎิทิน
LTF ย่อมาจาก Long Term Equity Fund เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้น โดยทางการสนับสนุนให้จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบัน (ซึ่งก็คือกองทุนรวม) ที่จะลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทุนใน LTF ที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อเป็นแรงจูงใจในการลงทุน
เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีเงื่อนไขว่า ต้องซื้อ และถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 7 ปี (นับตามปีปฏิทิน เช่น เงินลงทุนแต่ละยอดที่ซื้อในระหว่างปี 2560 จะครบเงื่อนไขตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 เป็นต้อนไป และส่วนที่ลงทุนในระหว่างปี 2561 ก็จะครบเงื่อนไขตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ เงินลงทุนใน LTF ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะต้องเป็นการลงทุนภายในช่วงระยะเวลาไม่เกินปี 2562 เท่านั้น
ผู้ลงทุนต้องดำเนินการ ดังนี้
- ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไป โดยควรรีบทำทันทีที่ผิดเงื่อนไข เนื่องจากต้องจ่าย “เงินเพิ่ม” ในอัตรา 1.5% ต่อเดือนของจำนวนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้น นับตั้งแต่เดือนเมษายนของปีที่ผู้ลงทุนยื่นขอยกเว้นภาษี จนถึงเดือนที่มีการยื่นคืนเงินภาษี สำหรับการขาย LTF คืนเพียงบางส่วน ให้คืนภาษีเฉพาะยอดที่ขายคืนพร้อม “เงินเพิ่ม”
- ต้องจ่ายภาษีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ผิดเงื่อนไข โดยนำกำไรที่ได้รับจากการขายคืนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี ซึ่งในทางปฏิบัติ เมื่อผู้ลงทุนขายคืนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนไว้ก่อน
- จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการลงทุนเป็นไปตามเงื่อนไขที่ทางการกำหนด
- หากลงทุนไม่ถึง 7 ปีปฏิทิน กำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gain) ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
มีแบบเดียวคือ ลงทุนในหุ้นสามัญ ที่จะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยแต่ละ LTF อาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน เช่น บาง LTF อาจเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50 หรือตามที่บริษัทเห็นสมควร ขึ้นอยู่กับรายละเอียดนโยบายการลงทุนของ LTF กองนั้นๆ LTF บางกองทุนยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลได้
หากปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีถึง 2 ทางด้วยกัน คือ
ทางที่ 1 เงินซื้อหน่วยลงทุนใน LTF จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่ลงทุนจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี และต้องไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้ หากมีการลงทุนเกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี หรือเกิน 500,000 บาท เมื่อขายคืนหน่วยลงทุนแล้วมีกำไร ผู้ลงทุนจะต้องนำกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) นับเฉพาะจากส่วนเงินลงทุนที่เกิน ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
ทางที่ 2 กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทางที่ 1 เงินซื้อหน่วยลงทุนใน LTF จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่ลงทุนจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี และต้องไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้ หากมีการลงทุนเกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี หรือเกิน 500,000 บาท เมื่อขายคืนหน่วยลงทุนแล้วมีกำไร ผู้ลงทุนจะต้องนำกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) นับเฉพาะจากส่วนเงินลงทุนที่เกิน ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
ทางที่ 2 กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นระยะยาว แต่อาจไม่มีความชำนาญในการลงทุนในหุ้น หรือไม่มีเวลา จึงเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม ท้งนี้ ผู้ลงทุนจะต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุน และเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาในการลงทุนได้ คือลงทุนแล้วต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน
ขายคืนหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนด 7 ปีปฏิทิน ถือว่าผิดเงื่อนไขการลงทุน ยกเว้นกรณีที่ผู้ลงทุนเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ จะไม่ถือว่าผิดเงื่อนไขการลงทุน
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF คือ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดู โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม รวมทั้งลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตลอดจนหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง ทั้งนี้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.กำหนด ผู้ลงทุนในกองทุนนี้จึงต้องเป็นผู้ที่มีความพร้อม ในการลงทุนระยะยาว และยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นตลอดจนความผันผวนของมูลค่าหน่วยลงทุนได้ กองทุนรวมหุ้นระยะยาวมีลักษณะพิเศษ ดังนี้
1. เงินลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้จนถึงสิ้นปี พ.ศ.2562
2. ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีนั้น แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนระยะยาวต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน แต่ไม่รวมถึงกรณีผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนรวมหุ้นระยะยาว เพราะทุพพลภาพหรือตาย
(ดูประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 276))
1. เงินลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้จนถึงสิ้นปี พ.ศ.2562
2. ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีนั้น แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนระยะยาวต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน แต่ไม่รวมถึงกรณีผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนรวมหุ้นระยะยาว เพราะทุพพลภาพหรือตาย
(ดูประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 276))
กองทุนที่ได้รับยกเว้นภาษี ได้แก่ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่มีเงินได้ประเภทบุคคลธรรมดา โดยเงินได้ทุกประเภทสามารถนำมาลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ (เงินได้ในที่นี้หมายถึง "เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร" ของผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดา และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง)